บทที่ 6 เที่ยวเมืองสุพรรณ
หลังจากจ่ายเงินให้พวกชายฉกรรจ์เหล่านั้นแล้ว ชายหนุ่มก็หันมาพิจารณาหญิงสาวที่เพิ่งช่วยชีวิตไว้ หญิงสาวผู้นี้มีลักษณะอวบอันนิดๆ ผิวสีน้ำผึ้ง ดวงตาสุกใสมีเสน่ห์ ก็นับว่าเป็นนางงามคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ตัวของเขาไม่ค่อยสนใจเรื่องผู้หญิงเท่าไหร่ แต่ก็อดสนทนาด้วยมิได้
“เอ็งชื่ออันใด” เขาตั้งคำถามเป็นครั้งแรกกับหญิงสาว
“ข้าชื่อเรไร” ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ
“เจ้าปลอดภัยแล้ว กลับไปหาแม่เถอะ” ชายหนุ่มบอกก่อนจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนพี่ชาย” หญิงสาวเกาะแขนเขาไว้มิให้ไปไหน แล้วถามว่า
“พี่ชายชื่ออะไร”
“ข้าชื่อเทพศิลป์” เขาอยากจะสะบัดมือของหญิงสาวออกเหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ จึงเสแสร้งชี้มือไปทางสังเวียนมวย
“คืนนี้มีการชกมวยหรือ” เขาเสแสร้งถามเพื่อให้หญิงสาวคายมือออกแต่ก็ไม่เป็นผล
“ใช่ คืนนี้มีชกมวยหลายคู่เลยแหละ ท่านสนใจหรือ”
“ข้าแค่สงสัยน่ะ มิได้สนใจอะไรมากหรอก” ความจริงชายหนุ่มก็รู้ตั้งแต่เห็นสังเวียนแล้วว่า จะต้องมีการชกคืนนี้แต่เขาก็แกล้งถามไปงั้นเอง เราจะทำยังไงดีหว่าผู้หญิงคนนี้จึงจะปล่อยมือออกจากแขนเราเสียที
“พี่ชายมาจากที่ใด แล้วทำไมถึงช่วยข้า” หญิงสาวตั้งคำถามบ้าง
“ข้ามาจากเมืองบน กำลังจะไปอยุธยา เพื่อสมัครเป็นทหารในสังกัดเจ้าฟ้าวังหน้า ที่ข้าช่วยเจ้าไว้เพราะทนเห็นคนอื่นตกอยู่ในอันตรายต่อหน้าต่อตามิได้ก็เท่านั้น”
“งั้น ข้าขอไปกับพี่ชายด้วย” พูดหนักแน่น ไม่มีท่าทีว่าจะพูดเล่นเลย
“อันใดนะ!” ชายหนุ่มตกใจเพราะเขาไม่ต้องการให้มีผู้หญิงเดินทางไปด้วยอีก แค่คนเดียวก็วุ่นวายจะตายอยู่แล้ว หากมีอีกคนเขาก็คงรำคาญตายแน่
“ข้าก็พูดชัดเจนแล้วว่า จะไปกับพี่ชาย” น้ำเสียงและแววตาของหญิงสาวเด็ดเดี่ยวมั่นคงจนทำให้ชายหนุ่มเห็นใจ
“ข้าพาเจ้าไปด้วยมิได้หรอกนะ” ชายหนุ่มปฏิเสท
“ต้องได้ ยังไงข้าก็จะไปกับท่าน เพราะท่านเป็นคนช่วยข้ามิให้ตกเป็นทาส”
“โอ๊ย ทำไมเจ้าพูดไม่รู้เรื่องอย่างนี้” ชายหนุ่มมิได้ใจดีเหมือนกายแก้ว ที่จะตามใจผู้หญิงเมื่อถูกขอร้อง เมื่อเจอคนแบบเรไรเขาจึงแสดงกิริยาหงุดหงิดออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เรไรทำเป็นไม่เห็นเสีย
“ข้ามิรู้หลอกนะว่า ท่านจะเต็มใจหรือไม่ แต่ข้าจะไปกับพี่ชายให้ได้ ถึงพี่ชายจะขับไล่อย่างไร ข้าก็จะไม่ไปไหนดอก”
เทพศิลป์จำใจต้องปล่อยให้เรไรติดตามไปด้วย ถึงเขาจะไม่เต็มใจมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะนางคนนี้ตามติดเขาเหมือนเงา ในที่สุดเขาก็ต้องพานางกลับที่พักด้วย
รัตติกาลมาเยือน กายแก้วและเกตุมณีนั่งดูมวยอย่างสำราญใจ ซึ่งตอนนี้มวยก็ต่อยได้หลายคู่แล้ว ตัวของชายหนุ่มแทบอยากขึ้นไปต่อยบนสังเวียน แต่ก็ต้องหักห้ามใจไว้ เพราะเขาไม่อยากให้เกตุมณีอยู่คนเดียว
“ไปกันเถอะกายแก้ว ข้าเบื่อแล้ว” หญิงสาววิงวอน
“งั้นเจ้าอยากดูอะไรล่ะ” ชายหนุ่มถามอย่างเอาใจ
“ไปดูโขนดีกว่า” หญิงสาวบอก
“ไปก็ไป” ทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปจนถึงโรงโขน จากนั้นก็พากันไปนั่ง ซึ่งตอนนั้นโขนก็เริ่มแสดงพอดี
“คราวนี้ หวังว่าเจ้าคงไม่เบื่ออีกนะ” ชายหนุ่มหยอกเย้า
เกตุมณีค้อนให้วงหนึ่ง แล้วพูดว่า “เบื่อ แต่คงไม่มีอะไรดูอีกแล้ว”
“งั้นก็ดูข้าแทนสิ มิต้องดูแล้วโขนน่ะ”
“บ้า เจ้ามีอันใดให้น่าดู”
“ก็สุดแท้แต่เจ้าจะพิจารณา” ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ
“โอ๊ย พูดอะไรน่าเบื่อ เรากลับกันเถอะ ข้าไม่อยากดูแล้ว” เกตุมณีพูด
“งั้นก็หมายความว่า เจ้าอยากดูเราแทนใช่ไหม” ชายหนุ่มแกล้งหยอกเย้าอีก
“บ้า”
ในร้านเหล้า สองสหายนั่งดื่มกันอย่างเพลิดเพลิน สายตาของพวกเขาก็หันไปมองสาวๆที่เดินผ่าน สร้างความสำราญให้พวกเขาได้ไม่น้อย
“เป็นไงวะไอ้สิงห์ สาวเมืองสุพรรณงามตาหรือไม่” เสือหันไปถามเพื่อนที่นั่งดื่มสุราอยู่ข้างๆ
“งามแท้ ไอ้เสือ” สิงห์พูดแล้วยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม
“เอ็งหมายตาผู้ใดไว้หรือเปล่าวะ” เสือถามเพื่อนอีก
“ยังดอกไอ้เกลอ ข้ายังไม่มีทรัพย์สินเงินทองที่จะเลี้ยงดูเขาให้สุขสบาย”
“เอ็งคิดถูกแล้วไอ้เกลอ”
ทั้งสองดื่มกันจนเมามายพอสมควร แล้วจึงกอดคอกันกลับยังที่พัก
กายแก้วพาเกตุมณีมายังศาลาที่พักนานพอสมควรแล้ว แต่เขาก็มิอาจข่มตาให้หลับได้ เขาคิดถึงเรื่องตอนวัยเด็กที่มีทั้งความสุขและความเศร้าปนเปกัน ภาพในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อวัยเด็ก บนศาลานั้นมีเด็กอยู่ 3 คน เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปหาเด็กหญิงด้วยสีหน้าเศร้า ส่วนเด็กผู้ชายอีกคนยืนนิ่งมิได้แสดงอากัปกิริยาใดๆออกมา
เด็กผู้ชายคนแรกก็คือกายแก้ว เขามีท่าทางลังเลที่จะบอกเรื่องอะไรบางอย่างกับเด็กหญิง แต่ในที่สุดก็พูดออกมาเพราะเวลาไม่คอยท่าแล้ว
“พลอยฟ้า พี่ต้องไปเรียนวิชา เราคงไม่ได้เล่นด้วยกันอีกแล้ว” กายแก้วในวัยเด็กพูด
“พลอยไม่อยากให้พี่ไปเลย” เด็กหญิงพูดทั้งน้ำตา
“เมื่อไหร่เอ็งจะร่ำลาอีผู้หญิงขี้แยคนนี้จบวะ” แสงสุรีย์ชี้หน้ากายแก้วที่อาลัยอาวรณ์เด็กหญิงอยู่
“เอ็งไม่เกี่ยว ไอ้แสงสุรีย์ ถ้าเอ็งรีบเอ็งก็ไปรอบนเรือนู่น เดี๋ยวข้าตามไป”,, , ,, กายแก้วพูดออกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“ก็ได้, แต่อย่านานนักล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเรือ” แสงสุรีย์รีบเดินจากไปทันที ถ้าเขายังอยู่ตรงนั้นคงได้มีเรื่องชกต่อยกันแน่
ไม่นานนักกายแก้วก็ติดตามมา หลังจากนั้นทั้งสองก็ถูกส่งไปร่ำเรียนวิชาในสำนักของอาจารย์ฤทธิ์ที ชีวิตของพวกเขาในตอนนั้นต้องฝึกวิชาต่างๆมากมาย จนแทบไม่มีเวลาได้เล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆเลย
วันเวลาผ่านไป จากเด็กเริ่มเติบโตเป็นหนุ่ม กายแก้วในวัย 15 ปี บัดนี้ชายหนุ่มสูงใหญ่สง่างามสมเป็นชาติบุรุษ ดวงตาคมมองไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ยกขลุ่ยขึ้นบรรเลงด้วยทำนองเศร้าโศก หลังพิงโคนต้นอโศกใหญ่ เสียงคีตาบรรเลงเรื่อยๆ ในสมองให้นึกถึงความหลังในอดีต
นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้เล่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังตราตรึงในความทรงจำ ตั้งแต่เขามาเรียนวิชาก็ผ่านไปหลายปี ป่านฉะนี้เด็กคนนั้นคงโตขึ้นมากแล้วสินะ
“ไอ้กายแก้ว เอ็งอยู่ไหน” เสียงของแสงสุรีย์ที่โตเป็นหนุ่มเหมือนกันเรียกหา
กูอยู่นี่ เขาลุกขึ้นส่งเสียงให้สหายรู้
“มาหลบอยู่ตรงนี้เอง กูตามหาตั้งนาน” แสงสุรีย์เดินเข้ามาต่อว่าสหายยิ้มๆ
“มึงมีกระไรหรือเปล่า ไอ้แสง” เขาถามออกไปแล้วเก็บขลุ่ยไว้ในย่ามผ้า
“อาจารย์เรียกหา รีบกลับไปเถอะ พวกเราจะได้กลับเรือนแล้วว่ะ” แสงบอก
“หมายความว่า พวกเราเรียนจบแล้วอย่างนั้นรึ ไอ้แสง”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ามึงอยากรู้ก็กลับไปถามอาจารย์พร้อมๆกันสิวะ มาถามกูทำไม”
“ไปก็ไป” กายแก้วพูดขรึมๆ
“เออไอ้แก้ว กูมีเรื่องจะถาม”,, แสงพูดขึ้นในขณะที่เดินไปยังสำนักของอาจารย์
“ก็ถามมาสิวะ”
“ในอาวุธที่พวกเราได้ร่ำเรียน มึงถนัดอะไรมากที่สุด”
“ดาบสองมือ” เขาตอบสั้นๆแล้วเดินเร็วขึ้น
“มึงตามหาควายหายหรือไงวะ เดินเร็วเป็นบ้า” แสงตะโกนไล่หลัง
“ไปหาอาจารย์โว้ย ไอ้แสง ถ้าหากมึงจะเดินชมนกชมไม้ก็เรื่องของมึงนะ กูไปก่อนแหละ”
“กายแก้ว เจ้ายังไม่หลับเหรอ” เสียงเกตุมณีทำให้เขาตื่นจากภวังค์ความคิด
“ยังเลย” เขาตอบสั้นๆ
“ดึกแล้ว ทำไมยังไม่นอนอีก พรุ่งนี้ต้องเดินทางนะ” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วง
“เอาแหละ พี่นอนก็ได้” ชายหนุ่มหลับตาลงแล้วไม่พูดอะไรอีก ไม่นานนักก็เข้าสู่นิทรา
รุ่งเช้าทั้งหมดจึงเตรียมตัวออกเดินทางไปยังอโยธยา คราวนี้พวกเขาจะเดินทางด้วยเรือ เพราะว่าไม่อยากเสี่ยงอันตรายในปากอีก
“พวกเจ้ามิต้องห่วง เราจะไปถึงอยุธยาโดยเร็วที่สุด” เทพศิลป์พูด ชายหนุ่มเคยร่ำเรียนวิชากสิณน้ำ สามารถย่นระยะทางในน้ำได้ คราวนี้เขาจะลองใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมาดู เพราะตั้งแต่ได้เรียนก็ยังไม่เคยลองแม้แต่ครั้งเดียว
“เอ็งแน่ใจนะว่าทำได้” กายแก้วยังสงสัยเพราะยังไม่เคยเห็นฝีมือเพื่อนในการใช้พระเวทแม้แต่ครั้งเดียว
“เจ้าคอยดูแล้วกัน” ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แล้วเจ้าจะเอาผู้หญิงคนนั้นไปจริงๆหรือ” สิงห์ถามแล้วมองหน้าเรไร
“ข้าหาเต็มใจไม่” ชายหนุ่มตอบตามตรง
“จะเต็มใจหรือไม่ข้าไม่สน ข้ารู้แต่ว่า ท่านเป็นผู้มีพระคุณ ต้องตามไปรับใช้”,,, , , ,, เรไรตอบอย่างถือดื้อ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 142
แสดงความคิดเห็น