ตอนที่ 47 หลินเสี่ยว

สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)
คุณกำลังอ่าน: สวรรค์มวลดาว (Heavenly Star)

-A A +A

ตอนที่ 47 หลินเสี่ยว

หมวดหนังสือ: 

ตอนที่ 47 หลินเสี่ยว

 

เล่งหยายังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ แต่คิ้วที่มุ่นลงเล็กน้อยของเขาแสดงให้เห็นว่าเขากำลังระมัดระวังตัว หากเผชิญหน้ากับเปลวเพลิงในระยะใกล้ เขาจะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ดังนั้น เขาจึงจับกระบี่สั้นสีดำทมิฬแล้วพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า เขาแทงตรงไปที่หัวใจขณะเข้าปะทะกับเพลิง ต่างฝ่ายต่างได้รับบาดแผลราวกับว่าพวกเขาสาบานเป็นศัตรูคู่แค้นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากัน

 

หนานกงเจิ้นตกใจและเขารีบหยุดมือตนเอง เขาเริ่มล่าถอยเนื่องจากสูญเสียความได้เปรีบบ เล่งหยาแกว่งกระบี่สาดเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง บังคับให้หนานกงเจิ้นต้องล่าถอยไปทีละน้อยๆ

 

“ด้วยอายุเพียงเท่านี้ เขากลับมีพลังระดับ 10 ขั้นต้น ยิ่งกว่านั้นปราณของเขายังแปลกประหลาด ชายผู้นี้เป็นใครกัน.....” หลินเหยียนพึมพำกับตนเอง ในใจของเขาผลการแข่งได้ถูกตัดสินเรียบร้อยแล้ว หนานกงเจิ้นเป็นนักเวทย์อัจฉริยะอย่างแท้จริง เขามีพลังระดับ 9 ขั้นต้น อย่างไรก็ตาม กระบี่ที่ระดมเข้าใส่อย่างต่อเนื่องจากคู่ต่อสู้ที่มีพลังระดับ 10 รวมเข้ากับปราณอันทรงพลัง ทำให้พลังโดยรวมของเขาเทียบเท่ากับระดับ 10 ขั้นปลาย หรือแม้กระทั่งเหนือล้ำกว่า

 

“ยังไงก็ตาม เสี่ยวเอ๋อร์ย่อมไม่พ่ายแพ้ต่อเขา”

 

“ฉับ!” รอยตัดลึกถึงกระดูกปรากฎบนแขนซ้ายของหนานกงเจิ้น หากเขาล่าถอยช้าไปเพียงเล็กน้อยแขนของเขาย่อมถูกตัดขาดไปเรียบร้อย ระหว่างที่หอบหายใจ เล่งหยา ซัดเปลวเพลิงที่อยู่บนมือขวาเขาดับไป หนานกงเจิ้นเอามือกุมแขนซ้ายแล้วกล่าว “แน่นอนว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้”

 

เขาเดินลงมาขณะที่กุมแขนซ้าย ทั้งน้ำเสียงและท่าทางไม่ปรากฎความเลอะเลือน สีหน้าไร้วี่แววความหวาดกลัว เย่หวูเฉินกล่าวประเมิน “เขาเป็นอีกคนที่จะปรากฎชื่อในอนาต”

 

ในเวลานี้เอง เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากมุมของจัสตุรัส พร้อมกับมีเงาร่างสีขาวทะยานผ่านอากาศเข้ามา เงาร่างนั้นหมุนอย่างงดงามลอยลงมาราวขนนกสู่พื้นเวที การเคลื่อนไหวดูง่ายดายและสง่างาม

 

การปรากฎตัวของเขาทำให้บริเวณรอบๆระเบิดเสียงออกมาอื้ออึงในทันที รอบสังเวียนทั้งชายหญิงต่างส่งเสียงเรียกอย่างแซ่ซ้อง เสียงตะโกนดังหูแทบดับโดยไม่เกรงใจจักรพรรดิ แม้แต่คนที่อยู่เบื้องหน้าจักรพรรดิยังเผยรอยยิ้มบางให้บุตรชายคนโตแห่งตระกูลหลินผู้เป็นตำนานและเป็นที่รักยิ่ง

 

เขาสวมชุดสีขาวและสูงราวเจ็ดฟุต ใบหน้าดุจหยกและดูสุภาพ มุมปากยิ้มเล็กน้อยอย่างอ่อนโยนราวฟ้าสดใส ท่าทางของเขาไม่มีความหยิ่งผยอง เป็นเรื่องง่ายที่ภาพของเขาจะทำให้ผู้คนชื่นชอบและประทับใจ

 

“ในที่สุดก็ถึงเวลานายน้อยหลินได้แสดงฝีมือ”

 

“ใครบ้างจะสามารถต่อกรกับนายน้อยหลินได้”

 

“ฮ้า! ถ้าบุตรชายข้าได้สักหนึ่งในสิบของนายน้อยหลิน ข้าก็หลับตาตายอย่างสงบแล้ว”

 

“นายน้อยหลิน สู้ สู้!”

 

“ตระกูลหลินให้กำเนิดอัจฉริยะเช่นนี้ได้ ช่างนับเป็นวาสนาของบรรพบุรุษอย่างแท้จริง!”

 

..................

 

เสียงยกย่องชื่นชมดังกระหึ่มไปทั่ว และไม่มีเสียงตำหนิแม้เพียงคำเดียว เย่หวูเฉินกล่าวเสียงเบา “เป็นชายที่อันตรายอย่างยิ่ง”

 

“หลินเสี่ยวเป็นที่เลื่องลือกันในฐานะอัจฉริยะทั้ง วิทยายุทธและอักษรศาสตร์ ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากในรอบร้อยปี ในเมืองเทียนหลงเขามีเกียรติภูมิสูงส่งยิ่งกว่าข้าผู้เป็นองค์ชายรัชทายาท” หลงเจิ้งหยางกล่าวพร้อมกับทอดถอนใจ มารดาของเขาเป็นจักรพรรดิณี ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้นำตระกูลหลิน ดังนั้นหลินเสี่ยวจึงเป็นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา แต่เขาไม่ได้ติดต่อกับหลินเสี่ยวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

 

บนชั้นที่นั่ง ผู้นำตระกูลหลิน หลินขวงนั่งอยู่ด้วยกันกับเย่หนู่และกำลังมีความสุขอยู่กับเสียงชื่นชมจากรอบสารทิศ จากนั้นเขาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ย “ขุนพลชราเย่ ข้าได้ยินมาว่าหลานชายของท่านกลับมาแล้ว เหตุใดจึงไม่พาเขามาด้วยกันกับท่านที่นี่เล่า?”

 

เย่หนู่แค่นเสียงอย่างโกรธเคือง และทำเพียงแค่ปิดปากเงียบ หลังจากเห็นเย่หนู่จนคำพูด หลินขวงรู้สึกร่าเริงราวกับแทบจะบินได้ ทุกคนในเมืองเทียนหลงต่างรู้ว่าหลานชายของเขาเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ขณะที่หลานชายของเย่หนู่เป็นแค่ขยะ

 

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ลูกสาวสุดที่รักของข้า นี่คือสามีที่ข้าหาให้เจ้า ยอดเยี่ยมเลยใช่มั้ย? ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

 

เสียงดังสนั่นดุจฟ้าผ่าชำแรกผ่านเสียงผู้คน กระทั่งเย่หวูเฉินยังต้องเหลืบสายตาขึ้นไปมอง เขาเห็นชายผิวเข้มวัยกลางคน ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครากำลังยิ้ม เขาอายุราว 50 ปี ชุดของเขาดูสกปรกและมีรอยขาดอยู่ทั่วเผยให้เห้นมัดกล้ามสีเข้ม ในเวลานี้ เขานั่งไขว่ห้างและหัวเราะเสียงดังเผยให้เห็นฟันสีเหลืองเต็มปาก

 

“ท่านพ่อ... อย่าเสียงดังเกินไป” ที่อยู่ข้างๆเป็นร่างบอบบางอ้อนแอ้นกำลังเขย่าเขาและกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน เย่หวูเฉินเลื่อนสายตาไปมองและตาร้อนผ่าวในฉับพลัน

 

เป็นหญิงสาวเปี่ยมเสน่ห์อายุเพียงแค่ 15-16 ปี แต่นางมีดวงตาที่งดงามดั่งสระน้ำลึกใสกระจ่าง ใบหน้าของนางอ่อนหวานละเอียดละออ ริมฝีปากแดงดุจผลเชอร์รี่ส่งความอ่อนหวานและงดงามให้แก่นาง ความงามบริสุทธ์หยุดลมหายใจ ร่วมกับดวงหน้าดุจหยก จนทำให้สาวงามนางอื่นต้องละอาย นางราวกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์ ไม่อาจด่างพร้อยโดยโลกโลกีย์

 

มีนกสีเขียวเกาะอยู่บนไหล่ของนาง มันเป็นเพียงนกขนาดตัวปกติ มีจะงอยปากยาว และดูไม่ต่างจากนกอื่นๆโดยทั่วไป

 

เย่หวูเฉินอ้าปากค้างอยู่ชั่วขณะ โฉมงามตัวเล็กๆบอบบางนั่งอยู่ข้างบุรุษตัวสูงใหญ่ยิ่งทำให้นางดูเปราะบางลงไปอีก และกระตุ้นความรู้สึกห่วงหาทะนุถนอมจากผู้คน

 

“ชายคนนั้นคือ ฮั่วเจิ้นเทียน เขาเป็นผู้นำตระกูลฮั่ว และที่อยู่ข้างๆคือลูกสาวของเขา ฮั่วฉุ่ยโหรว นางสมควรอายุครบ 16 ในปีนี้ ข้าไม่คิดเลยว่าเด็กหญิงที่เปียผมสั้นตัวเล็กๆก๋ากั่นในวันนั้น จะเติบโตขึ้นมาแล้วงดงามราวนางฟ้าได้ถึงเพียงนี้ แต่คงอีกไม่นานก่อนจะถึงเวลาที่นางจะต้องแต่งงาน” หลงเจิ้งหยางกล่าว

 

“นางหมั้นหมายกับหลินเสี่ยวถูกไหม?” เย่หวูเฉินถาม แต่สายตายังคงติดตรึงอยู่ที่ร่างของฮั่วฉุ่ยโหรว พร้อมสังเกตดูทุกอากัปกิริยาของนางอย่างใจจดใจจ่อ

 

“ถูกต้อง เป็นที่รู้กันดีในเมืองเทียนหลงและพวกเขาถูกยกย่องว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะได้รับการชื่นชมมาตลอดหลายปี หากแต่ก็ไม่มีใครพยายามมาสู่ขอนาง ฮั่วเจิ้นเทียนเองก็กล่าวเองว่าอย่างน้อยรอจนกว่านางจะอายุครบ 16 ปี ก่อนที่เขาจะอนุญาตให้นางแต่งออกได้ ซึ่งนั่นสมควรเกิดขึ้นภายในปีนี้”

 

เย่หวูเฉินนิ่งเงียบหากแต่ริมฝีปากเขายกยิ้มขึ้นอย่างลึกลับ

 

“เอาละ ในเมื่อลูกสาวที่น่ารักของข้าไม่ต้องการให้ข้าเสียงดัง เช่นนั้นข้าก็จะเงียบเสียงลง ยังไงก็ตาม ลูกสาวของข้าเป็นยังไงบ้าง เจ้าพึงพอใจหรือไม่? เจ้าจะอายุครบ 16 ปี ในอีก 7 วัน เจ้าพร้อมที่จะแต่งงานแล้วหรือยัง?”

 

“ข้าแล้วแต่ท่านพ่อ” ฮั่วฉุ่ยโหรวตอบกลับเสียงเบา นางเคยชินกับการเป็นสาวน้อยที่อ่อนน้อมและเชื่อฟัง ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่ออีกฝั่งเป็นเจ้าชายรูปงาม ต่อให้อีกฝ่ายเป็นลุงวัยกลางคนนางก็จะตอบ “ข้าแล้วแต่ท่านพ่อ”

 

“ฮ่าฮ่า! ประเสริฐ สรุปว่า บิดาเจ้าชื่นชอบเจ้าหนุ่มนี่มาก เขาเป็นคนที่คู่ควรกับลูกสาวที่น่ารักของข้า”

 

ฮั่วเจิ้นเทียนอายุครบ 49 ในปีนี้ เขามีลูกสาวเพียงคนเดียวขณะที่เขาอยู่ในวัยสามสิบกว่า ดังนั้นเขาจึงต้องแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่นาง เพื่อนางแล้ว เขากระทั่งต้องการฉกดาราออกจากสวรรค์ แล้วมอบพวกมันให้นาง แต่ถึงแม้ว่านางจะเติบโตมาโดยการถูกเอาอกเอาใจ ฮั่วฉุ่ยโหรวกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นคุณหนูเสียคนและเอาแต่ใจ ตรงกันข้ามนางกลับอ่อนโยนและนุ่มนวลอย่างที่สุด นางขี้อายมากและแทบไม่ออกจากบ้าน รวมทั้งยังกลัวที่จะออกไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คน นางเป็นหญิงสาวที่บอบบางและอ่อนละมุนเหมือนสายน้ำ และนางสามารถกระตุ้นความรักในหัวใจชายได้อย่างง่ายดาย

 

===============================

ไล่ลำดับญาติตระกูลหลินหน่อย

รุ่นปู่

หลินขวง : ผู้นำตระกูลหลิน

หลินเหยียน : เป็นน้องชายของหลินขวง ,ผอ.วิทยาลัยเทียนหลง

รุ่นพ่อ

หลินซาน : เป็นลูกชายของหลินขวง , เป็นพ่อของหลินเสี่ยว

หลินซิว : เป็นลูกสาวของหลินขวง , เป็นเมียจักรพรรดิ , เป็นแม่ของหลงเจิ้งหยาง

รุ่นลูก

หลินเสี่ยว : เป็นลูกของหลินซาน

หลงเจิ้งหยาง : เป็นลูกของหลินซิว

===============================

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.