บทที่ 84: สร้างความยุ่งยาก
คำพูดของหรงเฟยนั้นแฝงไปด้วยเจตนาร้าย นางพูดชัดเจนว่าหว่านผินหยิ่งผยองถึงขั้นปล่อยให้นางกับไทเฮาต้องรออยู่ที่นี่
นั่นทำให้มู่ไป๋ไป่หรี่ตาลง
หรงเฟยผู้นี้ไม่ใช่คนดี
“ถวายบังคมไทเฮา คารวะหรงเฟย” ซูหว่านถอนสายบัวทักทายทั้ง 2 คนด้วยท่วงท่าสง่างาม “หม่อมฉันขอประทานอภัยที่ทำให้ไทเฮาและหรงเฟยต้องรอนาน โปรดทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
ในความเป็นจริง ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะเอ่ยปากขอโทษทั้ง 2 ฝ่าย แต่ที่จริงแล้วนางเพียงอยากจะขอโทษไทเฮาเพียงคนเดียวเท่านั้น
ซึ่งนางก็ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนเช่นกัน ซึ่งทำให้หรงเฟยที่อยู่ด้านข้างมีสีหน้าเย็นชา
“ไม่เป็นไร” ไทเฮาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เป็นเราที่บอกให้หว่านผินกับมู่ไป๋ไป่มาหลังจากรับประทานอาหารกลางวัน นี่ยังไม่นับว่าสายหรอก”
หลังจากสตรีสูงวัยกล่าวจบ พระนางก็หันไปยิ้มพลางโบกมือให้หลานสาวตัวน้อย
“ท่านย่าไทเฮา” มู่ไป๋ไป่ก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟังและทำความเคารพอีกฝ่าย “ขอบพระทัยท่านย่าที่ทรงอนุญาตให้ไป๋ไป่กับท่านแม่ได้นอนพักผ่อนต่ออีกสักหน่อยเพคะ”
“ดีแล้ว” ผู้เป็นย่าพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เมื่อเห็นว่าทุกคนมาถึงแล้ว พระนางจึงจูงมือคนตัวเล็กเข้าไปในวิหาร
ตามกฎแล้ว ไทเฮาจะเป็นคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า ส่วนพระสนมและองค์ชาย องค์หญิงของคนอื่น ๆ จะคุกเข่าอยู่ด้านหลังลดหลั่นตามศักดิ์สถานะ
ในช่วงเช้าพระนางก็ได้ปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด
แต่ทันทีที่พระนางกลับมาในช่วงบ่ายวันนี้ พระนางได้สั่งให้คนยกเบาะของมู่ไป๋ไป่มาวางอยู่ข้าง ๆ กายตน
“ไป๋ไป่ยังเด็กนัก นางอาจจะทนไม่ไหว การได้นั่งอยู่ข้าง ๆ เราจะช่วยให้เราสามารถดูแลนางได้ง่ายขึ้น” ไทเฮาทรงลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหลานสาว พร้อมกับมองนางด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู
แน่นอนว่าซูหว่านย่อมไม่ปฏิเสธ ตอนนี้นางยืนยันได้แล้วว่าไทเฮาทรงรักมู่ไป๋ไป่ด้วยใจจริง ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ดีและนางก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธเช่นกัน
ในทางกลับกัน หรงเฟยกลับรู้สึกอิจฉาขณะจ้องมองเด็กหญิงด้วยสายตาเย็นชา
พิธีกรรมทางศาสนานั้นน่าเบื่อมาก ทุกคนต้องคุกเข่าอยู่ในวิหารและฟังเจ้าอาวาสตีระฆังพร้อมกับสวดพระสูตรเป็นภาษาที่ไม่เข้าใจ
มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าเปลือกตากำลังหนักอึ้งขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ถ้วยชา เธอก็รู้สึกง่วงมาก
แม่เจ้า นี่คือการสวดมนต์ขอพรหรือ?
ไทเฮาทรงตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่เข้าใจยากนี้ตลอดทั้งเช้าได้อย่างไรกัน?
ตัวเธอนั้นอดทนอยู่ได้ไม่ถึง 2 ถ้วยชา*ด้วยซ้ำ!
*1 ถ้วยชา = 15 นาที
มู่ไป๋ไป่แอบบ่นในใจ และหัวสมองเล็ก ๆ ของเธอก็เริ่มขาวโพลนขึ้นเรื่อย ๆ
“ไทเฮาเพคะ องค์หญิงหกบรรทมอยู่หรือไม่เพคะ?” หรงเฟยที่จับจ้องคนตัวเล็กอยู่ตลอดเวลาพูดขึ้นมาด้วยเจตนาแอบแฝง
เด็กหญิงสะดุ้งตื่นขึ้นและเช็ดน้ำลายที่มุมปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว พอกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าตนนั้นไม่ได้หลับ เธอก็ได้ยินไทเฮาที่อยู่ข้าง ๆ ตรัสเบา ๆ ว่า “หรงเฟย เจ้าจะต้องตั้งใจสวดมนต์ให้ดี เจ้าจะเอาแต่มานั่งจับจ้ององค์หญิงหกไปทำไมกัน?”
คำพูดเหล่านี้เป็นการปกป้องมู่ไป๋ไป่อย่างชัดเจน
ยิ่งเป็นเช่นนี้หรงเฟยก็ยิ่งโกรธมาก แต่คนที่พูดนั้นเป็นไทเฮา นางจึงไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงตอบรับและปิดปากเงียบไม่เอ่ยถ้อยคำใด ๆ อีก
มู่ไป๋ไป่เฝ้าดูเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างมีความสุขและพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ ทันใดนั้นไทเฮาที่นั่งอยู่ด้านข้างก็โน้มตัวเข้ามากระซิบด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียง 2 คนว่า “ถ้าเจ้าง่วง เจ้าก็หลับไปเลย ไป๋ไป่ยังเด็ก ในช่วงกำลังเติบโตต้องพักผ่อนให้เยอะ ๆ”
“เอนมาพิงเราก็ได้ จะได้นอนสบาย”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกซาบซึ้งใจมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจู่ ๆ ไทเฮาถึงใจดีกับตนขนาดนี้
เนื่องจากได้รับคำอนุญาตจากผู้เป็นย่า เด็กหญิงจึงไม่อิดออดอีกต่อไป และเอนตัวไปทางคนข้างกายและหลับไปอย่างเปิดเผย
ระหว่างที่งีบหลับมู่ไป๋ไป่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งเธอรู้สึกว่ามีคนกำลังเขย่าตัวเธอเบา ๆ
“ไป๋ไป่ เราเหนื่อยแล้ว เราอยากจะกลับไปพักผ่อนสักหน่อย ไป๋ไป่จะไปกับเราหรือไม่?”
เนื่องจากไทเฮามีอายุมากขึ้น การที่พระนางนั่งสวดมนต์เป็นเวลาครึ่งวันในช่วงเช้าก็นับว่าเป็นขีดจำกัดของพระนางแล้ว ในช่วงบ่าย พระนางจึงไม่สามารถทนคุกเข่าฟังบทสวดไปได้จนจบ ดังนั้นพระนางจึงจำเป็นต้องไปพักผ่อนเป็นการชั่วครู่ แล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง
“อืม…” มู่ไป๋ไป่ขยี้ตาพลางพยักหน้าเห็นด้วย แต่เมื่อเธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านั่นจะทำให้ในวิหารเหลือหรงเฟยกับแม่ของตนเพียง 2 คน ดังนั้นเธอจึงรีบปฏิเสธ
ถ้าหลังจากนั้นหรงเฟยมาหาเรื่องซูหว่าน อย่างน้อยเธอก็ยังสามารถช่วยแม่เธอได้อีกแรง
“เอาเถอะ เช่นนั้นเราจะกลับไปพักก่อน” ไทเฮายื่นมือไปจับมือของชิงเยว่ ก่อนจะกำชับให้มู่ไป๋ไป่ไม่ต้องกังวล “ไป๋ไป่ไม่ต้องฝืนใจ ถ้ารู้สึกเหนื่อยก็ควรกลับไปพักผ่อนสักพักหนึ่ง”
“เพคะ ท่านย่าไทเฮา” คนตัวเล็กตอบเสียงหวานและเดินไปส่งผู้เป็นย่าที่ประตูอย่างนอบน้อม
เมื่อเธอกลับเข้ามาในวิหาร เธอก็ไปคุกเข่าลงข้างซูหว่าน
“เจ้านอนพอแล้วหรือ?” หว่านผินบีบจมูกลูกสาวเบา ๆ พลางพูดอย่างมีเลศนัย
มู่ไป๋ไป่ขยับตัวอย่างขัดเขินและยิ้มประจบประแจงอีกฝ่าย
“สมแล้วที่เป็นองค์หญิงหก” เสียงเหน็บแนมของหรงเฟยดังขึ้น “องค์หญิงกล้าดีอย่างไรถึงมางีบหลับอย่างโจ่งแจ้งในระหว่างพิธีศักดิ์สิทธิ์”
“หากชะตากรรมของแคว้นเป่ยหลงจะต้องเลวร้ายเพราะเรื่องนี้ ข้าไม่รู้ว่าองค์หญิงหกจะรับผิดชอบไหวหรือไม่”
ทันทีที่ไทเฮาจากไป หรงเฟยก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอีก นางจึงเริ่มแปลงร่างกลายเป็นปีศาจทันที
ก่อนหน้านี้ เพราะนางถูกลี่เฟยคอยกดหัวเอาไว้ตอนอยู่ในวังหลวง แต่ตอนนี้ลี่เฟยได้สูญเสียอำนาจรวมถึงความโปรดปรานไปแล้ว นางเลยคิดว่าตนเองจะสามารถกลับขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีตและได้รับความโปรดปรานอีกครั้ง
แต่นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดสายตาของมู่เทียนฉงถึงหันไปสนใจเพียงพระสนมตัวเล็ก ๆ อย่างหว่านผินและองค์หญิงหกเพียงเท่านั้น
แม้แต่การสวดมนต์ขอพรในครั้งนี้ ตามข้อบังคับของปีก่อน ๆ ไทเฮาจะต้องเลือกพระสนมติดตามมาด้วย แต่พระนางกับเลือกหว่านผินมาแทน
นั่นทำให้นางรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง นางจึงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทกลางดึกแล้วทูลว่าตัวนางนั้นต้องการสวดมนต์ขอพรให้แก่แคว้นเป่ยหลงเช่นกัน จึงขออนุญาตฝ่าบาทเดินทางมายังวัดฮู่กั๋ว
“ไป๋ไป่ไม่สามารถรับผิดชอบไหวอย่างแน่นอน” มู่ไป๋ไป่กะพริบตาขณะตอบอย่างไร้เดียงสา “แต่ถึงอย่างไรชะตากรรมของแว่นแคว้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ปกครองเมือง แล้วมันจะไปเกี่ยวกับเด็กอย่างไป๋ไป่ได้อย่างไร?”
“นี่เจ้า!” หรงเฟยเพิ่งเคยเผชิญหน้ากับองค์หญิงหกเป็นครั้งแรก นางไม่คาดคิดว่าเด็กที่อายุเพียง 4 ขวบจะปากเก่งได้ถึงเพียงนี้ มันจึงทำให้ใบหน้าของนางเปลี่ยนสี
มู่ไป๋ไป่ทำเพียงแค่ทิ้งสายตามองอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปนั่งฟังพระสูตรอยู่ด้านข้างซูหว่าน
นี่ล้อกันเล่นหรืออย่างไร? เธอไม่กลัวลี่เฟย ดังนั้นทำไมเธอต้องกลัวหรงเฟยด้วยล่ะ?
หรงเฟยเองก็เขม็งมองเด็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วจู่ ๆ เหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางจึงเหยียดยิ้มน่ากลัว “ข้าได้ยินมาว่าในอดีตไทเฮาทรงคุกเข่าโดยไม่ใช้เบาะรองในระหว่างพิธีกรรมเพื่อแสดงความจริงใจต่อพระโพธิสัตว์”
“หว่านผิน ในเมื่อฝ่าบาทโปรดปรานเจ้ามาก เจ้าไม่ควรทำตัวเป็นแบบอย่างหน่อยหรือ?”
มู่ไป๋ไป่เบิกตากว้าง หรงเฟยผู้นี้โหดร้ายยิ่งนัก เธอต้องคุกเข่าสวดมนต์อยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง หากไม่มีเบาะรองอยู่ใต้เข่า ขาของเธอจะไม่พังก่อนหรือ?
“หรงเฟย สถานะของท่านสูงกว่าท่านแม่ของข้า ท่านเองก็ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีไม่ใช่หรือ?” เด็กหญิงตอบก่อนที่ซูหว่านจะทันได้เอ่ยปาก “ทำไมท่านถึงไม่แสดงให้ข้าและท่านแม่ดูก่อนล่ะ?”
“องค์หญิงหก เหตุใดเจ้าถึงได้หยาบคายยิ่งนัก? เป็นเพราะแม่ของเจ้าสั่งสอนได้ไม่ดีอย่างนั้นหรือ?” หรงเฟยที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งก็ถามขึ้นมาด้วยความโกรธ
ซูหว่านลดสายตาลงเล็กน้อยและตอบเบา ๆ ว่า “ช่วงนี้ไป๋ไป่กำลังศึกษาอยู่ที่ศาลาหมิงหลี่ และร่ำเรียนกับอาจารย์ขององค์รัชทายาท หากหรงเฟยไม่พอใจไป๋ไป่ ท่านก็ไปรายงานเรื่องนี้เถอะ เพื่อให้ราชครูลงโทษและสั่งสอนนางให้ดี”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: มีมารผจญเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว แต่ไป๋ไป่ไม่กลัวหรอกนะ!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 32
แสดงความคิดเห็น