Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 22

-A A +A

Only one love รักนี้ แค่เธอ… คนเดียวเท่านั้นนะ [Yuri] Chapter 22

หมวดหนังสือ: 

 

 

Chapter 22: คำตอบและความจริง

 

(มาการงบรรยาย)

 

“เฮ่อออเสร็จสักทีนะ” ฉันอุทานเบาๆ หลังจากเดินออกจากห้องที่ใช้ทำการแข่งขัน เวลา 3 ชั่วโมงที่นั่งอยู่ในห้องนั้นเหมือนกับผ่านไปนานเป็นชาติ ทั้งโจทย์ที่ยากแสนยากและเวลาที่จำกัด บวกกับการที่ต้องตีความเรื่องที่ได้ยินทำให้รู้สึกมึนหัว และตาลายไปหมด

 

“ไหวหรือเปล่ามาการง” เสียงของช็อกโกล่าที่ดูเหมือนจะปรับตัวได้เร็วกว่าฉันถามขึ้น มือเรียวช่วยประคองร่างที่โงนเงนทำท่าจะล้มของฉันให้ทรงตัวได้ดีขึ้น

 

“ไหวจ้ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอ?” ฉันถาม สายตามองกลับเข้าไปในห้องเพื่อดูนาฬิกาแขวนผนังให้ชัดๆ

 

“จะบ่ายแล้ว” เสียงแหลมใสของใครอีกคนตอบ “ไปเก็บของแล้วไปหาอะไรกินกันดีกว่า แข่งคราวนี้ใช้เวลาตั้งเยอะ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย”

 

“จริงด้วย ท้องฉันก็ร้องแล้วเหมือนกัน” ฉันเห็นด้วย หลังจากออกจากตรงนั้นได้ก็รู้สึกว่าท้องของตัวเองเริ่มส่งเสียงโครกครากขออาหารขึ้นมาแล้ว

 

“งั้นก็รีบเก็บของแล้วไปกันเถอะ คุณครูน่าจะรออยู่แถวนี้นะ” ช็อกโกล่าพูดพลางหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสะพายหลัง ฉันเก็บของของตัวเองแล้วยืนรออยู่แถวนั้น ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า

 

“มาทะเลทั้งที ถ้าได้กินอาหารทะเลคงดีเนอะ”

 

“นั่นสิ มีเวลาอีกตั้งวันนึงกว่าจะกลับ แถมมื้อที่ผ่านๆ มาพวกเราก็ได้กินแต่อย่างอื่น อาหารทะเลยังไม่ตกถึงท้องฉันเลย” คัสตาร์ดดูเหมือนจะได้ยินคำบ่นของฉัน เธอจึงหันมาช่วยผสมโรงด้วย

 

“แหมทีเรื่องของกินนี่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ” ช็อกโกล่ากระเซ้า ฉันเหวอไปเล็กน้อย ส่วนคัสตาร์ดดูเหมือนจะไม่แยแสกับคำพูดนั้น เธอจึงหันไปพูดกับคนที่ยืนทำหน้าเรียบเฉยอยู่ด้านหลัง

 

“หรือว่าเธอไม่อยากกินล่ะช็อกโกล่า อาหารทะเลกับน้ำจิ้มซีฟู้ดน่ะ อร่อยนะ” เมื่อฉันได้ยินคำว่า น้ำจิ้มซีฟู้ดก็ทำให้รู้สึกน้ำลายสอ ท้องที่ดูเหมือนจะเงียบเสียงไปแล้วร้องโครกครากขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมด้วยอาการแสบกระเพาะเป็นของแถม

 

“รีบไปกันเถอะพวกเรา ฉันหิวแล้ว” ฉันหันไปยิ้มให้ช็อกโกล่าอย่างผู้ชนะ ถ้าพูดเรื่องของกินตอนกำลังหิวเมื่อไรละก็ไม่รอดสักราย เมนูอาหารที่อยากกินจะหลั่งไหลมาเป็นชุด สิ่งที่ทำได้ดีในยามนี้ก็คือไปหาอะไรใส่ท้องก่อนที่จะเป็นลมนั่นแหละค่ะ

 

(ซินนามอนบรรยาย)

 

ห้องดนตรีในเวลาสี่โมงครึ่งค่อนข้างเงียบ เนื่องจากไม่มีการซ้อมอะไรอีกแล้วหลังจากกิจกรรมเมื่อเช้าผ่านไป ฉันกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องชมรมที่คุ้นเคย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปเห็นจะเป็น

 

“ซินนามอน” เสียงเรียกของวาฟเฟิลเอ่ยขึ้นหลังจากฉันนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เสียงนั้นค่อนข้างเบา ฉันหันไปมองก็เห็นว่าเธอจ้องฉันอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้านั้นดูเครียดและจริงจังเหมือนกับที่ฉันเห็นเมื่อเช้าไม่มีผิด ฉันกำลังจะอ้าปากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน

 

“จริงๆ แล้ว ที่คาดผมกับไมค์น่ะ ฉันไม่ได้เอาไปเหมือนที่บอกเธอเมื่อเช้าหรอกนะ มันถูกขโมยไปจริงๆ” น้ำเสียงที่พูดดูเรียบเรื่อย ไม่มีแววล้อเล่นเหมือนก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว

 

“จริงเหรอ! แล้ววาฟเฟิลไปเจอมันที่ไหน ใครขโมยไปเหรอ?” ฉันรีบถามทันที ก่อนจะมีเสียงใครคนหนึ่งพูดแทรกขึ้นมา

 

“ฉันเอง”

 

ฉันหันไปมองตามเสียง ก็เห็นคนที่ไม่ได้เจอหน้ามาเกือบอาทิตย์นั่งอยู่ข้างๆ

 

โรสแมรี่

 

“เธอไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมฉันถึงทำแบบนี้?” เธอถามเสียงเรียบ ฉันหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเธอทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร จะขโมยไมโครโฟนกับที่คาดผมของฉันไปทำไม

 

“โรสมีเหตุผลหรือเปล่าล่ะ?

 

“ฉันไม่อยากให้เธอแสดงในงานนี้ ก็เลยเอาไมค์กับที่คาดผมของเธอไปซ่อน” เธอตอบหน้าตาย ริมฝีปากบางยกยิ้มเยาะประกอบคำพูด

 

“แล้วเราก็เกือบจะทำมันสำเร็จด้วย แต่ยังถือว่าโชคดีที่มีเพื่อนไปเอาคืนมาได้ซะก่อนนะ” เสียงของรุ่นพี่หัวหน้าชมรมเอ่ยขึ้น ฉันไม่รู้ว่าเธอเดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร เหลือบมองดวงหน้าหวานนั้นก็เห็นว่าคิ้วขมวดมุ่น น้ำเสียงที่เอ่ยเมื่อครู่ยังดูปกติดี แต่เมื่อเธอถามคำถามต่อไปก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้นตึงเครียดมากกว่าที่คิด

 

“โรสจะให้พี่ทำยังไง?” เสียงของพี่เชอร์เอ่ยถามเพื่อนผมส้มข้างๆ โรสแมรี่ไม่ตอบ แต่ใบหน้าเริ่มซีดลงทีละน้อย มือกำเข้าหากันแน่น พี่เชอร์จึงพูดต่อไปว่า

 

“ตั้งแต่พี่เป็นหัวหน้าชมรมนี้มา เคยช่วยเคลียร์ตอนสมาชิกทะเลาะกันมาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยนึกมาก่อนเลยนะว่าจะมีการแกล้งกันที่รุนแรงเท่าครั้งนี้” เธอหยุดหายใจสักครู่ก่อนเอ่ยต่อ “เท่าที่สังเกตมา ทั้งสองคนก็คุยกันดี ไม่เคยเห็นทะเลาะกันเลยสักครั้ง ถ้าโรสไม่อยากให้เพื่อนแสดง หรือรู้สึกว่าถ้าเพื่อนได้แสดงจะทำให้การแสดงมันออกมาไม่ดี หรือเพื่อนไม่เหมาะกับตำแหน่งอะไรก็คุยกันดีๆ หรือมาบอกพี่ก็ได้ไม่ใช่หรือไง?

 

ห้องที่เย็นเฉียบจากเครื่องปรับอากาศดูเหมือนจะหนาวเยือกขึ้นมาทันตาเมื่อจบคำพูดของหัวหน้าชมรม ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย มีแค่เสียงลมหายใจของคนในห้อง และเสียงหึ่งๆ ของเครื่องปรับอากาศที่ทำหน้าที่ของมันเท่านั้น

 

“พี่ถามจริงๆ นะ เราจะให้พี่เอายังไง?

 

“พี่จะเอาเรื่องนี้ไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษา ให้ตัดคะแนนความประพฤติของหนูก็ได้ หรือจะไล่หนูออกจากชมรมตอนนี้เลยก็ได้นะคะ” เสียงของโรสแมรี่พูดขึ้น ดวงตาสีอเมทิสต์จ้องหน้าของรุ่นพี่คนเดียวในห้องอย่างไม่กลัวเกรง

 

“อ๋อ! แสดงว่าเราไม่รู้สึกสำนึกในสิ่งที่ทำลงไปบ้างเลยสินะ?” เสียงของพี่เชอร์ดังขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มดูบูดบึ้งและโกรธเกรี้ยวอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ก่อนที่เธอจะพูดต่อไปว่า “ความจริง ถ้าเราไม่อยากให้เพื่อนแสดง ก็มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ให้ทำตั้งเยอะ แต่เราเลือกวิธีนี้ รู้ไหมว่ามันจะกระทบกับคนอื่นขนาดไหน การแสดงทุกอย่างใช้เวลาเตรียมการกันเป็นเดือน ไหนจะเย็บชุด ซ้อมละคร และยังชมรมเราที่ต้องซ้อมร้องเพลงด้วย เราก็รู้ไม่ใช่เหรอ? แล้วเรามาทำแบบนี้ เอาของสำคัญของเพื่อนไปซ่อนแบบนี้ แล้วของนั้นเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในการแสดงด้วยแล้วก็เท่ากับว่าการแสดงที่ทุกคนซ้อมมาด้วยกันโดยที่ต้องสละเวลาหลังเลิกเรียน กลับบ้านค่ำทุกวัน ยอมเหนื่อย ยอมอดทนเพื่อให้มันออกมาดี เราทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการทำงานที่ทุกคนเตรียมกันมาล่มในเวลาแค่พริบตาเดียวเลยนะ”

 

โรสแมรี่ไม่ตอบ เธอก้มหน้างุด ฟังสิ่งที่รุ่นพี่จะพูดต่อไปเรื่อยๆ

 

“ความจริงแล้วหลังจากรู้เรื่อง พี่ตั้งใจจะรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์ที่ปรึกษาด้วยซ้ำ แต่พอดูเวลาอาทิตย์หน้าพวกเราก็สอบ หลังจากนั้นก็ปิดเทิมแล้ว เรื่องการรายงานน่ะตัดทิ้งไปได้เลยเพราะมันไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ที่พี่อยากจะบอกก็คือ ถึงตอนนี้เราจะยังไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้ แต่สักวันหนึ่ง เราจะต้องเสียใจ และอาจจะคิดได้ทีหลังว่าตอนนั้นเราไม่น่าทำแบบนี้เลย” ฉันลอบมองหน้าพาเฟ่ต์ที่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างหลัง เธอยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยไว้ได้ดีเยี่ยม ส่วนวาฟเฟิลที่ยืนอยู่ข้างน้องสาวตัวเองก็ได้แต่มองสถานการณ์อย่างเป็นห่วง แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้

 

“หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอสองคนแล้วล่ะว่าจะเอายังไงกันต่อไป ทั้งสองคน” รุ่นพี่หันไปทางสองแฝด “ออกไปจากห้องนี้กันเถอะ ที่เหลือให้เพื่อนเขาเคลียร์กันเอง หมดหน้าที่ฉันแล้ว” พูดจบก็เดินออกจากห้องไป โดยมีพาเฟ่ต์กระแทกประตูปิดตามหลังดังปัง!

 

“โรส ไม่เป็นไรนะ” ฉันเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากถูกทิ้งให้นั่งประจันหน้ากับเพื่อนผมส้มเพียงลำพัง โรสแมรี่เงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า

 

“นี่ รู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วทำไมฉันต้องเอาของเธอไปซ่อนน่ะ” เธอพูดเหมือนคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเธอตรงๆ ก่อนจะพยักหน้าให้เธอพูดต่อไป

 

“ความจริงก็คือ ฉันโกรธเธอโกรธที่เธอบอกว่าจะแข่งเป็นเซนเตอร์กับฉัน แล้วตอนนี้เป็นยังไง เธอก็ได้เป็นเซนเตอร์สมใจอยากแล้วไม่ใช่หรือไง? รู้สึกดีขึ้นบ้างหรือเปล่าล่ะ?

 

“นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่เธอทำแบบนี้เหรอ?

 

“อืม” เธอพยักหน้า “ที่จริงแล้ว ตำแหน่งนี้มันควรจะเป็นของฉันด้วยซ้ำ ที่เธอตอบรับคำขอของพี่เชอร์วันที่เลือกเซนเตอร์กันน่ะ มันก็เพราะเธออยากเป็นอยู่แล้ว ตอนนั้นคงจะดีใจมากสินะที่พูดออกมาแบบนั้น ที่เธอทำลงไปทั้งหมดก็แค่เพราะว่าเธออยากแข่งกับฉันงั้นสิ!” น้ำเสียงของโรสแมรี่ดูเดือดดาลหลังจากพูดประโยคนั้น ใบหน้าที่ซีดอยู่แล้วยิ่งซีดลงไปอีก ดวงตาที่มองมาแดงก่ำแต่ไม่มีน้ำตาให้เห็นสักหยด

 

“โรส เธอเข้าใจผิดแล้ว!” ฉันสวนขึ้นเสียงดัง “ฉันไม่ได้อยากแข่งอะไรกับเธอเลยนะ ที่ฉันพูดว่าอยากเป็นเซนเตอร์น่ะ มันคือความฝันของฉันจริงๆ แต่ตอนนั้นตอนที่พี่เชอร์เสนอชื่อฉันน่ะ ฉันจำเป็นต้องตอบรับเพราะไม่มีทางเลือก แล้วฉันก็คิดว่าการที่หัวหน้าชมรมเสนอชื่อมันก็เป็นโอกาสที่ดี เป็นโอกาสที่ฉันจะได้ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ

 

“หึ! ทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เหรอ?” โรสแมรี่สวนกลับ “เธอคิดว่าตำแหน่งเซนเตอร์คือตำแหน่งที่ใครได้มาแล้วจะยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ได้หรือไง!

 

ฉันสะดุ้ง คำพูดของเธอคือคำพูดที่สะกิดใจฉันเข้าอย่างแรง เมื่อก่อน ฉันเคยคิดว่าใครจะมายืนในตำแหน่งเซนเตอร์ก็ได้ ตำแหน่งนี้ไม่ได้สำคัญอะไรมาก จะยืนสวยๆ เป็นจุดเด่นของการแสดงเฉยๆ ไม่ต้องร้องเพลงให้ดีก็สามารถเอาคนดูให้อยู่ได้ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย

 

“ตำแหน่งเซนเตอร์น่ะ เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดของการแสดง เป็นตำแหน่งที่ต้องแบกรับแทบทุกสิ่งอย่าง ทั้งการร้องนำ ท่าทางการยืนที่ต้องมีความมั่นใจ และการร้องที่ดูแข็งแรงและมีพลัง” โรสแมรี่พูดเรื่อยๆ “แต่อย่างเธอน่ะเหรอที่ควรจะได้รับตำแหน่งนี้ เธอที่ยังร้องเพลงไม่ได้เรื่อง เธอที่ไม่มีความมั่นใจ และเธอที่ควรจะไปฝึกท่าทางการยืนบนเวทีซะใหม่ให้มันดูดีกว่านี้!

 

ฉันรู้สึกเหมือนโดนเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจ คำพูดของโรสแมรี่เป็นความจริงทุกอย่าง นึกถึงตัวเองเมื่อตอนที่เข้าชมรมใหม่ๆ กับตัวเองที่แสดงในหอประชุมเมื่อเทิมที่แล้วก็ทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้

 

ฉันในตอนนั้นที่ไม่มีความมั่นใจ ขี้อาย และค่อนข้างจะตื่นเวที ร้องเพลงก็ไม่ได้เรื่อง เสียงเบา และไม่มีพลัง

 

แต่มันก็เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ฉันอยากจะมายืนในจุดนี้ จุดที่สำคัญที่สุดในการแสดงบนเวที

 

“ปีหน้า เธอก็อยู่ชมรมนี้ต่อสิ แล้วฉันจะคอยดูว่าพอมีการแสดงครั้งแรกเธอจะได้เป็นเซนเตอร์เลยหรือเปล่า ถ้าเธอได้เป็นเซนเตอร์ ฉันจะขอรุ่นพี่ว่าจะไม่แสดงในงานนั้น แล้วฉันจะคอยดูด้วยว่าเธอจะทำหน้าที่ตรงนั้นได้ดีขนาดไหน” คำพูดของโรสแมรี่ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ ฉันก้มหน้าเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังจะไหล แต่หูก็พยายามฟังคำพูดของเธอที่จะพูดต่อไป

 

“แต่ฉันคิดว่า โอกาสการเป็นเซนเตอร์ของเธอนอกจากงานนี้คงจะไม่มีอีกแล้วแหละ เพราะตำแหน่งนี้มันเหมาะกับคนที่เพียบพร้อมและมีความสามารถจริงๆ ไม่ใช่คนที่ไม่มั่นใจอะไรเลยอย่างเธอ” คำพูดนั้นเหมือนดึงร่างของฉันที่นั่งตัวชาอยู่แล้วให้จมลงในน้ำแข็งที่เย็นเฉียบ คำพูดของเพื่อนผมส้มเปรียบเหมือนแท่งน้ำแข็งแหลมๆ ที่ทิ่มแทงหัวใจคนฟังให้ปวดร้าว และจมลงสู่พื้นเย็นยะเยือกเบื้องล่างช้าๆ

 

ตำแหน่งเซนเตอร์เลือกคนแสดงด้วยหรือ?

 

มีแค่คนที่มีความสามารถและมั่นใจในตัวเองเท่านั้นที่สามารถยืนในตำแหน่งที่สำคัญนั้นได้จริงๆ หรือ?

 

ความรู้สึกที่ได้แสดงบนเวทีเมื่อเช้าโผล่เข้ามาในความคิด ฉันรู้สึกถึงสายตาของผู้ชมที่มองมา เสียงปรบมือเมื่อการแสดงจบลง และความรู้สึกมีความสุขที่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น

 

ความรู้สึกที่เมื่อก่อนฉันไม่เคยเข้าใจ แต่ตอนนี้ ฉันรู้สึกว่า เริ่มจะเข้าใจมันขึ้นมาบ้างแล้ว

 

“แล้วคนที่พยายามมาตลอดเพื่อจะได้เป็นเซนเตอร์อย่างฉัน หรือรุ่นพี่คนอื่น คนที่คอยพัฒนาตัวเองในทุกการซ้อม และการแสดงที่ผ่านมา ไม่สมควรจะได้รับตำแหน่งนี้บ้างเลยเหรอ?” ฉันเอ่ยขึ้นมาลอยๆ น้ำตาที่เพียรพยายามกลั้นไว้ไหลออกมาเป็นสาย

 

“เรื่องนี้ฉันไม่รู้หรอก เธอจะทำอะไร จะพยายามขนาดไหนมันก็เรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน” โรสแมรี่ที่ดูเหมือนจะได้ยินคำพูดของฉันเมื่อครู่เอ่ยตอบเรียบๆ

 

“ในเมื่อเธอไม่รู้ แล้วเธอไม่คิดที่จะลองให้โอกาสคนอื่นได้ทำตามความฝัน ทำในสิ่งที่เขาอยากทำบ้างเลยเหรอ?” ฉันพูดด้วยเสียงแหบเครือ โรสแมรี่ชะงัก มือที่กำเอาไว้เพื่อสะกดอารมณ์เริ่มกำแน่นขึ้นอีก

 

“เธอก็ดีแต่พูดไปงั้นแหละ” เธอพูดพลางยิ้มเยาะ “แล้วตอนนั้นที่ฉันถามเธอว่าการร้องของฉันเป็นยังไง เธอมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเสียงของฉันมันเรียบเรื่อยไร้อารมณ์ ทั้งที่ตอนนั้นเธอร้องได้ดีไม่ถึงครึ่งของฉันเลยด้วยซ้ำ เธอมีสิทธิ์อะไร!

 

ฉันนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่โรงอาหาร วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้เริ่มเปลี่ยนไป

 

แต่ก็ไม่เคยนึกเลย ว่าจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้

 

“โรส ตอนนั้นที่เธอมาถามฉันเรื่องการร้องน่ะ ฉันก็ตอบไปตามความรู้สึกจริงๆ ไม่ได้อยากจะว่าหรือตำหนิอะไรเธอเลยนะ” ฉันปล่อยให้น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วร่วงเผาะลงกระโปรงอย่างไม่อาย ก่อนจะพยายามพูดปนเสียงสะอื้นต่อไป “เพราะฉันเชื่อว่า คนเก่งๆ อย่างเธอ สมควรจะได้รับตำแหน่งเซนเตอร์ในกิจกรรมนี้ และกิจกรรมต่อๆ ไป มากกว่าฉัน ฮึ ฉันขอชมจากใจว่าเธอเป็นคนที่เพียบพร้อมในทุกด้าน ทั้งความมั่นใจ ความสง่างามเมื่อยืนบนเวที แล้วก็ฮึทักษะการร้องที่ดีและมีพลัง”

 

ฉันสะอื้นจนตัวโยน ก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันฮึไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คนที่ฉันนับเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทที่สุด คนที่ฉันคอยปรับทุกข์ด้วย คนที่คอยให้กำลังใจฉันบ่อยๆ จะทำกับฉันแบบนี้ จะทำร้ายกันด้วยคำพูดที่ร้ายกาจ กับการกระทำแย่ๆ แบบนี้ แล้วนี่น่ะเหรอสิ่งตอบแทนสำหรับความเป็นเพื่อนและมิตรภาพที่ฉันเคยให้ไปน่ะ” ฉันไม่รู้หรอกว่าโรสแมรี่จะรู้สึกอย่างไรกับคำพูดของฉัน แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกเจ็บเจ็บเหลือเกินที่ต้องมารับรู้เรื่องราวอะไรแบบนี้

 

“อ้อ แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยบอกนะว่าจริงๆ แล้ว ฉันน่ะไม่ควรจะตอบรับตอนที่พี่เชอร์เสนอตำแหน่งเซนเตอร์ให้ตั้งแต่แรก ฉันควรจะยืนอยู่ข้างหลังในทุกการแสดง แล้วก็ไม่ควรจะฝันถึงตำแหน่งที่ตัวเองไม่มีความสามารถจะเอื้อมไปถึงด้วยซ้ำ”

 

(พาเฟ่ต์บรรยาย)

 

ฉันเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องคีย์บอร์ดด้วยความกังวล ไม่รู้เลยว่าข้างในจะเป็นยังไงบ้าง ทั้งที่อยากจะเข้าไปใจแทบขาด แต่เมื่อถูกทั้งหัวหน้าและพี่วาฟเฟิลรั้งเอาไว้ก็ทำได้แค่คอยเดินดูเผื่อสองคนที่อยู่ข้างในจะออกมาเท่านั้น

 

“นั่งลงก่อนเถอะน้องพาเฟ่ต์” เสียงของพี่เชอร์พูดขึ้นเบาๆ ฉันจำใจเดินกลับมาที่ม้านั่งหน้าห้องดนตรีตามเดิม สายตาคอยมองไปที่ประตูเป็นระยะ

 

“ถ้าเป็นห่วงขนาดนั้น ทำไมตอนอยู่ข้างในเราไม่ช่วยพูดอะไรหน่อยล่ะ ยืนเงียบอยู่ได้” ฉันมองรุ่นพี่หัวหน้าชมรมก่อนจะเอ่ยตอบ

 

“ก็หัวหน้าพูดไปหมดแล้ว จะให้ฉันพูดอะไรอีกล่ะคะ”

 

“หึๆ” พี่เชอร์หัวเราะ “ไม่นึกเลยนะว่าจะมีการแกล้งกันแบบนี้ด้วย เอาของเพื่อนไปซ่อนเนี่ย”

 

“รุ่นพี่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเหรอคะ?” พี่วาฟเฟิลเอ่ยถาม พี่เชอร์พยักหน้า

 

“ใช่ รุ่นพี่เมื่อปีก่อนก็มีการทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ มีแค่ครั้งนี้แหละที่แรงสุด” ฉันพยักหน้ารับ นึกสงสารผู้รับตำแหน่งหัวหน้าชมรมขึ้นมาจับใจ เป็นตำแหน่งที่ไม่ง่ายเลยจริงๆ ต้องมาคอยรับอารมณ์ของสมาชิกในชมรม ไหนจะคอยประสานงานกับชมรมอื่น คอยคุยกับคุณครูที่ปรึกษา และอาจจะมีหน้าที่อย่างอื่นที่ฉันยังไม่รู้อีกก็เป็นได้

 

“ยังไงก็ คอยดูเพื่อนให้หน่อยแล้วกันนะจ๊ะ นี่ก็เย็นแล้ว ขอบใจเรามากนะที่มาช่วย ถ้าไม่ได้เราละก็งานวันนี้คงแย่แน่” พี่เชอร์หันมาพูดกับพี่สาวของฉัน พี่วาฟเฟิลส่งยิ้มตอบก่อนเอ่ย

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้ามีการแสดงครั้งหน้า รุ่นพี่เรียกใช้ชมรมพวกเราได้เลยนะคะ ทางนี้ยินดีเสมอค่ะ”

 

“จ้ะ งั้นพี่กลับก่อนนะ ไว้เจอกันจ้ะ” พี่เชอร์พูด ก่อนร่างเพรียวผมสีชมพูจะลุกจากเก้าอี้ แล้วหันหลังเดินลงบันไดตึกไป

 

(วาฟเฟิลบรรยาย)

 

ฉันกับน้องสาวนั่งจ้องหน้ากันไปมา ท่ามกลางสายลมเอื่อยที่คอยพัดเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลมจิตใจของพวกเราที่กำลังร้อนรุ่มให้สงบลง แต่ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้มาก ฉันขยับตัวเล็กน้อย ก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้จะห้าโมงเย็นแล้ว

 

“เราจะเอายังไงกันดีล่ะน้องพี่?” ฉันเอ่ยถามพาเฟ่ต์อย่างไม่มั่นใจนัก “จะกลับกันก่อนดีหรือเปล่า นี่ก็เย็นแล้ว เรายังต้องกลับไปซื้อของทำมื้อเย็นด้วยนะ”

 

“อะเอางั้นก็ได้” พาเฟ่ต์ตอบก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพายหลัง ไม่ลืมหันไปมองประตูห้องคีย์บอร์ดเป็นครั้งสุดท้าย และเราสองคนก็เดินลงบันไดอาคารเรียนมาด้วยกัน

 

“สองคนนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะ” ฉันเอ่ยขึ้นมาลอยๆ พาเฟ่ต์กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะให้ความเห็นว่า

 

“มันก็น่าเป็นห่วงทั้งคู่ ฉันเริ่มเข้าใจที่พี่พูดเรื่องโรสเมื่อตอนนั้นแล้วล่ะ”

 

“พี่ก็พูดไปงั้นแหละ ไม่นึกว่าที่เคยคาดเอาไว้จะเป็นเรื่องจริง” ฉันเอ่ยตอบ เป็นครั้งแรกที่ลางสังหรณ์ของฉันแม่นยำจนน่าตกใจ พาเฟ่ต์หันมายิ้มฝืนๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า

 

“ฉันเชื่อพี่แล้ว เรื่องยัยบ้าโรสน่ะ”

 

“เชื่อว่ายังไงเหรอ?

 

“เชื่อว่ามันต้องมีเรื่องเกิดขึ้น แต่ก็ไม่นึกว่าจะเกิดเร็วแบบนี้” ฉันมองหน้าน้องสาวอย่างไม่เข้าใจ กำลังจะเอ่ยปากถามแต่เธอก็ชิงพูดต่อเสียก่อน

 

“ว่าแต่ ที่พี่บอกว่าไปเจอยัยนั่นเมื่อเช้าน่ะ ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้หรือเปล่าว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง”

 

“อ๋อ ตอนนั้นมีคนบอกให้พี่ช่วยไปตามพวกเราเพราะเห็นว่ายังแต่งตัวกันไม่เสร็จทั้งที่การแสดงกำลังจะเริ่มอยู่แล้ว พี่ก็เลยไปตามให้ ระหว่างที่พี่กำลังเดินไปหาพวกเราที่ตึกศิลปะ ก็เดินไปเจอโรสพอดี ท่าทางมีพิรุธ เลยเดินเข้าไปทัก แล้วก็บังเอิญไปเจอที่คาดผมกับไมค์อยู่ในมือโรส เลยเอากลับมาคืนให้น่ะ”

 

ฉันไม่บอกพาเฟ่ต์หรอกว่า ฉันต้องพยายามเค้นคอเพื่อนผมส้มให้พูดความจริงด้วยการทำท่าทางเลียนแบบน้องสาวตัวเองให้ได้เหมือนที่สุด เพราะการที่จะเดินเข้าไปทักตรงๆ นั้นไม่สามารถทำได้ ประกอบกับความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ในอกเมื่อเห็นที่คาดผมของตัวเองไปอยู่ในมือของเพื่อนคนอื่นที่ไม่ได้แสดงก็ทำให้โกรธมากอยู่แล้ว ตอนนั้นฉันนึกคาดโทษซินนามอนด้วยซ้ำที่ไม่รักษาของให้ดี คิดว่าจะเก็บที่คาดผมเข้ากระเป๋าไว้ใช้เองต่อไป และเอาไมโครโฟนไปคืนที่ห้องดนตรีตามเดิม แต่เมื่อนึกถึงการแสดงที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้าก็ทำให้เปลี่ยนเส้นทางที่กำลังจะไปเข้าแถวตามปกติ กลับไปที่หน้าห้องน้ำตึกศิลปะอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก

 

ฉันไม่รู้หรอกว่า ถ้าฉันไปช้ากว่านี้อีกนิดเดียว โรสแมรี่จะเอาทั้งไมโครโฟนและที่คาดผมไปซ่อนไว้ที่ไหน อาจจะเป็นในห้องน้ำสักที่ หรือสถานที่อื่นที่ไม่มีใครคาดคิด แต่ไม่ว่าอย่างไร การที่เธอทำแบบนี้ก็ไม่ส่งผลดีต่อใครทั้งสิ้น ทางที่ดีถ้าไปเจอแล้วก็ควรจะยับยั้งไว้ให้ได้เร็วที่สุด

 

พาเฟ่ต์พยักหน้าเข้าใจ พวกเราเดินออกจากประตูโรงเรียนไปด้วยกัน แม้จะนึกเป็นห่วงเพื่อนผมสีโกโก้ขนาดไหน แต่ฉันก็คิดว่ารอให้เพื่อนรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ก่อนดีกว่าค่อยไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หรือไม่ก็รอให้เพื่อนพร้อมเล่าให้ฟังเอง ถ้าไปถามทั้งๆ แบบนี้อาจจะกระทบความรู้สึกของซินนามอนได้

 

(มาการงบรรยาย)

 

ตกเย็น หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารทะเลที่คุณครูพาพวกเราไปกินเพราะทนเสียงอ้อนวอนจากฉันและคัสตาร์ดไม่ไหว พวกเราก็เดินกลับมายังรีสอร์ทที่พัก เวลานี้เป็นยามโพล้เพล้ แสงอาทิตย์ลดความร้อนแรงลงแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป ลมทะเลพัดมาต้องผิวกายทำให้รู้สึกเย็นสบาย ฉันเดินไปนั่งอยู่บริเวณชายหาด สัมผัสนุ่มละเอียดของเม็ดทรายใต้เท้าทำให้รู้สึกอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ

 

แสงแฟลชจากกล้องโทรศัพท์มือถือสะท้อนเข้าตาฉันโดยไม่ทันตั้งตัว ฉันสะดุ้งก่อนจะหันไปตามที่มาของแสงแยงตานั้น ก็เห็นว่าไม่ใช่ใครที่ไหน

 

“ทะทำอะไรเนี่ยช็อกโกล่า ตกใจหมดเลย”

 

“หึๆ ก็แค่อยากถ่ายวิวทะเลยามเย็นเก็บไว้สักหน่อยน่ะ” เธอหัวเราะ ก่อนจะส่งสายตามองฉัน ฉันรู้สึกว่ามีประกายอะไรบางอย่างอยู่ในดวงตาสีนิลคู่นั้นด้วย ช็อกโกล่าทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ก่อนจะถามว่า

 

“พรุ่งนี้เธอจะมาเล่นน้ำด้วยกันไหมล่ะ?

 

“เอาสิ ฉันเอาชุดว่ายน้ำมาด้วย ถ้าเล่นตอนเช้าๆ ที่แดดยังไม่แรงคงสนุกน่าดูเนอะ”

 

“นั่นสินะ” ช็อกโกล่าพูดพลางทอดสายตามองวิวทะเลที่สวยงามเบื้องหน้า ระลอกคลื่นซัดมาเป็นระยะ พาละอองน้ำเล็กๆ ปลิวมาโดนตัวพวกเราด้วย ฉันยิ้มกับภาพทะเลยามเย็นที่นานๆ จะได้เห็นสักที ก่อนจะหวนรำลึกถึงความทรงจำที่แสนเลือนลางในสมัยเด็ก

 

“วันนี้คลื่นค่อนข้างแรง” ช็อกโกล่าพูดขึ้นลอยๆ “บางที ถ้าพวกเราลงไปเล่นพรุ่งนี้เช้าอาจจะดีกว่าเล่นตอนนี้จริงๆ นั่นแหละ”

 

ฉันมองระลอกคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งเป็นระยะ ทำไมรู้สึกว่าวันนี้คลื่นซัดแรงกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นนะเหมือนทะเลกำลังพิโรธยังไงยังงั้นเลย เสียงครืนๆ ดังมาให้ได้ยินเรื่อยๆ เหมือนคนกำลังโกรธและพร้อมจะทำลายสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้พังได้ทุกเมื่อ

 

“ขยับออกมาหน่อยดีกว่า อยู่ตรงนี้อาจไม่ปลอดภัย” ช็อกโกล่าพูดก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากบริเวณชายหาดเล็กน้อยแต่ก็ยังคงอยู่ในบริเวณนั้น เม็ดทรายที่เคยรู้สึกว่าละเอียดเริ่มหยาบกร้านแต่ก็ยังสามารถเดินทรงตัวให้อยู่ได้

 

“จะว่าไปนะ นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉันได้มาทะเลอีก” ฉันพูดขึ้น ความทรงจำในวัยเด็กแล่นเข้ามาในความคิด ช็อกโกล่าหันมามองก่อนจะพยักหน้า และพูดเหมือนชวนคุยว่า

 

“เธอเคยมาเที่ยวทะเลตอนไหนเหรอ พอจำได้บ้างหรือเปล่า?

 

“อืมมมรู้สึกว่าจะเป็นตอนเด็กๆ เลยจ้ะ ฉันก็จำอะไรได้ไม่มาก จำได้แค่ว่าตอนที่มาครั้งนั้นเล่นน้ำสนุกมากเลย แล้วก็” ฉันหยุดไปสักครู่ ก่อนจะพูดต่อ “เหมือนจะเจอเด็กผู้หญิงด้วย”

 

“เด็กผู้หญิงเหรอ?” น้ำเสียงของช็อกโกล่าดูตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนเธอจะซักต่อว่า “พอจะจำอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนั้นได้บ้างไหม?

 

“ฉันจำอะไรได้ไม่มาก จำได้แค่ว่าเด็กคนนั้นวัยน่าจะไล่เลี่ยกับฉัน แต่ว่าชื่ออะไร หน้าตายังไงก็จำไม่ได้แล้วจริงๆ จ้ะ” ฉันตอบ ช็อกโกล่าพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพูดว่า

 

“นั่นสินะ ตอนเด็กๆ มันก็นานมากแล้ว คงไม่มีใครจำรายละเอียดได้ครบจริงๆ นั่นแหละ”

 

“ว่าแต่ ช็อกโกล่าอยากรู้ไปทำไมเหรอ?” ช็อกโกล่าเงียบไปสักพัก สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ตอบว่า

 

“ฉันก็แค่ถามเฉยๆ น่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันมองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายก็เลือกจะเก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องเด็กผู้หญิงในความทรงจำอีก

 

พวกเรานั่งอยู่ที่ชายหาดด้วยกันเงียบๆ ต่างคนต่างทอดสายตามองวิวทะเลเบื้องหน้าโดยไม่มีใครพูดอะไรกันเลย ดวงอาทิตย์อ่อนแสงลงแล้ว หมู่วิหคส่งเสียงร้องจ้อกแจ้กขณะบินกลับรัง เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งครืนๆ ดังอยู่รอบตัว ฉันคิดถึงโรงเรียนที่จากมา ป่านนี้เพื่อนๆ คงกำลังติวสอบปลายภาคกันอย่างเข้มข้นเพราะเป็นวันก่อนสุดท้ายของเทิม และวันนี้ยังเป็นวันที่ซินนามอนแสดงในกิจกรรมอำลารุ่นพี่อีกด้วย

 

เมื่อคิดถึงซินนามอน ใบหน้าหวานที่คุ้นเคยของเพื่อนผมฟูก็ลอยเข้ามาในความคิด ช่วงที่ฉันไม่อยู่นี้เธอจะเหงาหรือเปล่า แถวที่พวกเรานั่งก็มีอยู่ด้วยกันแค่ 3 คน เมื่อไม่มีฉันกับช็อกโกล่าเธอจะนั่งคนเดียว หรือไปนั่งรวมอยู่กับเพื่อนคนอื่นกันนะ

 

“คิดถึงซินนามอนจังเลยนะ” ฉันพูดขึ้นเบาๆ เหมือนจะส่งเสียงผ่านไปกับลมทะเลให้คนที่อยู่ไกลได้รับรู้

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า” มือเรียวของช็อกโกล่าวางลงบนบ่าของฉันเบาๆ อย่างปลอบประโลม “เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว ซินนามอนก็ยังมีวาฟเฟิลอยู่ทั้งคน แล้วก็ยังพวกเพื่อนในชมรมด้วย ป่านนี้คงอาจจะกำลังยุ่งอยู่กับการแสดงก็ได้มั้ง”

 

“นี่มันเย็นแล้วน้า ไม่ใช่ว่าการแสดงจบไปตั้งแต่เช้าแล้วเหรอ?

 

“มันก็ใช่ แต่ไม่ใช่ว่าต้องเก็บกวาดอะไรกันอีกเหรอ?

 

“อันนี้ฉันก็ไม่รู้หรอก ซินนามอนแชทมาหาฉันเมื่อเช้า หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทักมาอีกเลย” ฉันตอบ ช็อกโกล่าพยักหน้า ก่อนจะพูดว่า

 

“ฉันว่าซินนามอนคงสบายดี เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ยังมีเพื่อนคนอื่นอยู่ด้วย พวกเราสามคนเป็นเพื่อนสนิทกันก็จริง แต่การให้เพื่อนได้อยู่กับคนอื่นบ้างมันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ?

 

“นั่นสินะ มาเที่ยวทั้งที ควรจะใช้เวลาช่วงนี้ให้เต็มที่ดีกว่าเนอะ ก่อนที่จะต้องกลับไปแล้วอ่านหนังสือสอบอีก” ใบหน้าที่เคยหม่นหมองของฉันค่อยคลายลง ก่อนจะยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ช็อกโกล่าเองก็เผยรอยยิ้มบางๆ เช่นกัน พวกเราสองคนยิ้มให้กันท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดงริมทะเลนั้นเอง

 

ฉันมองช็อกโกล่า ใบหน้าของเธอยามต้องแสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินดูสวยแปลกตากว่าที่เคยเห็น พวกเราประสานสายตากันอีกครั้ง ก่อนจะเป็นฉันเองที่ต้องหลบตา ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวก่อนจะเริ่มแดงเรื่อขึ้นทีละนิด

 

ทำไม เวลาอยู่ใกล้เธอทีไร ถึงได้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองทุกทีเลยนะ

 

ทันใดนั้น น้ำเสียงตอนกำลังสารภาพรักของเพื่อนผมดำที่สวนสาธารณะก็เหมือนจะดังแว่วมาให้ได้ยินอีกครั้ง

 

“ฉันชอบเธอนะ”

 

ฉันรู้สึกกับเธอยังไงกันแน่นะช็อกโกล่า?

 

จู่ๆ หัวใจของฉันก็เริ่มเต้นแรงขึ้นมา เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกัน ไม่ว่าจะที่โรงเรียน ในชมรม ตอนได้ทำงานด้วยกัน มาจนถึงตอนที่เรากำลังยืนมองพระอาทิตย์ตกดินอยู่ที่นี่ด้วย

 

ทุกช่วงเวลาล้วนมีแต่เพื่อนคนนี้ที่อยู่เป็นกำลังใจ คอยปลอบใจ และคอยให้ความช่วยเหลือฉันเสมอ ไม่เคยจากฉันไปไหนเลย

 

บางที ความรู้สึกของฉันที่มีต่อช็อกโกล่าอาจจะเป็นสิ่งที่มันมากกว่า เพื่อนสนิทหรือเปล่านะ?

 

“นี่ ช็อกโกล่า” ฉันเอ่ยเรียกคนที่ยืนมองวิวทะเลอยู่ข้างๆ ฝ่ายนั้นหันกลับมาหาก่อนจะเลิกคิ้วถาม ฉันจึงพูดต่อไปว่า

 

“เธอยังจำวันนั้นวันที่เราไปนั่งเล่นกันที่สวนสาธารณะได้หรือเปล่า?” ช็อกโกล่าทำหน้าครุ่นคิดสักครู่ ก่อนตอบ

 

“จำได้สิ ทำไมเหรอ?

 

“ฉันรู้สึกว่าที่เธอสารภาพกับฉันเมื่อวันนั้นน่ะ ฉันได้คำตอบแล้วล่ะ”

 

ดวงตาของช็อกโกล่าเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้น หัวใจของฉันเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง พยายามนึกหาคำพูดที่จะบอกความรู้สึกในใจออกไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ดูเหมือนเวลานั้นกำลังจะใกล้เข้ามาทุกที

 

“ที่ผ่านมา ไม่ว่าฉันจะมีปัญหาอะไร เจอเรื่องหนักใจขนาดไหน ฉันเองต้องพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวคนเดียว ถึงจะมีเพื่อนสนิทอย่างซินนามอน แต่ฉันก็รู้ว่าซินนามอนก็เป็นคนที่ค่อนข้างขี้กังวล บางทีอาจจะมากกว่าฉันด้วยซ้ำ เวลาเล่าอะไรให้ฟังก็ทำได้แค่ช่วยรับฟังและคอยปลอบใจ จนบางทีฉันต้องพยายามไม่คิดเรื่องนั้นไปสักพัก แล้วก็พยายามหาหนทางแก้ปัญหานั้นให้ได้ด้วยตัวเอง แต่ว่านะ พอได้รู้จักช็อกโกล่า เธอเป็นเหมือนกับเพื่อนที่เข้ามาช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดของฉันเลยนะ”

 

“ที่ฉันช่วย ก็เพราะว่าพวกเธอสองคนเป็นเพื่อนฉันหรอกนะ” ช็อกโกล่าพูดขึ้น ฉันยิ้มอย่างเข้าใจ และอดถอนใจเบาๆ กับความปากแข็งของเธอไม่ได้

 

จริงๆ แล้ว ช็อกโกล่าเป็นคนที่รักเพื่อนมากคนหนึ่ง แต่จะแสดงความรักและเป็นห่วงออกมาด้วยคำบ่นมากกว่าคำพูดถามไถ่เหมือนที่เพื่อนคนอื่นเขาทำกัน

 

และนี่คือจุดเด่นของเธอที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งฉันเองก็ชอบในจุดนั้นเหมือนกัน

 

“เอาเป็นว่า ตั้งแต่เรารู้จักกันมาจนถึงวันนี้ ฉันขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ช็อกโกล่าทำให้ฉันเลยนะ” ฉันส่งยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุดให้กับเธอ ช็อกโกล่ายิ้มบาง ก่อนที่จะส่งสายตามองฉันนิ่ง ฉันสบประสานสายตากับเธอ และตัดสินใจพูดความรู้สึกออกไป

 

“ฉันเองก็ชอบช็อกโกล่านะ” ช็อกโกล่าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามว่า

 

“เธอว่าอะไรนะ ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม?

 

“ฉันชอบเธอชอบเธอที่เป็นแบบนี้ ความรู้สึกแปลกๆ ในใจที่เคยบอกเธอเมื่อตอนนั้นน่ะ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่ามันคือความรู้สึกนี้เอง”

 

“ขอบคุณนะ” ช็อกโกล่าเดินเข้ามาหา ก่อนจะดึงร่างของฉันเข้าไปในอ้อมแขน ฉันกอดตอบเธออย่างไม่ขัดขืน ท่ามกลางแสงสุดท้ายของวันที่ลับขอบฟ้าไป แทนที่ด้วยเสี้ยวเล็กๆ ของดวงจันทร์ที่เริ่มโผล่มาให้เห็น

 

“ฉันเองก็ยังรู้สึกกับเธอเหมือนเดิมนะ มาการง” ช็อกโกล่ากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ฉันซบหน้ากับบ่าของอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มอย่างมีความสุข

 

“คืนนี้พระจันทร์ข้างแรม มองแทบไม่เห็นเลย” ช็อกโกล่าพูดขึ้นลอยๆ ก่อนที่พวกเราจะผละออกจากกันช้าๆ ฉันพยักหน้าเห็นด้วย และพูดว่า

 

“เดี๋ยวไม่นานพระจันทร์ก็เต็มดวงเองแหละ เหมือนกับพวกเราที่ต้องใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์เหมือนกัน ตอนนี้ฉันแค่ชอบเธอ แต่ต่อไปก็ไม่แน่นะ”

 

“เธอนี่เปรียบอะไรได้ไม่เข้ากันเลยสักนิด” ช็อกโกล่ายิ้มขำกับคำพูดของฉัน แต่ก็ไม่วายพูดต่อไปด้วยประโยคที่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง

 

“แล้วฉันจะรอวันนั้นนะวันที่ความสัมพันธ์ของเราจะพัฒนามากขึ้นกว่านี้จนสามารถพูดคำว่า รัก ออกมาได้จริงๆ”

 

“ก็ต้องให้เวลาช่วยพิสูจน์นะ แต่ว่า ตอนนี้ก็มืดแล้ว ฉันว่าพวกเรากลับเข้าไปข้างในดีกว่านะ อยู่ตรงนี้นานมากแล้ว เดี๋ยวคัสตาร์ดกับคุณครูจะเป็นห่วง” ช็อกโกล่าพยักหน้า ก่อนจะคว้ามือฉันไปกุมไว้ แล้วพวกเราก็เดินกลับที่พักด้วยกัน

 

(ติดตามตอนต่อไป)

 

****************************

 

เนื่องจากพรุ่งนี้ติดภารกิจ เลยเอามาลงให้อ่านวันนี้เลยค่ะ

 

ลงให้อ่านแล้วไม่มีคนเม้น บางทีก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนเขียนควรปรับอะไรอีกบ้าง เม้นให้เค้าหน่อยก็ดีน้าา555

 

แต่ก็ขอบคุณทุกคนที่ชอบเรื่องนี้จริงๆ แล้วเข้ามาอ่านทุกตอน หรือคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ ยอดวิวของทุกคนคือกำลังใจสำคัญที่ทำให้เรายังมีแรงแต่งเรื่องนี้ต่อไปได้ค่ะ

 

ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าน้า

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.