STARCIN ภาคที่ 7 Colosseum ตอนที่ 11 น่าสน
พลังเดอะนั้นมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการจัดแยก ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติหรือจัดแยกตามระยะหวังผล และของมังกี้นั้นคือการเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นวานรยักษ์ซึ่งมีอำนาจการต่อกรกับสิ่งที่ด้อยกว่าได้จำนวนมาก ๆ โดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์เลยด้วยซ้ำ
“เล็งตัวที่รอดผ่านมาก็พอ ! ส่วนที่เหลือก็ให้มันจัดการไป” หัวหน้าหน่วยตะโกนสั่งการทำให้ทหารยกอาวุธของตนขึ้นมา
มือขนาดยักษ์คว้าและตะปบสัตว์อสูรตัวเล็กตัวน้อยพวกนั้นอย่างกับของเล่นดี ๆ นี่เอง
มันง่ายกว่าตอนสู้กับกิเยอะเลยแฮะ หรือเพราะเราไม่ควรสู้กับพวกระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเหมือนที่กิบอกไว้
เธอจับสัตว์อสูรตัวหนึ่งแล้วขว้างมันใส่อีกตัวจนคอหักตายทันที และไม่เพียงแค่นั้นเธอยังกวาดมือทั้งสองมารวมกันตรงกลางเพื่อบีบพวกมันเข้าด้วยกันอย่างกับการคั้นน้ำส้มแต่กลับเป็นเลือดเนื้อของสัตว์อสูรแทน
หลังจากการปะทะไม่เกินครึ่งชั่วโมงสถานการณ์ก็ค่อย ๆ สงบลงอีกครั้งแต่ค่ายตรงนั้นก็เละเกินจะพักได้เสียแล้ว
“มีผู้เสียชีวิตหกคนขอรับแต่ไม่มีผู้บาดเจ็บเลยสักคน” ทหารเหล่านั้นเดินตรวจรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบสัตว์อสูรเหลืออยู่แล้วจึงกลับมารายงานผล
“ต้องขอบคุณเจ้าลิงยักษ์นั่นเลย” หัวหน้าหน่วยเดินช้า ๆ เพื่อไปยืนอยู่ต่อหน้ามังกี้
“พวกข้าขอบคุณท่านลิงยักษ์มาก ๆ ถ้าไม่ได้ท่านเราก็คงสูญเสียกำลังพลจำนวนมากเป็นแน่แท้”
มังกี้หันมองช้า ๆ ด้วยใบหน้ายักษ์ใหญ่จากนั้นจึงคืนร่างสู่สภาพปกติทำให้เกิดควันจำนวนมาก
“ที่ข้าทำก็เพื่อเด็ก ๆ ของข้า...เจี๊ยก” มังกี้เดินทะลุควันพวกนั้นออกมาเผยให้เห็นร่างของหญิงสาวเผ่าวานรที่ใครเห็นก็นึกว่าเป็นเด็กจริง ๆ
“ก่อนอื่นข้าขอเสื้อผ้าได้ไหม…เจี๊ยก?”
พวกทหารกลับไปค้นข้าวของในเต็นท์เพื่อหาเสื้อผ้ามาให้เธอใส่ แต่ส่วนใหญ่ก็มีแต่เสื้อผ้าผู้ใหญ่เธอจึงจำยอมต้องใส่มันทั้งอย่างนั้น
“ท่านผู้มีพระคุณมีนามว่าอะไรขอรับ?” ทั้งสองเดินกลับไปในค่ายเพื่อพักหายใจ
“มังกี้...เจี๊ยก”
ทำไมต้องส่งเสียงแบบนั้นตลอดเลย หรือพวกเผ่าวานรจะเป็นแบบนี้กันหมด
“ท่านมังกี้สินะขอรับ พวกข้าซาบซึ้งที่ได้ท่านมาช่วยจริง ๆ”
“ข้าก็แค่กำจัดเสี้ยนหนามที่จะมาทำอันตรายเด็ก ๆ ของข้าได้ ถ้าเกิดพวกเธอเป็นอะไรไปคงโดนกิสวดยาวเป็นแน่...เจี๊ยก” พูดจบเธอก็วิ่งตรงไปทางที่พวกคิโนริหนีไปก็คืออีกด้านของค่ายป้องกัน
หมายถึงเด็กสาวจิ้งจอกนั่นสินะ มีข่าวลือเกี่ยวกับเธอค่อนข้างเยอะเลยด้วย
“ส่งหน่วยลาดตระเวนออกไปอีกครั้ง หาผู้ที่มีเวทมนตร์ตรวจจับมาด้วยเพราะแค่สายตาคงไม่พอ”
“ขอรับ !” เหล่าทหารกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
ก่อนหน้านั้นตอนที่พวกคิโนริไปถึงอีกฝั่งของค่ายป้องกันแทนที่จะได้พักผ่อนอย่างอุ่นใจกลับต้องนั่งไม่ติดเพราะพวกทหารกำลังปะทะกับสัตว์อสูรฝูงใหญ่อยู่
“พวกเราจะรอดกันไหมเนี่ย?” หญิงสาวเผ่าหมีนั่งตัวสั่นเมื่อเห็นภาพอันสยดสยองที่เกิดขึ้นจนบางครั้งก็ทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อก่อน
“รอดอยู่แล้ว อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้เลเวลสูงนักน่าจะสู้ได้อยู่” คิโนริส่งยิ้มปลุกใจให้กับหลานจากนั้นเธอก็เดินไปหาทหารคนหนึ่ง
“มีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยได้ไหมคะ?” แววตาอันใสซื่อที่อยากจะช่วยมันยิ่งทำให้ทหารนายนั้นไม่อยากให้พวกเธอออกไปเสี่ยงข้างนอก
“เด็ก ๆ อยู่ในที่ปลอดภัยไว้ เชื่อใจทหารอย่างเราได้เลย” เขายกนิ้วโป้งกดลงที่หน้าอกเพื่อบ่งบอกว่าตนเองเป็นที่พึ่งได้
“อา...ค่ะ” คิโนริไม่อยากถามซักไซ้ให้ชายผู้นั้นรำคาญจึงเดินกลับมารวมตัวกับเพื่อน ๆ
“พวกเขารับมือได้แหละแต่ก็อย่าประมาทล่ะ” เอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ คอยระวังแถมยังมีแมรี่ที่สามารถตรวจจับมานาได้ด้วย
“ฉันจะไม่ประมาทแม้แต่วินาทีเดียว” ถ้อยคำองอาจของเด็กหนุ่มเผ่าหมีที่กำลังยิ้มมั่นใจอยู่ข้าง ๆ เขามองซ้ายขวาและยืนประกบเพื่อน ๆ หวังปกป้องทุกวินาที
“ทำเป็นพูดดีไป ถ้าไม่มีฉันพวกนายก็เป็นแค่กล้ามเนื้อพูดเท่านั้นแหละ”
“แหม ๆ คุณหนูแมรี่ อยากได้อะไรเชิญบอกได้เลยครับ” เอยักคิ้วพูดจากวนประสาทจนแมรี่สะบัดหน้าหนี
เสียงโครมครามยังคงดังสนั่นไม่หยุดยิ่งทำให้ประชาชนชาวเมืองสั่นกลัวว่าตนจะปลอดภัยหรือไม่ และยิ่งได้เห็นเพื่อน พ่อ แม่ พี่น้องที่โดนสัตว์อสูรฆ่าต่อหน้าต่อตามันยิ่งเกิดแผลในใจที่คอยฉายภาพซ้ำ ๆ ตลอดเวลา
“พวกมันกำลังมา !” จู่ ๆ แมรี่ก็สะดุ้งตกใจกล่าวด้วยความร้อนรน
“ทางไหน?” เพื่อน ๆ ของเธอตั้งท่าเตรียมพร้อมปะทะทันที
แมรี่เลื่อนนิ้วชี้ไปยังเต็นท์พักผ่อนของพลเรือนที่อยู่ใจกลางค่ายป้องกัน เพียงแค่อึดใจเดียวก็มีสัตว์อสูรขุดดินขึ้นมาทำลายข้าวของเละไปหมด
เสียงกรีดร้องดังสนั่นทำให้ทหารต้องแบ่งกำลังพลไปช่วยด้านในด้วย และแล้วความวุ่นวายก็บังเกิดเพราะด้านหน้าก็ดันต้านไว้ไม่ไหวจนถูกบีบจุดยืนให้แคบลงมาเรื่อย ๆ
“ยิงพลุเรียกกำลังเสริมเร็ว !”
“รับทราบขอรับ...” ขณะที่กำลังจะยิงพลุเขาก็โดนสัตว์ตัวหนึ่งยิงหนามแทงคอตายเสียก่อน
“บัดซบเอ๊ย ! อพยพพลเรือนก่อน”
ทหารหน่วยหนึ่งวิ่งนำชาวเมืองเพื่อฝ่าฝูงสัตว์อสูรออกไปและพากันล่าถอยตาม ๆ กันมาจนค่ายป้องกันส่วนนั้นพังทลายลง
“ส่งคนที่เร็วที่สุดไปขอความช่วยเหลือ ! ตอนนี้พวกคนจากสำนักอื่นกำลังไล่กวาดล้างสัตว์อสูรอยู่ในเมือง ดังนั้นแถว ๆ นี้ก็น่าจะมีสักสำนักหนึ่งก็ได้”
“ข้าจะรีบไป” ทหารนายหนึ่งวิ่งอ้อมไปอีกทางและกระโดดผ่านอาคารบ้านเมืองเพื่อมองจากที่สูง
แม้จะส่งคนออกไปหาความช่วยเหลือแต่ด้วยสถานการณ์ที่คนเหลือน้อยทำให้พวกเขาต้องหนีไปเรื่อย ๆ จนไปรวมกับค่ายป้องกันส่วนอื่นที่อยู่ติดกับกำแพงเมืองตะวันออก ที่นั่นเองก็กำลังปะทะกับสัตว์อสูรเช่นกันและการมาของพวกเขาทำให้เกิดความวุ่นวายซ้ำเข้าไปอีก
“กางบาเรียถ่วงเวลาไว้”
แม้จะกางบาเรียไว้ได้ทันแต่เพราะรัศมีที่ต้องครอบคลุมมันกว้างเกินไปทำให้ต้องลดความหนาแน่นของมานาลงและผลที่ได้ก็คือความเปราะบางที่โดนสัตว์อสูรกะเทาะหายไปเรื่อย ๆ
“เป็นแบบนี้พวกเราไม่รอดแน่”
คิโนริมองหน้าเพื่อน ๆ เพื่อดูว่าพวกเขาคิดเหมือนกันหรือไม่ เมื่อเห็นสายตาที่เห็นพ้องต้องกันจึงเริ่มเคลื่อนไหวทันที
“แมรี่กับรูบี้ช่วยกันเสริมจุดที่กำลังจะแตกไว้ ส่วนหลาน เอ รอน แล้วก็คูเปอร์มากับฉัน”
เด็ก ๆ ทั้งห้าคนไปยืนประจันหน้ากับสัตว์อสูรโดยมีบาเรียกั้นระหว่างกลางไว้
“กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดโดนลูกหลงไปด้วยพวกข้าไม่รับผิดชอบนะ” ทหารที่กำลังคุมบาเรียกล่าว
“เปิดช่องให้พวกเราด้วยค่ะ เดี๋ยวเราจะช่วยอีกแรง”
“อะไรของพวกเธอเนี่ย นี่มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หรอกนะ”
คิโนริสร้างลูกไฟบินวนรอบตัวเสมือนการบอกพลังที่ตนมีเพื่อให้เขายอมทำตาม แม้จะสะดุ้งตกใจที่เห็นเด็กตัวน้อยทำอะไรแบบนี้ได้แต่ก็ยังไม่อนุญาตให้ออกไปอยู่ดี
“ดูยังไงก็ต้านไม่ไหวแน่ ถ้าให้พวกเราออกไปลดจำนวนพวกมันลงบ้างก็น่าจะถ่วงเวลารอความช่วยเหลือได้” เอพูดจาฉะฉานจ้องตาไม่กะพริบ
“ไม่ได้ ๆ เราจะให้เด็กออกไปเสี่ยงไม่ได้...” ทันใดนั้นก็มีเสียงอันคมเข้มจากทหารนายหนึ่งกล่าวขัดเสียก่อน
“พวกเขามาจากสำนักศาสตร์นักสู้น่าจะมีฝีมือมากกว่าทหารยศน้อยอย่างเราอยู่แล้ว”
“แต่พวกเขายังเด็กอยู่เลยนะ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเราก็คงโดนหางเลขไปด้วยสิ”
ขณะที่กำลังเถียงกันคิโนริก็เจาะบาเรียพาเพื่อน ๆ ออกไปเสียแล้ว
“เฮ้ย ! พวกเขาออกไปแล้ว” ท่าทางตื่นตระหนกของนายทหารทำให้คนอื่น ๆ สังเกตเห็น แววตาสงสัยเป็นห่วงของชาวเมืองที่เห็นเด็ก ๆ ออกไปสู้กับสัตว์อสูรโดยที่พวกเขาได้แต่ส่งแรงใจช่วยเท่านั้น
“ใช้รูปแบบแยกป้องกัน” เอกระโดดไต่ขึ้นที่สูงและมองภาพรวมของสนามรบ หลังจากที่เขาลั่นคำสั่งทุกคนก็เดินกระจายออกไปโดยให้บาเรียอยู่ด้านหลังและเรียงต่อ ๆ กันไป
จุดที่น่าเป็นห่วงก็คงเป็นคูเปอร์ที่ยังไม่คุ้นชินกับการเคลื่อนไหวของเพื่อน ๆ แม้จะเว้นระยะพอสมควรแต่ก็กังวลว่าเวทมนตร์ของตนจะไปรบกวนคนอื่นหรือเปล่า
“สนใจแค่ศัตรูตรงหน้าก็พอ” น้ำเสียงอันเย่อหยิ่งที่แฝงมาด้วยความหวังดีจากแมรี่ทำให้คูเปอร์ตั้งสติได้บ้าง
อย่าว่อกแว่กสิคูเปอร์ พี่กิสอนวิธีใช้ความหลากหลายของเวทมนตร์ธาตุให้แล้วดังนั้นก็แค่ทำมันอีกรอบ
ระเบิดมานาเป็นตัวเลือกที่ใครก็ใช้ได้เพื่อจัดการสัตว์อสูรจำนวนมากเช่นนี้ แต่การที่มันจะใช้ได้ประสิทธิภาพจำเป็นต้องโดนถูกจุดและคุ้มค่ากับมานาที่เสียไป
ถ้าใช้เวทมนตร์โจมตีก็คงใช้เวลานานแต่ถ้าใช้ระเบิดก็อาจจะกระทบกับบาเรียก็ได้ ดังนั้นเราก็จะใช้กำแพงมานาเพื่อกั้นอีกชั้นแล้วหย่อนระเบิดลงจากด้านบน
คูเปอร์ใช้เวทวายุประคองระเบิดมานาลอยขึ้นเหนือหัวของพวกมัน จากนั้นก็สร้างกำแพงมานาพร้อม ๆ กับหย่อนระเบิดทั้งสิบลูกลงมาพร้อม ๆ กันโดยเว้นระยะหวังผลไว้อย่างดีเพื่อให้คลื่นกระแทกกระทบกันไปมา
“ดูเจ้าคูเปอร์สิ ถ้ามัวช้าแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่มีผลงานหรอก” รอนห่อหุ้มร่างกายด้วยเสริมกำลังและรวบรวมมานาไว้ที่กำปั้นชกออกไปทั้งอย่างนั้น
“คอยดูมานาตัวเองกันด้วย ถ้าใกล้หมดก็กลับเข้าไปพักด้านในก่อน” คิโนริกระตุกยิ้มชอบใจที่เห็นเพื่อน ๆ ออกแรงกันไม่มีพัก กลับกันเธอสามารถกำจัดสัตว์อสูรเลเวลต่ำได้อย่างง่ายดายด้วยลูกบอลเพลิงจึงเหมือนไม่ต้องออกแรงเท่าไร
ยิ่งใช้บ่อย ๆ ก็ยิ่งคุ้นชินแล้วสิ ถ้าฝึกอีกหน่อยก็อาจจะทำได้สักครึ่งหนึ่งของพี่กิก็ได้
ลูกบอลเพลิงที่ลอยรอบ ๆ ตัวคิโนริเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของเธอ เมื่ออยากให้มันพุ่งเข้าใส่สัตว์อสูรมันก็จะพุ่งไปหาและสามารถควบคุมจากระยะไกลได้อีกด้วย ลูกบอลเพลิงที่ปะทะกับกายหยาบของสัตว์อสูรจะแผดเผาไปทั่วทั้งร่างภายในเวลาไม่กี่วินาที
“เด็กพวกนั้นสุดยอดไปเลย โดยเฉพาะแม่หนูจิ้งจอกนั่นทำเอานึกถึงคนคนหนึ่งเลย” นายทหารทั้งหลายกำลังมีใจลุกสู้อีกครั้งหลังจากเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ กำลังต่อสู้อยู่แนวหน้า
“ดูเหมือนมานาของพวกเขาเริ่มน้อยแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นเราจะให้ทหารออกไปสับเปลี่ยน” หัวหน้าหน่วยทหารแบ่งคนที่มีทักษะต่อสู้เป็นกลุ่ม ๆ เพื่อผลัดกันต้านพวกมันไว้
เวลาผ่านไปสักพักพวกคิโนริก็กลับเข้ามาพักในบาเรีย
“ของฉันจัดการได้แค่ยี่สิบตัวเอง” รอนถอนหายใจนั่งซึมเพราะเห็นเพื่อน ๆ จัดการได้เยอะกว่า
หลานหัวเราะเยาะตบบ่าเหมือนจะปลอบใจแต่กลับรู้สึกหมั่นไส้แทน “ของฉันได้ไปสามสิบห้าตัวพอ ๆ กันแหละน่า”
เมื่อกล่าวจบหลานจึงหันไปถามคนอื่นต่อ
“แล้วพวกนายได้กี่ตัวล่ะ?”
“สามสิบ” เอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับจำนวนที่ฆ่าได้
“สี่สิบตัวครับ” คูเปอร์ตอบกลับด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ
“โห่ ! สมกับเป็นคนที่พี่กิรับมาเลย ได้ยินว่าใช้เวทมนตร์ได้ทุกธาตุเลยด้วย” หลานยิ้มตื่นเต้นตาเป็นประกายทำคูเปอร์เขินแทนจากนั้นจึงหันไปจ้องหน้าคิโนริด้วยแววตาเช่นนั้นเหมือนกัน
“ของฉันน่าจะหกสิบเก้าตัว”
“ต้องอย่างนั้นสิ อีกหน่อยก็คงขึ้นเลเวลห้าแล้วสินะ”
“ก็อาจจะ เรื่องเลเวลลองถามพี่กิไปแล้วแต่พี่เขาก็ให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้เหมือนกัน” ขณะที่กำลังพักฟื้นก็มีกำลังเสริมจากสำนักอื่นมาช่วยเหลือพอดี พวกเขาช่วยกันกำจัดสัตว์อสูรหลายร้อยตัวในเวลาไม่กี่นาทีแถมยังมีหน่วยแพทย์ที่เข้ามาดูอาการชาวเมืองโดยทันที
“สถานการณ์อยู่ในการควบคุมแล้ว ทุกคนใจเย็น ๆ และนั่งลงนะขอรับ”
ทหารของเมืองและคนจากสำนักร่วมด้วยช่วยกันโดยไม่มีการขัดแข้งขัดขาเพราะกองทัพสัตว์อสูรเหล่านั้นพร้อมจะขย้ำพวกเขาได้ทุกเมื่อ
อีกด้านหนึ่งคานะก็ยังวิ่งวนไปทั่วเมืองเพื่อตรวจสอบสัตว์อสูรอย่างละเอียด
มีจ่าฝูงหายไปตัวหนึ่งแสดงว่ามันอาจจะหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง เมื่อสังเกตเห็นสัตว์อสูรขุดหลุมขึ้นมาเธอก็จะจัดการทันทีจนบางครั้งก็ต้องมุดตามหลุมเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่ากำจัดหมดแล้ว
หายไปไหนกันแน่หรือมันจะถอยออกไปไกลแล้ว
“จัดการมันเร็ว !” ขณะที่กำลังวิ่งลาดตระเวนก็ดันไปเห็นสัตว์อสูรปีนป่ายขึ้นอาคารที่เป็นที่ทำงานของเจ้าเมือง
คานะกระโดดขึ้นสูงเพื่อเข้าไปจัดการพวกมันแต่ไม่ทันไรก็มีแสงเปลวเพลิงพุงทะลวงร่างสัตว์อสูรเหล่านั้นและซากศพก็ร่วงลงพื้นอย่างกับฝูงนกที่โดนฟ้าผ่า
“ไม่เป็นอะไรแล้วขอรับท่านเจ้าเมือง” หัวหน้าทหารเอามือไขว้หลังกล่าวด้วยความสุขุมเยือกเย็น
เวทมนตร์ระดับนี้น่าจะเลเวลหกเป็นอย่างต่ำ คานะเกาะอยู่ริมหน้าต่างถัดไปสามบานจึงได้เห็นเพียงใบหน้าที่ยื่นออกมาตรงระเบียง
“สถานการณ์ในเมืองค่อนข้างคงที่แล้วขอรับ ท่านเจ้าเมืองควรออกไปพบปะประชาชนเพื่อให้กำลังใจเสียหน่อยนะขอรับ”
“อืม ๆ เป็นความคิดที่ดี แล้วเจ้าพลเรือนที่บุกยึดประตูทางใต้เป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
“จากสัญญาณมานาดูเหมือนพวกสัตว์อสูรจากกระจายไปคนละทิศคนละทางแล้ว ข้าจึงมีความเห็นว่าการบุกยึดเป็นไปได้ด้วยดี”
เจ้าเมืองชิคารุยิ้มเยาะชอบใจก่อนจะกล่าว “เยี่ยมจริง ๆ สมกับเป็นสำนักศาสตร์นักสู้ ถึงจะไม่ค่อยชอบหน้าพวกมันเสียเท่าไรแต่ก็ต้องยอมรับฝีมือจริง ๆ”
เจ้าพวกนั้นกำลังพูดถึงเราเหรอ ดูจากท่าทางน้ำเสียงไม่สบอารมณ์คงเพราะเรื่องก่อนหน้านี้แน่ ๆ
ขณะที่กำลังดักฟังหัวหน้าทหารก็ชะโงกหน้าออกมาดูแต่คานะก็ไหวตัวทันหลบไปได้เสียก่อน จากนั้นเธอจึงกลับไปหาตัวจ่าฝูงต่อไปโดยทิ้งความสงสัยเหล่านั้นไว้
ดูจากออร่ามานาน่าจะเลเวลเจ็ดเท่ากับเราสินะ หัวหน้าทหารสัมผัสมานาจากระยะไกลเพื่อระบุตัวตนของสัตว์อสูรและผู้คนในเมือง แม้เขาจะสามารถทำเช่นนั้นได้แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเจ้าของออร่ามานาเป็นใครกันแน่จึงยังต้องพึ่งการรายงานจากภาคสนามร่วมด้วย
“ไปกันเถอะขอรับ”
“ไป ๆ ข้าขอแต่งตัวครู่หนึ่ง”
ในขณะที่คานะกำลังยุ่งวุ่นวายกับจ่าฝูงที่หายไปเซนก็ยังอาละวาดสนุกอยู่คนเดียว เปลวเพลิงลุกโชนสูงจนพลทหารเห็นได้จากระยะไกลทำได้แค่เฝ้าดูการกวาดล้างสัตว์อสูรครั้งใหญ่
“คานะไปไหนนานจังเลยแฮะ” เซนยืนเท้าเอวท่ามกลางดงเพลิงไม่รู้สึกรู้สาอะไรอีกทั้งยังสวนกลับสัตว์อสูรที่พยายามจะทำร้ายเขาได้ทันควัน
เซนเผาชิ้นเนื้อของพวกมันและลองชิมไปเรื่อยจนได้ตัวที่อร่อยผิดแปลกจากหน้าตา
“จะกี่ครั้งก็ยังไม่ชอบเลือดพวกมันเลยแฮะ ถ้าเป็นพวกคิโนริจะกินได้หรือเปล่านะ?”
เมื่อเติมเต็มมานาเสร็จเซนจึงยกดาบยักษ์ขึ้นสูงเหนือหัว คมดาบสีชาดฟาดลงตรงหน้าแหวกพื้นออกจากกันราวกับแผ่นดินไหวและมีลาวาไหลไปตามทางเสมือนภูเขาไฟที่กำลังปะทุ
“หวังว่าจะไม่คลุ้มคลั่งเอานะ” เซนขมวดคิ้วสงสัยในตัวเองและก้าวต่อไปตัวคนเดียว
ภายในนั้นดันเจี้ยนยังคงดำเนินการท้าชิงต่อไปไม่รู้จบ
[เริ่มการท้าชิงรอบที่สี่สิบห้า]
ร่างอันใหญ่โตก้าวออกมาจากประตูยักษ์ สิ่งมีชีวิตครึ่งคนครึ่งวัวเดินออกมาตัวเปล่าแต่แค่นั้นก็สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับผู้คนได้มากเกินพอแล้ว
“ให้ตายสิคราวนี้เอามิโนทอร์มาเลยเนี่ยนะ เฮ้ ! ดูเหมือนการผลัดเวรจะไม่ไหวแล้วนะ” โยฮันตะโกนใส่เหล่าคนที่นั่งพักอยู่
ก็จริง ตอนนี้พวกเรามีค่าสเตตัสเหมือนคนธรรมดาเพียงแค่ใช้เทคนิคและประสบการณ์ถึงได้รอดมาถึงตอนนี้ ส่วนเจ้ามิโนทอร์มีร่างกายที่แข็งแกร่งอีกทั้งยังมีความอึดถึกทนเป็นพิเศษ ซึฮากิกวาดสายตามองคนอื่นเพื่อดูว่าใครมีความเห็นอย่างไรบ้าง
“ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกัน การที่เราจะเอาชนะพวกนี้ได้ด้วยสเตตัสต่ำเตี่ยเรี่ยดินคงต้องใช้กลยุทธ์เข้าสู้”
เจ้าสำนักมิโกะเห็นชอบสินะ ถ้าเธอเป็นคนเอ่ยปากเองคนอื่น ๆ ก็คงเออออตามกันหมดแน่นอน
“แหม ๆ ท่านมิโกะยอมร่วมทีมกับผมแล้วสินะ ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งหาที่สุดมิได้จริง ๆ” รอยยิ้มเยาะกล่าวหยอกล้ออย่างกับเพื่อนเล่นทำให้มิโกะถอนหายใจใส่
“จะว่าไป...เจ้าตัวนั้นเหมือนกับราชันมิโนทอร์เลยนะขอรับ” เจ้าสำนักดาบเทพกล่าวท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดเพื่อเปลี่ยนความสนใจของพวกเขา
“ไม่น่าใช่หรอกท่านเจ้าสำนัก ข้าสัมผัสความเป็นราชันจากมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” กังลูบคางคิดพิจารณาขณะที่มิโนทอร์ตัวนั้นกำลังก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ
“ศิษย์พี่อย่าใช้แค่ความรู้สึกสิขอรับ” ชุนยิ้มเจื่อนกลัวคนอื่นจะมองพวกเขาไม่ดี
“อาจจะใช่แล้วก็ไม่ใช่ก็ได้” มิโกะเหลือบมองหน้าซึฮากิก่อนจะกล่าวต่อ
“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ไม่” ซึฮากิตอบกลับทันทีทันใดจากนั้นก็เตรียมตัวเข้าปะทะกับมิโนทอร์ตัวนั้น
“ทำไมถึงคิดว่าไม่เล่า?” มิโกะถามต่อขณะที่ทุกคนกำลังเตรียมตัวรับมือ
“คำตอบมันง่ายมากนะครับ...สติปัญญา ตั้งแต่วัวกระทิงไปจนถึงมนุษย์ที่ออกมาจากประตูนั่นไม่มีสติปัญญาเลยสักตัว เป้าหมายของพวกมันระบุไว้ชัดเจนก็คือการกำจัดพวกเราแค่นั้น”
“นั่นก็จริงแต่ทำไมถึงมั่นใจว่าเจ้านั่นไม่ใช่ราชันมิโนทอร์?”
“เผอิญว่ามีคนเคยเอาชนะมันได้แล้วเอามาเล่าให้ฟัง ระดับราชันทุกตัวมีมันสมองคิดได้มากกว่าการใช้สัญชาตญาณอย่างเดียว นั่นเป็นเหตุผลรองรับว่าทำไมเจ้านี่ถึงไม่ใช่ราชัน”
“อ้อ...ข้าเข้าใจแล้ว”
“เฮ้ ! มัวแต่คุยกันอยู่ได้” โยฮันแยกเขี้ยวตะคอกอย่างกับเด็กน้อยโดยแย่งของเล่น
ระหว่างนั้นกังและชุนก็วิ่งเข้าไปก่อนใครโจมตีเข้าที่ขาทั้งสองข้างแต่ก็ทำได้แค่แผลตื้น ๆ
“หนังหนาชะมัดเลย” กังกระโดดหลบฝ่ามือของมิโนทอร์ได้ฉิวเฉียดอย่างกับรู้อยู่แล้วว่ามันจะทำอะไร
ต่อให้โดนลดสเตตัสลงแต่สัญชาตญาณการต่อสู้ก็ยังคงอยู่ แม้การตอบสนองจะช้าลงแต่ก็พอทำอะไรได้บ้าง ซึฮากิ ฟรานและสเตล่าตามเข้าไปทันทีเพื่อปิดล้อมจากทุกทิศทาง
“ฝากทำให้มันอ่อนแรงด้วย” มิโกะกล่าวกับโยฮันและพุ่งตรงไปหามิโนทอร์พร้อมกับเจ้าสำนักดาบเทพ จากนั้นก็มีเข็มพิษขว้างปักบริเวณคอของมอนสเตอร์ส่งผลให้มันค่อย ๆ อ่อนกำลังลง
พิษอัมพาตอีกแล้วสินะ ทั้งห้าคนที่ปิดล้อมจู่โจมพร้อม ๆ กันทำลายขาที่มั่นคงได้สำเร็จ
วินาทีที่มันล้มเข่าทิ่มพื้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่มิโกะเหวี่ยงหมัดชกเจ้าสำนักดาบเทพออกไปเสมือนยิงปืนใหญ่
“ลงดาบ !” เมื่อความเร็วผนวกรวมกับความพลิ้วไหวของคมดาบอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้มันผ่ากลางหน้าผากเปิดกะโหลกไปได้หนึ่งชั้นแต่ก็ไม่อาจฆ่ามันได้ทันที
“แบบนั้นแหละ” มิโกะตามมาติด ๆ ไม่ให้มิโนทอร์มีโอกาสได้พักและจ้วงหมัดยัดเข้าที่สมองด้านในเต็ม ๆ จากนั้นจึงเร่งเปลวเพลิงเผาจนสุก
ด้วยการร่วมมือกันของผู้มีความสามารถทั้งแปดคนทำให้โค่นมิโนทอร์ได้อย่างรวดเร็ว ความสามารถเหล่านั้นแสดงให้เห็นความต่างชั้นของฝีมือไม่ใช่แค่เลเวลหรือสเตตัสและสักขีพยานก็คือผู้ชมทั้งอัฒจันทร์
อีกด้านหนึ่งขณะที่ผู้ท้าชิงกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดแต่ผู้ที่ไม่ได้เป็นนั้นกลับนั่งงอมืองอเท้าไม่รู้จะทำอะไร
“คิดว่าท่านมิโกะจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?” เฉิงนั่งล้อมวงกับคนที่รู้จักรวมทั้งเฟยเฟิ่งด้วย
“ไม่รู้สิ แล้วบัญชาสวรรค์ที่บอกมาก่อนหน้านี้จะเกี่ยวกับท่านมิโกะหรือเปล่านะ?”
ผู้คนจำนวนมากโดนเคลื่อนย้ายมารวมกันที่เดียวซึ่งเป็นทุ่งหญ้าโล่ง ๆ ไร้จุดสิ้นสุดจะมีก็แค่สายลมที่พัดผ่านสร้างความสดชื่นรื่นรมย์
“ทำไมมีแค่ข้าที่หลงอยู่คนเดียวล่ะ !” ยูกินั่งหน้าหงิกเดาะลิ้นหงุดหงิด
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของนกอินทรีดังขึ้นหวังปลอบใจ
“เออ ! ขอโทษก็แล้วกันที่ไม่ได้พูดถึงแก”
เจ้าแฟรงค์ส่งเสียงร้องเรียกและเอาหัวดันแขนไม่หยุด
“อะไรของแกล่ะเนี่ย หิวหรือยังไง?”
มันส่งเสียงร้องอีกครั้งและบินขึ้นไปเหนือหัวหลายสิบเมตรจากนั้นจึงเริ่มเชื่อมต่อสายตากัน
“โห่...ตอนกิทำมันเป็นแบบนี้เองสินะ แต่ว่านายทำกับข้าได้ยังไงเนี่ย...” ยูกิถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นมุมมองของเจ้าแฟรงค์ มันไม่เหมือนกับการนั่งเครื่องบินเพราะมีสิ่งที่เรียกว่าอิสระ จังหวะการขึ้นลงกะทันหันชวนอาเจียนแต่พอชินกับมันก็สนุกไม่น้อย
แต่ไม่ทันไรความสนุกก็หมดลงเนื่องจากมีเสาสีขาวปรากฏล้อมรอบผู้คน เสาสีขาวที่ใช้เคลื่อนย้ายนำพาฝูงมอนสเตอร์ออกมาไม่หยุดทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
“กระจายกำลังกันออกไปเสีย ! ปกป้องประชาชนให้จงได้”
ความลำบากที่เกิดจากจำนวนคนที่มากเกินไปทำให้การสื่อสารไปไม่ถึง มิหนำซ้ำยังมีเสียงกรีดร้องสติแตกของผู้คนทำให้สถานการณ์ยากยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนใหญ่เป็นมอนสเตอร์ที่ไม่ได้เก่งกาจนักแต่มันลำบากเพราะคนโง่ ๆ ไม่มีสติพวกนี้เนี่ยแหละ ยูกิกอดอกมองด้วยดวงตาของแฟรงค์จึงเห็นสถานการณ์โดยรวมได้ทันที
ไอ้เราก็ดันตัวเล็กซะด้วยจะโดนคนเหยียบตายไหมเนี่ย ยูกิถอนหายใจเหนื่อยใจแต่ก็ไม่ได้ขยับเท้าไปไหนเอาแต่เฝ้ามองต่อไป
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 180
แสดงความคิดเห็น