ตอนที่ 526 วันแรกของผู้จัดการคนใหม่
ตอนที่ 526 วันแรกของผู้จัดการคนใหม่
ในความเป็นจริงหยูซานสุ่ยกับพนักงานคนอื่น ๆ ในสวนเสือคำรามก็ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องความอุกอาจของเซี่ยเฟยเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะท้ายที่สุดเซี่ยเฟยกับขนอุยก็ได้ทำพันธสัญญาโลหิตที่มีผลผูกพันกันถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะทำร้ายร่างกายขนอุยมากกว่านี้ แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่สามารถที่จะตอบโต้เขากลับมาได้
โดยปกติแล้วยิ่งระดับของสัตว์อสูรมีระดับสูงเท่าไหร่ การทำพันธสัญญากับพวกมันก็จะยิ่งยากลำบากขึ้นไปเท่านั้น แต่เมื่อสัตว์อสูรพวกนี้ให้การยอมรับใครว่าเป็นเจ้านายของพวกมันแล้ว พวกสัตว์อสูรก็จะให้ความภักดีกับเจ้านายคนนั้นมากยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก ดังนั้นถ้าหากว่าเซี่ยเฟยไม่ได้จงใจกำจัดขนอุยออกไปมันก็ไม่มีทางที่เจ้าตัวเล็กจะหนีห่างจากชายหนุ่มได้
นอกจากนี้เซี่ยเฟยยังไม่ได้ตบตีขนอุยอย่างรุนแรง และการตบหัวมันแบบนั้นก็ไม่ต่างไปจากการตบหัวของมันเบา ๆ เพราะท้ายที่สุดร่างกายของขนอุยก็ทนทานมาก
ซึ่งถ้าหากว่าเซี่ยเฟยต้องการที่จะทำอันตรายเจ้าตัวน้อยนี้จริง ๆ เขาก็จำเป็นจะต้องใช้วิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองออกมา แต่ถึงแม้ว่าเขาจะใช้วิชาขั้นสุดยอดของตัวเองจู่โจมเข้าใส่ขนอุยเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน แต่เขาก็อาจจะสร้างความเสียหายให้กับมันได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อสัตว์อสูรไม่เชื่อฟังคำสั่งเซี่ยเฟยก็จำเป็นจะต้องสั่งสอนมันสักหน่อย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในความคิดของเขาเลย แต่สำหรับพวกหยูซานสุ่ยกลับมีความคิดที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
ท้ายที่สุดขนอุยก็เป็นถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองมาก และคนธรรมดาก็มักที่จะบูชาอสูรระดับนี้ไม่ต่างจากพวกมันเป็นเทพเจ้าที่คอยพิทักษ์เผ่าพันธุ์ แล้วพวกเขาจะกล้าสั่งสอนสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง
“อสูรศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ? เมื่อกี้นายบอกว่าสัตว์อสูรที่หายากถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับใช่ไหม? งั้นอสูรศักดิ์สิทธิ์แบบเจ้าตัวนี้ล่ะอยู่ตรงไหน?” เซี่ยเฟยกล่าวถามขณะเดินเข้ามาหาหยูซานสุ่ย
อย่างไรก็ตามหยูซานสุ่ยก็รีบหยิบกระปุกยากับขวดน้ำดื่มออกมา ก่อนที่เขาจะหยิบยาเม็ดสีเหลืองโยนเข้าปากอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปเพียงแค่ไม่นานเขาก็กลับมาสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง
“อสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่มีการผสมพันธุ์เพื่อกำเนิดทายาทขึ้นมาใหม่ และพวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะถือกำเนิดขึ้นมาเพียงแค่ครั้งละหนึ่งตัวทั่วทั้งจักรวาล ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีการจัดลำดับชั้นเนื่องมาจากว่าตัวตนของพวกมันอยู่เหนือเกินกว่าคำว่าระดับชั้นมาตั้งนานแล้ว” หยูซานสุ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา โดยภาพที่เซี่ยเฟยตบหัวขนอุยยังคงฝังแน่นอยู่ภายในใจของเขาไม่รู้ลืม
เซี่ยเฟยอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับอสูรศักดิ์สิทธิ์มาก และเขาก็กำลังจะถามรายละเอียดเพิ่มเติม แต่จู่ ๆ แมวเหลืองสี่หูก็ลุกขึ้นมายืนอีกครั้งซึ่งแท้ที่จริงแล้วขนอุยไม่ได้ฆ่ามันเพียงแต่ว่ามันตกใจกลัวจนเป็นลมต่างหาก
ไม่นานหลังจากนั้นแมวเหลืองสี่หูก็ก้มลงกับพื้นด้วยท่าทางที่หวาดกลัว และลำตัวของมันก็ยังคงสั่นกลัวอยู่ตลอดเวลา
ท่าทางของแมวตัวนี้ทำให้ขนอุยรู้สึกภาคภูมิใจมาก และมันก็ยังคงใช้ลิ้นเล็ก ๆ ของมันเลียเซี่ยเฟยต่อไปราวกับว่าการปราบสัตว์อสูรตัวนั้นคือผลงานของมัน
เซี่ยเฟยกลัวว่าขนอุยจะทำให้แมวเหลืองสี่หูหวาดกลัวจนสลบไปอีกครั้ง เขาจึงยัดมันกลับไปเก็บไว้ในหน้าอก จากนั้นเขาก็เริ่มส่งกระแสจิตเข้าไปออกคำสั่งแมวเหลืองสี่หูผ่านทางวิชามนตราอสูร
สัตว์อสูรราชาทุกตัวต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ดังนั้นแมวประหลาดตัวนี้จึงสามารถทำความเข้าใจคำสั่งของเซี่ยเฟยได้อย่างรวดเร็ว หากเขาชี้นิ้วไปทางทิศตะวันตกมันก็จะรีบเดินทางไปยังทิศตะวันตก หากเขาสั่งให้มันยืนมันก็จะยืนอยู่ตรงนั้นจนกว่าจะได้รับคำสั่งให้นั่งลง ซึ่งการกระทำของมันก็บ่งบอกถึงความเชื่องที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าแมวบ้านบนโลกมนุษย์เสียอีก
หยูซานสุ่ยกลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่แล้วรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่ปรากฏตรงหน้ามาก
แมวเหลืองสี่หูคืออสูรราชาที่ดุร้าย ซึ่งย้อนกลับไปในก่อนหน้านี้มันไม่มีพนักงานคนไหนกล้าเข้าใกล้แมวตัวนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เซี่ยเฟยกลับฝึกให้มันเชื่อฟังอย่างรวดเร็ว และถ้าหากว่าชายหนุ่มสั่งให้มันไปตายมันก็คงจะไปตายโดยไม่มีการต่อต้าน
“จะมีคนพาตัวนายไปจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ จากนี้ไปนายจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของเธอห้ามขัดขืนอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะตามไปฆ่าแกไม่ว่าแกจะซ่อนอยู่ที่มุมไหนของจักรวาลก็ตาม” เซี่ยเฟยออกคำสั่งอย่างเย็นชา
แมวเหลืองสี่หูพยักหน้ารับซ้ำ ๆ ราวกับว่ามันไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของชายคนนี้เลย
“หลังจากนี้ห้ามทำร้ายมนุษย์โดยเด็ดขาด เว้นแต่ว่าจะได้รับคำสั่งจากเจ้านายคนใหม่” เซี่ยเฟยกล่าวเสริม
แมวเหลืองสี่หูพยักหน้ารับอีกครั้ง
“เอาล่ะเปิดกรงได้” เซี่ยเฟยสั่งการ
หยูซานสุ่ยปลดกุญแจด้วยมือที่สั่นเทา เซี่ยเฟยจึงค่อย ๆ เดินออกมาอย่างผ่าเผย และแมวตัวใหญ่ตัวนั้นก็ก้มหัวเดินตามหลังเซี่ยเฟยมาอย่างเชื่อฟัง โดยไม่ได้มีร่องรอยของความดุร้ายหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
เสียงของสัตว์อสูรในกรงทุกกรงต่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด และเมื่อเซี่ยเฟยได้เดินสำรวจเขาก็ได้พบว่ามันมีสัตว์อสูรหลายตัวตกใจกลัวเสียงร้องคำรามของขนอุยจนช็อคตาย
“นับจำนวนสัตว์อสูรที่เสียชีวิตแล้วส่งรายงานมาให้ฉันด้วย” เซี่ยเฟยออกคำสั่งก่อนที่จะถอนหายใจออกมา
หยูซานสุ่ยรีบนำเซี่ยเฟยไปฝึกสัตว์อสูรราชาอีกตัว และหลังจากที่เวลาได้ผ่านพ้นไปไม่นานเสือเพลิงตาฟ้าก็ยอมจำนนแทบเท้าของชายหนุ่มอย่างเชื่อฟัง
เมื่อจัดการกับสัตว์อสูรเจ้าปัญหาได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เริ่มเดินกลับไปยังอาคารสำนักงาน
“หัวหน้า นอกเหนือจากสัตว์ราชาทั้งสองตัวแล้ว สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ต่างก็ช็อคตายกันทั้งหมด” หยูซานสุ่ยรายงานพร้อมกับส่ายหัวไปมาอย่างเสียดาย
“ฮ่า ๆ ๆ แค่เข้ารับตำแหน่งวันแรกก็ฆ่าสัตว์อสูรไปเกือบหมดสวนเลยเนี่ยนะ พวกคนอื่นจะคิดว่านายมีความแค้นกับพวกสัตว์อสูรหรือเปล่าเนี่ย” อันธกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
เซี่ยเฟยแบะริมฝีปากโดยไม่พูดอะไร เพราะท้ายที่สุดสถานการณ์ภายในสวนเสือคำรามก็ค่อนข้างจะย่ำแย่อยู่แล้ว ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าความสูญเสียในครั้งนี้จะทำให้สวนเสือคำรามจะต้องปิดตัวลงในเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า
สัตว์อสูรไม่สามารถที่จะฟื้นคืนชีพกลับมาได้ เซี่ยเฟยจึงสั่งให้พนักงานขุดหลุมฝังศพสัตว์อสูรพวกนั้นซะ แล้วเขาก็สั่งให้หยูซานสุ่ยพาเขาไปที่ห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับขนอุย
ในที่สุดเซี่ยเฟยก็ถูกนำตัวไปยังห้องที่มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับฐานข้อมูลไม่ใช่ห้องสมุดที่มีเพียงแต่สมุดเหมือนกับในสมัยโบราณ ซึ่งหลังจากที่หยูซานสุ่ยได้สอนวิธีการให้กับชายหนุ่มแล้วเขาก็ขอตัวกลับออกไป
เมื่อหยูซานสุ่ยจากไปแล้วเซี่ยเฟยก็หยิบขนอุยออกมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับรีบหาข้อมูลเกี่ยวกับอสูรศักดิ์สิทธิ์
อสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่พิเศษที่สุดในบรรดาสัตว์อสูรต่าง ๆ มันไม่มีหลักฐานว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่เคยมีหลักฐานว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์มีการผสมพันธุ์หรือมีการคลอดลูกออกมาจากร่างกายของพวกมันหรือไม่ คล้ายกับว่าจู่ ๆ พวกมันก็ปรากฏตัวขึ้นมาในอวกาศอย่างฉับพลัน ราวกับว่าพวกมันสามารถถือกำเนิดขึ้นมาได้เอง
อสูรศักดิ์สิทธิ์จะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ไม่เคยมีบันทึกว่าพวกมันรวมกลุ่มกับสัตว์อสูรชนิดอื่น ดังนั้นตั้งแต่เกิดจนตายพวกมันจึงต่างก็ล้วนแล้วแต่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ตัวคนเดียวเพียงลำพัง…
“ที่แท้อสูรศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นพวกสัตว์อสูรทรงพลังที่อาศัยโดยใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว และเป็นสัตว์อสูรที่หาตัวพบได้ยากมากนี่เอง” อันธกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ
เมื่อเซี่ยเฟยได้อ่านคำอธิบายของอสูรศักดิ์สิทธิ์จนถึงบรรทัดสุดท้าย เขาก็ได้พบว่านิสัยของอสูรศักดิ์สิทธิ์ในบันทึกแตกต่างจากขนอุยที่เขาพบในทุก ๆ วันมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มันคือสัตว์อสูรที่ชอบใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หรือแม้กระทั่งพวกมันเป็นสัตว์อสูรอสูรที่เย่อหยิ่งไม่เคยมาขออาหารมนุษย์กินเลยสักครั้ง
เซี่ยเฟยเริ่มค้นหาข้อมูลของมารขาวเพิ่มเติม ก่อนที่เขาจะได้พบภาพสัตว์อสูรก้อนกลม ๆ ตัวสีขาวปรากฏขึ้นบนหน้าจอ ซึ่งมารขาวที่มีอยู่ในบันทึกนั้นดูไม่ค่อยแตกต่างจากขนอุยของเขามากนัก เพียงแต่ว่าแววตาของขนอุยดูมีชีวิตชีวามากกว่าภาพมารขาวในบันทึก
“โหดร้าย, กระหายเลือด, หัวรุนแรง, ทะนงตัว, ทำลายล้าง, …”
เซี่ยเฟยอ่านคำอธิบายของมารขาว ก่อนที่เขากับอันธจะหันไปสบสายตากันด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
มารขาวในบันทึกคือสัตว์อสูรผู้ชั่วร้ายที่สามารถทำลายดาวทั้งดวงลงได้อย่างง่ายดาย มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสัตว์อสูรชนิดนี้ถึงได้รับฉายาว่าอสูรผู้ทำลายดวงดาว
“ดูยังไงมันก็ไม่ใช่! ข้อมูลพวกนี้มันบันทึกเรื่องมารขาวเอาไว้ผิดหรือเปล่า?” อันธกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
เซี่ยเฟยก็รู้สึกสับสนเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่มันมีข้อมูลเกี่ยวกับมารขาวบันทึกอยู่ไม่มากนัก เขาจึงไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับขนอุยเพิ่มเติมได้
“บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่านายคอยเลี้ยงดูมันมาตั้งแต่เด็ก และนายก็เริ่มผูกพันธสัญญากับมันตั้งแต่มันตัวน้อย ๆ บุคลิกของมันจึงโน้มเอียงมาทางนายมากกว่าจะพัฒนาไปเป็นเหมือนบรรพบุรุษ แล้วมันก็คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพฤติกรรมของมันถึงไม่เหมือนกับบันทึกในคอมพิวเตอร์” อันธพยายามวิเคราะห์นิสัยของขนอุย
“นายจำได้ไหมว่ามันมีหลาย ๆ ครั้งที่ขนอุยพยายามจะระเบิดอารมณ์ของมันออกมา บางทีการที่มันมาอยู่กับฉันอาจจะเป็นการระงับสัญชาตญาณของมันเอาไว้ก็ได้” เซี่ยเฟยกล่าวเสริม
ข้อมูลกับความจริงที่เขาพบค่อนข้างที่จะมีความแตกต่างกันอยู่มากพอสมควร แต่เซี่ยเฟยก็ยังรู้สึกพึงพอใจมาก เพราะอย่างน้อยเขาก็เริ่มรู้จักขนอุยขึ้นมากกว่าเดิมแล้ว
สักวันหนึ่งขนอุยจะต้องเติบโตขึ้นมากลายเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นมันยังเป็นคู่หูที่ซื่อสัตย์ที่สุดในสนามรบ ซึ่งแค่นี้มันก็เพียงพอสำหรับคนอย่างเซี่ยเฟยแล้ว
น่าเสียดายที่ในบันทึกไม่ได้ระบุระยะเวลาการเติบโตของขนอุยเอาไว้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่ามันจำเป็นจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าที่เจ้าตัวเล็กจะเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นผู้ใหญ่
“ใครคือผู้จัดการสวนเสือคำรามออกมาเดี๋ยวนี้!!” ทันใดนั้นมันก็มีเสียงของผู้หญิงตะโกนดังขึ้นมาจากทางสนามหญ้า
เซี่ยเฟยหยิบขนอุยขึ้นมาวางไว้บนไหล่ ก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องพร้อมกับขมวดคิ้ว
ภาพที่เขาเห็นคือเด็กสาวอายุประมาณ 16 ปีกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งกับคนรับใช้ ซึ่งเด็กสาวคนนี้ก็กำลังกอดอกด้วยใบหน้าอันบูดบึ้งคล้ายกับว่าเธอกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง
“เธอเป็นใคร?” เซี่ยเฟยถามด้วยความสงสัย
“นายคือผู้จัดการคนใหม่ของสวนเสือคำรามใช่ไหม?” หญิงสาวกล่าวอย่างเย็นชา
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับและเขาก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือใครกันแน่ ถึงได้มาวางท่าใหญ่โตต่อหน้าเขาแบบนี้
“แมวเหลืองสี่หูของฉันอยู่ไหน? พวกนายสัญญาว่าจะช่วยทำให้มันเชื่องวันนี้ ฉันจะพามันกลับไปแล้ว!” หญิงสาวกล่าว
“สรุปแล้วเธอคือคุณหนูเจ็ดที่หยูซานสุ่ยพูดถึงใช่ไหม? ฉันกำลังปล่อยให้แมวตัวนั้นออกไปเดินเล่น อีกไม่นานเดี๋ยวมันก็กลับมาเอง” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
จากภาพโดยรวมผู้หญิงคนนี้ก็ค่อนข้างจะน่ารักดี เซี่ยเฟยจึงจินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าเธอชอบแมวขี้เหร่ตัวดำได้ยังไง
“นายพูดว่าอะไรนะ?! นายทำให้แมวเหลืองสี่หูเชื่องได้แล้วงั้นเหรอ?”
เซี่ยเฟยพยักหน้ารับเป็นคำตอบ
หญิงสาวรีบกระโดดและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังคนรับใช้ด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันเธอก็พึมพำขึ้นมากับตัวเองว่า
“ให้ตายเถอะ! หยูซานสุ่ยบอกว่าเขากำลังพยายามสร้างปัญหาให้กับเจ้านายคนใหม่อยู่ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมผู้ชายคนนี้ถึงทำให้แมวเหลืองสี่หูเชื่องได้เร็วมากนัก”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณหนูเจ็ดคนนี้ความจริงแล้วมีชื่อว่าหยูชิชิ ซึ่งเป็นหลานคนสุดท้องของหยูเจียงแล้วเธอก็มีนิสัยชอบแกล้งคนอื่นมากที่สุด
วันนี้หยูชิชิรู้สึกเบื่อบ้านและไม่มีอะไรทำ เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินทางมายังสวนเสือคำรามโดยไม่แจ้งให้หยูซานสุ่ยทราบล่วงหน้าว่าเธอได้เดินทางมาถึงก่อนกำหนด
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ต่างจากการยิงปืนครั้งเดียวได้นกสองตัว เพราะไม่เพียงแต่เธอจะมีอะไรทำในวันนี้เท่านั้นแต่เธอยังสามารถแกล้งคนอื่นได้อีกด้วย
ในความเป็นจริงหยูชิชิไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวใครในตระกูลหยูเลยแม้แต่คนเดียว เพราะแม้แต่หยูเจียงก็ยังถูกเธอแกล้ง แต่หญิงสาวคนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวแมวมากที่สุด
แน่นอนว่าเซี่ยเฟยย่อมไม่รู้ถึงข้อมูลนี้ แล้วถ้าหากว่าเขามอบแมวเหลืองสี่หูให้กับเธอ มันก็ไม่ต่างไปจากการมอบของขวัญที่เธอเกลียดที่สุดให้กับหยูชิชิ
***************
เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น! เมื่อมอบภารกิจที่เป็นไปไม่ได้เพื่อแกล้งคน ก็รับแมวที่รักกลับไปเลี้ยงซะ อิอิ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 224
ความคิดเห็น
จงรับแมวขี้เรื้อนไปเลี้ยงซะดีๆ 55
แสดงความคิดเห็น