บทที่ 238: ราชครู
“ใช่แล้ว ตอนนั้นนั่นเอง!” นางกำนัลเพิ่งนึกถึงบางสิ่งได้ “หม่อมฉันจำได้ว่าท่านราชครูเพิ่งเดินทางมาถึงวังหลวง ขณะนั้นพระสนมต่างก็พากันไปให้ท่านราชครูอ่านดวงชะตาให้พวกพระนาง”
“ราชครู?” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้ว “เรามีราชครู*คนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
*ราชครูในที่นี้คือ ตำแหน่งโหรที่เป็นคนตรวจดวงชะตาบ้านเมือง ทำพิธีต่าง ๆ
ทำไมเธอถึงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน?
“ราชครูได้เข้ามาในวังตอนที่องค์หญิงหกเสด็จไปที่ชายแดนเพคะ มีคนกล่าวกันว่าราชครูนั้นสามารถควบคุมฟ้าฝนได้ แล้วเขาก็ทรงพลังยิ่งนัก”
“ใช่!” นางกำนัลอีกคนเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทถึงขั้นออกไปต้อนรับราชครูด้วยพระองค์เอง และหลังจากหารือกับเขาเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เขาถึงจะออกจากตำหนักของฝ่าบาท”
“พวกเขาสนทนาธรรมกันอยู่หรือ? ใช้เวลาถึง 3 วัน 3 คืนเลยเนี่ยนะ?” มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ “มีอะไรให้คุยกันนานขนาดนั้น”
พอพูดถึงเรื่องนี้ มันก็ไม่ใช่นิสัยของท่านพ่อของเธอด้วย
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น สัญชาตญาณก็ร้องบอกเธอว่าพฤติกรรมของซูหว่านในครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของราชครู
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อไม่มีอะไรต้องถามอีก มู่ไป๋ไป่ก็ปัดชายเสื้อของตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืน “พวกเจ้าอดทนอยู่ที่นี่กันไปก่อน ถ้าทุกอย่างสงบลงแล้ว ข้าจะสั่งให้คนมาปล่อยตัวพวกเจ้า”
“ขอบพระทัยองค์หญิงหกเพคะ/พ่ะย่ะค่ะ!” เหล่านางกำนัลและขันทีรีบกล่าวขอบคุณคนตัวเล็ก
หากวันนี้เป็นคนอื่นมาพูดต่อหน้าพวกเขา พวกเขาคงจะไม่เชื่อ
แต่กับมู่ไป๋ไป่นั้นแตกต่างออกไป ก่อนที่นางจะไปที่ชายแดน นางได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากล้น
และตอนนี้นางก็ได้ความดีความชอบกลับมา
องค์หญิงหกจึงเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่โด่งดังในวังหลวงเลยก็ว่าได้ ขอเพียงแค่นางบอกว่าจะปล่อยพวกเขาออกไป พวกเขาก็มีความหวังที่จะสามารถรอดพ้นไปได้อย่างแน่นอน
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็พาหลัวเซียวเซียวออกจากตำหนักไปท่ามกลางลมหนาว
“เซียวเซียว เราไม่ควรไปที่ชายแดนตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่?” เด็กหญิงมองดูหิมะที่ยังคงขาวโพลนในยามค่ำคืนพร้อมกับความรู้สึกสับสนในใจ “ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่าระหว่างที่เราออกเดินทาง มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้นในวังหลวง”
คนถูกถามเกาหัวเบา ๆ นางคิดอยากจะปลอบใจอีกฝ่าย แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี ดังนั้นนางจึงได้แต่ยืนเงียบ ๆ
มู่ไป๋ไป่คาดว่าเป็นเพราะหลัวเซียวเซียวยังคงเด็กมากจึงไม่เข้าใจเรื่องนี้ เธอจึงถอนหายใจออกมา จังหวะที่เธอกำลังจะเดินออกไป เธอก็ได้ยินเสียงลมกระโชกแรงพัดมาจากด้านหลัง
“ใครน่ะ!” คนตัวเล็กคว้าแส้หนังที่อยู่ข้างเอว ขณะที่เธอกำลังจะลงมือ เธอก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่น ๆ ที่กดลงมาบนศีรษะ
อีกฝ่ายกดเบา ๆ ก่อนจะถอนมือออกไป
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” เสียงทุ้มลึกและไพเราะของเซียวถังอี้ดังมาจากด้านบน
มู่ไป๋ไป่ที่รู้ว่าเป็นใครก็รีบปล่อยแส้ในมือทันที “เซียวถังอี้! ทำไมท่านถึงมาที่นี่? ไม่สิ เสด็จอาเล็ก ท่านได้ยินว่าตำหนักอิ๋งชุนของเราเกิดเรื่องขึ้นใช่หรือไม่ ท่านจึงมาที่นี่เพื่อช่วยข้า”
เด็กน้อยยิ้มสดใสมากกว่าปกติ ทำให้ดวงตากลมโตของเธอหรี่ลงจนแทบจะปิด
“เวลามีเรื่องเกิดขึ้นข้าถึงจะเป็นเสด็จอาเล็กของเจ้า ไม่ใช่เซียวถังอี้หรือ?” เด็กหนุ่มยืนเอามือไพล่หลัง ในขณะที่เขายกยิ้มมุมปากมองเจ้าตัวเล็กที่สูงเกินเอวเขามานิดเดียว
มู่ไป๋ไป่ไม่รู้สึกละอายใจสักนิดหลังจากที่ถูกอีกฝ่ายเปิดโปง เธอกลับขยับเข้าหาเขามากขึ้น “โธ่ พวกเราสนิทกันถึงขนาดนี้ แค่เรื่องการเรียกขานท่านอย่าได้เก็บไปใส่ใจนักเลย”
ในสถานการณ์นี้เธอรู้สึกสับสนมาก มันคงจะดีไม่น้อยถ้ามีคนช่วยเหลือเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าเธอจะต้องกอดขาเซียวถังอี้ให้แน่นที่สุด เพราะนอกจากท่านพี่รัชทายาทที่งานรัดตัวแล้ว เธอก็ไม่รู้จะไปขอความช่วยเหลือจากใครดี ดังนั้นเขาจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้
“เสด็จอา ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่ของข้า” มู่ไป๋ไป่ดึงชายเสื้อของคนตัวสูงกว่าแล้วพูดว่า “วันนี้ข้าเพิ่งไปสอบถามท่านแม่มา แต่ก็ยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ในบรรดาผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ข้าคิดว่าคนที่น่าสงสัยที่สุดคือราชครูที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น”
“ก่อนหน้านี้ท่านรู้หรือไม่ว่าแคว้นเป่ยหลงของเรามีราชครูเพิ่มขึ้นมา?”
คำถามนั้นทำให้รอยยิ้มในดวงตาของเซียวถังอี้จางลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะตอบว่า “ข้ารู้”
เหตุผลที่เขาตัดสินใจแทรกแซงเรื่องของหว่านผินก็เพราะสาเหตุมาจากราชครูผู้นี้เช่นกัน
“ท่านเองก็รู้หรือ ทำไมท่านไม่บอกข้าล่ะ…” มู่ไป๋ไป่พึมพำเสียงเบา “ท่านรู้เรื่องราชครูคนนั้น แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของข้าเคยสนทนาธรรมกับเขานานถึง 3 วัน 3 คืน?”
“ตอนที่ข้าได้ยินนางกำนัลกับขันทีพูดถึงเรื่องนี้ ข้ายังคิดว่าท่านพ่อต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ”
“ไม่อย่างนั้น เขาก็เหมือนกับท่านพี่รัชทายาทที่ถูกพิษ”
“เขาจะยอมพูดคุยกับคนที่ไม่ทราบที่มาที่ไปและดูเหมือนเป็นจอมหลอกลวงได้อย่างไรกัน?”
“ข้าคิดว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นดูจะเกินจริงไปสักหน่อย…”
“สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง” เซียวถังอี้มองดูหิมะที่ยังคงร่วงหล่นลงมา ก่อนที่เขาจะคว้าคอเสื้อด้านหลังของมู่ไป๋ไป่ขึ้น จากนั้นเขาก็กระโดดลอยตัวไปในอากาศแล้วพานางไปร่อนลงที่ที่มีหิมะตื้นกว่าเล็กน้อย
ทางด้านหลัวเซียวเซียวซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ทั้ง 2 คนมาตลอดแต่กลับถูกเมินเฉย พอเห็นเช่นนั้นนางก็ถึงกับพูดไม่ออก “...”
“อะไรนะ?” ขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่เงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจ “ท่านพ่อของข้า...”
เซียวถังอี้พยักหน้าแล้วกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนี้เรายังไม่รู้ที่มาของราชครูคนนี้ ตอนที่เราออกเดินทางไปยังชายแดนได้เกิดภัยแล้งทางตอนใต้ของเป่ยหลง”
“เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนที่ไม่มีฝนเลยสักหยด”
“นั่นทำให้พืชผลของชาวบ้านล้มตาย และประชาชนไม่มีอาหารกินจนแทบจะอดตาย”
มู่ไป๋ไป่อ้าปากกว้างด้วยความตกใจ เธอรู้สึกว่าเธอสามารถคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปได้คร่าว ๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องบอกเลยด้วยซ้ำ
การที่ท่านพ่อวางใจราชครูมาก คงจะเป็นเพราะสิ่งที่ราชครูทำในช่วงที่ภัยแล้งนี้เกิดขึ้น
และคำพูดถัดไปของเซียวถังอี้ก็ได้ยืนยันข้อสันนิษฐานของเธอ
“ขณะนั้นเอง ราชครูกลับปรากฏตัวขึ้นเพื่อทำพิธีขอฝน…”
“แล้วฝนก็ตกลงมาจริงหรือ?” เด็กหญิงเม้มปากเดาคำตอบของเขา “แต่ถึงแม้ฝนจะตก มันก็อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ”
เซียวถังอี้มองเด็กน้อยด้วยสายตาล้ำลึกแล้วพูดว่า “แม้แต่เจ้าก็ยังคิดเรื่องนี้ได้ พ่อของเจ้าก็คิดได้เช่นกัน หลังจากที่พ่อของเจ้าเรียกตัวราชครูให้มาเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง เขาก็สั่งให้อีกฝ่ายทำพิธีขอฝนอีกครั้ง”
“ซึ่งมันก็ได้ผล 3 ครั้งติดต่อกัน”
มู่ไป๋ไป่มองไปยังนิ้ว 3 นิ้วที่เด็กหนุ่มชูขึ้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
ในโลกนี้มีคนแบบเธอที่สามารถเข้าใจภาษาสัตว์ได้ มันจึงไม่แปลกที่จะมีคนที่สามารถขอฝนเกิดขึ้นได้เช่นกัน
คำถามก็คือ ทำไมท่านแม่ของเธอถึงดูแปลกไปหลังจากที่ราชครูคนนี้ปรากฏตัวขึ้น?
“หลังจากนั้นเสด็จพ่อของเจ้าก็เชื่อถือราชครูคนนี้มาก และออกคำสั่งให้มอบตำแหน่งขุนนางให้กับเขา” เซียวถังอี้หยุดพูดไปชั่วคราว ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อไปว่า “และไม่นานหลังจากนั้น ราชครูที่เฝ้าดูดวงดาวในยามค่ำคืนก็บอกว่าเป่ยหลงกำลังจะประสบภัยพิบัติ”
“คนที่เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติในครั้งนี้อยู่ในวังหลวง”
ซึ่งเป็นเพราะเรื่องดังกล่าวที่ทำให้มู่เทียนฉงเรียกเขาเข้าไปหารือก่อนหน้านี้
ตัวเขานั้นไม่เชื่อในสิ่งที่ราชครูพูด เขาคิดว่าพิธีขอฝนของอีกฝ่ายเป็นเพียงการใช้กลอุบายบางอย่างเท่านั้น
ทว่าท่าทีของฝ่าบาทกลับแตกต่างออกไป เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากและวางแผนที่จะให้ราชครูค้นหาบุคคลที่เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ
“ภัยพิบัติ? ภัยพิบัติอะไร?” มู่ไป๋ไป่ไม่เข้าใจ “เสด็จอาเล็ก ข้าคิดว่าราชครูคนนี้กำลังโกหก ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่รู้ว่าเขากำลังหลอกลวงหรือไม่” เซียวถังอี้ส่ายหัว “ข้ารู้เพียงว่าเขาอาจจะมาที่นี่เพราะเจ้า”
“หือ?” เด็กหญิงชี้หน้าตัวเองด้วยสีหน้าฉงน “ทำไมล่ะ?”
“เพราะตามคำอธิบายของราชครู มันตรงกับเจ้ามาก” เด็กหนุ่มตอบออกมาอย่างใจเย็น “เพียงแค่ว่าในตอนนี้เสด็จพ่อของเจ้าไม่คิดว่าเป็นเจ้า”
“แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับลี่เฟย ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับตาลปัตร”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ราชครูคนนี้มีเจตนาดีหรือร้ายกันแน่นะ เรื่องนี้มีเงื่อนงำ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 96
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น