บทที่ 11 พันธนาการหัวใจ
กายแก้วเดินออกมาจากเรือนของพระยาเดโชชัยด้วยท่าทางที่เงียบสงบ เขาไม่สนใจที่จะปราศรัยกับใครเลย เพราะตอนนี้จิตใจคิดถึงแต่เรื่องของข้าศึก
ให้ไอ้พวกพม่ามันยกกันมาเถิด ไอ้กายแก้วจะขออาสาเป็นทัพหน้าไปฟาดฟันกับมันเอง ต่อให้ตายกูก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะชีวิตนี้ได้อุทิศให้แก่แผ่นดินไทยแล้ว ต่อไปลูกหลานจะได้มีแผ่นดินอยู่ ไทยจะต้องไม่เป็นขี้ข้าใคร คนไทยจะต้องยืนอยู่อย่างภูมิใจว่า เรามีแผ่นดิน เราไม่เป็นขี้ข้าใคร เราเป็นอิสระ และจะไม่ยอมให้ใครมาข่มเหง
เสือและสิงห์ยังคงคุยกันไปตามทางอย่างสนุกสนาน ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยจนถึงเรือน ทั้งหมดจึงพากันเดินขึ้นเรือน โดยมีบ่าวคอยมาล้างเท้าให้อยู่หัวกระได
“อ้าว มากันแล้วหรอ? กินข้าวกินปลาหรือยัง?” แม่จันทร์หอมถามเมื่อเห็นทั้งสามเดินขึ้นมาบนเรือน
“เรียบร้อยแล้วขอรับ” กายแก้วตอบผู้เป็นมารดา
“น่าเสียดายจัง เกตุมณีและเรไรอุตส่าห์ทำอาหารไว้ให้แน่ะ” แม่จันทร์หอมพูดไปตามเรื่อง
“เกตุมณีทำอาหารเป็นด้วยหรือขอรับ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“เป็นสิลูก ขนมต้มที่ลูกกินไปตอนเช้า ก็นางนั่นแหละเป็นคนทำ”
“อ้าว! ท่านแม่มิได้เป็นคนทำหรือขอรับ?” ชายหนุ่มนั่งลงข้างมารดา สีหน้าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยยิ่ง
“แม่หาได้ทำไม่ นี่นางมิได้บอกลูกดอกหรือ?” ประโยคหลังมารดาหันมาถามเขา
“เปล่านี่ขอรับ นางบอกว่าท่านแม่ให้เอาขนมมาให้ อย่างอื่นมิได้บอกลูกเลยขอรับ”
“แล้วลูกได้ถามหรือเปล่าว่าใครทำ”
“มิได้ถามขอรับ”
“งั้นนางก็หาผิดไม่” มารดาตัดสิน
“ท่านแม่ ลูกต้องไปสู้รบมะรืนนี้” ชายหนุ่มตัดสินใจบอกมารดา
“เจ้าว่าอะไรนะ! สู้รบอย่างนั้นหรือ?” แม่จันทร์หอมตกใจที่ได้ยินดังนั้น
“ใช่ขอรับ” ชายหนุ่มตอบ
ความวันวิตกแสดงออกมาทางสีหน้าของมารดา เมื่อหลายปีก่อนฉันต้องเสียสามีไปแล้วเพราะสงคราม มาครั้งนี้ลูกชายของฉันยังต้องออกไปทำศึกสงครามอีก อย่าให้ชะตากรรมของเขาเป็นเหมือนกับพ่อเลย
เกตุมณีนั่งอยู่บนโต๊ะภายในห้องของนาง หญิงสาวครุ่นคิดไปไกลถึงอนาคตอย่างเพลิดเพลิน เสียงประตูเปิดออกทำให้หญิงสาวหันไปมองด้วยความตกใจ กริชที่กายแก้วให้ไว้มาอยู่ในมือหญิงสาวทันที หากมีสิ่งใดเข้ามาก็คงต้องแทนกันหน่อยแหละ
แสงตะเกียงภายในห้องทำให้มองเห็นหน้าของบุรุษคนงั้นได้ชัด ซึ่งนางก็เผลอเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงอันดัง “กายแก้ว!”
“ใช่ ข้าเอง” พูดจบเขาก็นั่งลงบนโต๊ะข้างๆหญิงสาว
“เจ้าเข้ามาได้ยังไง?” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ
“มันจะไปยากอะไร เราก็ใช้พระคาถาสะเดาะกรเข้ามา เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง”
“คงทำอย่างนี้บ่อยน่ะสิท่า” พูดด้วยน้ำเสียงแง่งอนนิดๆ
“ตั้งแต่ฝึกพระคาถาบทนี้มา ก็เพิ่งเคยใช้สะเดาะกรเข้ามาหาเจ้าเป็นคนแรกนี่แหละ” ตอบอย่างจริงใจ
“แล้วเจ้าเข้ามาทำไมยามวิกาลเช่นนี้?” หญิงสาวถาม
“ก็คงทนคิดถึงคนที่ทำขนมต้มไม่ไหวละมั้ง” ชายหนุ่มตอบทีเล่นทีจริง ก่อนที่จะยิ้มอ่อนโยนให้หญิงสาว
“บ้า เจ้ามันบ้าที่สุดเลย” ไม่แค่ด่า หญิงสาวยังชำเลืองค้อนอีกหลายวง
“ถ้าเราบ้า ก็คงเพราะคิดถึงเจ้า”
เกตุมณีหันมามองหน้าเขาอย่างพิจารณา พร้อมถามว่า “วันนี้เจ้าเป็นอะไร? ไม่สบายหรือเปล่า?”
ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะตอบว่า “ร่างกายหาเป็นไรไม่ แต่หัวใจมันเรียกร้องอยากเป็นคนรักของเจ้า”
“โอ๊ย วันนี้เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆเลย” ใบหน้าของหญิงสาวเป็นสีแดงเหมือนศรีตำลึงสุขด้วยความเขินอาย
“ข้าพูดจริงๆนะ” ชายหนุ่มบอก
“ถ้าเจ้าไม่บ้าก็คงต้องเมา ไปนอนได้แล้วไป นี่มันก็ดึกมากแล้ว” หญิงสาวขับไล่ดื้อๆ
“ไปนอนก็ได้” เขาเดินไปยังเตียงของหญิงสาวแล้วทิ้งตัวลงนอนทันที
“นี่เจ้าทำอันใดเนี่ย ข้าบอกให้กลับห้องไปนอน” หญิงสาวเดินมาเขย่าตัวเขาให้ลุก แต่เขายังนอนนิ่งไม่ไหวติง เกตุมณีจึงถามสืบไปอีกว่า
“เจ้านอนหลับแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ยังไม่หลับหรอก” ชายหนุ่มว่าเบาๆ
“งั้นก็กลับห้องสิ มานอนทำไมเตียงข้า”
“ข้าก็แค่อยากใช้เวลาอยู่กับเจ้าให้นานที่สุด” เขาตอบแผ่วลง
“เจ้าหมายความว่ายังไง” หญิงสาวถามแล้วนั่งลงบนเตียงข้างเขา
“อีกประมาณสามทิวาข้าต้องไปทำศึก ข้าหารู้ไม่ว่าจะได้กลับมาหรือเปล่า จึงอยากอยู่กับคนที่ข้ารักให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้” ชายหนุ่มตอบแค่นั้นเขาก็หลับไป
“กายแก้ว” หญิงสาวเขย่าตัวเขาเพื่อปลุกให้ลุก แต่เขาก็เหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ในที่สุดเกตุมณีก็นอนลงข้างเขาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ คืนนั้นทั้งคู่นอนหลับไปด้วยกัน โดยมิมีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
พลอยฟ้านั่งอยู่ในห้องกับคนรับใช้ ภายในใจคิดสับสนวุ่นวายไปหมด ตอนนี้บ่ายแก่ๆแล้ว อากาศก็เริ่มอบอ้าวจนต้องอาศัยพัดมาวี แต่กระนั้นก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเลย นางจึงต้องมายืนรับลมที่หน้าต่าง สายลมอ่อนๆพัดเอากลิ่นจำปีเข้ามาให้ได้ยนต์ พลอยฟ้าค่อยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จึงยืนคิดที่ขอบหน้าต่างอยู่นาน
เหตุใดเราจึงจำพี่กายแก้วมิได้นะ หญิงสาวถามตัวเองในใจ
“แม่หญิงเจ้าคะ เหม่ออะไรหรือเจ้าคะ” เฟื่องฟ้าถามขึ้น
“เปล่านี่”, ปฏิเสธเสียงสูง
“จริงหรือเจ้าคะ” เฟื่องฟ้าแหย่มาอีก
“จริงสิ”
“เอ๊ะ! แต่บ่าวว่า แม่หญิงกำลังมีความรักนะเจ้าคะ”
“ความรักอะไรของพี่ อย่าพูดไปเรื่อยนะ”, พลอยฟ้าเริ่มไม่พอใจ
“อย่าปฏิเสธหัวใจตัวเองอีกเลยเจ้าค่ะ บ่าวรู้ว่าแม่หญิงกำลังคิดถึงพ่อกายแก้ว”
“พี่รู้ได้ยังไง” หญิงสาวถาม
“ของอย่างนี้ แค่มองแป๊บเดียวก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”
“พี่เก่งดีนี่ ไหนลองบอกพลอยมาซิว่า พี่กายแก้วคิดยังไงกับพลอย”
เฟื่องฟ้าถอนใจก่อนพูดว่า “ไม่ว่าพ่อกายแก้วจะคิดยังไงกับแม่หญิง มันก็ไม่สำคัญแล้วเจ้าค่ะ”
“ทำไมล่ะพี่เฟื่องฟ้า” หญิงสาวถามด้วยความแปลกใจ
“แม่หญิงอย่าลืมสิเจ้าค่ะว่า แม่หญิงมีคู่หมั้นแล้ว” เฟื่องฟ้าเตือนความจำ
พลอยฟ้าถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ความจริงนางหาต้องการหมั้นหมายกับแสงสุรีย์ไม่ ทุกอย่างเป็นความต้องการของเจ้าคุณพ่อทั้งนั้น นางจึงต้องจำใจทำตามตามประสาลูกที่ดี ตอนที่มั่นหมายกันพลอยฟ้ามีอายุได้แค่สิบปีเท่านั้น ยังไม่รู้จักความรักฉันชู้สาว เพิ่งจะมารู้จักก็ตอนที่ได้พบกายแก้วนี่เอง
เฟื่องฟ้ามองเจ้านายด้วยความสงสาร แต่บ่าวอย่างนางหามีปัญญาที่จะปลอบโยนอันใดไม่ นางพูดได้แค่เพียงว่า “ตัดใจเถอะเจ้าค่ะ อย่าได้รักกายแก้วอีกเลย”
พลอยฟ้าหาตอบคำใดไม่ แต่ในใจคิดว่า การที่จะตัดใจจากใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ไม่ได้เป็นมันก็พูดได้,, แต่คนที่รู้สึกมันยากเย็นนักที่จะตัดใจอย่างที่คนอื่นแนะนำ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 396
ความคิดเห็น
ในตอนนี้ มีคำเขียนผิดอยู่นะคะ ถ้าผิดบังเอิญไม่เป็นไรค่ะ
รบกวนไปตรวจสอบ
1. สะเดาะกร เขียนเช่นนี้ หมายความว่า เช่นไร
2. ได้กลิ่นจำปีมาให้ได้ยนต์ คำว่า ยนต์ นี้แปลว่าอะไร เจ้าคะ
3. ความรักฉันชู้สาว คำว่า ฉัน นี้ ความหมายว่า อะไรได้บ้าง
รบกวนฝากคิดเป็นการบ้าน ไม่ใช่ว่ามาจับผิด ตามอ่านอยู่นะคะ เนื้อเรื่องโอเค การเขียนถือว่า ถูกจริตข้าเจ้า...นะเจ้า
หลายตอนก่อนหน้า ก็พยายามมองข้าม แต่คิดว่า อยากช่วยแก้ไข นิยายของเจ้าจะปังดังขึ้น หากเขียนให้ถูกต้อง ข้าเจ้าจะยินดียิ่งนัก นะเจ้าค่ะ
แสดงความคิดเห็น