บทที่ 10 ยุทธนาวี
พลอยฟ้าจำใจต้องยกมือไหว้คนที่อยู่ตรงหน้า “ฉันไหว้จ้ะ”
“หากไม่เต็มใจ ก็ไม่ต้องไหว้ทาสอย่างข้าดอกขอรับ แม่หญิง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยียวน
“น้องขอสมาเถอะเจ้าค่ะ น้องไม่รู้จริงๆ” หญิงสาวยกมือไหว้ด้วยความสำนึกผิด
“หาเป็นไรไม่ ทาสมิบังอาจถือโทษโกรธนายหญิงหรอกขอรับ” เขายังยียวนต่อไปอีก
“พอได้แล้ว” พญาเดโชชัยโบกมือห้าม มิเช่นนั้นคงได้ทะเลาะกันนานแน่ เมื่อทุกคนเงียบสงบแล้ว พระยาเดโชชัยจึงแจ้งข่าวเรื่องข้าศึกให้ทั้งสี่ฟัง
“บัดนี้ พระเจ้านันทบุเรงสั่งให้พระญาพะสิมและพระเจ้าเชียงใหม่ ยกทัพมาตีอโยธยาแล้ว”
“จริงหรือขอรับ” เทพศิลป์ถาม
“จริงที่สุด” พระยาเดโชชัยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ท่านได้โปรดเล่าให้พวกเราฟังหน่อยเถอะขอรับ” เสือพูดด้วยความนอบน้อม
เมื่อพระเจ้าหงสาวดีทราบว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดเอาเชลยไทยกับสู่อยุธยา จึงรู้ว่าอยุธยาแข่งเมืองแน่แล้ว ทรงดำริว่า
"ไทยเสียบ้านเมืองมามิช้านัก ผู้คนพลเมืองที่จะเป็นกำลังมีน้อยกว่าแต่ก่อน ไม่จำจะต้องยกกองทัพใหญ่เข้ามามากมายหลายทับ เหมือนครั้งพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ก็คงพอจะตีกรุงศรีอยุธยาได้"
จึงจัดกระบวนทัพ ให้ยกมาเป็นสองทางพร้อมกัน หมายจะให้ไทยเกิดอลหม่านขึ้น
ให้พระยาพะสิม ผู้เป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าหงสาวดี คุมกองทัพมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ มีจำนวนทั้งหมด 30,000
ให้พระเจ้าเชียงใหม่ ผู้เป็นอนุชา ยกทัพบกทัพเรือลงมาจากทางเหนือ มีจำนวนทั้งหมด 100,000 คน ให้มารวมกำลังกันตีกรุงศรีอยุธยาให้ได้
พระยาเดโชชัยหยิบจอกสุรามาดื่มอย่างกุ้งอกกลุ้มใจ เมื่อเหล้าหมดจอกแล้ว ท่านก็รินดื่มอีก จอกแล้วจอกเหล้าที่ดื่มเข้าไป แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความกลุ้มใจหายไปเลย
“พวกเราจะได้ออกศึกแล้ว ใช่ไหมขอรับ” กายแก้วถามขึ้นอย่างตื่นเต้น
“ใช่ พวกเจ้าเตรียมตัวไว้เถอะ อีกสามทิวาเท่านั้น พวกเจ้าก็จะได้ไปสู้รบแล้ว แต่คงต้องไปประจำการอยู่ในพระนครก่อน รอจนกว่าจะได้ฤกษ์ยกทัพออกไป”
พวกเราจะได้ไปกับกองทัพใดกันขอรับ สิงห์เอ่ยถาม
“กองทัพของเจ้าฟ้าวังหน้า” ท่านถอนใจออกมายาวเหยียด แล้วบอกออกมาอีกว่า
“พวกเจ้าฟังให้ดี ถ้าสามารถสังหารแม่ทัพนายกองลงได้ จงเก็บภาพโพกศีรษะของมันมาด้วย เพราะผ้าโพกศีรษะของศัตรูจะทำให้พวกเจ้าได้ยศศักดิ์ตามแต่ความดีความชอบ”
“ท่านอาขอรับ” กายแก้วเรียกพญาเดโชชัย
”มีอะไรหรือ หลานรัก” ท่านพระยาถาม
“ท่านอา ช่วยเล่าเรื่องสงครามยุทธนาวีที่เพิ่งเกิดขึ้น ให้หลานฟังได้ไหมขอรับ”
“ได้สิ อาจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ”
พระนเรศวรได้สร้างวังใหม่เพื่อประทับในกรุงศรีอยุธยา นั่นก็คือวังจันทรเกษม ด้วยพระองค์เสด็จมาเข้าเฝ้าพระชนก ชนนีนาถ อยู่เนืองๆ
ครั้งหนึ่ง เวลาพระองค์เสด็จมาพำนักที่วังจันทร์เกษม มีขุนนางคนหนึ่งชื่อว่า จีนจันตุ ขุนนางจีน มาจากเมืองละแวก ได้มาสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อได้ข้อมูลภายในกรุงศรีครบถ้วน พญาจีนก็ได้ล่องเรือหนีไปทางบางกอก
พระนเรศวรทราบข่าว จึงสั่งให้นำทหารจากเมืองพิษณุโลก จัดเตรียมศาสตราวุธให้พร้อม จากนั้นก็เสด็จตามพญาจีนไป ได้ทันรบกันที่ปากน้ำ
ทั้งสองฝ่ายจึงยิงปืนใส่กัน บังเกิดเป็นสงครามยุทธนาวีกลางแม่น้ำ พระนเรศวรประทับเรือกาบกัญญา ทรงใช้พระแสงปืนยิงใส่ข้าศึกอย่างห้าวหาญ ไม่ยอมหลบเลี่ยงกระสุนแต่ประการใด พระแสงปืนที่ทรงถูกกระสุนปืนของข้าศึกยิงใส่จนแตก
พระเอกาทศรถเห็นพระเชษฐาสู้รบอย่างห้าวหาญ เกรงจะได้รับอันตราย จึงบัญชาให้เอาเรือของพระองค์ไปบางเรือของพระเชษฐาไว้
ทหารทั้งสองฝ่ายระดมยิงปืนใส่กัน แต่ในที่สุดเรือของพญาจีนก็ออกทะเลไปได้ ฝ่ายอยุธยาจึงพายเรือติดตามไป แต่ก็ต้านทานคลื่นทะเลไม่ไหว เพราะเรือฝ่ายอยุธยาเป็นเรือยาวเสียส่วนใหญ่ จึงต้องยกทัพกลับพระนคร
“เรื่องราวมันก็มีแค่นี้แหละ” พระยาเดโชชัยบอก
“น่าเสียดายนะขอรับ ที่หลานมิได้ทำสงครามครั้งนี้ด้วย” ชายหนุ่มบ่น
“ข้าเสียดายเหมือนกัน” เทพศิลป์พูด
ทุกคนต่างรู้สึกปลื้มปิติ ที่จะได้สละชีวิตเพื่อแผ่นดินไทย ถึงต้องตายก็คงไม่เสียชาติเกิด
หลังจากนั้น ทหารใหม่ทั้ง 4 นั่งดื่มสุรากันอย่างสนุกสนาน โดยมีพระยาเดโชชัยนั่งดื่มด้วย ส่วนพลอยฟ้าก็เดินเข้ามาพูดคุยกับกายแก้วให้หายคิดถึง
ตกดึก ทั้งสี่จึงขอลากลับไปยังเรือน โดยเจ้าเรือนก็ตามไปส่งแขกจนถึงหน้าบ้าน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 120
แสดงความคิดเห็น