ตอนที่ 46 เล่งหยา
ตอนที่ 46 เล่งหยา
“น้องเย่ น้องหญิงหนิงเสวี่ย พวกเจ้าก็มาด้วยหรือ?”
เย่หวูเฉินหันไปทางต้นเสียงและพบหลงเจิ้งหยางนั่งอยู่ตรงแถวล่างสุดโดยมีใบหน้ายิ้มแย้ม เขาโบกมือและทำให้สองคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้านขวาเขาลุกออกไปด้วยความเคารพ เย่หวูเฉินไม่รักษากิริยาและพาหนิงเสวี่ยไปนั่งทันที จากนั้นจึงยิ้มถาม “พี่หลงเป็นชนชั้นสูง เหตุใดจึงมานั่งอยู่ในมุมห่างไกลเช่นนี้?”
หลงเจิ้งหยางส่ายศีรษะและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ข้าเกลียดตัวเองนักที่เกียจคร้านเมื่อยามเยาว์วัย ข้าอ่อนด้อยทั้งทางด้านอักษรและวรยุทธ เมื่อเทียบกับอัจฉริยะสวรรค์ประทานเหล่านี้แล้ว ข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก”
“ข้าไม่เห็นด้วย พี่หลง ท่านคือรัชทายาท ท่านย่อมเหนือล้ำกว่าพวกเขามากมายในวันข้างหน้า พวกเขาเพียงสามารถใช้วรยุทธป้องกันตนเองหรือสังหารผู้อื่น แต่พี่หลงมีผู้คนนับพันคอยปกป้อง เพียงเอ่ยคำเดียวท่านก็สามารถปราบปรามหรือช่วยเหลือชีวิตผู้คนนับพัน พี่หลงไม่ควรเกิดความรู้สึกละอายใดๆ” เย่หวูเฉินกล่าว
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่หากข้าเป็นเพียงแค่คนธรรมดา..... ฮ้า ช่างมันเถอะ น้องเย่ด้วยความสามารถของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่ลองเข้าร่วมประลอง? ข้าคิดว่าด้วยความสามารถของน้องเย่ เจ้าย่อมต้องเจิดจรัสอย่างแน่นอน”
เย่หวูเฉินส่ายศีรษะและไม่กล่าวสิ่งใด
ด้วยวิธีจัดระดับพลังของโลกใบนี้ พลังของคนทั้งสองที่อยู่บนเวทีสมควรอยู่ที่ระดับ 7 หรือกระทั่งระดับ 8 พรสวรรค์เพียงนี้นับว่าหายากมากในหมู่คนรุ่นเยาว์ และสมควรเด่นล้ำเหนือเหล่าผู้เข็มแข็งรุ่นเยาว์ในอาณาจักร
ผู้ใช้ขวานด้ามยาวล้มกระทบพื้นเสียงดังสะท้อน บุรุษหนุ่มชี้ปลายกระบี่จ่อที่คอเขาด้วยสีหน้าภาคภูมิ รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งส่วนใหญ่จะมีความทรนงและห้าวหาญ ซึ่งจะค่อยๆเปลี่ยนไปเมื่อเติบโตขึ้น
“ในที่สุดก็ได้ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนสุดท้าย ทุกคนรู้ว่าผู้ที่จะชนะเลิศจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นองจากหลินเสี่ยว แม้ว่าเขาพึ่งจะอายุ 20 ปี เมื่อปีก่อนนั้นพลังของเขาก็ถึงระดับ 10 แล้ว เขาเป็นที่รู้จักในฐานะอัจริยะไร้เทียมทาน ในปีนี้เขาย่อมเข้มแข็งขึ้นไปอีก ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอันใด” หลงเจิ้งหยางกล่าว
ผู้ใดมีพลังระดับ 8 จะนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ แต่หากมีพลังถึงระดับ 10 ก็จะเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ หากสามารถบรรลุถึงขอบเขตวิญญาณ ก็จะสามารถก่อตั้งสำนักได้ และเมื่อกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ก็นับว่าเป็นปรมาจารย์ของรุ่น ด้วยพลังระดับ 10 ในวัยเพียง 20 ปี บางทีเขาอาจจะบรรลุขอบเขตวิญญาณได้ภายในไม่กี่ปี และสามารถบรรลุขอบเขตสวรรค์ก่อนเข้าสู่วัยกลางคน และเขาจะกลายเป็นที่นับถือชื่นชมจากทุกผู้คนนอกเหนือจากเทพกระบี่ ในเวลานี้มียอดฝีมือขอบเขตสวรรค์ที่รู้จักกันอยู่ 7 คน ซึ่งพวกเขาต่างก็ไม่ใช่สุดยอดอัจฉริยะ อีกทั้งมีหกคนในพวกเขาที่ยังไม่เข้าใจในวิถีสวรรค์
ระดับ 10…… ‘มนต์หวูเฉิน’ ของเขาตอนนี้อยู่ในขั้นที่สอง ในที่สุดเขาก็จะได้เห็นว่าพลังของเขาจะใช้ปีนป่ายขึ้นไปได้สูงแค่ไหนในโลกใบนี้
ในเวลานี้เอง ปรากฎเงาร่างเหนือสนามประลอง ชายหนุ่มในชุดดำกระโดดขึ้นไปบนเวที ในทันทีที่เขาขึ้นไป บรรยากาศโดยรอบก็เงียบลงอย่างน่าประหลาดในทันใด เพราะหากเปรียบเทียบกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆแล้ว จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ปล่อยออกมา เขาแผ่กลิ่นอายสังหารเย็นเยียบและคมกล้าราวกับปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรม กระทั่งผู้คนที่ไม่เข้าใจในวิชายุทธยังรู้สึกเย็นยะเยือก
เขานั่นเอง! ดูเหมือนข้าจะมาได้ถูกจังหวะเวลา สายตาของเย่หวูเฉินมองไปยังสนามแข่ง
“คนผู้นี้คือใครกัน?” จักรพรรดิหลงหยินถามคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างสงบ สีหน้าของเขาเผยความสนใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“คนผู้นั้นเรียกว่าเล่งหยา แต่นั่นเป็นเพียงนามแฝงของเขา เมื่อวานนี้เขาแสดงความสามารถอันโดดเด่นออกมา แต่เขาเหี้ยมโหดเกินไป เขาทำให้ 20 คนต้องอยู่ในสภาพครึ่งพิการหลังจากที่สู้กับเขาเมื่อวาน” ชายชราที่อยู่ตรงหน้าหลงหยินหันมาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเป็นประมุขของราชวิทยาลัย และยังเป็นนักเวทย์ไฟขอบเขตสวรรค์ ‘หลินเหยียน’ เขายังเป็นน้องชายของผู้นำตระกูลหลิน ‘หลินขวง’ และเขายังเป็นผู้อำนวยการจัดการแข่งขันครั้งนี้
หลงหยินพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร เพียงแค่พลังปราณของเขาก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะดึงเข้ามาอยู่กับพวกเรา แต่หากว่าเขาไม่ต้องการ.... เช่นนั้นจงเพิ่มรางวัลให้เขาเป็นสองเท่าแล้วปล่อยให้เขาไป นี่ย่อมนับเป็นอสรพิษร้ายแรง หากเราได้รับความจงรักภักดีจากเขา เช่นนั้นเราจะสามารถเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นกระบี่คมกล้าได้ แต่หากเราไปพยายามบีบคั้นเข้า เขาย่อมจะแว้งกัดพวกเราแทนที่จะยอมจำนน”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
มือกระบี่หนุ่มที่ปกติมั่นใจในเพลงกระบี่ตนเอง ภายใต้แรงกดดันของชายหนุ่มชุดดำที่ยังไม่ทันได้ลงมือ เขากลับประหม่าและถอยไปหนึ่งก้าวอย่างไม่คาดคิด แต่ในฉับพลัน ชายหนุ่มชุดดำก็พุ่งพรวดเข้าหาราวกับสายฟ้า แสงเย็นเยียบเปล่งจากมือพุ่งทะลวงเข้าหาร่างของมือกระบี่หนุ่ม
มือกระบี่หนุ่มร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด กระบี่ยาวร่วงลงสู่พื้น หากแต่สิ่งที่ร่วงลงไปด้วยนั้นคือแขนขวาที่ยังจับกระบี่ถือคาไว้อยู่ในมือ
ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างเปล่งเสียงอุทานร้องลั่นออกมาทันที หญิงสาวจำนวนหนึ่งกรีดร้องอย่างหวาดผวา บางคนก็กลัวจนต้องยกมือขึ้นปิดหน้าไม่กล้ามอง
ชายหนุ่มชุดดำไม่ได้เบือนหน้าหนีขณะที่ใช้กระบี่ตนตัดแขนของมือกระบี่หนุ่มออกและเสียบกระบี่เข้าไปในร่าง อีกทั้งสีหน้าของเขายังไม่ปรากฎความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา เสียงร้องคร่ำครวญปานขาดใจดังอยู่เบื้องหลังเขา ซึ่งสุดท้ายก็เงียบลงเนื่องจากมือกระบี่หนุ่มหมดสติลงด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว
อย่างไรก็ตาม ไม่มีเสียงตำหนิต่อว่ามากนัก เนื่องจากในกฎเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “ย่อมมีการบาดเจ็บและเสียชีวิตระหว่างการแข่งขัน ดังนั้นห้ามให้มีการถือโทษหรือการแก้แค้น”
มีสองสามคนขึ้นไปบนเวทีหามมือกระบี่หนุ่มลงไป และล้างทำความสะอาดเวที เย่หวูเฉินลอบถอนหายใจ นี่เป็นการเฟ้นหาผู้มีพรสรวรรค์หรือเป็นการทำลายพวกมันกันแน่
ยอดฝีมือที่แท้จริงจะเข้าร่วมการแข่งขันประเภทนี้อย่างนั้นหรือ? เย่หวูเฉินส่ายศีรษะ แน่นอนว่าไม่มีทาง! การแข่งเช่นนี้เพียงนำมาสู่ชื่อเสียงและสถานะ และสิ่งพวกนี้มีแต่จะก่อความรบกวนในจิตใจ ซึ่งทำให้ยากต่อการบรรลุพลังที่แท้จริง กระทั่งคนหนุ่มชุดดำ ถ้าหากเขาไม่ถูกสถานการณ์บีบคั้น เขาเองก็คงไม่เข้าร่วม
แม้แต่ฉู่จิงเทียนที่มักหัวเราะอยู่เสมอ ต่อให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ เขาก็ย่อมจะไม่เข้าร่วมการแข่งชนิดนี้อย่างแน่นอน และยอดฝีมือที่แท้จริงนั้น มีจำนวนน้อยมากที่ต้องการสูญเสียอิสรภาพและอุทิศตนรับใช้ราชวงศ์
“แข็งแกร่งมาก! การระเบิดพลังฉับพลันนั้นช่างน่าตระหนกยิ่งนัก ทั้งยังยากต่อการปัดป้อง หากแต่เขาป่าเถื่อนเกินไป อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเพียงการประลองเท่านั้น” หลงเจิ้งหยางกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
“ไม่เลย เขาได้ออมมือให้แล้วเพราะว่านี่เป็นการแข่ง ไม่เช่นนั้น เขาคงตัดศีรษะของเขาไปแล้ว” เย่หวูเฉินกล่าว เขาไม่คล้อยตามไปกับหลงเจิ้งหยาง เพราะหากเขาไม่สามารถรับมือกับความหยาบคายแค่นี้ได้ เขาจะกลายเป็นนักปกครองที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร
“......คนผู้นี้ย่อมไม่ใช่บุคคลทั่วไป เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน”
“ชื่อของเขาคือเล่งหยา” เย่หวูเฉินเอ่ย เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินเหยียนกับหลงหยินไม่ตกหล่นแม้สักคำ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย
“หรือว่าน้องเย่รู้จักเขา?”
“ข้าไม่รู้จักเขา”
“..............”
สองคนสุดท้ายที่เหลือคือหลินเสี่ยวแห่งตระกูลหลิน และอีกคนคือ....
“ข้าคือหนานกงเจิ้น พี่ชาย โปรดออมมือให้ข้าด้วย”
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงอายุราว 20 ปี หลังจากพูดจบเขาก็เคลื่อนฝ่ามือ ปรากฎเปลวเพลิงลุกขึ้นมาในสองฝ่ามือ ที่แท้เขาคือผู้หนึ่งที่ใช้เวทย์ไฟ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 269
แสดงความคิดเห็น