บทที่ 5 ไฟสยบมาร
“ที่แท้เจ้าก็เก่งเพราะอาวุธที่อาจารย์ให้นี่เอง” เสียงสัพยอกทำให้กายแก้วหันไปมองอย่างขุ่นเคือง
“ถ้าไม่มีฝีมือ ต่อให้มีอาวุธดียังไง มันก็เปล่าประโยชน์” เสียงของชายหนุ่มแข็งขึ้น
“ข้าล้อเล่นนิดเดียว ทำไมต้องทำเป็นโกรธด้วย” พูดพร้อมกับยิ้มเหมือนจะล้อเลียน
“อย่ายั่วโมโหได้ไหม”
“อย่าเพิ่งโกรธสิ โกรธมากอายุจะไม่ยืนนะ”
“โธ่เว้ย” ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดเข้าที่ผนังของถ้ำจนสะเทือน
“เอาหน้า เจ้ามีอะไรจะถามเรามิใช่หรอ ก็รีบถามมาสิ มัวแต่โมโหโกรธาอยู่ได้”
ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนตั้งคำถาม “เจ้าทำไมต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย ทั้งๆที่เจ้าก็เป็นผู้หญิง”
“นี่ เจ้ารู้หรอ!” ถามอย่างตกใจ
“หากไม่รู้ก็ตาบอดแล้ว ตอนที่ข้าไปช่วยเจ้าจากจระเข้ ลืมไปแล้วหรือ”
“เราจำเป็นต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย ถ้าเรายังแต่งตัวเป็นผู้หญิง เราจะเป็นอันตราย” หญิงสาวอธิบาย
“เจ้าจำมิได้เหรอ ขนาดข้าปลอมตัวเป็นผู้ชายก็ยังเกือบถูกลวนลาม ถ้ายังแต่งตัวเป็นผู้หญิงจะขนาดไหน”
“จริงด้วย ข้าก็ลืมคิดข้อนี้ไป”
“มีอะไรจะถามอีกไหม”
“ชื่อของเจ้าคืออันใดกันแน่”
“เกตุมณี แต่เจ้าเรียกข้าว่าเกตุเหมือนเดิมดีแล้ว”
“เอาเป็นว่า ข้าจะเรียกเจ้าว่าเกตมณี” พูดแล้ว เขาก็เอนกายลงนอนทำเป็นไม่สนใจอะไรอีก
“อย่าเพิ่งนอนสิ บอกเรามาก่อนว่ามีใครรู้บ้างว่าเราเป็นผู้หญิง” ถามพร้อมเขย่าตัวเขาอย่างแรง
“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้หรอก แต่เราจะต้องบอกทุกคนให้รู้ไว้ มิเช่นนั้นคงมีปัญหาตามมา” เขาพูดแค่นั้นก็เงียบเสียงไป
ฝ่ายโจรป่า หลังจากสูญเสียนายโจรคนเก่าแล้ว ก็เลือกคนใหม่ขึ้นมาทันที เพราะงูจะขาดหัวไม่ได้
“อาจารย์อินทร์เหมาะสมที่สุด จงรับตำแหน่งหัวหน้าโจรด้วยเถิด” เสียงเรียกร้องดังระงมทั่วชุมโจร
“ตกลง ข้าจะเป็นหัวหน้าโจร และจะช่วยแก้แค้นแทนหัวหน้าคนเก่า” ขุนโจรอินประกาศก้อง
เสียงโจรร้องดีใจดังลั่น บางคนก็กระโดดอย่างยินดี บางคนก็เอาเครื่องดนตรีมาดีดสีตีเป่า
“เอาล่ะ ข้าจะแก้แค้นวันนี้เลย” หัวหน้าโจรสั่งให้พวกสมุนเอาศพของคนที่ตายมาวางเรียงกันไว้ ก่อนที่จะเริ่มพิธี
ขุนโจรบริกรรมคาถาอยู่นานจนกระทั่งสายลมพัดแรงขึ้น ร่างที่ไร้วิญญาณลุกขึ้นเดินมาหาขุนโจรทันทีที่บทคาถาจบ
“พวกเจ้า จงไปสังหารคนที่มันปลิดชีพของพวกเจ้า อย่าช้าที” พอเสียงสั่งจบลง พวกผีดิบก็เดินออกไปทันที
เวลาสองยาม เทพศิลป์นั่งเฝ้ายามอยู่หน้าถ้ำคนเดียว ชายหนุ่มก่อไฟเพื่อกันหนาวและพวกสัตว์ร้าย คันธนูวางอยู่ข้างกายพร้อมกระบอกลูกศร เตรียมพร้อมรับศึก หากมีอะไรเข้ามาเขาก็สามารถใช้ได้ทันที
กองไฟลุกโชติช่วงชัชวาลทำให้เห็นสิ่งรอบกายได้อย่างชัดเจน ร่างของคนหลายคนเดินช้าๆเข้ามาหาชายหนุ่มด้วยอาการแข็งทื่อ
“พวกมันไม่ใช่คน” เขาบอกกับตัวเอง แล้วหยิบคันธนูขึ้นพร้อมลูกศร เตรียมที่จะต่อสู้
ผีดิบตัวแรกเดินเข้ามาก็โดนลูกธนูของเขาทะลุร่างกายไป น่าแปลกมันไม่สะทบสะเทือนแม้แต่น้อยแม้จะโดนไปอีกสักกี่ลูกมันก็ไม่เป็นไร
เทพศิลป์กระวนกระวายยิ่งนัก เพราะพวกมันสังหารไม่ตาย พวกมันตายมาแล้วจะไม่มีทางตายอีก
ทั้งหมดรู้สึกตัวขึ้น เพราะเสียงการต่อสู้นอกถ้ำ จึงชวนกันออกไปดูทันที เมื่อทุกคนเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องผวากันทุกคน สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาก็คือซากศพเดินได้ ซากไหนที่สมบูรณ์อยู่ก็ยังพอทำเนา แต่มีอยู่บางตนที่เหลือแต่ลำตัว ส่วนหัวหายไป
เกตมณีหลับตาด้วยความกลัว มือทั้งสองข้างเกาะแขนของกายแก้วไว้แน่น ซึ่งกายแก้วก็มิได้ว่าอะไร
“ผีดิบ” เสืออุทานออกมาอย่างตกใจ
“พวกเจ้าระวังด้วย มันสังหารไม่ตาย” เทพศิลป์บอก
“พี่สิงห์ ไปจุดเทียนมาให้ข้าเร็ว” กายแก้วบอกพร้อมยื่นเทียนขี้ผึ้งให้
สิงห์รับมาอย่างงงๆ แต่ก็ทำตามอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักสิงห์ก็เอาเทียนที่จุดไฟมายื่นให้ชายหนุ่ม “จะทำอะไรก็รีบทำเถอะ ไม่งั้นพวกเราได้ตายกันหมด”
กายแก้วรับเทียนมา แล้วเดินไปอยู่หน้าทุกคน จากนั้นก็ทำใจให้เป็นสมาธิ “เตโช กะสินัง” เขาภาวนาจนแน่ใจว่าใช้ได้แล้ว จึงขว้างเทียนออกไป
เทียนตกลงพื้นต่อหน้าผีดิบ แล้วระเบิดขึ้นเป็นไฟกองใหญ่แผดเผาพวกมัน กสิณไฟร้อนแรงเหมือนไฟนรก เผาผลาญพวกมัน จนละลายกลายเป็นเท่าธุลี
“จบสิ้นกันสักที ไอ้พวกผีนรก” เสือพูด
“เอ็งทำได้ยังไงวะ กายแก้ว” สิงห์หันมาถาม
“ข้าใช้เตโช กศิลป์ เผาผลาญพวกมัน”
“พวกมันมาได้ยังไง” เกตุมณีสงสัย
”คงมีคนที่มีวิชาอาคมปลุกมันขึ้นมา” เทพศิลป์อธิบาย
“แล้วมันใครล่ะ ที่ปลุกขึ้นมา”เสือหันไปถาม
“ก็คงจะเป็นพวกโจรนั่นแหละ ข้าจำมันได้ดี” เทพศิลป์บอก
“มันจะจองล้างจองผลาญพวกเราไปถึงไหนวะ” เสือพูดอย่างฉุนเฉียว
“ก็คงต้องตายกันไปข้างนึงแหละ” กายแก้วตอบ
“เอาแหละ เข้าไปพักผ่อนเถอะ มันไม่มีอะไรแล้ว” สิงห์ชักชวนแล้วเดินนำเข้าไป
ทั้งหมด ยกเว้นเทพศิลป์ เข้าไปพักผ่อนทันที เพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
ยามสองผ่านไป สถานการณ์ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ คืนนั้นทุกคนผลัดกันเฝ้ายาม ยกเว้นเกตุมณีที่ทุกคนปล่อยให้นางนอนสบาย,, กายแก้วเข้ายามเป็นคนสุดท้าย ชายหนุ่มจึงนั่งสวดมนต์ไปตามกิจวัตรประจำวันที่เคยปฏิบัติมา สวดมนต์เสร็จเขาก็ท่องตำรับพิชัยสงครามต่อ เพื่อทบทวนความจำด้วย
๑. กลฤทธี
“กลศึกอันหนึ่ง ชื่อว่าฤทธีนั้น
ซั้นทะนงองค์อาจ ผกผาดกล่าวเริงแรง
สำแดงแก่ข้าแกล้วหาร ชวนทำการสอนสาตร
อาจเอาบ้านเอาเมือง ชำนาญเนืองณรงค์
ยงใจผู้ใจคน อาษาเจ้าตนทุกค่ำเช้า
จงหมั่นเฝ้าอย่าคลา ภักตราชื่นเทียมจันทร์
ทำโดยธรรม์จงภักดิ์ บันเทิงศักดิจงสูง
จูงพระยศยิ่งหล้า กลศึกนี้ชื่อว่า ฤทธีฯ”
๒. กลสีหจักร
“กลหนึ่งชื่อว่าสีหจักร ให้บริรักษพวกพล
ดูกำลังตนกำลังท่าน คิดคเนการแม่นหมาย
ยกย้ายพลเดียรดาษ พาษไคลคลี่กรรกง
ต้อรพลลงเป็นทิศ, สถิตรช้างม้าอย่าไหว
ตั้งพระพลาไชยจงสรรพ จงตั้งทับโดยสาตร
ฝังนพบาทตรีโกณ ให้ฟังโหรอันแม่น
แกว่นรู้หลักหมีคลาด ให้ผู้องอาจทะลวงฟัน
ให้ศึกผันแพ้พ่าย ย้ายพลใหญ่ให้ไหว
ไสพลศึกให้หนี กลศึกอันนี้ชื่อว่า สีหจักรฯ”
๓. กลลักษณ์ซ่อนเงื่อน
“กลหนึ่งลักษณส้อนเงื่อน เตือนกำหนดกฎหมายตรา
แยกปีกกาอยู่สรรพ นับทหารผู้แกล้ว
แล้วกำหนดจงคง แต่งให้ยงยั่งเย้า
ลากศึกเข้าในกล แต่งคนแต่งช้างม้า
เรียงหน้าหลังโจเจ รบโยเยแล้วหนี
ศึกติดตีตามติด สมความคิดพาดฆ้องไชย
ยกพลในสองข้าง ยกช้างม้ากระทบ
ยอหลังรบสองข้าง จึ่งบ่ายช้างอันหนี
คระวีอาวุทธโห่ร้อง สำทับก้องสำคัญ
ยืนยันรบทั้งสี่ คลี่พลออกโดยสั่ง
สัตรูตั้งพังฉิบหาย อุบายศึกนี้ชื่อว่าลักษณซ่อนเงื่อนฯ
เกตุมณีแอบฟังเขาสาธยายพิชัยสงครามด้วยความเพลิดเพลิน เมื่อตะวันขึ้นนางจึงเดินไปหาเขา ก่อนที่จะบอกว่า
”“กายแก้ว ข้าจะไปอาบน้ำ เจ้าไปเฝ้ายามให้เราหน่อยสิ” เกตุมณีขอร้อง
“ได้” ชายหนุ่มรับสั้นๆ
ทั้งสองเดินไปที่สระน้ำที่เกิดเหตุเมื่อวาน แต่เวลานี้น้ำใสสะอาด ซากจระเข้ก็ไม่มีแล้ว ส่วนจะหายไปในนั้นไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น
“เจ้านั่งรออยู่ตรงนี้แหละ แล้วก็จงหันหลังให้ข้า อย่าแอบมองเด็ดขาด” เกตุมณีบอกให้เขานั่งบนพื้นหญ้าที่อยู่ใกล้ๆกับสะ
พอชายหนุ่มหันหลังให้ หญิงสาวถึงเปลื้องผ้าออก แล้วโดดลงน้ำทันที
นานพอสมควรถึงได้ยินเสียงหญิงสาวพูด “กายแก้ว ข้าจะขึ้นจากน้ำแล้ว ส่งมือมาให้ข้าหน่อยสิ”
เขาไม่หันไปมอง แต่ยื่นมือกลับหลังไปให้หญิงสาวจับขึ้น “เฮ้ย!” ร่างของชายหนุ่มถูกลากลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว จนเขาไม่ได้ตั้งตัว
“อาบน้ำซะบ้าง ข้าเห็นใส่เสื้อตัวนี้มานานแล้วไม่เห็นเปลี่ยนเลย” หญิงสาวบอกแล้วรีบขึ้นจากน้ำ แต่ก็ถูกเขาลากลงมาอีก
“จะไปไหนยายตัวแสบ มาอาบน้ำเป็นเพื่อนข้าเดี๋ยวนี้”
หญิงสาวสาดน้ำใส่หน้าเขาอย่างแรง ชายหนุ่มต้องหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ตอนนี้เขารู้สึกแสบตายิ่งนัก ต้องเอามือขยี้ตาตั้งหลายหนจึงรู้สึกดีขึ้น
เกตุมณีฉวยโอกาสนั้นขึ้นไปบนบก แล้วใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว “เชิญอาบน้ำให้สบายนะกายแก้ว”
กายแก้วลืมตาขึ้นก็ไม่เห็นหญิงสาวเสียแล้ว “ฝากไว้ก่อนเถอะ ยายตัวแสบ” เขาพูดแล้วรีบอาบน้ำจนเสร็จ จากนั้นก็เดินเข้าไปในถ้ำ
กายแก้วเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในชุดสีส้มแกมเหลือง ทำให้เขาดูสง่างามกว่าเดิม กำไลแก้วประดับอยู่ที่ข้อมือขวา แหวนนาคบาศประดับที่นิ้วชี้ข้างซ้าย
ชายหนุ่มเดินออกมาจากคูหาแล้วพบกับเกตุมณีอย่างบังเอิญ
”ว่าไงแม่สาวน้อย เราแต่งตัวแบบนี้ดูดีหรือไม่” เขาถามยิ้มๆ
“ก็ดีกว่าเมื่อวานก็แล้วกันน่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ
ชายหนุ่มพิจารณาหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า บัดนี้หญิงสาวแต่งตัวเป็นหญิงในชุดสีชมพูกลีบบัว ดูงามยิ่งนัก เขาต้องขมวดคิ้วอย่างเอือมระอาในนิสัยของผู้หญิงที่รักสวยรักงาม แต่สำหรับเขาเห็นว่ามันผิดที่ผิดเวลา ถ้าหากจะแต่งเขาก็ไม่ว่า แต่ต้องให้อยู่ในเมืองเสียก่อน
“เจ้าจะแต่งตัวแบบนี้เดินป่ารึ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
“คืบก็ป่า ศอกก็ป่า, ไม่เห็นเป็นไรได้ยังไง”
“ก็มีเจ้าคอยปกป้องอยู่ จะต้องกลัวอะไร จริงไหม” หญิงสาวแกล้งถาม
“เออๆ เราไม่เถียงกับเจ้าแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางดีกว่า” ว่าแล้วก็เดินจากไป
เกตุมณีมองตามร่างล่ำสันสูงสง่าของเขาไป ชำเรืองค้อนให้นิดนึง แล้วพูดว่า “คงเถียงเราไม่สู้สินะ”
ทั้งหมดออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ในระหว่างทางก็หาพบพวกโจรป่าไหม้ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังเสียขวัญที่ผีดิบถูกทำลายจนหมด แต่ก็ยังวางใจไม่ได้จนกว่าจะพ้นป่าแห่งนี้ไป
ผ่านไปหลายวัน พวกเขาก็พากันมาถึงเมืองสุพรรณบุรี ช่วงนั้นมีงานวัดพอดี ทุกคนจึงหันหน้าเข้าปรึกษากันว่าจะเอายังไงต่อ
“ ข้าอยากเข้าไปเที่ยวเมืองสุพรรณ ได้ยินว่าสาวๆที่นี่งดงามยิ่งนัก” เสือว่า
“เอาสิวะไอ้เกลอ กูก็อยากเที่ยวเหมือนกันว่ะ” สิงห์บอกออกมา
“แล้วแม่หญิงเกดมณีล่ะ จะเอาอย่างไรต่อไป ไปเที่ยวกันไหม” กายแก้วหันไปถาม
“แล้วแต่ท่านสิ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญพวกเอ็งตามสบายนะ ข้าขอแยกตัวไปคนเดียว” เทพศิลป์ว่า จากนั้นเขาก็เดินแยกไป
กายแก้วจูงเกตุมณีเข้ามาในงาน ผู้คนมากมายต่างเพ่งมองมาอย่างอิจฉา ชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่นี้ดูเหมาะสมกันจริงๆ,, บุรุษนั้นเปรียบได้ดั่งสุริยัน ส่วนสตรีก็เหมือนดวงจันทราที่อ่อนละมุน
สายลมเมื่อยามเย็นภัดเส้นผมของเกตุมณีจนปลิวสะบัดไปมา กายแก้วจึงซื้อปิ่นปักผมทองคำประดับอัญมณีเพทายม้ายื่นให้
“ปิ่นเพทายเนี่ยเหมาะสมกับเจ้าที่สุดแล้ว เดี๋ยวข้าช่วยปักให้นะ” พูดแค่นั้น ชายหนุ่มก็บรรจงปักปิ่นลงที่ผมของนางอย่างแผ่วเบา
“ขอบใจนะ” เกตุมณีพูดเบาๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมา
“เราไปดูอย่างอื่นกันเถอะ” กายแก้วชักชวน
“ไปสิ” นางรับคำง่ายๆ
เทพศิลป์เดินเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อดูสภาพสังคมของที่นี่ เดินไปไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงผู้หญิงขอความช่วยเหลือดังลั่น ชายหนุ่มรีบวิ่งไปทางที่ได้ยินเสียงอย่างรวดเร็ว ไม่นานเขาก็เห็นพวกชายฉกรรจ์ 3 คน กำลังฉุดกระชากหญิงสาวคนหนึ่งอยู่
“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้” เขาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ปล่อยไม่ได้โว้ย แม่ของอีนี่มันติดหนี้เจ้านายกู ในเมื่อมันไม่มีจ่ายกูก็ต้องเอาลูกของมันมาเป็นทาสตามที่ได้ตกลงกับเจ้านายกูเอาไว้”
ชายหนุ่มรู้สึกสังเวชหญิงสาวคนนี้ยิ่งนัก เขาจึงหันไปถามพวกมันต่อไปว่า “แม่ของผู้หญิงคนนี้ติดหนี้เจ้านายเอ็งเท่าไหร่กันเล่า หากไม่มากจนเกินไป ข้าก็ขอซื้อต่อเถอด”
“5 ช่าง” ชายคนเดิมตอบ
“ได้จ้ะ ฉันจะขอซื้อผู้หญิงคนนี้ แต่ในเมื่อข้าซื้อแล้วพวกเอ็งไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับนางอีกนะ” เทพศิลป์ต่อรองกับพวกมัน
“แน่นอนโว้ย คนอย่างพวกกูรักษาสัจจะเสมอ ในเมื่อมึงซื้อแล้วอีนางนี่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกกูอีก”
เมื่อชายคนเดิมตอบเช่นนั้นเทพศิลป์ก็ยื่นเงินให้ตามจำนวน หลังจากนั้นพวกมันก็ได้ปล่อยตัวหญิงสาว,, ไม่นานพวกมันก็เดินจากไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 93
แสดงความคิดเห็น