บทที่ 83: หรงเฟย
เมื่อนางกำนัลเห็นผู้มาเยือน พวกนางก็พากันเงียบทันทีและก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว
พวกนางไม่คาดคิดเลยว่าชิงเยว่ที่เป็นนางกำนัลข้างกายไทเฮาจะมายังสถานที่ที่มีแต่นางกำนัลตัวเล็ก ๆ อยู่
“ตอนนี้รู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วหรือ?” ชิงเยว่มองดูนางกำนัลที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าวเยาะเย้ย “พวกเจ้าว่างงานมากนักหรือ?”
“เช่นนั้นก็ลองพูดกับข้าอีกครั้งสิว่าองค์หญิงหกเป็นเช่นไรนะ?”
เหล่านางกำนัลตัวน้อยจะกล้าดีเช่นนั้นได้อย่างไร พวกนางกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
“หึ องค์หญิงหกเป็นบุตรสาวของโอรสสวรรค์ ไม่ใช่คนที่พวกเจ้ามีสิทธิ์มาวิจารณ์”
“เนื่องจากตอนนี้เราอยู่ในเขตวัด ดังนั้นข้าจะเมตตาปล่อยนกปล่อยปลาสักครั้ง พวกเจ้าตบปากตัวเองคนละ 20 ครั้ง แล้วคราวหน้าก็อย่าได้ทำเช่นนี้อีก”
“ระวังคราวหน้าหัวจะหลุดจากบ่า!”
เหล่านางกำนัลตัวน้อยถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะเริ่มตบปากตัวเอง
ระหว่างนั้นชิงเยว่ยังคงยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง พอเห็นว่านางกำนัลทุกคนลงโทษตัวเองเสร็จแล้ว นางจึงเดินกลับไปที่เรือนพักผ่อนของไทเฮา
“ไทเฮา เป็นอย่างที่พระองค์ทรงคาดเอาไว้เลยเพคะ มีนางกำนัลตัวน้อยมากมายที่นินทาเรื่องที่องค์หญิงหกกับหว่านผินไม่ได้เข้าร่วมพิธีในตอนเช้าวันนี้”
“แต่หม่อมฉันได้สั่งสอนพวกเขาเรียบร้อยแล้วเพคะ นับจากนี้ไปพวกนางคงไม่กล้าพูดเรื่องไร้สาระอีก”
ขณะนี้ไทเฮาเพิ่งกลับมาจากการนั่งสมาธิอยู่ในวิหารไม่นาน ดังนั้นจึงมีนางกำนัลนั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างเพื่อคอยนวดขาให้พระนางเบา ๆ
ไทเฮาทรงชราภาพมากแล้ว พระนางเพิ่งคุกเข่าอยู่ในวิหารตลอดทั้งเช้า จึงส่งผลให้พระนางรู้สึกเหนื่อยล้า
“เจ้าทำได้ดีมาก” หลังจากไทเฮาฟังคำพูดของชิงเยว่ พระนางก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เราไม่อยากได้ยินใครพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับองค์หญิงหกอีก”
ปัจจุบันทุกคนในตำหนักฉือซิ่งรู้ดีว่าไทเฮานั้นทรงเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับองค์หญิงหกไปแบบพลิกฝ่ามือเนื่องจากฝีมือการทำอาหารของนาง
ครั้งหนึ่งไทเฮาทรงไม่โปรดปรานองค์หญิงหกมากเพียงใด บัดนี้พระนางทรงรักองค์หญิงหกมากเท่านั้น
ในฐานะบ่าว พวกเขาก็ต้องทำตัวให้สอดคล้องกับผู้เป็นนาย
“เพคะ” ชิงเยว่ถอนสายบัวก่อนจะก้าวถอยหลังไป
…
อีกด้านหนึ่ง มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวนำซาลาเปารูปกระต่ายที่นึ่งสด ๆ และน้ำแกงเต้าหู้ร้อน ๆ มาให้ซูหว่าน
“ท่านแม่ อาหารที่วัดฮู่กั๋วรสอ่อนเป็นสักหน่อย ไป๋ไป่กลัวว่าท่านจะกินไม่ได้ จึงได้ไปทำอาหารบางอย่างที่ห้องครัวมาเพคะ ท่านลองชิมดูสักหน่อยว่าอาหารฝีมือไป๋ไป่พอจะถูกปากท่านหรือไม่”
“ไป๋ไป่เป็นคนทำเองทั้งหมดเลยหรือ?” หว่านผินรู้สึกสะเทือนใจจนต้องรีบดึงลูกสาวมากอดไว้ และจับมือเล็ก ๆ เป็นการปลอบประโลม “ไป๋ไป่ เจ้าเป็นองค์หญิง ไม่มีเหตุผลที่เจ้าจะต้องเข้าครัวไปทำอาหารเองเลย…”
“ไป๋ไป่เป็นองค์หญิงก็จริง แต่ไป๋ไป่ก็อยากทำอาหารอร่อย ๆ ให้ท่านแม่กินด้วยเช่นกัน” เด็กน้อยตอบเสียงหวาน “นอกจากนี้ การได้เห็นท่านแม่กินอาหารที่มู่ไป๋ไป่ทำ มันทำให้ไป๋ไป่มีความสุขมาก”
ขณะที่เธอพูด เธอก็หยิบซาลาเปาที่มีรูปร่างเหมือนกระต่ายขาวตัวน้อยมายื่นให้ซูหว่าน “ซาลาเปาไส้ผักที่ปรุงรสเผ็ดเปรี้ยวร้อน ๆ เซียวเซียวได้ลองชิมแล้ว นางบอกว่ารสชาติดีทีเดียวเพคะ”
“มันยิ่งกว่ารสชาติดีอีกเพคะ” หลัวเซียวเซียวยิ้มพลางลูบปากตัวเองเบา ๆ “มันเป็นอาหารที่รสเลิศที่สุดในสามโลก พระสนมลองชิมอาหารฝีมือองค์หญิงหกดูสิเพคะ”
ซูหว่านยิ้มก่อนจะกัดซาลาเปาในมือของลูกสาว แล้วรสเผ็ดเปรี้ยวก็กระจายไปในปากของนางทันที ผสานกับรสหวานของแป้ง มันช่วยกระตุ้นต่อมน้ำลายได้เป็นอย่างดี
“อร่อยมาก” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย ก่อนหน้านี้นางคิดว่ามู่ไป๋ไป่คงไม่สามารถทำอาหารอร่อย ๆ ในวัดฮู่กั๋วได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะประเมินลูกสาวของตัวเองต่ำเกินไป
“อร่อยใช่หรือไม่? ท่านแม่ ท่านกินอีกหน่อยสิ” มู่ไป๋ไป่ตักน้ำแกงเต้าหู้ให้ผู้เป็นแม่ 1 ชามทันที
ก้อนเต้าหู้ขาวคล้ายหยกลอยอยู่ในน้ำแกงสีใส มีต้นหอมสีเขียวมรกตกระจายอยู่รอบ ๆ ทำให้น้ำแกงนี้ดูน่าทานมากยิ่งขึ้น
ซูหว่านจิบน้ำแกงเต้าหู้เข้าไปทำให้รสเปรี้ยวเผ็ดในปากเจือจางลง ซึ่งอาหารทั้ง 2 ดูเหมือนจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” มู่ไป๋ไป่จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาคาดหวัง
“อร่อยมาก” หว่านผินพยักหน้าซ้ำ ๆ ก่อนจะยิ้มจาง ๆ และชวนหลัวเซียวเซียวให้มานั่งกินข้าวด้วยกัน
ทางด้านเด็กหญิงก็ไม่ได้อิดออด นางนั่งลงตรงข้ามทั้ง 2 คน หยิบซาลาเปา และตักน้ำแกงเต้าหู้มานั่งกินอย่างละเมียดละไม
“ไป๋ไป่...” ถึงแม้ว่าซูหว่านจะกินไปได้ไม่กี่คำ แต่นางก็กินต่ออีกไม่ไหวแล้ว ก่อนที่นางจะพูดขึ้นมาขณะทำหน้าไม่แน่ใจ “เมื่อคืนเจ้าไปไหนมาหรือ?”
ทันทีที่คำถามนั้นออกจากปากหว่านผิน หลัวเซียวเซียวกับมู่ไป๋ไป่ก็ชะงักไป
จากนั้นคนมีพิรุธทั้ง 2 ก็มองหน้ากัน
ไม่นานมู่ไป๋ไป่ก็ลอบถอนหายใจ ดูเหมือนว่าหลัวเซียวเซียวจะคาดเดาได้ถูกต้อง
“ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เชื่อที่เจ้าพูดนะ” พอซูหว่านเห็นว่าลูกสาวไม่ตอบ นางจึงวางถ้วยและตะเกียบในมือลงอย่างไม่สบายใจ และอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่แค่เป็นห่วงเจ้าเพียงเท่านั้น”
“เมื่อคืนเจ้าบอกว่าเจ้าหลงทางอยู่บนภูเขา แต่ตอนกลางดึกมีฝนตกหนัก”
“ตอนที่เจ้ากลับมาในตอนเช้า เสื้อผ้ากับรองเท้าของเจ้ากลับแห้งสนิท”
“แม่—”
“ท่านแม่ ข้าขอโทษที่โกหกท่าน” มู่ไป๋ไป่พูดขัดจังหวะผู้เป็นแม่ขณะเงยหน้าขึ้นมองนาง แล้วหยิบยกข้อแก้ตัวที่เธอเพิ่งคิดขึ้นได้ตอนที่อยู่ในครัวขึ้นมา “อันที่จริง เมื่อคืนข้าลงจากเขาไป”
“อะไรนะ?” แม้ว่าซูหว่านจะเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่นางก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้หลังจากได้ยินสิ่งที่ลูกสาวบอก “ทำไมเจ้าถึงต้องลงเขา?”
“เป็นเพราะเจ้าส้มเลย!” เด็กหญิงขายเจ้าส้มโดยไม่ลังเล “มันวิ่งหนีไป ข้าก็เลยไล่ตามมันจนไปถึงในเมือง”
“แล้วก็เกิดเรื่องบางอย่าง ข้าเจอกับคนไม่ดี ข้าเลยต้องแอบซ่อนตัวอยู่แถวตลาดทั้งคืน”
“นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพคะ”
สิ่งที่มู่ไป๋ไป่เพิ่งพูดไปนั้นเป็นความจริงครึ่งหนึ่ง มันอาจจะฟังดูน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ยังมีความใกล้เคียงกัน
ซูหว่านยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ดังนั้นนางจึงถามต่อไปว่า “แล้วตอนนี้เจ้าส้มอยู่ที่ไหน เจ้าหามันพบแล้วหรือยัง ทำไมแม่ไม่เห็นเจ้าพามันกลับมาด้วยล่ะ”
“ข้าจับมันได้แล้ว!” คนตัวเล็กรู้สึกโมโหมากเมื่อพูดถึงเจ้าส้ม “แต่มันร้ายกาจมาก มันหนีไปอีกแล้วท่านแม่”
ตอนนี้มันคงกำลังหวานชื่นอยู่กับเจ้าแมวขาวที่มันคิดถึงจนแทบบ้า!
“...” หว่านผินนิ่งเงียบไป
“อะแฮ่ม…” หลัวเซียวเซียวเงยหน้าขึ้นจากถ้วยน้ำแกงใบเล็กและเอ่ยทำลายความเงียบ “หม่อมฉันหวังเพียงว่าองค์หญิงหกจะกลับมาอย่างปลอดภัยเพคะ”
ซูหว่านพยักหน้าในขณะที่ตื่นจากภวังค์ “ใช่ ดีแล้วที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย...”
นับตั้งแต่ที่มู่ไป๋ไป่เปลี่ยนไป นางก็เป็นคนที่รู้ความและมีความคิดเป็นของตัวเองมากยิ่งขึ้น
ในเมื่อลูกสาวไม่อยากบอกนางจริง ๆ นางก็ไม่อาจเค้นถามออกมาได้
ปัจจุบันเด็กน้อยอยู่ตรงหน้านางอย่างปกติสุข เพียงเท่านี้นางก็พอใจแล้ว
หลังจากคิดได้เช่นนี้ ซูหว่านก็เลิกกังวลก่อนจะหยิบชามกับตะเกียบขึ้นมากินอาหารต่อ
จากนั้นหลัวเซียวเซียวกับซูหว่านก็กินซาลาเปาและน้ำแกงเต้าหู้ที่มู่ไป๋ไป่ทำจนหมด
หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันในช่วงสั้น ๆ ทุกคนก็มุ่งหน้าไปที่วิหารใหญ่ของวัดฮู่กั๋วเพื่อสวดมนต์
มู่ไป๋ไป่ที่กำลังจูงมือซูหว่านเดินมาก็เห็นผู้หญิงหน้าตาคุ้นเคยยืนอยู่ข้างไทเฮาจากระยะไกล เธอจึงอุทานออกมาว่า “เอ๊ะ!”
“นั่นคือหรงเฟย” หว่านผินอธิบายให้ลูกสาวฟังด้วยเสียงแผ่วเบา “นางเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อคืนนี้”
เดิมทีในครั้งนี้ไทเฮาได้ทรงอนุญาตให้ซูหว่านกับมู่ไป๋ไป่ติดตามมาเท่านั้น แต่จู่ ๆ หรงเฟยก็เดินทางมาที่นี่อย่างเร่งด่วนหลังจากได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท
“น้องหว่านผิน” หรงเฟยที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงหันมายิ้มให้ทั้ง 2 คน “ในที่สุดเจ้าก็มาถึง ข้ากับไทเฮารอเจ้าอยู่ที่นี่นานแล้ว”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 25
แสดงความคิดเห็น