๒ พ่อค้าขนมไทย:ทำขนมขายครั้งแรก (๑)
เพิ่งเดือนที่แล้วนี่เองที่ข้าคิดจะทำขนมขาย คงเป็นเพราะกลิ่นกะทิสดมันหอมกระมัง ภาพขนมหวานต่างๆ จึงผุดขึ้นมาในหัว เมื่อข้าเอาเรื่องนี้ไปบอกนังยุพิน มันก็ทำตาโตจ้องกลับมา คงดูแปลกในสายตาของมัน
ในตำบลที่ข้าอาศัยอยู่ มีผู้ชายตั้งร้านขายของอยู่หลายร้าน ทั้งร้านขายผัก ขายหมู ขายปลา หรือไม่ก็พวกถ้วยชามลามไห ขายของใช้จิปาถะ พ่อค้าจีนขายเครื่องประดับก็ยังมี
แต่ผู้ชายละแวกนี้ไม่ตั้งร้านขายของกิน หากจะมีหลงมาบ้างก็เป็นร้านที่ช่วยกันขาย ๒ คนผัวเมีย ทำนองว่าเมียทำผัวขาย หรือไม่ก็พวกที่มานั่งเฝ้าร้าน เฝ้าเมียไปวันๆ
สาเหตุก็คงเป็น ผู้ชายชอบทำงานที่ใช้แรงมากกว่า นั่นแหละข้อหนึ่ง
อีกข้อก็คงเป็น ผู้ชายไม่ใส่ใจในการทำอาหารเท่าผู้หญิง
แต่ข้าไม่ ข้าทำขนมได้และใส่ใจมากทีเดียว ดูจากกล้วยบวชชีที่นังยุพินสอนข้านั่นปะไร นังยุพินสอนเพียงครั้งเดียวข้าก็ทำได้ กล้วยไม่เละและอร่อยด้วย นังยุพินเอ่ยชมไม่หยุด ซ้ำยังแบ่งไปให้ลุงแก่นกับป้าชะเอมที่ปลูกเรือนถัดไปทางท้ายคลองกินด้วย ลุงแก่นก็ยังชมเปาะ
แต่อันที่จริง กล้วยเครือนั้นเป็นของบ้านลุงแก่นน่ะ กอกล้วยของข้าและลุงปลูกติดกัน ตอนที่ข้าไปเดินมอง ข้าลืมดูแนวรั้ว ข้าเห็นมันห่ามและเครือใหญ่ใช้ได้ ข้าจึงตัดมา
แต่เรื่องนั้นช่างมัน จะอย่างไรข้าก็คิดว่าข้าทำได้
แต่ครั้งนี้ข้าอยากลองทำขนมที่วางขายง่ายๆ ไม่ต้องใช้ถ้วยชาม ไม่ต้องตักตวงให้วุ่นนวาย ขนมที่เหมาะที่สุดคงไม่พ้น ขนมตาลสีเหลืองฟูในกระทงใบตองสีเขียว น่าดึงดูดเหลือใจ
ไม่น่าเชื่อว่า นังยุพินรู้ว่าต้องใช้อะไรบ้าง รวมถึงรู้วิธีการทำทั้งหมด
ข้าก็รู้นะ รู้ว่าเมียข้าทำกับข้าวเป็น แต่ข้าไม่เคยเห็นมันทำขนมกะเขาสักหน ข้าจึงไม่คิดว่ามันจะรู้ แต่แค่ลองเปรยถามออกมา มันก็บอกมายาวเหยียด
เมื่อได้มันช่วย ข้าจึงรู้แล้วว่าข้าต้องเตรียมบ้างอะไร แต่ละอย่างไม่หนักหนา
แต่ปัญหาใหญ่สุดคือ เนื้อลูกตาล
เนื้อลูกตาลก็ต้องมาจากลูกตาล แต่ข้าพายเรือรอบแล้วรอบเล่า จากลานตลาดเข้ามาในคลองเล็กทะลุออกท้ายคลองไหลต่อไปตามกำแพงวัด สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้หน้าทึบ แต่ต้นตาลอยู่ไหนกัน?
พายอยู่จนใกล้จะเที่ยงก็ไม่เจอ ข้าจึงคิดว่าข้าควรจะกลับบ้านไปคิดหาหนทางใหม่ แต่ดูเหมือนเส้นทางพ่อค้าขนมของข้าจะยังไม่ถึงกับเจอทางตัน เพราะจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนไล่หลังขึ้นมา ไอ้เสียงนี้แหละที่จะมาช่วยขจัดอุปสรรคที่กีดขวางเส้นทางพ่อค้าขนมของข้าให้หมดไป
“ทำอะไรวะ!? มาด้อมๆ มองๆ แบบนี้ เดี๋ยวข้าก็ถีบตกน้ำเสียเลย”
เสียงห้าวที่ฟังอย่างไรก็เหมือนหมาหวงถิ่นนี้คงไม่พ้น ไอ้เทียน ไอ้หมาดุของวัด มันแจวเรือขึ้นมาเทียบและกวาดตาสอดส่องรอบตัวอย่างสงสัย เหมือนกับข้ามาโผล่ผิดที่ผิดทาง
“ถ้าเอ็งจะมาหาวงไพ่ เอ็งมาผิดทางแล้วไอ้เกลอ ตรงนี้เป็นเขตวัด!”
ไม่มีใครพายเรือเข้าเขตวัดเพื่อมองหาวงไพ่อยู่แล้ว ข้ารู้ แต่ข้าไม่อยากเถียงกับมัน อีกอย่าง ลำตัวของมันชุ่มวาวเหมือนกับจ้ำเรือมาอย่างรีบเร่ง ข้าควรสอบสวนมันกลับบ้าง
“แล้วเอ็งไปไหนมารึ? ดูรีบร้อนจริง”
“หลวงพ่อปานรับนิมนต์ไปสวดศพหมู่บ้านข้างๆ แต่ข้าดันลืมยาของหลวงพ่อ ข้าก็เลยรีบกลับมาเอา”
“เอ้า! ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็รีบไปเถอะ ข้าไม่กวนเอ็งดีกว่า”
“ไม่ต้องแล้วว่ะ ไอ้เจิดมันไปแทนแล้ว มันพายเรือสวนกับข้าตะกี้เอง”
“อ้อ” ข้ารับคำและนึกถึงไอ้เจิด ไอ้เด็กตัวจ้อยเมื่อ ๑๐ ปีก่อน พ่อของมันเอามาฝากเรียนเขียนอ่าน ตอนนี้มันก็ยังอาศัยอยู่กับหลวงพ่อไม่ยอมกลับบ้านเสียที “นี่ ไอ้เทียน เอ็งพอจะรู้ไหมว่าแถวนี้มีต้นตาลหรือเปล่า?”
คำตอบของไอ้เทียนมาในลักษณะของการพยักหน้าและจ้ำเรือนำไปยังท่าน้ำหลังวัด ข้ากับมันเคยบวชเรียนที่นี่จึงจำทางได้ดี ข้ากับมันเดินกันไปเงียบๆ เลียบกำแพงวัดจนไปถึงลานโล่งและเราก็มุดเข้าป่าโปร่งไปอีกเล็กน้อย เที่ยงพอดีที่ข้าเห็นมัน ต้นตาลสูงลิบ ข้าเริ่มถอดใจอีกครั้ง
“เอ็งมองหาต้นตาลทำไมวะ? จะเอาใบตาลไปทำปลาตะเพียนสานรึ?”
“ข้าจะเอาลูกตาลไปทำขนมต่างหากเล่า ข้าจะทำขนมตาลขาย”
เสียงหัวเราะขันดังจากร่างหนาใหญ่ที่กำลังหัวเราะจนตัวโยน อันที่จริงข้าไม่ควรพูดว่าข้าจะเป็นคนทำ ปล่อยให้มันคิดเอาเอง มันจะได้นึกถึงนังยุพิน มันจะได้ไม่หัวเราะเยาะ
“เอ็งน่ะรึจะทำขนม? ไหนขอข้าดูมือเอ็งหน่อยปะไร”
ไอ้เทียนเยาะและคว้ามือข้าไปพลิกดู ข้าไม่เห็นว่ามันจะได้อะไรขึ้นมา ฝ่ามือของคนไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าเจ้าของทำอะไรได้ หรือทำอะไรไม่ได้ ข้าจึงปล่อยให้มันพลิกไปพลิกมาอยู่แบบนั้นจนมันพอใจ
“จะทำขนมตาลก็ต้องใช้ลูกตาลสุก เอ็งลองมองหาตามโคนต้นดู ข้าจะดูว่าต้นไหนมีลูกบ้าง”
ไอ้เทียนคงเห็นว่าข้าเอาจริง มันจึงเริ่มช่วยเหลือ มันผลักข้าให้ออกเดินไปตามสุมทุมรกหนา ส่วนมันเองก็เดินวนรอบโคนตาลทีละต้น ทีละต้น ยกมือป้องตามองขึ้นไป
ในที่สุดมันก็ส่ายหัว ต้นตาลนี้ไม่มีลูกเลย มันจึงบอกข้าให้ลองกลับมาหามันอีกทีตอนบ่ายๆ
ข้าพายเรือมาที่ท่าน้ำหลังวัดอีกครั้งตอนบ่ายแก่ๆ ไม่ต้องเสียเวลามองหาก็เจอไอ้เทียนนั่งห้อยขาอยู่ที่ท่าไม้แคบ สองขาเตะน้ำ สองมือวักน้ำล้างลูกตาลดำมะเมื่อมในมือ ข้างตัวมีอีกกองใหญ่
ข้าจ้ำเรือไปจอดและกระโดลงไปนั่งข้างมัน สองขาหย่อนลงในน้ำเย็น มันช่วยคลายความร้อนได้ดีเหลือเกิน
“ลูกตาล ๑๐ ลูกทำขนมตาลได้กี่กระทงวะ?”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ข้าตอบแบบจนปัญญา ก็ข้ายังไม่เคยทำ ต่อให้เดาก็คงไม่ใกล้เคียง “ถามทำไมวะ?”
“เอ้า! ข้าต้องคิดค่าแรงสิวะ กว่าจะได้มาเท่านี้ เหนื่อยนะเว้ย”
“อ้า! ใช่ ถูกของเอ็ง” ข้าเปรยรับพลางหยิบลูกตาลมาแกว่งน้ำล้างเศษผง
คงเพราะท่าเรือแคบเกินไปสำหรับชาย ๒ คน ไอ้เทียนจึงซุกลูกตาลที่มันล้างแล้วลงในหว่างขาของมัน ข้าก็ทำตามบ้าง พอเสร็จ ไอ้เทียนก็ส่งลูกตาลลูกหนึ่งมาให้ ลูกตาลสีดำมะเมื่อมขนาดเท่าลูกน้ำเต้า มีรอยปริแตกยาวจนเห็นใยสีเหลือทองข้างใน ขั้วและท้ายก็มีสีเหลืองจัดเช่นกัน
“กำลังหอมเลย” ข้าพูดพลางสูดกลิ่น ไอ้เทียนเห็นแบบนั้นจึงยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ ไม่รู้เพราะอะไรข้าถึงรู้สึกอยากแกล้งมันขึ้นมา ข้าจึงดันลูกตาลไปชนจมูกโด่งๆ ของมันจนมันร้องเสียงดัง
“โอ๊ะ! ไอ้ห่าพุด!”
“แค่ชนเบาๆ ร้องยังกะหมาโดนน้ำร้อน” ข้าบ่นมันพลางหัวเราะ
ข้าลำเลียงลูกตาลบนตักลงเรือจนหมด จากนั้นจึงหันไปขอลูกตาลจากไอ้เทียน แต่ดูเหมือนมันเคืองมันจึงนั่งเอนตัวทิ้งท่อนแขนค้ำไปด้านหลังอย่างสบายอารมณ์
ลงอีหรอบนี้ ข้าคงต้องคว้าลูกตาลมาจากหว่างขาของไอ้หมาเทียนเสียแล้ว ยอมรับว่าใจคอไม่ดีทุกครั้งที่ข้ากดสายตาลงมอง กางเกงผ้าของมันชุ่มเปียกจนแนบติดตัว ตั้งแต่ต้นขาหนาหนัก ชุ่มไปถึงสะโพกแกร่งลามไปถึงหว่างขา ผ้าเปียกแนบลู่ไปกับท้องน้อยและอวดโคนกระดอนูนเป็นท่อนขึ้นมา แม้จะถูกลูกตาลบดบังไปบ้าง แต่ข้ารู้ว่าหากหยิบลูกตาลออกหมด ข้าจะเห็นของมันทั้งพวง
พอคิดแบบนี้แล้วก็ใจหวิว
“หยิบเลย ข้าไม่ถือ” ไอ้เทียนส่งเสียงเห่า ปากมอมที่รกครึ้มเหยียดยิ้มเหมือนพอใจ
มันจงใจท้าทายข้า แต่ข้าก็บ้าพอที่จะยอมรับการท้าทาย ข้าจึงส่งมือไปคว้าลูกตาลทีละลูก เริ่มจากลูกที่ไกลสุดเข้ามาหาลูกที่ซุกเบียดในหว่างขา
แต่พอหยิบมาจนถึงลูกสุดท้าย ไอ้เทียนก็ตะปบมือของข้าค้างไว้บนลูกตาลและดันลำตัวขึ้นตรง
“เอ็งจะจ่ายเท่าไร?” มันถามเสียงเข้ม
ถามเหมือนไม่สนใจเลยว่านิ้วของข้ากดลงตรงไหนบ้าง
มือของข้าอาจจะกดลงบนลูกตาลดำมะเมื่อมก็จริง แต่ปลายนิ้วข้ามันกดต่ำกว่านั้น มันจิ้มลงบนโคนนุ่มที่เปียกชื้น ไอ้เทียนมันต้องรู้แน่ว่ากระดอของมันถูกนิ้วของข้ากดอยู่ แต่มันก็ไม่สนใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าแตะโดนจุดสงวนของผู้ชายด้วยกัน มันไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจและไม่ควรใส่ใจ แต่มันแตะไปแล้วและสมองของข้าก็จำไปแล้วว่าของไอ้เทียนมันนูนโด่งแค่ไหน โค้งงออย่างไร
“แต่เอ็งยังไม่ได้ขายของเลยนี่หว่า ข้าจะคิดค่าแรงอย่างไรดีวะ?” ไอ้เทียนบ่นกับตัวเอง
อันที่จริงไอ้เทียนมันไม่โง่ แต่วันนี้มันกลับโง่ หากจะให้ง่ายสำหรับมัน คิดเงินตามจำนวนลูกตาลเสียก็หมดเรื่อง มารอให้ข้าขายของหมด มันจะเหลือเท่าไรกันเชียว มันไม่ควรลืมว่านังยุพินจะต้องหักค่าน้ำตาล ค่าแป้ง ค่าเกลือคืนอยู่แล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้บอกมันไปหรอก
“อะ...เอาไว้ข้าขายหมด ข้าจะเอาเงินมาแบ่งก็แล้วกัน”
“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเอ็งทำไปกี่มากน้อย” ไอ้เทียนโต้ ไอ้หมาตัวนี้บทจะโง่ก็โง่เสียจริง
“เอ็งจะไปนั่งดูข้าทำเลยไหมล่ะ ไอ้ขี้ระแวง?”
“ได้ ข้าจะไป”
ไอ้เทียนรับคำพลางปล่อยมือข้า ข้าจึงดึงลูกตาลลูกสุดท้ายออกมา ข้าบอกไม่ได้ว่าไอ้เทียนอยู่ในอารมณ์ใด แต่ท่อนยาวภายใต้ผ้าเปียกยับย่นของมันก็ยกตัวกระดกขึ้นเมื่อหลุดจากการกดค้ำของนิ้วข้า แม้จะยังไม่ถึงกับตั้งโด่เป็นลำขึ้นมา แต่ก็เห็นชัดว่ายื่นยาวจนผ้าเปียกขยับไหว
กระดอข้าเองก็ตื่นเหมือนกัน แต่มันไม่รู้หรอก เพราะกางเกงของข้าไม่เปียกและข้าก็หนีบไว้อย่างดี
ข้าเริ่มลงมือเก็บเนื้อตาลทันทีที่พายเรือมาถึงบ้าน แต่เพราะนังยุพินไม่อยู่ ข้าจึงต้องขอให้ไอ้เทียนช่วย
ข้ากลับขึ้นเรือนไปเอากาละมังสังกะสีมาให้ไอ้เทียนที่ยังนั่งเอ้อระเหยอยู่ที่ท่าน้ำ เอามาให้มันใช้ใส่ลูกตาลที่ลอกเปลือกแล้ว มันกุลีกุจอลอกเปลือกอย่างขมีขมัน จากนั้นก็แกะพลูและเอาดีตาลออกจนหมด
ส่วนการยีตาล ข้าคงต้องช่วย เพราะมันค่อนข้างเสียเวลาหากทำคนเดียว ข้าจึงย้ายมาที่ชานเรือนและสั่งให้ไอ้เทียนไปผลัดผ้า ไม่ใช่อะไร ข้าเกรงว่ามันจะเดินสะบัดขนจนเรือนเปียกก็เท่านั้น
ตอนที่นังยุพินกลับมาจากตลาดข้ากับไอ้เทียนยังยีตาลไม่เสร็จเลย
ข้ากับไอ้เทียนยีตาลกันจนเกือบมืด ข้าอยากมั่นใจว่าข้าได้เนื้อตาลทั้งหมด ขั้นตอนนี้จึงเสียเวลา แต่ในท้ายที่สุด เมื่อกรองเอาใยตาลออกหมดแล้วข้าก็ได้เนื้อตาลมาครึ่งกาละมัง ไอ้เทียนรีบเดาะลิ้นเหมือนกับมันคิดว่าข้าคงจะทำขนมตาลอวดมันคืนนี้ ข้าจึงรีบพูดดักมันทันทีว่า
“เนื้อตาลนี้ยังใช้ไม่ได้นะเว้ย”
“อ้าว! ทำไมวะ?”
ไอ้เทียนดูไม่พอใจ มันรีบส่งมือมาจับมือข้าและบีบจนแน่น มือเหลืองๆ ของข้าและมันจึงทะเลาะกันอยู่ในเนื้อตาลเหลืองหอมอีกพักหนึ่ง กว่ามันจะเบื่อการทะเลาะก็มืดแล้ว ข้าจึงไปหยิบถุงผ้าเนื้อหนามาใบหนึ่ง
ข้าเทเนื้อตาลลงในถุงนั้นและขมวดปมจนแน่นก่อนจะมองหาที่แขวน
“ต้องเอาน้ำออกจากเนื้อตาลก่อน เขาเรียกว่า 'เกรอะตาล' พรุ่งนี้เช้านู้นแหละจึงจะได้เห็นเนื้อตาลจริงๆ”
“ยุ่งยากชิบหาย!”
ไอ้เทียนไม่มีโอกาสได้เห็นเนื้อตาลในถุง เพราะข้าไม่รอมันมาดู
ข้ารีบตื่นแต่หัวรุ่งมาตระเตรียมเครื่องแกงให้นังยุพินก่อน เมื่อเสร็จจึงเดินไปปลดถุงผ้าลงมาเปิดดู เนื้อตาลสีเหลืองเหลือแห้งติดถุงราวกึ่งหนึ่งจากเมื่อวาน ถือว่าน้อยจนใจหาย
แต่หากผสมแป้งลงไปก็น่าจะทำได้หลายสิบกระทงอยู่
ข้าควรจะลงมือเสียตอนนี้เลย เผื่อว่าไอ้หมาวัดโผล่มาป้วนเปี้ยนหลังจากตามหลวงปู่บิณฑบาตรเสร็จ มันจะได้เห็น และอีกอย่าง หากข้าทำขนมสายไป ตลาดอาจจะวายเสียก่อน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 336
แสดงความคิดเห็น