STARCIN ภาคที่ 8 Freight ตอนที่ 2 สานใย
สเตล่าค่อย ๆ เคลื่อนที่เร็วขึ้นเพราะสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนตามหลังมา พอเข้าใกล้เขตชายแดนก็ยิ่งวิ่งหนีเร็วเข้าไปอีก
“หยุดหนีได้แล้ว” สายลับที่แอบตามกระโจนเข้าใส่พร้อมกับดาบฟาดลงตรงหน้าเสมือนการข่มขู่
“สเตล่า แอสซิน ผู้มีสายเลือดคนสุดท้ายของตระกูลแอสซิน ไม่น่าเชื่อว่าจะยังหลงเหลืออยู่และกลับมาให้กำจัดถึงที่” ชุนวาดดาบจากซ้ายไปขวาเตรียมปลดปล่อยมานา
“เงียบอย่างนี้คงกำลังช็อกเพราะไม่คิดว่าเราจะตามมาได้สินะ” ไม่ว่าชุนจะพูดอะไรสเตล่าก็เอาแต่ปิดปากเงียบทำเพียงจ้องมองวิถีดาบที่กำลังจะโจมตีมา
“ช่างเถอะ ยังไงเจ้าก็จะตายอยู่แล้ว” คมดาบวาดผ่านร่างของสเตล่ารวดเร็วจนมองไม่เห็นรอยที่ฟันเลยด้วยซ้ำ
“การตอบสนองไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่” ร่างที่ชุนฟันเป็นเพียงภาพที่ทิ้งไว้จากการเคลื่อนไหวของสเตล่า หลังจากหลบการโจมตีของชุนได้เธอก็รีบหนีสุดชีวิต แต่นั่นก็ทำได้แค่ยื้อเวลาไว้เท่านั้นเพราะอีกฟากหนึ่งของกำแพงชายแดนก็มีพรรคพวกของสำนักมนตร์ดำรออยู่
พวกเขาไล่ล่าติดต่อกันหลายชั่วโมงจนกระทั่งทั้งมานาและแรงของสเตล่าหมด
“หนีเก่งจริง ๆ คงเพราะหนีเก่งเช่นนี้ถึงได้หนีรอดมาถึงตอนนี้สินะ” ชุนและพรรคพวกล้อมตัวสเตล่าไว้ไม่เหลือเส้นทางหนีอีกต่อไป
“สักวันพวกแกต้องได้รับโทษ” พูดจบดาบและอาวุธมีคมฟาดฟันร่างของสเตล่าจนพิสูจน์ศพก็ยังลำบาก แค่นั้นไม่พอพวกเขายังจุดไฟเผาจนเหลือแต่ขี้เถ้าแล้วเอาไปโปรยทิ้งในแม่น้ำไม่เหลือร่องรอยใด ๆ อีก
“ฝากรายงานให้ผู้บริหารทราบด้วย ข้าต้องกลับไปที่สำนักก่อนที่เจ้าสำนักจะไม่สบายใจ”
พรรคพวกของเขาพยักหน้าตอบรับและหายตัวไปกับสายลม
โชคดีจริง ๆ ที่เธอมาอยู่ในสำนักพอดี นาน ๆ ทีจะได้มีผลงานกับเขาบ้างเผื่อได้เลื่อนขั้น เขารีบเดินทางกลับไปยังสำนักทันทีแต่กว่าจะถึงก็ฟ้ามืดเสียแล้ว
ชุนเดินผ่านประตูสำนักเหมือนทุกทีแต่ที่สำนักกลับไม่ได้เงียบสงบอย่างที่คิด พวกเซนและเด็ก ๆ จัดงานฉลองอะไรสักอย่างซึ่งเต็มไปด้วยอาหารของยูกิและเครื่องดื่มมึนเมาให้ได้สุขสันต์กันถ้วนหน้า
“ข้ากลับมาแล้วขอรับ” ชุนกล่าวทักทายเจ้าสำนัก
“กลับมาก็ดีแล้ว มากินกันดีกว่า” เฉิงยกแก้วน้ำให้ชุนดื่มและกลับไปสนุกกับพวกเซนต่อ
อยู่ดี ๆ ก็ทำอะไรใหญ่โตเลยแฮะ ชุนจิบเครื่องดื่มมึนเมาเข้าไปนิดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความหอมละมุนชวนให้หลงใหล
การจัดงานฉลองผ่านไปหลายชั่วโมงจนหลาย ๆ คนเมาหัวทิ่มไม่ได้สติเช่นเดียวกับชุนแม้เขาจะไม่ได้ดื่มอะไรมากมายก็ตาม
“ข้าขอตัวกลับไปนอนพักนะขอรับ...” ทันใดนั้นซึฮากิก็จับชุนกดลงพื้นล็อกแขนขาขยับไม่ได้แม้แต่นิ้วเดียว
“นี่มันเรื่องอะไรหรือขอรับ?” ชุนพยายามสลัดให้หลุดแต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ควบคุมร่างกายไม่ดีเท่าไร
เหล่าผู้คนที่เมาหมดสติเริ่มลุกขึ้นมาเหมือนคนปกติและยืนล้อมชุนไว้ไม่เหลือทางหนีอีกแล้ว
“เมื่อกลางวันนายไปไหนมา?” ซึฮากิถาม
“ข้าไปตามล่าและกำจัดสเตล่า แอสซิน” บ้าเอ๊ย ทำไมเราถึงพูดออกไปแบบนั้นเล่า
“นายคือสายลับของสำนักมนตร์ดำใช่ไหม?”
“ใช่” ไม่ ๆ หยุดนะเว้ย ทำไมปากมันถึงพูดไปเองวะ
การสารภาพของเขาทำให้อาจารย์และศิษย์พี่ศิษย์น้องตกใจไปตาม ๆ กัน ชายที่เป็นถึงอันดับสองของสำนักได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมามากมายกลับเป็นคนที่กำลังจะทำลายสำนักเสียเอง
“พอใจหรือยังครับ? ผมจะได้คุยธุระของตัวเองต่อ” ซึฮากิหันไปถามเฉิง
“อืม ข้าพอใจแล้ว” เฉิงชายตามองชุนสัมผัสได้ถึงความผิดหวังอย่างถึงที่สุด แม้กระทั่งกังที่นับถือเขาเป็นเหมือนน้องชายยังต้องส่ายหัวเดินหนีไปทันที
“ข้าไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นคนของสำนักมนตร์ดำ” กังและเฉิงนั่งอยู่ด้านนอกพยายามคิดไตร่ตรองกับตนเอง
“ข้าเองก็เหมือนกัน หลังจากนี้เราคงต้องระวังพวกมันให้มากกว่าเดิมเพราะพวกมันก็ไล่ล่าสำนักอื่นเพื่อเพิ่มอำนาจสำนักตัวเองอยู่แล้ว ถ้าหากเป้าหมายของการส่งหนอนมาอยู่ในสำนักก็เพื่อหาโอกาสกำจัดพวกเรา...ถ้าหากอาจารย์ซึฮากิไม่บอกความจริงเหล่านั้นพวกเราก็คงโดนกำจัดในสักวันเป็นแน่” เจ้าสำนักเฉิงถอนหายใจให้กับความโง่เขลาของตนและเดินกลับไปหาพวกซึฮากิอีกครั้ง
เฉิงได้เห็นการสอบปากคำที่ง่ายดายที่สุด ไม่ว่าซึฮากิจะถามเรื่องอะไรชุนก็จะตอบตามที่ตนเองรู้ในทันที
“ตอนนี้ใครบริหารสำนักมนตร์ดำสาขาอาณาจักรอาฟ?”
“คุณคอนซิว ตอนนี้เขาบริหารทั้งอาณาจักรนอดและอาณาจักรอาฟพร้อมกัน”
“พวกนายทำอะไรกับสเตล่า?”
“ข้าและพรรคพวกอีกห้าคนสับเธอเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็เผาให้เหลือแต่ขี้เถ้าแล้วก็เอาไปโยนลงแม่น้ำ...” พูดจบเซนก็ชกหมัดเข้าที่หน้าทันที
ไม่ใช่แค่เซนแต่คนอื่น ๆ ก็โกรธจนอยากจะฆ่าให้ตาย แต่เพราะซึฮากิบอกไว้ว่าห้ามเข้ามายุ่งจนกว่าจะสอบสวนเสร็จจึงได้แต่กัดฟันอดกลั้นความโกรธเหล่านั้นไว้
“พวกนายมีแผนอะไรเกี่ยวกับเมืองเอลโฟเรียไหม?”
“ท่านโยฮันสั่งให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษ”
“แค่นั้นเหรอ?”
“แค่นั้นจริง ๆ” ชุนตอบกลับทันที
ซึฮากิยืนคิดวิเคราะห์อยู่พักหนึ่งโดยที่ยังคอยกันไม่ให้พวกเซนเข้ามาทำร้ายชุนได้
อย่างน้อยก็ได้ข้อมูลที่ลึกกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร ถ้าเป็นภารกิจเฉพาะของสาขาอื่นก็อาจจะไม่ได้ส่งต่อข้อมูลกัน ซึ่งพวกมันไม่ใช่แค่เฝ้าระวังแน่ ๆ ถ้ากลับไปเมื่อไรเราคงต้องเพิ่มมาตรการการรักษาความปลอดภัย
“จัดการตามใจได้เลย” เมื่อสอบถามข้อมูลครบถ้วนซึฮากิก็ปล่อยให้พวกเซนได้ระบายความโกรธเกรี้ยว
ถ้าเรื่องการตายของสายลับไปถึงหูเร็วก็คงไม่ดีเท่าไร อย่างน้อยก็ต้องสร้างร่างปลอมเพื่อยืดเวลาออกไปไม่ให้สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของสเตล่าหรือเปล่า ขอบเขตการใช้เวทมนตร์ป้องกันเสียงก็คลุมไว้แค่เขตสำนัก ยังดีที่ไม่มีหนอนในสำนักนอกจากเจ้านี่แล้ว
“อยากทำอะไรก็ทำเลย ขอแค่ไม่ให้มันออกไปนอกเขตสำนักได้” พอกล่าวจบซึฮากิก็เดินกลับไปที่ห้องของตนเองเพื่อเตรียมการบางอย่าง
ถ้าจะหลอกคนอื่นก็ต้องหลอกพวกเดียวกันเองก่อน หวังว่าพวกเซนจะเข้าใจนะ
ขณะที่ซึฮากิกำลังจะหยิบมือถือขึ้นมาฟรานก็เคาะประตูเรียกเสียก่อน
“มีอะไร?” เขาเดินไปเปิดประตูแล้วยิงคำถามใส่ทันที
“สเตล่ายังมีชีวิตอยู่สินะ”
“อืม ฉันก็คิดไว้แล้วว่าเธอต้องรู้และยูกิเองก็น่าจะรู้เหมือนกัน”
“แล้วทำไมถึงต้องโกหกด้วยล่ะ? หรืออยากจะหลอกพวกมันด้วยก็เลยต้องหลอกพวกเดียวกันเอง” ฟรานค่อย ๆ เดินกดดันซึฮากิจนหลังชนกำแพง
“ฉลาดไม่เบานะเนี่ย ตัวแปรที่จะทำให้พวกมันเชื่อก็คือเซนและคานะ ทั้งสองน่าจะโดนจับตาดูอยู่แล้วและหากพวกเขาแสดงอาการหรือมีพิรุธจะเป็นปัญหาเอาได้”
“อืม แล้วจะบอกความจริงพวกเขาเมื่อไร?” ฟรานหันหลังกำลังจะเดินออกไปแต่ก็ถามอีกหนึ่งคำถามก่อน
“จนกว่าพวกเราจะมีอำนาจต่อกรกับสำนักมนตร์ดำ ข้อมูลที่มียังน้อยเกินไปสำหรับการปะทะอีกทั้งพวกมันยังมีเส้นสายอยู่ทุกอาณาจักร”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะฝึกฝนให้มากกว่านี้เพื่อเป็นพลังให้กับนายได้ในสักวัน...” ปลายฝักดาบแกว่งชนขอบประตูทำเอาเธอสะดุ้งตกใจและรีบเดินออกไปด้วยท่าทางเขิน ๆ
ต่อไปนี้คงต้องใช้เวทมนตร์ป้องกันเสียงตลอดแล้วสิ ถึงจะกันไม่ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ใช้งานได้ดี ซึฮากิใช้มือถือติดต่อกลับไปที่เมืองเอลโฟเรียเพื่อนัดหมายการประชุม
มีคนเข้ามาอยู่ในเมืองเป็นจำนวนมากทำให้เกิดภาวะแออัด คงถึงเวลาที่เราต้องขยายเมืองเสียที
หลังจากคุยกับทางโคเสร็จเขาก็ติดต่อไปหาลุงโทลต่อเพื่อดูสถานการณ์ของอาณาจักรนอด
“ผมฝากดูแลที่นั่นต่อนะครับ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ติดต่อมาได้เลย”
แคทเทอรีนกลับไปเป็นพันธมิตรกับฝ่ายทหารแล้ว อำนาจต่อรองที่มีก็ยิ่งเหลือน้อยเข้าไปใหญ่ ถ้าจะทำสัญญาซื้อขายก็คงต้องรีบแต่ที่นั่นคงไม่มีปัญหามากเท่าการค้าขายกับอาณาจักรคา การเดินทางขนส่งเป็นเวลานานทำให้ใช้ทุนมากกว่าปกติแถมสินค้าก็มีโอกาสเสียหายได้ด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขนส่งทางทะเลซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการขนส่งภาคพื้นและประหยัดกว่าการขนส่งทางอากาศ หรือต้องลองสินค้าล็อตแรกก่อนว่าจะมีปัญหาอะไรไหมแต่คนที่ขับเครื่องบินเป็นก็มีแค่โฟลคนเดียว ซึฮากินั่งคิดวิเคราะห์อยู่พักหนึ่งจนได้ข้อสรุปจุดหมายต่อไป
หลังจากที่ชุนโดนทรมานอยู่นานและบทลงโทษสุดท้ายจากเจ้าสำนักก็คือการประหารแต่เป็นการประหารอย่างลับ ๆ ที่มีแค่กังและอาจารย์ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
28 พฤษภาคม พ.ศ.2576
เรื่องราววุ่นวายค่อย ๆ สงบลงต่างคนต่างไม่พูดถึงเรื่องสายลับอีก ซึฮากิใช้เวทมนตร์สร้างชุนตัวปลอมขึ้นมาเพื่อให้สำนักมนตร์ดำไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าเอาสัญญามาให้” เช้าวันนั้นเฟยเฟิ่งก็ได้กลับมาที่สำนักศาสตร์นักสู้อีกครั้ง เธอยื่นสัญญาให้ซึ่งดูไม่เต็มใจเท่าไรแต่ถึงกระนั้นจุดประสงค์ที่มาเหมือนไม่ใช่แค่เรื่องสัญญาอย่างเดียว
“ตัดสินใจได้ดีนะครับ ผมจะรีบติดต่อกับทางอาณาจักรนอดเร็ว ๆ นี้แหละ” ซึฮากิรับสัญญากลับมาและปล่อยให้สองเจ้าสำนักอยู่กันตามลำพัง
ก็เหลือสำนักมนตร์ดำกับสำนักดาบเทพที่ยังไม่ได้ไปคุยเรื่องสัญญา
“เจ้าสำนักดาบเทพมาขอรับ” ทันใดนั้นก็มียามเข้ามาแจ้งให้เฉิงได้ทราบ การเดินทางมารวมกันโดยมิได้นัดหมายของเจ้าสำนักทั้งสาม พวกเขาพากันเข้าไปคุยในห้องประชุมโดยห้ามเหล่าลูกศิษย์เข้าไปยุ่งวุ่นวาย
“ทำไมข้าต้องมาด้วยล่ะเนี่ย?” เด็กหนุ่มที่มากับเจ้าสำนักดาบเทพเดินเล่นรอบ ๆ จนไปเจอกับพวกเซนที่นั่งซึมอยู่ด้านหลังสำนัก
พอเด็กหนุ่มเห็นคนรวมตัวกันเยอะจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้แต่แอบฟังแอบดูอยู่ห่าง ๆ แทน
“ทำอะไร?” ทันใดนั้นฟรานก็เดินเข้ามาทางด้านหลังเล่นเอาเด็กหนุ่มตกใจหายใจไม่ทั่วท้อง
ทั้งสองสบตากันถึงกับต้องผงะก่อนจะอุทานออกมาพร้อมกัน
“นี่นาย”
“อาจารย์ !” เด็กหนุ่มอุทานเรียกอาจารย์ทำให้พวกเซนได้ยินไปด้วย
พอเห็นเซนที่กำลังพุ่งตรงมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทำให้เด็กหนุ่มวิ่งหนีเตลิดออกไปเสียก่อน
“เมื่อกี้มีเรื่องอะไรเหรอ?” มาถึงคานะก็ถามก่อนใคร แววตาเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของเด็กหนุ่มคนนั้นพอดีจึงลดความกังวลไปได้มาก
“ให้ตายสิ...นึกว่าพวกสายลับจะมาอีกแล้ว ตอนนี้พวกเราต้องเกาะกลุ่มกันไว้นะ” เซนพูดเป็นนัย ๆ ว่าตนจะปกป้องทุกคนไม่ให้เกิดเรื่องแบบสเตล่าอีกและยังเตรียมหยิบอาวุธได้ทุกเมื่อ
“อืม ฉันว่าเราควรพาเด็ก ๆ กลับบ้านได้แล้วนะ ที่นี่มันชักจะอันตรายเกินไปแล้ว” ฟรานมองดูสายตาหวาดระแวงของเด็กหนุ่มสาวตัวน้อย ๆ ที่คอยหลบอยู่หลังพี่ ๆ
“ฉันเห็นด้วย” คานะตอบทันทีทันใด
“เราคงต้องไปคุยกับกิให้รู้เรื่องด่วน ๆ เลย แต่ฉันว่ากิคงจะวางแผนกลับบ้านไว้แล้วนั่นแหละ...”
“เป็นอย่างที่นายคิดนั่นแหละ” ซึฮากิโผล่ออกมาพอดีกับที่เซนกำลังจะไปหา สีหน้าเรียบนิ่งของเขาทำให้พวกเซนเดาไม่ได้เลยว่ากำลังเสียใจอยู่หรือเปล่า
ซึฮากินั่งคุยเรื่องการกลับบ้านกับพวกเซนอยู่พักหนึ่งจนได้ข้อสรุปออกมา
“พรุ่งนี้เราจะกลับไปที่อาณาจักรนอดกันก่อน ส่วนเรื่องสำนักมนตร์ดำฉันจะเป็นคนจัดการเอง ระหว่างการเดินทางพวกนายห้ามลดการ์ดลงเด็ดขาดและเราจะไปให้ไวที่สุด”
“อือ !” เซนชกหมัดให้ซึฮากิเป็นสัญญาณแห่งคำสัญญา เมื่อซึฮากิเห็นเช่นนั้นเขาจึงชกหมัดผสานกันเพื่อให้เซนรู้สึกสบายใจขึ้น
หลังจากนัดแนะกันเสร็จสรรพซึฮากิก็ไปที่ห้องประชุมเพื่อคุยธุระกับเจ้าสำนักเป่า
“มีสายลับอยู่ในสำนักงั้นหรือ? แต่ข้าไม่สังเกตเห็นอะไรผิดปกติเลยนะ” เฟยเฟิ่งพยายามนึกย้อนหาเหตุผลตามที่เฉิงเล่าแต่ก็ยังจับจุดไม่ได้เสียที
“ข้าก็ด้วย สำนักของข้าไม่ได้ใหญ่โตเท่าไรและศิษย์ที่มีอยู่ส่วนใหญ่ก็รู้จักกันดี หรือพวกอาจารย์ก็ถือว่าต้องจับตามองเหมือนกัน?” เป่ากอดอกคิดไม่ตก
ซึฮากิเคาะประตูเรียกขัดจังหวะกำลังประชุมหารือแต่เพราะเป็นเขาเฉิงถึงให้เข้ามาได้
“สวัสดีอีกครั้งครับ” คำกล่าวทักทายที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรแต่พวกเขากลับชินตาไปเสียแล้ว
“พวกเรากำลังคุยเรื่องสายลับอยู่พอดีเลย อาจารย์ซึฮากิมีความเห็นว่าอย่างไรหรือ?” เฉิงถามพลางรินน้ำชาให้
“ยังไงพวกมันก็ต้องเป็นคนที่มีอำนาจหรือมีสิทธิ์มากพอในการล้วงข้อมูล อย่างศิษย์อันดับต้น ๆ หรือไม่ก็อาจารย์ของสำนัก...หรือจะเป็นเจ้าสำนักซะเอง”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” เป่าตาโตเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เจ้าสำนักจะเป็นสายลับเสียเองเนี่ยนะ เจ้าใช้อะไรคิดกันแน่?” เฟยเฟิ่งขมวดคิ้วสงสัยผสมกับความโกรธที่เหมือนกำลังหยามหน้าเจ้าสำนักทั้งสามที่นั่งอยู่ตรงนี้
“เพราะผมยังไม่ได้เจอกับเจ้าสำนักคนอื่นแบบต่อหน้า และรู้ไหมครับว่าทำไมผมถึงกล้าบอกเล่าเรื่องพวกนี้ให้พวกคุณฟัง”
“เพราะพวกเราเคยคุยกันมาก่อนสินะ” เจ้าสำนักเฉิงตอบ
“ถูกต้อง ผมสามารถจับโกหกได้เกือบสมบูรณ์จึงพอคัดได้ว่าใครควรที่จะเชื่อใจ ในเมื่อเจ้าสำนักทั้งสามมาอยู่ที่ตรงนี้งั้นเรามาเปิดอกคุยกันดีกว่า” ซึฮากิวางขวดยาแปลก ๆ ไว้ตรงหน้าแล้วเหลือบมองสายตาของเจ้าสำนักทั้งสามก่อนจะกล่าวต่อ
“นี่คือยาพูดความจริงที่ได้รับการปรับปรุงมาแล้ว มันมีฤทธิ์กดประสาททำให้ผู้ที่รับยานี้เข้าไปไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคำพูดหรือการกระทำ และถ้าเจ้าสำนักทั้งสามใช้มันแล้วเกิดผิดใจกันขึ้นมา...ที่แห่งนี้ก็คงเละไม่เป็นท่า”
“ยาพูดความจริงสินะ ข้าก็เคยเห็นมันเหมือนกันแต่วัตถุดิบที่ใช้ทำมันหายากมาก ๆ จนต้องประมูลกันในราคาแสนแพงเลยทีเดียว” เจ้าสำนักเป่ากลืนน้ำลายพูดเหมือนเห็นสมบัติมากองอยู่ตรงหน้าแต่ก็เอามาไม่ได้
“แพงขนาดนั้นอาจารย์ซึฮากิคงร่ำรวยมากเลยสินะ” เฉิงยิ้มอย่างมีเลศนัยเหมือนอยากยืมเงินอย่างไรอย่างนั้นเลย
“ไม่หรอกครับ ทุกวันนี้ผมก็ยังต้องทำงานควบคู่ไปด้วยเลย เงินที่ใช้กินอยู่ตอนนี้มาจากงานของนักผจญภัย เพราะเงินจากการค้าขายจะเข้าไปในระบบหมุนเงินแทนเพื่อใช้ผลิตสินค้าและจ่ายค่าจ้างเพื่อขยายพื้นที่” ซึฮากิใส่มันลงในถ้วยน้ำชาของทุกคนก่อนจะกล่าวต่อ
“เราจะดื่มทีละคนเพื่อให้คนอื่นช่วยควบคุมได้ในกรณีที่อารมณ์ไม่คงที่ ประสิทธิภาพสูงสุดจะอยู่ที่หนึ่งถึงสิบนาทีและยาจะค่อย ๆ ลดประสิทธิภาพลงจนหมดในเวลาสามสิบนาที” ซึฮากิกวาดสายตามองว่าใครจะเป็นคนเริ่มก่อน
เฉิงยกมือก่อนใคร “ข้าจะดื่มก่อน”
การทดสอบตัวยาเป็นไปได้ด้วยดี หลังจากที่เฉิงดื่มเขาก็นั่งนิ่งเงียบรอการตอบคำถามเพียงอย่างเดียว
“เฉิง...เจ้าเป็นพวกของสำนักมนตร์ดำใช่หรือไม่?” เฟยเฟิ่งเป็นคนถามก่อน
“ไม่”
การตอบคำถามยังคงดำเนินไปจนทุกคนคลายข้อสงสัยแต่ก็ยังต้องรอให้ยาหมดฤทธิ์อยู่ดีถึงจะวางใจได้
“ข้าดื่มต่อเลยดีไหม? ดู ๆ แล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร” เฟยเฟิ่งยกถ้วยชาด้วยสองมือ จ้องมองมันด้วยความสงสัยว่าตนเองจะแสดงพฤติกรรมอะไรไม่ดีหรือเปล่า
“คุณต่อเลยก็ได้ ส่วนเจ้าสำนักดาบเทพช่วยรอให้คนแรกกลับมาเหมือนเดิมก่อนนะครับ”
เป่าพยักหน้าตอบรับ “ข้าจะรอ”
การสอบสวนเฟยเฟิ่งก็ยังเป็นไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาใด ๆ เจ้าสำนักทั้งสองเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักมนตร์ดำและไม่ได้มีประสงค์ร้ายต่อสำนักอื่น ทั้งหมดที่ทำก็แค่เพื่อวัฒนธรรมการแข่งขันกับการยกระดับศิษย์ของตนให้สูงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น
“เฮ้ย ๆ” แม้จะดูเป็นไปได้ด้วยดีแต่ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนที่ยาของเฉิงจะหมดฤทธิ์ก็ดันมีอาการแปลก ๆ
“มีอะไรหาตาแก่ !” เฟยเฟิ่งตอบรับด้วยการตะเบ็งเสียงสวนกลับ
เจ้าสำนักเป่าและซึฮากิเตรียมออกโรงหยุดพวกเขาแต่แทนที่จะมีปากเสียงกันต่อกลับเป็นการโอบกอดที่ทั้งรุนแรงและลึกซึ้งเหมือนจะพาเข้าห้องในเร็ว ๆ นี้
“พวกเขายังมีความรู้สึกให้กันอยู่สินะ” เป่ายิ้มบางมองดูเจ้าสำนักทั้งสองกอดกันกลม
“ผมรู้แค่เรื่องที่เคยเป็นสามีภรรยากันแต่ก็ไม่รู้เรื่องลึก ๆ ว่ามันเป็นมายังไงกันแน่? ทั้งสองคงแยกกันด้วยเหตุผลด้านงานหรือเรื่องสำนักมากกว่าเรื่องส่วนตัวใช่ไหมครับ?”
“ใช่ แต่ข้าไม่ค่อยสนิทกับพวกเขามากนักหรอกแต่ถ้าเป็นคุณพ่อของข้าก็เป็นอีกเรื่อง”
แม้ยาของเฉิงจะหมดฤทธิ์ไปแล้วแต่เขาก็ยังปล่อยตัวไปตามความรู้สึก ทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกันไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสารทุกข์สุกดิบหรือจะเป็นการกอดหอมจูบก็ทำโดยไม่เห็นหัวพวกซึฮากิเลย จนกระทั่งยาของเฟยเฟิ่งหมดฤทธิ์พวกเขาจึงได้สติหยุดการกระทำเหล่านั้นทันที
เฟยเฟิ่งกระแอมคอก่อนจะพูด “เห็นแล้วสินะว่าข้าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับสำนักมนตร์ดำ ทีนี้ก็เหลือพวกเจ้าสองคนแล้ว”
“ผมด้วยเหรอ?” ซึฮากิตีหน้าซื่อถามกลับทำเอาเฟยเฟิ่งแยกเขี้ยวใส่
“ก็เออสิ เจ้าได้เห็นอะไรไปเยอะแล้วต่อไปก็ต้องเป็นตาของพวกข้าบ้าง”
“ใช่ ๆ อาจารย์ซึฮากิคงไม่กลัวว่าตนเองจะอาละวาดหรือทำอะไรแปลก ๆ หรอกนะ” ทั้งเฟยเฟิ่งและเฉิงต่างก็พูดได้เข้าขากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
เป่ายิ้มบางกลบเกลื่อน ใจหนึ่งก็รู้สึกดีที่เห็นเจ้าสำนักยิ้มกันได้แต่อีกใจหนึ่งก็เป็นกังวลเรื่องสายลับในสำนักไปด้วย
“ข้าจะดื่มก่อนแล้วกัน” เป่ากระดกถ้วยชาที่ผสมยาพูดความจริงลงไปแม้สายตาจะบอกว่ายังลังเลใจก็ตาม
“เจ้าเป็นพวกเดียวกับสำนักมนตร์ดำหรือไม่?” เฉิงถาม
“ไม่”
หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันถามสิ่งที่ควรรู้แต่ก็จะไม่ถามเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในของสำนักเพราะใคร ๆ ก็ไม่อยากเผยไพ่ในมือ
“เหลือเจ้าแล้ว...อาจารย์ซึฮากิ” เฟยเฟิ่งเหลือบมองพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ผมจะยอมดื่มด้วยก็ได้แต่ถามได้เฉพาะเรื่องสำนักมนตร์ดำเท่านั้นนะครับ ผมเตือนด้วยความหวังดี” ซึฮากิสูดหายใจเข้าออกเตรียมใจดื่มมันเข้าไป
หลังจากรอหนึ่งนาทีจนยาออกฤทธิ์พวกเขาจึงเริ่มถาม
“เจ้าเป็นพวกเดียวกับสำนักมนตร์ดำหรือไม่?”
“ไม่”
หลังจากนั้นทั้งสองเจ้าสำนักก็ผลัดกันถามเกี่ยวกับสำนักมนตร์ดำจนแน่ใจว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่แทนที่จะหยุดเฟยเฟิ่งกลับนึกสนุกอยากถามเรื่องอื่นที่สงสัยเพิ่มอีก
“เจ้าเป็นพ่อค้าสินะ แล้วไหนเล่าของที่เจ้าค้าขาย?”
“ตอนนี้มีเพียงแค่สิ่งบันเทิงใจอย่างเครื่องเล่นเพลงซึ่งใช้ฟังก์ชันการอัดเสียงและเล่นเสียงได้ แต่ขนาดความจำยังต่ำเพราะเป็นรุ่นที่หนึ่งจึงไม่อยากให้มันหวือหวาเกินไป หากมีการทำงานที่ซับซ้อนเกินไปจะทำให้ผู้ใช้ที่ไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยีเกิดความสับสนจนอาจนำไปสู่การละทิ้งหรือเก็บไว้ดูเฉย ๆ และสุดท้ายมันก็จะเป็นเพียงแค่อุปกรณ์แปลก ๆ ที่ใช้งานจริงไม่ได้ เครื่องเล่นเพลงรุ่นแรกจึงมีขั้นตอนการใช้งานน้อย ๆ และวางขายเพื่อให้ผู้คนรู้จักสิ่งนี้ก่อน พอถึงเวลาก็ค่อยปล่อยรุ่นต่อไปที่ยกระดับฟังก์ชันขึ้นไปอีกหนึ่งขั้นเพื่อเพิ่มอัตราการซื้อและสร้างความน่าหลงใหลกับสิ่งใหม่ ๆ ของมัน...”
ซึฮากิยังคงสาธยายยาวเหยียดไปเรื่อย ๆ จนเจ้าสำนักทั้งสองนั่งซึมไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่นานนักเจ้าสำนักเป่าก็ได้สติและต้องมานั่งฟังด้วยอีกคน ฟังซึฮากิพูดเรื่องสินค้าที่ขายต่อไปเรื่อย ๆ จนยาหมดฤทธิ์ไปเอง
“ผมบอกแล้วว่าอย่าถามเรื่องอื่น”
สภาพของเจ้าสำนักทั้งสามนั่งนิ่งเหมือนอดอะไรตายอยาก หมดสิ้นอารมณ์อยากกินหรือนอนราวกับได้ฟังธรรมจนบรรลุ
"จะยังไงก็เถอะ สุดท้ายพวกเราก็ถือว่าเชื่อใจกันได้ใช่ไหมครับ?" ซึฮากิพยายามดึงสติของทุกคนกลับมา
“ชะใช่ อย่างน้อยพวกเราก็ไม่มีใครเป็นสายของสำนักมนตร์ดำ” เฉิงตอบกลับ
“อืม แล้วก็พรุ่งนี้ผมจะพาเด็ก ๆ กลับแล้วนะครับ การอยู่ที่นี่ในตอนนี้มันอันตรายเกินไป”
“ข้าพอจะเข้าใจความรู้สึกเลย ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้เราควรให้เด็ก ๆ ได้มีอนาคตต่อไป เรื่องยุ่งยากปล่อยให้ผู้ใหญ่เป็นคนจัดการกันเอง” เจ้าสำนักเป่าเอ่ยออกมาเหมือนกำลังมองย้อนกลับไปที่ตนเอง ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มที่เดินทางมาด้วยก็พุ่งชนประตูทะลุเข้ามาข้างใน
“นี่เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?” เป่าขมวดคิ้วตะเบ็งเสียงถาม
“มะไม่มีอะไรขอรับท่านพ่อ ข้าแค่วิ่งเร็วไปหน่อยก็เลยหยุดไม่ทัน” เด็กหนุ่มคนนั้นไม่แม้แต่จะสำนึกผิดแต่กลับยิ้มเบิกบานและวิ่งออกไปทั้งอย่างนั้น
“ให้ตายสิ ข้าต้องขอโทษแทนลูกชายของข้าด้วย เรื่องซ่อมประตูเดี๋ยวข้าชดใช้ให้”
เฉิงหัวเราะยิ้มสนุก “เป็นเด็กที่ครึกครื้นดีเหมือนกันนะเป่า ชื่อเอินสินะสงสัยจะได้เชื้อปู่มาเยอะ”
หลังจากคุยเรื่องเครียด ๆ มานานสุดท้ายพวกเขาก็ชวนคุยเรื่องทั่ว ๆ ไปถามไถ่ถึงครอบครัวความเป็นอยู่เหมือนวันรวมญาติไม่มีผิด
[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย]
ปกติคนเรามักจะมีการโกหกในชีวิตประจำวันอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ วิธีการดูการโกหกก็จะมาจากการสังเกตพฤติกรรมได้แก่
1. สัญญาณด้านอารมณ์ อย่างเช่น สัญญาณความกลัวทำให้พูดน้ำเสียงสูงกว่าปกติ พูดติดขัด พูดผิด พูดเร็ว หรือจะเป็นสัญญาณของความละอายหรือรู้สึกผิดอย่างพูดน้ำเสียงต่ำกว่าปกติ พูดช้า สีหน้าเศร้า มองลงต่ำบ่อย ๆ
2. สัญญาณทางปัญญา สั้น ๆ เลยก็คือ ผู้พูดมีการใช้ความคิดมากขึ้นเพื่อสร้างเรื่องโกหกขึ้นมา ตอบคำถามช้า ลังเล เกร็ง
3. สัญญาณจากสิ่งที่พูด เรื่องที่เกิดจากการโกหกมักจะมีแต่ข้อมูลพื้น ๆ คลุมเครือไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
อ้างอิง - จากบทความของสารคดีทางวิทยุรายการจิตวิทยาเพื่อคุณ
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทิพย์นภา หวนสุริยา
อาจารย์ประจำแขนงวิชาจิตวิทยาสังคมพื้นฐานและประยุกต์
คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 146
แสดงความคิดเห็น