บทที่๑
พุทธศักราช ๒๕๓๘
ตระกูล ‘บวรเทพ’ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของประเทศ ไม่มีใครไม่รู้จักตระกูลนี้ เพราะโด่งดังในด้านการทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรพลอย อัญมณีและมรกต รวมทั้งเครื่องประดับอีกหลายอย่าง ขายได้กำไรไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท และยังส่งออกไปขายที่ต่างประเทศอีกต่างหาก แล้วรายได้ในแต่ละปีก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับนั่นเอง!
และมีบริษัทชื่อว่า ‘บวรเทพ จิวเวลรี่’ เป็นบริษัทขายและผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยและอัญมณีที่โด่งดังมากที่สุดของประเทศไทย และใหญ่ที่สุด ผลิตตามใจลูกค้า ถ้าลูกค้าสั่งมาแบบไหนก็ทำให้อย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นแหวนแต่งงานหรือกำไลก็ล้วนแต่สวยทั้งนั้น ลูกค้าเอ่ยชมปากต่อปาก เป็นที่พอใจอย่างมาก จนยอดขายถล่มทลายเลยทีเดียว
ผู้ก่อตั้งบริษัทก็คือคุณปพล บวรเทพ แต่ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคหัวใจ ตำแหน่งประธานบริษัทจึงตกเป็นของปราภพ ผู้เป็นลูกชายคนโตของท่าน เขามีนิสัยมุทะลุ ขยันขันแข็ง มุ่งมั่นในการทำงานเพื่อรักษาบริษัท เป็นผู้สืบทอดกิจการที่ดีต่อจากผู้เป็นพ่อ
และที่สำคัญ เขาแต่งงานแล้วด้วย แต่งงานได้สองปีแล้ว มีภรรยาชื่อว่าพรรณนิภา เธอเป็นหญิงสาวสวย มีนิสัยเรียบร้อย อ่อนหวาน และกำลังตั้งครรภ์อยู่ ตั้งครรภ์ได้ประมาณแปดเดือนแล้ว ใกล้คลอดแล้วด้วย
ปราภพก็ดูแลบริษัทได้ดีไม่แพ้ผู้เป็นพ่อเลย พนักงานในบริษัทต่างก็ชื่นชอบชายหนุ่ม ด้วยนิสัยของเขาก็คือเป็นคนอัธยาศัยดี ทำตัวสบายๆ ตลอดเวลา และคุยเก่งอีกต่างหาก
วันนี้ปราภพนั่งเซ็นเอกสารอยู่ในห้องทำงานที่บริษัทอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ มีสองสามแฟ้ม แล้วสักพักก็มีเสียงเคาะประตูห้องพร้อมกับเสียงพูด
“ขออนุญาตเข้าไปนะคะ ท่านประธาน”
“เชิญ! เข้ามาได้” เขาตอบกลับไป
แล้วประตูก็ถูกเปิดออก คนที่เดินเข้ามาก็คือนฤมล เลขาฯ วัยกลางคนของเขานั่นเอง!
“มีเอกสารให้ท่านประธานเซ็นอีกชุดหนึ่งค่ะ” นฤมลพูดพร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารให้เจ้านาย
ปราภพรับมาและเปิดอ่านดู แล้วยิ้มพอใจ
“รายได้ของบริษัทเราปีนี้ดีทีเดียว ยอดขายถล่มทลาย จนบริษัทคู่แข่งต้องยอมแพ้ให้กับเรา”
“ใช่ค่ะ...แล้วยอดสั่งจองเพชรพลอย อัญมณีก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะคะ อีกอย่าง ลูกค้าประทับใจเพชรพลอยของบริษัทเรามากค่ะ” เธอว่า
“อืมม์! ก็เพราะว่าบริษัทเราซื่อสัตย์ต่อลูกค้าไง ลูกค้าถึงได้ประทับใจและมาซื้อเพชรพลอย อัญมณีที่บริษัทเราบ่อยๆ” ปราภพพูดแล้วยิ้มพอใจ
“ค่ะ ท่านประธาน” ผู้เป็นเลขาฯ ยิ้มกว้าง
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่ ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังตั้งครรภ์เดินเข้ามา เธอคือพรรณนิภานั่นเอง
“สวัสดีค่ะ คุณพรรณนิภา” นฤมลยกมือไหว้ภรรยาของท่านประธาน นานๆ ทีพรรณนิภาจะเข้ามาที่บริษัท ยิ่งใกล้คลอดก็ยิ่งเดินทางลำบาก ช่วงนี้จึงไม่ค่อยได้เข้าบริษัทเท่าไหร่นัก และเธอตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว
“สวัสดีค่ะ คุณนฤมล” พรรณนิภารับไหว้ด้วยท่าทียิ้มแย้ม
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ถ้างั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะท่านประธาน” พูดจบเธอก็เดินออกไปและปิดประตูเบาๆ
ปราภพรีบลุกขึ้นมาเลื่อนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานให้ผู้เป็นภรรยานั่งและพูดว่า
“ค่อยๆ นั่งนะครับ คุณพรรณ...” เขาเว้นวรรคแล้วพูดต่อ “ว่าแต่ คุณมาทำไมเนี่ย เดินเหินก็ลำบาก ใกล้คลอดแล้วด้วย”
“ฉันมากับคุณแม่ค่ะ แต่คุณแม่ท่านไปคุยกับนักออกแบบเครื่องเพชร...ที่จะนำไปประมูลในงานการกุศลที่จะจัดขึ้นอาทิตย์หน้าค่ะ” ผู้เป็นภรรยานั่งลงและตอบ แล้วพูดต่อไปอีกว่า “อีกอย่าง ฉันคิดถึงคุณด้วยค่ะ ก็เลยมาหา” พูดแล้วก็ยิ้ม
“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไร” ปราภพยิ้มเอ็นดูภรรยา “ตอนเที่ยงผมก็ว่าจะกลับไปทานข้าวกับคุณที่บ้าน แต่บังเอิญคุณมาหาผมที่บริษัทซะก่อน”
“อ้อค่ะ” เธอพยักหน้ายิ้มๆ แต่สักพักก็รู้สึกเหมือนปวดท้อง “โอ๊ย...” แล้วเอามือกุมท้อง
“คุณเป็นอะไรครับ คุณพรรณ” ผู้เป็นสามีถามด้วยสีหน้าตกใจ
“ฉันรู้สึกเจ็บๆ ท้องค่ะ โอ๊ย...” มีสีหน้าที่เจ็บปวดมาก
“หา! หรือว่าคุณกำลังจะ...” เขาทำหน้าตกใจระคนดีใจ แต่สักพักก็ทำหน้าแปลกใจ “แต่เอ๊ะ คุณเพิ่งจะท้องได้แปดเดือนเอง คุณไม่น่าจะ...”
“แต่ฉันปวดท้อง โอ๊ย!” คราวนี้เธอปวดท้องอย่างรุนแรง
“งั้นเดี๋ยวผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล” พูดจบผู้เป็นสามีก็อุ้มภรรยาขึ้น
กำลังจะยื่นมือไปเปิดประตู แต่ก็ดันมีคนเปิดเข้ามาเสียก่อน คนที่เปิดประตูก็คือคุณนภาลัย ผู้เป็นประธานของสมาคมนักสังคมสงเคราะห์ และเป็นแม่ของเขานั่นเอง!
“อ้าว! คุณแม่”
“ตาปราภพ นั่นแกจะอุ้มหนูพรรณไปไหน” ท่านถามด้วยความแปลกใจ
“คุณพรรณปวดท้องครับคุณแม่ แต่ตอนนี้คุณแม่อย่าเพิ่งถามอะไรเลยนะครับ ต้องรีบพาคุณพรรณไปโรงพยาบาลก่อน”
“หา! ปวดท้อง งั้นก็แสดงว่า...” ท่านตาโต เมื่อได้สติท่านก็รีบบอกกับลูกชาย “เอ้า! งั้นแกจะมัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบพาหนูพรรณไปโรงพยาบาลสิ”
ปราภพพยักหน้าแล้วอุ้มภรรยาออกไปจากห้อง คุณนภาลัยเดินตามออกไปอย่างรีบร้อน
“ว่ายังไงนะ ยายพี่พรรณน่ะเหรอปวดท้องจะคลอดลูก แต่เพิ่งจะท้องได้แปดเดือนเองนะ สงสัยจะคลอดก่อนกำหนด” ประภา ผู้เป็นน้องสาวของปราภพเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าพี่สะใภ้กำลังจะคลอดลูกจากคนใช้ในบ้าน ขณะที่เธอนั่งอยู่คุยกับสามีในห้องโถงในบ้าน
ตอนนี้หญิงสาวเองก็กำลังตั้งครรภ์เช่นกัน ตั้งครรภ์ได้ประมาณแปดเดือนเหมือนกับพรรณนิภา สามีของเธอชื่อว่าเขมนันท์ เป็นคนที่ชอบปั่นหัวให้เธอเกลียดพี่สะใภ้และหลานในท้อง และพูดกรอกหูตลอดเวลาว่าลูกในท้องของพรรณนิภาจะมาแย่งทรัพย์สมบัติของตระกูลไปหมด แล้วลูกของเธอจะไม่ได้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ทำให้เธอกลายเป็นคนอิจฉาริษยา ละโมบโลภเหมือนกับเขา
และด้วยความที่ประภาเป็นคนที่หูเบาเพราะรักสามีจนเกินเหตุ จนหูหนวกตาบอด มองผิดเป็นถูก แล้วทำตามสามีทุกอย่างเมื่อสามีบอก จนกลายเป็นคนโง่ก็ว่าได้
“เด็กในท้องของพี่พรรณ...มันจะต้องได้ทรัพย์สมบัติของตระกูลเยอะกว่าลูกของเราแน่ๆ คุณภา” เขมนันท์ว่า และแอบยิ้มมุมปาก
“เรื่องอะไรภาจะยอม” ประภาลุกพรวดขึ้นและกำมือแน่น “ไอ้เด็กนั่นมันไม่มีวันได้สมบัติของตระกูลทั้งหมดไปคนเดียวหรอก อย่างน้อยลูกของเราจะต้องได้ครึ่งหนึ่ง”
“แล้วคุณจะทำยังไง” ผู้เป็นสามีถาม ทั้งที่ในใจมีแผนการที่จะกำจัดลูกของปราภพกับพรรณนิภาเต็มไปหมด แต่ไม่พูด รอให้ภรรยาพูดก่อน
“กำจัดมันซะ” ประภาพูดขึ้นทันที จากนั้นก็หันไปบอกกับสามี “แล้วคืนนี้คุณจะต้องไปที่โรงพยาบาล ไปขโมยเด็กนั่นเอาไปทิ้ง กำจัดเสี้ยนหนามให้ลูกของเรา”
“ได้สิครับ คุณภา...เราต้องกำจัดเสี้ยนหนามให้ลูกของเรา ลูกของเราจะต้องได้สมบัติแต่เพียงผู้เดียว” เขาแอบยิ้มร้ายอย่างสะใจ
และคิดในใจ
‘เจ้าเด็กน้อย แกไม่มีทางได้อยู่ครอบครองสมบัติของตระกูลแน่ เพราะลูกของฉันจะต้องได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น’
แล้วก็หัวเราะดังก้องในใจ
แต่อยู่ๆ ประภาทุบท้อง ทุบแบบแรงๆ จนผู้เป็นสามีต้องลุกขึ้นและจับมือไว้ แล้วถามว่า
“คุณทำบ้าอะไร คุณจะทุบท้องทำไม เดี๋ยวก็...”
“ฉันทุบเพื่อให้ลูกของเราคลอดเร็วๆ ต่างหาก...เพราะทันทีที่คุณแม่เสียไอ้หลานคนแรกไป คุณแม่ก็ยังมีลูกของเรา คุณแม่จะได้ไม่ต้องเสียใจ อีกอย่าง สมบัติทุกอย่างก็จะตกเป็นของลูกเรา” เธอยิ้ม แล้วสักพักก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา เธอจึงเอามือกุมท้องไว้และร้อง “โอ๊ย! คุณเขม ฉันปวดท้องจังเลยค่ะ พาฉันไปโรงพยาบาลที”
“ได้ครับ ถ้างั้นไปกันเลย” พูดจบเขมนันท์ก็อุ้มภรรยาแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ
หน้าห้องคลอดของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ปราภพเดินไปเดินมาด้วยความตื่นเต้นที่จะได้เห็นหน้าลูกคนแรก โดยที่คุณนภาลัยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ท่านมองลูกชายเดินไปเดินมาแล้วกุมขมับ และบอกว่า
“หยุดเดินซะทีเถอะ ตาปราภพ...แม่เวียนหัว”
“ก็ผมตื่นเต้นนี่ครับคุณแม่” เขาว่า จากนั้นก็ลงข้างๆ ผู้เป็นแม่และถามท่านว่า “เอ้อ คุณแม่ครับ คุณแม่คิดว่าลูกของผมจะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายครับ ส่วนตัวผมอยากได้ลูกชาย”
“แม่ก็อยากได้หลานผู้ชาย...แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชาย แม่ก็รักทั้งนั้นแหละ” คุณนภาลัยจับมือลูกชายแล้วยิ้ม
“ครับคุณแม่” ปราภพพยักหน้ายิ้มๆ
สักพักประตูห้องคลอดก็ถูกเปิดออก คุณหมอเดินออกมา ปราภพรีบลุกขึ้นปรี่เข้าไปถาม
“คุณหมอครับ ลูกของผมเป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายครับ” ถามอย่างตื่นเต้น
“ฝาแฝดครับ” หมอตอบ “เป็นแฝดชายครับ...แข็งแรงทั้งแม่และลูก ขอแสดงความยินดีด้วยครับ หมอขอตัวก่อนนะครับ” พูดจบคุณหมอก็ผละไปทันที
“คุณแม่ได้ยินเหมือนผมไหมครับ” ปราภพหันไปถามแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ได้ยินสิ ได้ยิน...คุณหมอบอกว่าหลานคลอดออกมาเป็นฝาแฝด แม่ดีใจที่สุดเลยลูก” ท่านยิ้มอย่างมีความสุข ที่ได้หลานฝาแฝด
“ผมก็ดีใจครับ ดีใจมากๆ” ผู้เป็นคุณพ่อมือใหม่ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
คุณนภาลัยจับมือลูกชายและพูดว่า
“แม่ชักอยากจะเห็นหน้าหลานแล้วล่ะสิ”
“ผมก็อยากเห็นครับ” ปราภพว่า “ลูกต้องหน้าเหมือนผมแน่ๆ เลยครับ”
“แน่นอน...ต้องหน้าเหมือนแกอยู่แล้ว”
“ผมชักอยากจะเห็นแล้วครับ คุณแม่”
ทางด้านประภาก็คลอดแล้วเหมือนกัน ที่โรงพยาบาลเดียวกัน ได้ลูกชาย...ขณะนี้หญิงสาวนอนพักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษ โดยมีสามีนั่งอยู่ข้างๆ เตียง และเธออุ้มลูกน้อย
“น่าเกลียดน่าชังจริงๆ ลูกแม่” เธอพูดกับลูกชายตัวน้อยๆ
แล้วเขมนันท์ก็พูดขึ้น
“ผมตั้งชื่อให้ลูกของเราว่า...ภูริช ซึ่งมีความหมายว่าแผ่นดิน แล้วอีกอย่าง ผมชอบชื่อนี้ด้วย คุณว่าไง”
“ฉันก็ว่าชื่อนี้มันเพราะดีค่ะ” ผู้เป็นภรรยาพยักหน้าเห็นด้วย
สักพักเขมนันท์ก็พูดขึ้นอีกว่า
“เอ้อ พี่ปราภพกับพี่พรรณ...ได้ลูกชายฝาแฝดนะคุณภา”
“โธ่เอ๊ย! เจ็บใจนัก” ประภากำมือแน่นอย่างแค้นใจ แต่สักพักก็ยิ้มร้าย บอกกับสามี “คุณเอามันไปทิ้งทั้งสองคนนั่นแหละ กำจัดมันไปให้พ้นทาง เอาพวกมันไปทิ้งไกลๆ ไกลที่สุด กะว่าพ่อแม่ของพวกมันหาไม่เจอ แล้วสมบัติทุกอย่าง...”
“แล้วถ้าพี่ปราภพกับพี่พรรณมีลูกใหม่ล่ะ” เขาว่า
“ถึงตอนนั้นสมบัติก็ตกอยู่ในมือของลูกเราแล้ว” ประภายิ้มสะใจ
“คุณมั่นใจขนาดนั้น?” ผู้เป็นสามีถาม
“ฉันมั่นใจสิ...หรือว่าคุณไม่มั่นใจล่ะ”
“เอ้อ...”
“ว่าไง” ถามย้ำ
“ผมก็มั่นใจเหมือนคุณนั่นแหละ” เขาจำต้องตอบๆ ไป ทั้งที่ในใจไม่ได้มั่นใจอย่างคิด
เพราะทุกวันนี้คุณนภาลัยก็รักปราภพมากกว่าประภาอยู่แล้ว อะไรๆ ก็ปราภพ แล้วสมบัติของตระกูลก็คงตกเป็นของลูกของปราภพ แม้ว่าเขาจะเอาลูกฝาแฝดของปราภพไปทิ้ง แต่วันหนึ่งอีกฝ่ายก็ต้องตามลูกหรือไม่ก็มีใหม่ สมบัติก็ตกเป็นของครอบครัวปราภพอยู่ดีละ
“คืนนี้คุณต้องไปขโมยไอ้เด็กแฝดนั่น” ประภาพูดขึ้น
“แล้วจะไปขโมยยังไง มีพยาบาลเฝ้าอยู่” เขมนันท์เลิกคิ้วขึ้นสูงเท่าที่จะสูงได้
ฝ่ายภรรยาทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะบอกว่า
“คุณจะโง่อะไรล่ะ...คุณก็แค่ปลอมตัวเป็นบุรุษพยาบาลเข้าไปในห้องเด็กแรกเกิด โกหกคนที่เฝ้าว่าจะเอาเด็กไปให้พ่อแม่ หรือโกหกอะไรก็ได้ เรื่องของคุณเลย เพียงเท่านี้ก็จบ”
“แล้ว...”
“ไม่ต้องสงสัยเยอะแยะ...เอาเป็นว่าทำตามที่ฉันบอกก็พอ จบ!” ตัดบทแบบดื้อๆ แล้วก้มหน้าพูดกับลูกชายต่อ
“ลูกภูริชของแม่ต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้น ต้องได้สมบัติของตระกูลแต่เพียงคนเดียว รวมทั้งบริษัท ใครหน้าไหนก็อย่าหวังว่าจะได้”
“ใช่! ทั้งหมดต้องเป็นของลูกพ่อคนเดียว...คนเดียวเท่านั้น” เขมนันท์ยิ้มร้าย
นาทีนี้ในสมองของทั้งสองคนสามีภรรยามีแต่คำว่ากำจัด กำจัด แล้วก็กำจัดเท่านั้น ต้องกำจัดเสี้ยนหนามไปให้พ้นทาง โดยไม่สนใจว่าเด็กนั้นเป็นหลานหรือไม่ เพราะความโลภกำลังบังตาทั้งสองคนอยู่ เลยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งนั้น
ประภาอิจฉาพี่ชายที่มีแม่สนใจ คอยสนับสนุน อยากได้อะไรก็หามาประเคนให้ แต่เธอนี่สิ...เหมือนไม่ใช่ลูกแม่เลย เหมือนปราภพเป็นลูกคนเดียวเสียมากกว่า และถ้าถามว่าเธอน้อยใจไหม ก็น้อยใจ แต่ความอิจฉามีมากกว่า เธอจึงต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อเอาสมบัติของตระกูลมาเป็นของเธอทั้งหมด โดยกำจัดลูกของปราภพออกไปให้พ้น คนอย่างเธอไม่กลัวบาปอยู่แล้ว บาปก็บาปไปสิ กลัวอะไรเล่า
พรรณนิภานอนพักฟื้นอยู่ในห้องพิเศษเช่นกัน สีหน้าเธอยิ้มแย้มเบิกบาน เหมือนไม่รู้สึกเจ็บแผลเลยสักนิด และข้างๆ เตียงมีปราภพกับคุณนภาลัยนั่งอยู่ด้วย
ปราภพจับมือภรรยาและถามว่า
“คุณพรรณ คุณเจ็บแผลไหม”
“ก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ” เธอยิ้ม “ถ้าเทียบกับการได้เห็นหน้าลูก มันคุ้มแสนคุ้มค่ะ ต่อให้เจ็บเท่าไหร่ฉันก็ยอมค่ะ”
“เอ้อ หนูพรรณ แม่ไปขอชื่อกับพระอาจารย์ชื่อดังที่แม่เคารพมาแล้วนะ” คุณนภาลัยพูดขึ้น
“ชื่อว่าอะไรคะ คุณแม่” พรรณนิภาถามแม่สามียิ้มๆ
“แฝดพี่ชื่อว่า...ปาณัท ซึ่งมีความหมายว่า ให้ชีวิตหรือมีจิตใจเมตตา...ส่วนแฝดน้องชื่อว่า ปิติกร ซึ่งมีความหมายว่า ผู้สร้างความปิติ หลานชายของแม่ทั้งสองคนจะต้องเป็นคนดีของสังคม มีจิตใจโอบอ้อมอารี ช่วยเหลือคนอื่น ให้สังคมยกย่อง” ประโยคท้ายท่านพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ค่ะ คุณแม่...พรรณจะสอนให้ลูกทั้งสองคนเป็นคนดี ไม่รังแกใคร ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก และไม่เบียดเบียนใครค่ะ” คนพูดยิ้มกว้าง
“ผมก็เหมือนกันครับ” ปราภพพูดขึ้น “ผมจะสอนให้ลูกทั้งสองคนเป็นคนดีของสังคม ช่วยเหลือและแบ่งปันผู้อื่น ให้คนที่ไม่ทัดเทียมกับเรา ด้อยกว่าเรา และไม่เห็นแก่ตัวด้วยครับคุณแม่”
“ดีจ้ะ แม่ก็หวังว่าหลานของแม่ทั้งสองคนจะโตขึ้นเป็นคนดีเหมือนอย่างที่ลูกสองคนว่านะ”
“แน่นอนครับคุณแม่” ผู้เป็นลูกชายยิ้ม “ดีนะครับที่ลูกของผมคลอดก่อนกำหนด แล้วแข็งแรง ไม่ตัวเหลืองเหมือนลูกของเพื่อนผม ตอนนี้ผมชักอยากจะเห็นหน้าลูกแล้วครับ”
“เดี๋ยวพยาบาลก็เอาลูกมาให้แล้วละ” คุณนภาลัยว่า
“อดใจรอหน่อยนะคะ คุณปราภพ” ผู้เป็นภรรยาจับมือสามีและยิ้ม
ปราภพพยักหน้า
“ครับ คุณพรรณ ผมจะอดใจรอ”
ขณะนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว ที่ห้องทารกแรกเกิดมีพยาบาลเฝ้าอยู่สองคน และมีทารกน้อยนอนในกระบะแก้วเรียงแถวกัน บางคนก็ร้อง บางคนก็เงียบ พยาบาลก็ต้องคอยดูแลกันไป
ทารกบางคนแข็งแรง บางคนก็ตัวเหลือง ถ้าทารกคนไหนตัวเหลืองพยาบาลก็จะนำเข้าตู้อบทันที และต้องดูแลอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
แล้วเขมนันท์ที่ปลอมตัวเป็นบุรุษพยาบาลก็เดินเข้ามาในห้อง ใส่แว่นตาและหน้ากากอนามัย
เขาพูดกับพยาบาลที่เฝ้าว่า
“ผมจะมาเอาเด็กไปให้พ่อแม่ครับ”
“เด็กคนไหนคะ” พยาบาลหนึ่งในสองคนถาม
“เด็กฝาแฝดที่เพิ่งคลอดเมื่อช่วงบ่ายน่ะครับ” เขาตอบไป
“อ้อ ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของคนไข้ ยังให้เอาเด็กไปไม่ได้หรอกค่ะ ต้องรอตอนเช้าเท่านั้นนะคะ” พยาบาลอีกคนว่า
“แต่ผม...”
“ต้องรอตอนเช้าค่ะ” พยาบาลคนแรกพูดย้ำ
อยู่ๆ พยาบาลคนที่สองก็ปวดท้องขึ้นมา จึงหันไปบอกพยาบาลคนแรก
“เธอ...ฉันปวดท้อง ไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“แล้วเด็กๆ ล่ะ” ชี้เข้าไปในห้อง
อีกฝ่ายจึงบอกว่า
“ก็ให้บุรุษพยาบาลเฝ้าไปก่อนสิ” แล้วหันไปถามบุรุษพยาบาลตัวปลอม “ได้ใช่ไหมคะ”
“ได้สิครับ ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมจะเฝ้าเด็กๆ ให้”
เขมนันท์ยิ้มร้ายและคิดในใจว่า
‘เข้าทางเราแล้วสิ’
“ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้ม ก่อนจะดึงแขนเพื่อนพยาบาลออกไป “ไปได้แล้ว ฉันปวดท้องมากแล้ว จนจะราดตรงนี้อยู่แล้วนะยะ”
“แต่ฉันว่า...” หันมามองบุรุษพยาบาลตัวปลอมด้วยความไม่ไว้วางใจ เหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ก็ถูกเพื่อนดึงออกไปจนได้
เมื่อพยาบาลทั้งสองคนเดินออกไปแล้ว เขาก็เริ่มแผนการ เดินไปที่กระบะแก้วที่เด็กทารกฝาแฝดนอนหลับตาพริ้มอยู่ น่าเกลียดน่าชังทีเดียว
แต่เขาหาได้สนใจหน้าตาที่น่าเกลียดน่าชังของเด็กน้อยทั้งสองคนไม่
ตรงข้อมือของเด็กทารกทั้งสองคนมีป้ายชื่ออยู่ด้วย
เด็กชายปาณัท บวรเทพ
และ
เด็กชายปิติกร บวรเทพ
แล้วชายหนุ่มก็หันไปเจอตะกร้าใส่เสื้อผ้าและของใช้เด็กน้อยที่วางอยู่บนโต๊ะตรงมุมห้องหลายใบ เขาจึงเดินไปหยิบเอามาแค่สองใบเท่านั้น
เขาวางตะกร้าลงและอุ้มเด็กน้อยมาหนึ่งคนก่อน วางลงอย่างไม่ทะนุถนอม พอกำลังจะอุ้มเด็กอีกคนก็ได้เสียงพยาบาลเดินคุยกันมาแต่ไกล เขารีบหยิบตะกร้าที่วางเด็กเอาไว้ขึ้นมาและถือเดินออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ โดยไม่สนใจตะกร้าเปล่ากับเด็กอีกคน เพราะนาทีนี้ต้องเดินหนีเอาตัวรอดออกไปก่อน เดี๋ยวมีคนมาเห็นจะซวยไปใหญ่
เด็กทารกน้อยที่เขาเอาไปนั้นเป็นแฝดผู้น้อง
เขาเลือกเดินลงไปบันไดหนีไฟ ที่ที่ปลอดภัย ยากที่จะมีคนเดินมา เด็กก็ร้องเสียงดัง เขาจึงตะคอก
“แกจะร้องหาพระแสงอะไรวะ หุบปากเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวฉันก็เอาผ้าอุดปากอุดจมูกแกให้ตายซะเลยนี่”
เขารีบลงจากชั้นห้าจนมาถึงชั้นล่างสุด แล้วก็เดินหนีออกไปหลังโรงพยาบาล มีหมอมีพยาบาลสองสามคนอยู่แถวๆ นั้นพอดีจึงพากันออกมาดู...เขมนันท์ตกใจที่มีคนเห็น เขารีบยกตะกร้าวางบนกำแพงที่ไม่สูงเท่าไหร่นักและปีนขึ้นไป แล้วก็กระโดดลงอีกฝั่ง หยิบเอาตะกร้าที่มีเด็กลงมาด้วย
ส่วนทางด้านหมอและพยาบาลที่เห็นก็พากันพูด
“นั่นมีคนขโมยเด็กไปนี่คะ คุณหมอกร” พยาบาลคนหนึ่งชี้ไปทางกำแพงที่เขมนันท์ปีนหนีไป
คุณหมอพยักหน้าและพูดว่า
“ใช่ มีคนขโมยเด็กไป...มันปลอมตัวเป็นบุรุษพยาบาล แสดงว่ามันต้องเตรียมแผนการมาอย่างดีแน่ๆ น่าเสียดายที่พวกเราตามมันไม่ทัน”
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ คุณหมอกร” พยาบาลอีกคนถาม
“เรารีบไปที่ห้องทารกแรกเกิดกันดีกว่า ที่นั่นคงกำลังวุ่นวาย”
แล้วก็พากันเดินกลับเข้าไปในโรงพยาบาล
“ตายแล้วเธอ...เด็กฝาแฝดถูกขโมยไปหนึ่งคน ทำไงดี” พยาบาลหนึ่งในสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าห้องทารกแรกเกิดถอดสีหน้าตกใจ เมื่อมองไปที่กระบะแก้วที่เคยมีเด็กทารกฝาแฝดนอนอยู่ บัดนี้มีเพียงเด็กทารกน้อยนอนร้องอยู่เพียงคนเดียว อีกคนหาย
แล้วพยาบาลอีกคนก็พูดว่า
“เห็นไหม ฉันว่าแล้ว ว่าบุรุษพยาบาลคนนั้นไม่น่าไว้ใจ ฉันเห็นแค่แวบเดียวก็รู้สึกได้ทันที”
“ฉันก็หลงไว้ใจให้เขาอยู่เฝ้าเด็ก...ที่ไหนได้ เขากลับขโมยเด็กไป เขาต้องเป็นบุรุษพยาบาลตัวปลอมแน่ๆ เลย” พยาบาลคนแรกว่า
แล้วหมอกับพยาบาลอีกสามคนก็เดินเข้ามาในห้อง
“ใช่ครับ...คนที่ขโมยเด็กไปเป็นบุรุษพยาบาลตัวปลอม เพราะผมไม่คุ้นเลย” คุณหมอพูดขึ้น
“เอ้อ แล้วเราจะทำยังไงดีคะ เด็กที่คนร้ายขโมยไปเป็นฝาแฝดค่ะ เขาขโมยไปหนึ่งคน แล้วนี่เราจะบอกพ่อกับแม่ของเด็กว่ายังไงคะ” พยาบาลหนึ่งในสองคนที่เฝ้าห้องทารกแรกเกิดมีสีหน้าเครียดมาก
แล้วคุณหมอก็พูดขึ้นอีกว่า
“อ้อ ผมว่าเราต้องคิดหาคำอธิบายแล้วละครับ”
“แต่ว่ามันเรื่องใหญ่มากนะคะ คุณหมอ” พยาบาลอีกคนที่เฝ้าห้องทารกแรกเกิดว่า
“โธ่! แย่เลย ทำยังไงดีล่ะเนี่ย” คุณหมอเครียดเพิ่มขึ้นไปอีก
ขณะที่ทุกคนกำลังเครียดที่เด็กทารกฝาแฝดถูกขโมยไปหนึ่งคนก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าห้อง
“ปิดผมไว้ไม่ได้หรอก ผมได้ยินหมดแล้ว”
ทั้งหมดหันไปมองพร้อมกัน แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นปราภพยืนอยู่หน้าห้องกับคุณนภาลัย
“คุณปราภพ คุณนภาลัย!” อุทานพร้อมกัน
คุณนภาลัยมองคุณหมอและคุณพยาบาลทั้งห้าคนอย่างคาดคั้น และถามว่า
“ไหนช่วยอธิบายมาซิ...ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เอ้อ คือ...” คุณหมออึกอัก พูดไม่ออก
แล้วพยาบาลทั้งสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าห้องทารกแรกเกิดก็อธิบายให้คุณนภาลัยกับปราภพฟัง
เมื่ออธิบายจบแล้วก็ตบท้ายด้วยคำขอโทษ
“ดิฉันสองคนต้องขอโทษพวกคุณทั้งสองด้วยนะคะ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เพราะเราสองคนชะล่าใจเองค่ะ ไม่คิดว่า เอ้อ...คนนั้นเป็นโจรค่ะ”
“ใช่ค่ะ เป็นเพราะความประมาทของเราสองคนแท้ๆ ค่ะ ถ้าเราไม่ประมาทเรื่องก็คงไม่เกิด ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ” พยาบาลอีกคนสำนึกผิด
“เดี๋ยวผมจะไปแจ้งความกับตำรวจครับ ให้ตำรวจช่วยตามหาคนที่ขโมยเด็กไป คาดว่าไม่นานก็คงจะเจอครับ” คุณหมอว่า แล้วก็พูดต่อไปอีก “น่าเสียดายเหลือเกินครับที่ผมกับคุณพยาบาลทั้งสองคนตามเจ้าคนโจรไม่ทัน มันว่องไวเหลือเกิน ปีนกำแพงหลังโรงพยาบาลออกไป เหมือนมันเตรียมการมาอย่างดีครับ”
“ดิฉันต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ” พยาบาลหนึ่งในสองคนประนมมือไหว้ขอโทษอีกครั้ง
“หลานฉันหายไปทั้งคน แค่คำขอโทษคำเดียวมันคงไม่พอหรอก” คุณนภาลัยไม่พอใจมาก “เอาเรื่อง...ยังไงฉันก็ต้องเอาเรื่องโรงพยาบาลนี้ โทษฐานที่สะเพร่า ทำให้หลานฉันหายไป ตาปราภพ...แกต้องเอาเรื่องนะ เชื่อแม่”
“คุณแม่ครับ” ปราภพปรามผู้เป็นแม่เบาๆ
“ลูกแกหายไปทั้งคนนะ แกไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรบ้างเลยเหรอ ขนาดฉันเป็นย่าฉันยังกระตือรือร้นเลย แล้วแกล่ะ แกเป็นพ่อแท้ๆ แต่กลับไม่ทำอะไรเลย ไม่รู้ละ ยังไงฉันก็จะเอาเรื่องโรงพยาบาลนี้” ท่านยืนยันหนักแน่น
“ใครว่าล่ะครับ ว่าผมจะไม่ทำอะไรเลย ผมคิดอยู่ครับว่าจะไปแจ้งความให้ตำรวจช่วยตามหาลูก...”
“แกคิดว่าจะทันเหรอ ป่านนี้ไอ้โจรมันคงเอาหลานของฉันไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันขโมยหลานของฉันไปทำไม แล้วทำไมต้องเป็นหลานของฉัน ทำไมไม่เป็นลูกของคนอื่น” พลันก็มีหยาดน้ำใสๆ ออกจากตาของท่าน ปากท่านก็ยังพูดต่อไป “ฉันไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้ ทำไมต้องเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย...นี่ยังดีที่มันไม่เอาไปทั้งสองคน มันเอาไปแค่คนเดียว”
“ผมจะตามหาลูกของผมอีกคนจนเจอ ต่อให้พลิกแผ่นดินหาผมก็จะทำ ลูกของผมทั้งคน ผมไม่นิ่งดูดายหรอกครับคุณแม่”
“แล้วจะบอกหนูพรรณว่ายังไงล่ะ” ผู้เป็นแม่ถาม
ปราภพจึงพูดขึ้นว่า
“ถ้าบอกคุณพรรณไปว่าลูกฝาแฝดถูกขโมยไปหนึ่งคน เธออาจจะช็อกก็ได้ครับ ทางที่ดี ผมคิดว่า...”
“บอกหนูพรรณ ยังไงก็ต้องบอก คนเป็นแม่...ลูกถูกขโมยไปทั้งคน จะไม่บอกเลยไม่ได้ เธอสมควรต้องรับรู้” ท่านว่า
“ก็ได้ครับ” เขาพยักหน้า “ถ้างั้นขอผมไปดูลูกชายอีกคนหน่อยนะครับ ผมอยากเห็นหน้า”
“เดี๋ยวผมไปแจ้งความให้นะครับ” คุณหมออาสาทันที
“ครับ ขอบคุณครับ” ปราภพพยักหน้ายิ้มๆ
แล้วคุณหมอก็หันไปบอกพยาบาลทั้งสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าห้องทารกแรกเกิด
“คุณสองคนก็ไปกับผมด้วยนะ ไปเป็นพยานชี้แจงกับตำรวจ”
“ได้ค่ะ” ตอบเกือบจะพร้อมกัน
“ถ้างั้นก็ไปกันเลยนะ” เขาว่า แล้วก็หันมาพูดกับพยาบาลอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ส่วนคุณสองคนอยู่ดูแลเด็กๆ แทนนะครับ”
“ได้เลยค่ะ” ทั้งสองคนตอบรับทันที
“ไปกันเถอะครับ”
พูดจบเขาก็เดินออกไป โดยมีพยาบาลทั้งสองคนเดินตามไป
แล้วปราภพก็เดินไปหาลูกชายวัยแรกเกิดที่นอนอยู่ในกระบะแก้ว
“น่าเกลียดน่าชังจริงๆ ลูกพ่อ” เขายิ้ม แล้วก็หันไปพูดกับพยาบาล “ผมขออุ้มลูกไปหาภรรยาได้ไหมครับ”
“ได้ค่ะ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 332
แสดงความคิดเห็น