บทที่๓
พุทธศักราช ๒๕๖๔
วันเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน และจากเดือนเป็นปี
๒๖ ปีผ่านไป ปาณัทหรือปกป้องได้เรียนจบสาขาด้านการบริหารจากมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ประเทศอเมริกา เพราะผู้เป็นพ่อส่งเขาไปเรียนที่นั่น เพื่อมาช่วยบริหารบริษัท เมื่อเรียนจบชายหนุ่มก็เดินทางกลับมาประเทศไทย
ว่าด้วยนิสัยของปาณัท เขาเป็นคนสุขุมนุ่มลึก เป็นคนนิ่งๆ แต่ขยันและเข้มแข็ง แถมยังใส่แว่นตาหนาเตอะ ดูเท่มากทีเดียว ในวัยยี่สิบหกปี ส่วนสูง ๑๘๕ เซนติเมตร...พ่อกับแม่รักเขามาก ที่สำคัญ มีอยู่หนึ่งเรื่องที่พ่อแม่ปิดเป็นความลับไม่ให้เขารู้ นั่นก็คือเรื่องที่เขามีพี่น้องฝาแฝด ชายหนุ่มไม่รู้เรื่องนี้ แต่เขารู้เพียงว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่เท่านั้น
ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ก็ยังตามหาฝาแฝดอีกคนไม่พบ ตำรวจตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ แต่ปราภพกับพรรณนิภาก็ยังมีความหวัง ถึงขั้นจ้างนักสืบให้ช่วยตามหา แต่ก็ยังไม่พบอยู่ดี อีกทั้งพวกเขายังไม่ยอมแพ้ที่จะตามหา
“ตามหามานานหลายปี แต่ก็ยังไม่พบลูกชายฝาแฝดอีกคนของเราเลยค่ะ ฉันอยากรู้เขายังมีชีวิตอยู่ไหม มีความเป็นอยู่ยังไง ลำบากหรือเปล่า และอยู่ที่ไหน ทำไมถึงตามหาไม่เจอ” พรรณนิภาพูดกับสามีขณะอยู่ในห้องนอน ใบหน้าของเธอนั้นหมองเศร้าทีเดียว คิดถึงแต่ลูกชายฝาแฝดอีกคน ทั้งที่ลูกชายที่อยู่กับเธอตอนนี้ก็หน้าตาพิมพ์เดียวกับอีกคน เหมือนจนแยกไม่ออก แต่เธอก็อดคิดถึงไม่ได้
แล้วปราภพก็โอบไหล่ปลอบภรรยา
“ใจเย็นๆ นะคุณพรรณ...ผมเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และเขาน่าจะอยู่ในที่ที่สุขสบาย ไม่ลำบาก อีกอย่าง เขาคงหน้าตาหล่อเหมือนตาป้อง ถ้าเรากับเขายังมีบุญวาสนาต่อกัน ไม่นานคงได้พบกัน”
“ฉันอยากให้ครอบครัวเราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันค่ะ มีพ่อมีแม่ และมีลูกฝาแฝดของเราทั้งสอง...” พูดได้เพียงเท่านั้นหยาดน้ำใสๆ ก็ไหลออกจากดวงตาของเธอ
“คุณอย่าร้องไห้สิ คุณพรรณ” ผู้เป็นสามีว่า
พรรณนิภารีบปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนจะพูดว่า
“ก็ฉันคิดถึงลูกชายฝาแฝดอีกคนของเรานี่คะ ฉันอยากเจอเขา ฉันอยากกอดเขา”
“คุณก็กอดตาป้องไปก่อนสิ ตาป้องก็หน้าเหมือนกับลูกชายอีกคนที่ถูกขโมยไป เพราะพวกเขาเป็นฝาแฝดกัน หน้าเหมือนกันยังกับแกะ”
แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงพูด
“ขออนุญาตเข้าไปในห้องนะครับ คุณพ่อคุณแม่”
“เข้ามาเลยลูก ประตูไม่ได้ล็อก” ปราภพตอบกลับไป
แล้วประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา ตามด้วยการปรากฏตัวของปาณัท เขาปิดประตูและเดินไปหาพ่อกับแม่ แล้วถามยิ้มๆ
“คุณพ่อกับคุณแม่กำลังคุยอะไรกันอยู่ครับ”
“อ้อ เปล่าลูก พ่อกับแม่ไม่ได้คุยอะไรกันหรอก” ปราภพพูดปดลูกชาย เพราะจำเป็น ความลับยังคงเป็นความลับต่อไป “เอ้อ แล้วที่ลูกมาหาพ่อกับแม่ มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมจะมาถามคุณพ่อว่าวันนี้ไม่ไปที่บริษัทเหรอครับ อีกอย่าง วันนี้มีประชุมตอนบ่ายด้วยครับ” ปาณัทถามผู้เป็นพ่อ
อีกฝ่ายเบิกตากว้าง ก่อนจะพูดว่า
“เออ จริงสิ พ่อเกือบลืมไปเลย นี่ถ้าลูกไม่มาบอก พ่อก็อาจจะลืม พักนี้สมองของพ่อทำงานหนักไปหน่อย”
“ผมว่าคุณพ่อพักบ้างก็ดีนะครับ”
“แน่นอนลูก...พ่อจะพักแน่นอน ว่าแต่ลูกพร้อมไหม” เขาถามลูกชายยิ้มๆ
“พร้อม? ” ปาณัททำหน้าเลิ่กลั่ก “คุณพ่อพูดถึงอะไรครับ แล้วผมพร้อมอะไร คุณพ่อจะให้ผมทำอะไรครับ พูดให้ชัดเจนสิครับ”
“ลูกพร้อมที่จะเป็นประธานคนต่อไปแล้วหรือยัง” ยิงคำถามไปทันที
“หา! ประธานบริษัท!” ชายหนุ่มทำหน้าตกใจ
“ใช่! ประธานบริษัท” ผู้เป็นพ่อพยักหน้า “ถึงเวลาที่พ่อจะวางมือแล้วละ ส่วนเรื่องบริษัทพ่อจะมอบให้ลูกเป็นคนจัดการ ลูกจะว่ายังไง”
“หุ้นส่วนของบริษัทอาจไม่เห็นด้วยที่คุณพ่อจะมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้ผม เพราะผมอายุยังน้อยน่ะครับคุณพ่อ”
“ไม่น้อยแล้วนะ” เขาว่า “อายุยี่สิบหกแล้ว เลยวัยเบญจเพสมาแล้ว ถือว่าอายุไม่น้อยเลย เดี๋ยวพ่อจะชี้แจงให้หุ้นส่วนบริษัททุกเข้าใจเอง เพียงแค่ลูกบอกมาคำเดียว ว่าพร้อมหรือไม่พร้อมก็เท่านั้นแหละ”
ปาณัทนิ่งคิดอยู่แป๊บเดียว จากนั้นไปเลื่อนเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของแม่มาวางตรงหน้าท่านทั้งสองและนั่งลง ก่อนจะให้คำตอบผู้เป็นพ่อ
“เอ้อ...ถ้าคุณพ่อเห็นว่าผมสมควรที่จะได้รับตำแหน่งประธานบริษัท ผมก็จะรับไว้ครับ”
“ขอบใจมากลูก” ผู้เป็นพ่อยื่นมือไปตบไหล่ลูกชายและยิ้ม “ถึงเวลาที่พ่อต้องวางมือสักที ต่อไปตำแหน่งประธานบริษัทก็จะตกเป็นของลูก ไป...ไปที่บริษัทกัน ตอนบ่ายมีประชุมไม่ใช่เหรอ และตอนประชุมก็เป็นโอกาสดีที่พ่อจะบอกให้หุ้นส่วนทุกคนได้รู้ว่าพ่อจะมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้ลูก”
“ครับ...คุณพ่อ ถ้างั้นก็ไปกันเลยครับ”
“อืมม์ ไปสิ...ผมไปที่บริษัทก่อนนะ คุณพรรณ” ประโยคท้ายหันมาบอกภรรยา
พรรณนิภาพยักหน้ายิ้มๆ
“ค่ะ คุณปราภพ”
แล้วสองคนพ่อลูกก็เดินออกไปจากห้องทันที
ทางด้านครอบครัวของเขมนันท์กับประภาก็ยังอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูล ‘บวรเทพ’ แล้วภูริช ลูกชายของทั้งสองคนก็โตเป็นหนุ่มแล้ว อายุเท่ากับปาณัท แต่ไม่ชอบปาณัท แถมชอบหาเรื่องตลอดเวลาอีกด้วย แต่ปาณัทก็ไม่ถือสา เพราะเห็นเป็นพี่น้องกัน แม้จะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ กันก็ตาม
นิสัยของภูริชนั้นขี้โวยวาย ขี้หงุดหงิด ชอบเที่ยวเตร่ เที่ยวผับเที่ยวบาร์ กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทุกวัน บางวันก็ไม่กลับ ถ้าวันไหนไม่กลับนั่นก็หมายความว่าชายหนุ่มไปนอนค้างอ้างแรมกับสาวๆ ซึ่งก็เป็นปกติของคนเจ้าชู้อย่างเขา และพ่อกับแม่ก็ไม่เคยว่าอะไร ปล่อยเลยตามเลย นั่นยิ่งทำให้เขาได้ใจ ทำนิสัยเสเพลอยู่เช่นนั้น
แล้ววันนี้เขาก็ตื่นขึ้นมาโวยวายในตอนสายขณะนั่งอยู่ในห้องโถง เมื่อเขาสั่งให้สาวใช้เอาเหล้ามาให้แต่เธอไม่เอามาให้
“ฉันสั่ง แกได้ยินไหม ฉันบอกว่าให้แกไปเอาเหล้ามาให้ฉัน แกหูหนวกหรือไง อีกอย่าง ฉันเป็นเจ้านาย ฉันสั่งอะไรแกก็ต้องทำ เพราะแกเป็นขี้ข้า”
“เอ้อ...ดิฉันขอโทษค่ะ คุณภูริช” ใบตอง ซึ่งเป็นสาวใช้และเป็นน้องสาวของแม่ใบบัวที่เป็นสาวใช้เช่นกัน และอายุก็ห่างกันหลายปี ตอนนี้เธอมีท่าทีหวาดกลัวภูริชมาก
แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“โวยวายอะไร ฮึ! ตาภู เสียงดังลั่นบ้านเชียว”
“คุณยาย!” ภูริชหันขวับไปมองที่หน้าประตูห้องโถงก็ถอดสีหน้าตกใจ เมื่อเห็นผู้เป็นยาย
คุณนภาลัยเดินเข้ามาและนั่งลงบนโซฟาตัวยาว อันเป็นที่นั่งประจำของท่าน ก่อนจะถามหลานชายว่า
“ว่าไง! เมื่อกี้แกโวยวายอะไร เสียงดังลั่นบ้าน บอกยายมา”
“เอ้อ...” ถึงกับพูดไม่ออก
คุณนภาลัยจึงหันไปถามสาวใช้แทน
“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใบตอง...ทำไมตาภูถึงโวยวาย”
“เอ้อ...คุณภูริชสั่งให้หนูไปเอาเหล้ามาให้ค่ะ แต่หนูไม่ไปเอามาให้ค่ะ คุณท่าน” ใบตองบอกทันที
“นังใบตอง!” ภูริชขึ้นเสียงใส่สาวใช้ต่อหน้าผู้เป็นยาย โดยไม่เกรงใจท่าน
“ตาภู!” คุณนภาลัยพูดเสียงดุๆ ใส่หลาน “เดี๋ยวนี้ยายรู้สึกว่าแกชักจะกินเหล้าเยอะไปแล้วนะ เที่ยวก็บ่อย ไปทุกวัน บางวันก็ไม่กลับบ้าน งานการก็ไม่ทำ”
“แล้วคุณยายจะให้ผมทำงานอะไรล่ะครับ” เขาย้อนถามผู้เป็นยาย
ท่านจึงบอกว่า
“ก็ทำงานอะไรก็ได้...ในบริษัทมีตำแหน่งว่างออกจะเยอะแยะ แกก็เลือกเอาสิ หรือว่าแกจะไปทำงานที่สำนักงานกับฉันก็ได้ ดีกว่าแกอยู่เฉยๆ แบบนี้ มันไร้สาระ ไร้ประโยชน์ แกหัดทำตัวให้เป็นประโยชน์ซะบ้างนะ”
ภูริชทำหน้าไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นและจะเดินออกไปจากห้อง แต่ถูกผู้เป็นยายเรียก
“ตาภู นั่นแกจะไปไหน ฉันยังพูดไม่จบเลย มันเสียมารยาท กลับมาก่อน ฉันจะสอนมารยาทแก ตาภู!”
“ผมไม่อยู่ให้คุณยายสอนหรอกครับ เพราะผมรำคาญ ได้ยินไหมครับว่าผมรำคาญ” เมื่อพูดย้ำเสร็จชายหนุ่มก็เดินออกไปอย่างหัวเสีย
“เฮ้อ! ใบตอง แกเอายาดมมาให้ฉันดมหน่อยสิ ฉันจะเป็นลม ฉันจะบ้าตายเพราะหลานคนนี้ ทำไม...ทำไมตาภูไม่นิสัยดีเหมือนตาป้อง ใบตองเอายาดมมาให้ฉันดมเร็วๆ ฉันจะเป็นลมแล้ว” ท่านเอนตัวนอนบนโซฟาพร้อมกับกุมขมับ เพราะเหนื่อยกับนิสัยของภูริช หลานที่ทำให้ท่านปวดเศียรเวียนเกล้าได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ
ใบตองรีบเอายาดมยาจ่อที่จมูกของคุณนภาลัยทันที
“นี่ค่ะ คุณท่าน ใจเย็นๆ นะคะ อย่าเครียดไปเลยค่ะ”
“มีหลานแบบตาภู จะไม่ให้ฉันเครียดได้ยังไง แกก็พูดได้ ก็แกไม่เคยมีหลานนี่ ไป...พาฉันขึ้นไปที่ห้องหน่อย ฉันจะนอนพักผ่อน ฉันรู้สึกเวียนหัวเหลือเกิน”
“ค่ะ คุณท่าน...ค่อยๆ ลุกนะคะ” ใบตองค่อยๆ ประคองประมุขของบ้านให้ลุกขึ้น และพาเดินออกไปทันที!
ณ ชุมชนคลองรักษ์...๒๖ ปีผ่านไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่ที่สลัมแห่งหนึ่งยังคงเหมือนเดิม
นางเพียรอายุมากขึ้นแล้ว ปีนี้อายุห้าสิบเศษๆ แต่นางก็ยังสู้ชีวิต ยังยึดอาชีพขายผลไม้ในตลาดสด และเด็กที่เธอเก็บมาเลี้ยงจากตะกร้าข้างถังขยะหลังตลาดสด บัดนี้โตเป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว จากชื่อ ‘ปิติกร’ ตอนนี้เขามีชื่อว่า ‘เป็นเอก’ และจากหงส์เขาต้องกลายเป็นกา เขาไม่รู้ชาติกำเหนิดที่แท้จริงของตัวเอง รู้แต่เพียงว่าเขาคือลูกของนางเพียร แม่ค้าขายผลไม้ในตลาดสดเท่านั้น เขารักแม่คนนี้มาก แม่เลี้ยงเขามาอย่างดี...และนางเพียรก็รักลูกชายคนนี้ ถึงแม้ไม่ใช่ลูกที่นางคลอดเองแต่นางก็รักเหมือนลูกแท้ๆ รักมาก และไม่บอกความจริงว่านางไม่ใช่แม่แท้ๆ ที่นางไม่ยอมบอกเพราะนางมีเหตุผล
อีกอย่าง หน้าตาของ ‘ปิติกร’ หรือ ‘เป็นเอก’ ก็หล่อเหลาทีเดียว มีวงหน้ารูปไข่ หุ่นนายแบบ ส่วนสูง ๑๘๕ เซนติเมตร เขาชอบช่วยเหลือคนอื่น เห็นใครเดือดร้อนไม่ได้เลย เข้ากับคนง่าย คุยเก่ง อัธยาศัยดี นิสัยดี ไปที่ไหนสาวๆ ก็พากันกรี๊ดกร๊าดทุกที่ เรียกว่ากำลังฮอตมาก
เป็นเอกเรียนจบสาขาอาหารและโภชนาการจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เพราะเขาอยากเป็นเชฟ เขารักในการทำอาหาร ชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ เขามีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นเชฟ อยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้ทำได้แค่ฝันเท่านั้น เพราะยังไม่มีทุน
แล้วเขาก็ทำงานในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งเด็กเสิร์ฟ ยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นเชฟ เขาทำงานอย่างขยันขันแข็ง เขาอยากให้แม่หยุดขายของ เขาจะทำงานเลี้ยงแม่เอง แต่นางเพียรบอกว่าหยุดไม่ได้ เพราะอาชีพนี้นางทำตั้งแต่เป็นสาว จะให้หยุดก็คงยาก และยังบอกอีกว่า
‘ตราบใดที่ยังมีลมหายใจก็ยังต้องสู้ต่อไป อย่าไปงอมืองอเท้า วันไหนตายวันนั้นแหละถึงจะหยุดทำงาน’
วันนี้เป็นเอกไม่ได้ไปทำงานจึงมาช่วยแม่ขายผลไม้ที่ตลาด เขาขายเก่ง ส่วนมากจะมีแต่สาวๆ มาซื้อ เพราะเห็นพ่อค้าหล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เขามุ่งมั่นที่จะขายของอย่างเดียว เรื่องแฟนเอาไว้ก่อน เขายังไม่อยากมี
แล้วหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินมาหน้าแผง เธอมองหน้าเป็นเอกแล้วยิ้ม พร้อมกับพูดว่า
“ไม่ขอซื้อแค่ผลไม้ ขอซื้อพ่อค้าด้วยได้ไหมจ๊ะ”
“เอ้อ...” ชายหนุ่มถึงพูดไม่ออก เขาอาย
นางเพียรจึงตอบแทน
“ถ้าจะซื้อผลไม้ก็รีบซื้อนะจ๊ะ ส่วนพ่อค้าไม่ขายจ้ะ ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ”
แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ใช่จ้ะ พ่อค้าเขายังโสด ช่วงนี้กำลังฮอต ไปไหนก็มีแต่สาวๆ กรี๊ดกร๊าด เพราะเขาหล่อไง แต่ขอโทษนะจ๊ะ...นายเป็นเอกเขายังอยากอยู่บนคานค่าาา”
ทั้งเป็นเอก นางเพียร และหญิงสาวคนนั้น ต่างก็หันไปมองทางต้นเสียง ก็เห็นนิชาภัทร ลูกสาวของนางต้อยและเป็นเพื่อนของเป็นเอกกำลังเดินมา หญิงสาวมีส่วนสูง ๑๗๓ เซนติเมตร นิสัยของเธอออกจะห้าวๆ แต่งตัวก็เหมือนผู้ชายอีกต่างหาก ที่สำคัญ เธอชอบต่อยมวย
เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าแผงขายผลไม้เธอก็พูดกับหญิงสาวที่บอกว่าจะขอซื้อพ่อค้า
“ผลไม้น่ะซื้อได้จ้ะ แต่พ่อค้าซื้อไม่ได้” แล้วก็หันไปพูดกับเป็นเอก “ไอ้เป็นเอก ฉันรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้แกจะฮอตขึ้นไปทุกวันๆ แล้วนะ มีแต่สาวๆ อยากได้ตัวแก แกน่าจะลอง...”
“หยุดเลย...แกห้ามพูดนะ ไอ้นิชา” ชายหนุ่มชี้หน้าเพื่อนห้ามไม่ให้พูด
นิชาภัทรได้แต่หัวเราะกับท่าทีของเพื่อน แต่ไม่พูดอะไร
แล้วหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าแผงตั้งนานสองนานก็พูดด้วยความอารมณ์เสีย
“ถ้าไม่ขายฉันก็ขอตัวก่อนค่ะ คนหล่อไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว ฉันไปหาที่อื่นก็ได้ เชอะ!” พูดจบเจ้าหล่อนก็สะบัดหน้าเดินออกไป
นิชาภัทรมองตามแล้วหัวเราะ ก่อนจะเดินอ้อมแผงไปตบไหล่เพื่อน และพูดว่า
“เฮ้ย! ไอ้เป็นเอก ฉันถามจริงๆ เลยนะเว้ย...แกเป็นเกย์หรือเปล่าวะ” ประโยคท้ายแอบกระซิบข้างหู
“เฮ้ย!” เป็นเอกถึงกับสะดุ้งเลยทีเดียว “แกพูดบ้าอะไร ฉันออกจะแมนทั้งแท่ง ฉันน่ะชอบผู้หญิงเว้ย เข้าใจหรือเปล่า”
“ก็ฉันไม่เห็นแกมีแฟนสักทีนี่หว่า...ฉันก็เลยคิดว่าแกเป็น...เป็น...เป็นเกย์น่ะสิ”
“ไม่มีทาง ฉันไม่เป็นแบบนั้นแน่นอน ฉันออกจะหล่อขนาดนี้ และที่สำคัญ สาวๆ ยังพารุมฉันอีก” แอบหลงตัวเองใช่เล่น
นิชาภัทรหัวเราะอีกครั้งกับท่าทีหลงตัวเองของเพื่อน ก่อนจะพูดว่า
“แกหลงตัวเองก็เป็นนะเนี่ย อ้อ แล้วที่ฉันว่าแกเป็นเกย์ก็เพราะว่าฉันยังไม่เห็นแกมีสักที อีกอย่าง ฉันไม่เห็นว่าแกจะสนใจผู้หญิงคนไหนเลย”
“จะรีบมีแฟนไปทำไม ทำงานหาเงินก่อนดีกว่า จริงไหมแม่” ประโยคท้ายหันไปถามแม่
“จริงจ้ะ อย่าเพิ่งรีบมีเลยแฟน มีแล้วก็ปวดหัว” นางเพียรว่า
“น้าเพียรจ๊ะ...” หญิงสาวเปลี่ยนมายืนข้างนางเพียร “น้าเพียรก็รู้นี่จ๊ะว่าไอ้เป็นเอกมันอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ให้มันรีบๆ มีแฟนไปเถอะจ้ะ อีกอย่าง น้าเพียรจะได้มีหลานอุ้มด้วยไงจ๊ะ”
“แกก็มีแฟนก่อนฉันสิ” เป็นเอกว่า
“ไม่...” ปฏิเสธเสียงแข็ง
อีกฝ่ายหัวเราะ และพูดว่า
“อ้อ ฉันลืมไปว่ะ แกเป็นทอมนี่ ถ้าจะมีแฟน...แกก็คงมีแฟนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน”
“ไอ้เป็นเอก ไอ้ปากหมา...” ตั้งท่าจะต่อยเพื่อน แต่เพื่อนไม่อยู่ให้ต่อย วิ่งแจ้นออกไปอย่างรวดเร็ว เธอจึงวิ่งตามไป พร้อมกับตะโกน “กลับมาให้ฉันต่อยปากแกก่อนนะเว้ย ไอ้เป็นเอก”
นางเพียรมองตามแล้วส่ายหน้า
“เฮ้อ! ไอ้พวกนี้ เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้ อายุก็ตั้งยี่สิบหกกันแล้ว ข้าละปวดหัวจริงๆ” แล้วนางก็นั่งลงบนเก้าอี้ทันที
ในห้องประชุมของบริษัท ‘บวรเทพ จิวเวลรี่’ กำลังประชุมเรื่องที่จะนำเครื่องเพชรของบริษัทไปร่วมประมูลในงานการกุศลที่โรงแรมแห่งหนึ่ง หุ้นส่วนแต่ละคนต่างก็ลงความคิดเห็นแตกต่างกันออกไป ในที่ประชุมมีเขมนันท์ร่วมอยู่ด้วย แต่เขานั่งเงียบ ไม่ออกความคิดเห็นใดๆ
แล้วการประชุมก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงเรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องสำคัญ ปราภพลุกขึ้นและพูดกับหุ้นส่วนทุกคนว่า
“เอาละ ผมมีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทุกคนได้ทราบพร้อมกัน...”
“เรื่องสำคัญ...เรื่องอะไรครับ คุณปราภพ” คุณอภิสิทธิ์ หุ้นส่วนสำคัญของบริษัทถามขึ้น
“นั่นสิครับ เรื่องสำคัญอะไร” หุ้นส่วนอีกคนถาม
ผู้เป็นประธานบริษัทยิ้มให้หุ้นส่วนทุกคน ก่อนจะพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด
“เรื่องที่ผมจะแจ้งให้หุ้นส่วนทุกคนได้ทราบก็คือเรื่อง...ผมจะมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้กับปาณัท ลูกชายของผมเองครับ”
“นี่หมายความว่าคุณปราภพจะไม่เป็นประธานของบริษัทนี้แล้วเหรอครับ” หุ้นส่วนคนสำคัญของบริษัทถามขึ้นทันที
ตามด้วยคำพูดจากปากของหุ้นส่วนคนอื่นๆ
“ถ้าบริษัทนี้จะเปลี่ยนประธาน งั้นผมจะถอนหุ้นออกทันทีครับ”
“ผมก็จะถอนหุ้นออกเหมือนกัน”
“ดิฉันด้วยค่ะ” หุ้นส่วนที่เป็นผู้หญิงท่านหนึ่งพูดขึ้น “ถ้าจะเอาคนที่อายุยังน้อยมาเป็นประธานของบริษัท ฉันก็จะถอนหุ้นออกเช่นกันค่ะ”
“เอาคนที่อายุยังน้อยมาเป็นประธานบริษัท รับรองว่าภายในหนึ่งเดือนบริษัทนี้เจ๊งแน่นอน” หุ้นส่วนอีกคนว่า
แล้วปัญหาก็ตามมา เมื่อปราภพประกาศว่าจะมอบตำแหน่งประธานบริษัทให้กับลูกชาย แต่หุ้นส่วนทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าปาณัทนั้นอายุยังน้อยนัก บริหารบริษัทไม่น่าจะรอด
ปราภพจึงอธิบายให้กับทุกคนฟัง
“ใจเย็นๆ นะครับทุกคน...ลองให้โอกาสคนรุ่นใหม่ได้พัฒนาฝีมือตัวเองบ้าง เขาอาจบริหารบริษัทได้ดีกว่าคนรุ่นเก่าอย่างผมก็ได้ ให้โอกาสเขาเถอะนะครับทุกคน”
“ลองให้คุณเขมนันท์เป็นประธานบริษัทดูไหมครับ น่าเชื่อถือกว่า” หุ้นส่วนคนหนึ่งพูดขึ้น
แล้วคนที่ถูกพูดถึงก็มีสีหน้าเบิกบาน ยิ้มให้กับทุกคน แต่พูดอย่างถ่อมตัวว่า
“ไม่ดีหรอกครับ...เพราะผมไม่ใช่สายเลือดของบวรเทพ ให้ผมเป็นประธานบริษัทคงไม่ได้”
“ได้สิครับ เพราะถึงยังไงคุณก็เป็นลูกเขยของตระกูลบวรเทพ ก็เป็นคนในครอบครัวคนหนึ่ง” หุ้นส่วนคนสำคัญว่า
“นั่นสิครับ คุณพ่อ...ให้อาเขมเป็นเถอะครับ ตำแหน่งนี้คงไม่เหมาะกับผม” ปาณัทกลับเห็นด้วย
“ไม่ได้!” ปราภพโบกมือพัลวัน “ให้นายเขมเป็นไม่ได้ ต้องเป็นสายเลือดของบวรเทพเท่านั้นถึงจะเป็นได้ อีกอย่าง ถ้ามอบตำแหน่งนี้ให้ลูกแล้วมันก็ต้องเป็นของลูก ให้คนอื่นไม่ได้”
“แต่ว่า...”
“ยังไงลูกก็เป็นประธานบริษัท อย่าทำให้พ่อเสียความตั้งใจ” บอกแกมบังคับ
เขมนันท์แอบถอดสีหน้าไม่พอใจ และคิดในใจ
‘บ้าเอ๊ย! เกือบจะได้ตำแหน่งประธานบริษัทอยู่แล้วเชียว หลุดมือไปจนได้’
แต่หุ้นส่วนทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
“ถ้าคุณเอาลูกชายของคุณมาเป็นประธานบริษัท ผมจะขอถอนหุ้นออกทันที”
“ผมก็จะถอนหุ้นออกเหมือนกัน แล้วผมก็ไม่ได้พูดเล่นด้วย”
ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ถอนหุ้นออก!”
ปาณัทรีบลุกขึ้นและพูดเกลี้ยกล่อมกับหุ้นส่วนทุกคน
“ใจเย็นๆ ครับทุกคน อย่าเพิ่งรีบถอนหุ้นเลยครับ ให้โอกาสผมสักครั้งเถอะครับ ถ้าผมบริหารงานในบริษัทล้มเหลว...ผมจะยกตำแหน่งประธานบริษัทให้คุณอาเขมเลยทันทีครับ แต่ผมขอร้องนะครับทุกคน อย่าเพิ่งด่วนถอนหุ้นออก นะครับ”
แล้วเขมนันท์ก็แสร้งทำตัวเป็นคนดี ช่วยหลานชายพูดเกลี้ยกล่อมทุกคน
“ผมว่าทุกคนควรให้โอกาสหลานชายของผมได้พิสูจน์การบริหารงานในบริษัทเถอะครับ เขาอาจจะทำได้ดีในฐานะคนรุ่นใหม่ก็ได้ ขอให้ทุกคนให้โอกาสเขาสักครั้งสองครั้งเถอะนะครับ ผมเชื่อมั่นว่าเขาจะทำได้ ผมเอาหัวของผมเป็นประกันเลยครับ” แต่เขาแอบยิ้มร้าย มีแผน
“อาเขม...” ปาณัทมองอาเขยอย่างซาบซึ้งใจ
อีกฝ่ายยิ้มให้ แต่ไม่พูดอะไร
แต่ปราภพกลับมองผู้เป็นน้องเขยอย่างระแวง กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีแผน เพราะเขาไม่เคยเชื่อใจอีกฝ่ายเลย แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่พูดออกมา ได้แต่เก็บไว้ในใจคนเดียวเท่านั้น
หุ้นส่วนทุกคนต่างเงียบกันไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าให้กันเป็นเชิงว่าเห็นด้วยกับเขมนันท์
แล้วหุ้นส่วนสำคัญของบริษัทก็พูดขึ้น
“เอาละ พวกเราทุกคนจะให้โอกาสคุณปาณัทได้พิสูจน์การบริหารงานในบริษัท หากภายในสองเดือนคุณปาณัทบริหารงานล้มเหลว...พวกเราจะถอนหุ้นออกทันที”
“ขอบพระคุณทุกคนมากนะครับ ผมสัญญาว่าผมจะบริหารงานในบริษัทอย่างเต็มที่ และไม่ให้ขาดตกบกพร่องสักนิดเดียวครับ แต่ผมจะบริหารงานในฐานะคนรุ่นใหม่ แต่ถ้าผมบริหารงานล้มเหลว...ผมยินดีให้ทุกคนถอนหุ้นออกครับ ขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ” ปาณัทรีบประนมมือไหว้ทุกคนอย่างความดีใจสุดๆ เขายิ้มไม่หุบ
“ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่ให้โอกาสลูกชายผม” ปราภพประนมมือไหว้ขอบคุณหุ้นส่วนทุกคน เขายิ้ม “อาทิตย์หน้าทางบริษัทเราจะเอาเครื่องเพชรไปประมูลที่งานการกุศล ซึ่งเราจะผลิตเป็นพิเศษ เอาให้สวยที่สุดและให้หรูที่สุดเลยครับ...เอาละ ผมขอจบการประชุมแต่เพียงเท่านี้ แยกย้ายกันได้ครับ”
แล้วทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกันและเดินออกไปจากห้องประชุม
เมื่อทุกคนเดินออกไปแล้วปาณัทก็หันมาประนมมือไหว้ผู้เป็นอาเขย พร้อมกับพูดว่า
“ผมต้องขอบคุณคุณอาเขมมากนะครับ ที่ช่วยผมอธิบายให้หุ้นส่วนทุกคนเข้าใจ ไม่งั้น...”
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เอง อาทำเพื่อหลานป้องได้อยู่แล้ว...ถ้างั้นอาขอตัวก่อนนะ” พูดจบเขมนันท์ก็เดินออกไป แต่ระหว่างเดินเขาก็พึมพำกับตัวเอง
“ฉันขอให้แกบริหารงานล้มเหลวภายในเร็ววัน แล้วฉันจะหาทางเสียบแทนแก ไอ้โง่!”
ปราภพเดินมาตบไหล่ลูกชายและบอกว่า
“ตาป้อง ลูกอย่าไปเชื่อใจนายเขมให้มากนักนะ เพราะคนอย่างนายเขมไว้ใจได้ซะที่ไหน ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง และที่เขาช่วยลูกอธิบายกับหุ้นส่วนทุกคนเมื่อกี้ก็เพราะว่าเขามีแผน พ่อรู้”
“คุณพ่อคิดมาก...อย่างคุณอาเขมน่ะเหรอครับจะมีแผน” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนไม่เชื่อกับสิ่งที่ผู้เป็นพ่อบอก
อีกฝ่ายจึงบอกอีกว่า
“พ่อรู้จักนายเขมดี ไม่ว่าจะทำอะไรเขาต้องมีแผนเสมอ เพราะฉะนั้นลูกอย่าไปหลงเชื่อเขา เขาชอบแสร้งทำตัวเป็นคนดีให้ทุกคนเชื่อใจเขา พ่อขอเตือน...”
“ดูเหมือนว่าคุณพ่อจะไม่ชอบคุณอาเขมเอามากๆ เลยนะครับ”
“ใช่! พ่อไม่ชอบ!” ผู้เป็นพ่อพยักหน้า “พ่อไม่ชอบคนที่ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก แล้วนายเขมก็เป็นคนประเภทนี้ ซึ่งพ่อไม่ชอบเอามากๆ ลูกเองก็ไม่ควรเชื่อนายเขมให้มาก”
“ครับ ผมจะไม่เชื่อคุณอาเขมให้มาก ผมจะระวังตัวครับคุณพ่อ” ปาณัทว่า
ปราภพยิ้มและตบไหล่ลูกชาย
“ดีมากลูก...เอาละ ตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไป ลูกจะเป็นประธานบริษัทของเรา ตั้งใจทำมันให้ดีนะ ค่อยๆ เรียนรู้และฝึกฝนไป”
“ครับ คุณพ่อ ผมจะไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวังเป็นอันขาดครับ” ชายหนุ่มรับปากกับผู้เป็นพ่อ
“มันต้องแบบนี้สิลูกพ่อ” เขาตบไหล่ลูกชายอีกครั้ง พร้อมกับหัวเราะ และถามไปอีกว่า “เอ้อ แล้วนี่ลูกจะไปไหนต่อหรือเปล่าฮึ”
“ผมมีนัดทานข้าวครับคุณพ่อ”
“กับหนูลิต้าเหรอ” ผู้ที่เขาพูดถึงก็คือ ‘ชลิตา’ หรือ ‘ลิต้า’ แฟนสาวของปาณัทนั่นเอง
ปาณัทพยักหน้ายิ้มๆ
“ใช่ครับคุณพ่อ ถ้างั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ เดี๋ยวจะเลยเวลานัด...เดี๋ยวลิต้าจะงอนเอา ยิ่งเธอเป็นคนขี้งอนอยู่ด้วยครับ”
“เชิญ! ไปสิลูก” ผู้เป็นพ่อผายมือเชื้อเชิญ
“ครับ คุณพ่อ ผมไปก่อนนะครับ” ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนจะเดินออกไปจากห้องประชุม
ปราภพมองตามลูกชายแล้วยิ้มอย่างภูมิใจ แต่สักพักก็ทำหน้าเศร้าเมื่อคิดถึงลูกชายฝาแฝดอีกคนที่ถูกขโมยไป เขาอดคิดถึงไม่ได้
“ปิติกร...ตอนนี้ลูกอยู่ที่ไหน มีความเป็นอยู่ยังไง พ่อกับแม่ตามหาลูกมายี่สิบกว่าปีแล้วแต่ก็ยังไม่พบ แต่พ่อจะไม่ยอมแพ้ พ่อจะตามหาลูกให้พบจนได้ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาพ่อก็จะทำ”
“คุณรู้ไหม ผมเกือบจะได้เป็นประธานบริษัทอยู่แล้วเชียว เพราะหุ้นส่วนทุกคนต่างก็อยากให้ผมเป็น แต่พี่ปราภพยืนยันที่จะให้เจ้าป้องเป็น ทั้งที่หุ้นส่วนทุกคนไม่เห็นด้วยเลย จนผม...” เขมนันท์กลับมาระบายคำพูดกับภรรยาที่บ้านในห้องนอนส่วนตัว ด้วยความหัวเสียที่เกือบจะได้เป็นประธานบริษัท แต่ก็ไม่ได้เป็น
“จนคุณต้องช่วยมันอธิบาย ทำให้ไอ้ป้องมันได้เป็นประธานบริษัท คุณมันโง่ไง คุณเขม” ประภาก็อารมณ์เสียเช่นกัน
อีกฝ่ายมองภรรยาอย่างไม่พอใจ
“คุณอย่าตอกย้ำผมได้ไหม คุณภา”
“ก็มันจริงนี่ ทำไม...คุณยอมรับไม่ได้งั้นสิ”
“ผมมีแผนที่จะทำให้ตำแหน่งประธานบริษัทตกเป็นของผมภายในสองเดือน” เขมนันท์ยิ้มร้าย
“คุณมีแผนอะไร” ผู้เป็นภรรยาถามอย่างสนอกสนใจมาก
อีกฝ่ายเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบ
“ก็ทำให้ไอ้ป้องมันบริหารงานในบริษัทเจ๊งภายในสองเดือน ทำให้มันไม่มีความน่าเชื่อถือ มันโง่จะตาย ผมบอกอะไรมันก็ทำตามอยู่แล้ว”
“คุณนี่สุดยอดจริงๆ เลยค่ะ สุดยอดความชั่วร้าย”
“ตกลงคุณจะชมหรือคุณจะด่าผมกันแน่” เขาฟังที่ภรรยาพูดแล้วรู้สึกแปลกๆ จะชมก็ไม่ใช่ จะด่าก็ไม่เชิง
“อ้าว! ฉันก็ต้องชมคุณสิคะ ก็คุณเป็นสามีของฉัน” ประภาว่า “ทำไปเลยค่ะ ฉันสนับสนุนคุณอยู่แล้ว พอคุณได้เป็นประธานบริษัท เวลาเราจะอะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น”
เธอสนับสนุนผู้เป็นสามี ทั้งที่ปาณัทนั้นเป็นหลานแท้ๆ ของเธอ แต่เธอก็เลือกข้างสามี แทนที่จะเลือกข้างหลาน เพราะเธอกำลังหลงสามี และอีกอย่าง ความละโมบโลภมากกำลังครอบงำจิตใจเธอ จึงทำให้เธอตาบอดนั่นเอง!
เขมนันท์ยิ้มมุมปาก แอบคิดในใจ
‘จะกี่ปีคุณก็ยังโง่เหมือนเดิมเลยนะ คุณภา คุณเชื่อผมทั้งๆ ที่ผมหลอกคุณ แต่ก็ดีเหมือนกัน เวลาผมจะทำอะไรมันจะได้ง่ายขึ้น ประธานบริษัทมันจะต้องเป็นของผม’ เขาหัวเราะในใจอย่างสะใจ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 343
แสดงความคิดเห็น