10
หลังจากอาบน้ำที่ผสมน้ำมนต์หลายวัดซึ่งเป็นน้ำมนต์ที่เขาและคุณแม่เคยไปทำบุญก่อนที่คุณแม่จะป่วยและจากไปอย่างกะทันหัน เขาคิดถึงคุณแม่มาก และคิดเสมอว่าเขาโชคดีที่กลับมาทันอยู่กับคุณแม่ ถึงแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม เขาคิดถึงสมัยที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ชอบไปไหว้พระสวดมนต์ที่วัดอินทรมีบ่อน้ำมนต์ที่สมเด็จโตสร้างขึ้น เขาเองตอนนี้เขารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และคิดว่า
‘เช่นนี้กระมั่งที่เรียกว่าที่พึ่งทางใจ’
เขาลงมานั่งเล่นเปียโนที่ห้อง แอบดูทัศตลอดเวลาคงเพราะร้อนตัวไปก่อนตามคำพูดของแม่แสง เมื่อรินรดาอาบน้ำเรียบร้อยก็สวมชุดนอนกระโปรงยาวคลุมเข่าสีขาวแขนยาวบริเวณชายกระโปรงเป็นลวดลายฉลุลายดอกไม้ เธอใส่กางเกงผ้าแพรของทัศอีกเพราะเธอเป็นคนนอนดิ้นไม่อยากจะคิดถึงสภาพตอนนอนชุดกระโปรงอาจจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่น่ามองนัก
รินรดาประทับใจทัศมากเมื่อรู้ว่าที่เขาออกไปธุระข้างนอก เขาได้ซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวให้เธอด้วยไม่เว้นแม้แต่ชุดชั้นในที่เธอใส่ได้พอดี ทำให้เธอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เขาลูบไล้ เคล้นคลึงหน้าอกของเธอ ยิ่งคิดก็ทำให้เธอรู้สึกโกรธที่เขาฉวยโอกาสกับเธอ แต่ตอนนี้รินรดาเริ่มหวั่นใจในความผิดของเธอมากกว่าเรื่องใดๆ
รินรดาหยิบหนังสือนิยายติดมือลงมาอ่านที่ระเบียงหน้าบ้านรับลมเย็นๆพร้อมทั้งยังลงมาสังเกตการณ์อีกด้วย แต่เมื่อเธอได้ยินเสียงเปียโนลอยมา จึงเปลี่ยนใจในทันทีที่จะเดินไปแอบมองเขา ที่เห็นแต่ด้านหลังกำลังเล่นเปียโนอยู่ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆและค่อยๆหายใจออกอย่างช้าๆ รู้สึกโล่งอกโล่งใจที่วันนี้เขาไม่ดื่มเหล้า จากนั้นเธอค่อยๆเดินย่องเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงข้างๆเขา ทัศรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยที่เห็นว่าเธอมานั่งลงข้างๆเขา รินรดานั่งอยู่ใกล้เขาจนสังเกตเห็นว่าเหงื่อของเขาไหลลงมายังบริเวณขมับอีกทั้งเสื้อกุยเฮงที่เขาใส่ตอนนี้หลังของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ซึ่งทำให้เธอแปลกใจมากเพราะอากาศก็ไม่ได้ร้อนถึงกับเหงื่อแตกโชกได้ถึงขนาดนี้ เธอหันหน้าไปทางเขาแล้วใช้ปลายแขนเสื้อซับเหงื่อที่ไหลลงมาที่ขมับเขา นั่นทำให้เสียงเปียโนหยุดลง คนเล่นเปียโนหันหน้ามาหาคนที่ซับเหงื่อให้แล้วเอ่ยกล่าว
“ขอบคุณ ครับ”
“คุณไม่สบายหรือป่าวค่ะ”
ทัศที่ไม่ค่อยจะเล่าเรื่องส่วนตัวใครได้รู้สักเท่าไหร่แต่ก็เผลอเล่าให้รินรดาฟังว่า
“ตอนกลางคืนผมมักจะมีอาการแปลกๆตั้งแต่ที่หนีมาจากเกาะนั้น”
รินรดาได้ฟังแค่เพียงประโยคเดียวต่อมเผือกของเธอก็เปิดโหมดทำงานเลือกที่จะเผือกต่อ และเธอเองยังจินตนาการไปต่างๆนานาว่า
คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ดื่มเหล้าเพื่อลืมอะไรบางอย่างนี่เอง
หรือว่าเขาอาจจะเป็นทหารที่ถูกส่งไปในสงครามคาบสมุทรเกาหลี หรือ สงครามโลก
น่าสงสาร!
เพราะก่อนหน้านี้รินรดาได้เห็นรูปของทัศในชุดเครื่องแบบทหาร แขวนอยู่ห้องหนังสือ เธอทั้งอยากรู้และรู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจเขาคงจะได้เจอกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายอาจจะมีภาพติดตาที่ยิงทหารฝ่ายตรงข้ามตาย เหมือนกับในสารคดีที่เธอเคยดูว่าคนที่เคยผ่านสงครามการรบในสมัยก่อนบางคนต้องติดเหล้าเพราะนอนไม่หลับไม่อยากจดจำภาพที่น่ากลัว รินรดาคิดว่าเขาคงเป็นแบบนั้น
ทัศเห็นเธอนิ่งเงียบไปจึงพูดขึ้นว่า
“ผมไม่สามารถอยู่ในที่มืดได้อีกเลย”
“คุณเลยเปิดไฟสว่างทั่วบ้านแบบเซ่เวนงี้”
“อะไรนะครับ เซ่เวน คือสิ่งใด”
รินรดาไม่รู้จะอธิบายให้เห็นเขาภาพได้อย่างไรเพราะในสมัยนี้ไม่มีร้านดังกล่าวเธอจึงพูดว่า
“เป็นชื่อของร้านขายของที่เปิดไฟสว่างมาก”
“ครับ ผมหาหมอรักษาอยู่หลายปีอาการบางอย่างก็ดีขึ้นแต่อาการบางอย่างยังคงเดิม”
รินรดาคิดในใจว่า เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองถูกหรือป่าวที่จะอยู่ที่นี่กับเขา ในตอนกลางวันก็ดูเป็นคนปกติแต่ตอนกลางคืนไม่ปกติว่างั้น ดีไม่ดีเกิดแปลงร่างกลายเป็นหมาป่าแบบในหนังจะทำไง หรือไม่ก็เป็นพวก……แต่ดูท่าทางเขาไม่น่าจะใช่พวกฆาตกรโรคจิต เฮ้ย! ของแบบนี้ดูภายนอกรู้ซะที่ไหน เขาน่าจะเป็นคนจิตใจอ่อนไหวมากกว่าถึงรับสภาพนั้นไม่ได้ เธอสะกดจิตตัวเองว่า
“คิดดี เข้าไว้ คิดดี ทุกอย่างจะดี คิดดี”
ทัศแปลกใจที่เห็นรินรดานิ่งฟังเขาเพราะที่เห็นเธอตั้งแต่เมื่อคืน อีกทั้งตอนกลางวันเธอดูเป็นคนที่ช่างซักถามพูดจาเจื้อยแจ้ว แต่นี่นิ่งเงียบหรือเธอจะกลัวเรื่องที่เขาเล่า
รินรดาขยับเข้าไปนั่งใกล้เขาและลูบแขนของเขาอย่างอ่อนโยนสัมผัสที่นุ่มนวลจากมือของเธอทำให้เขาหยุดนิ่งมองหน้าเธอ เธอค่อยๆลูบแขนของเขาแล้วพูดว่า
“คุณต้องใจดีกับตัวของคุณเอง และพูดกับตัวเองว่า เก่งมากที่ผ่านเรื่องร้ายๆมาได้ เก่งจริง”
ทัศถึงกับตกตะลึงในความคิดของเธอ เขาฟังไม่ผิดที่เธอแนะนำให้เขาพูดกับตัวเอง เขาคิดในใจ
‘เธอคนนี้ช่างเพี้ยน เหลือประมาณ’
ส่วนรินรดาที่เห็นว่าทัศมีท่าทางทีกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเธอพอจะเดาออกว่า เขาต้องคิดว่าเธอบ้าอีกแน่ที่ให้เขาพูดกับตัวเอง เธอจึงพูดต่ออีกว่า
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคุณไม่หายไปไหนมันก็จะอยู่ในความทรงจำของคุณเพื่อเป็นสิ่งที่บอกว่าเราได้เคยผ่านอะไรมาบ้าง ในบางครั้งเราก็แค่เปลี่ยนที่ยืนแล้วมองกลับไปดูอย่างคนที่มีใจเป็นกลางเราอาจจะเห็นในอีกมุมหนึ่งนะ ชั้นไม่รู้หรอกว่าคุณผ่านอะไรมาเลวร้ายแค่ไหน แต่ว่า ตัวคุณเก่งมากและที่สำคัญคุณต้องใจดีกับตัวเองให้มากๆที่ผ่านเรื่องทุกอย่างมาได้ บางทีถ้าคุณลองเปลี่ยนมุมที่มองไปคุณอาจจะเห็นความงดงามที่เป็นธรรมชาติของเกาะแห่งนั้นและที่นั้นก็เป็นแบบนั้นเพียงแต่คุณอาจจะไม่เคยรู้ก็เท่านั้นเอง”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นผมจะใจดีกับตัวเองและจะลองเปลี่ยนมุมที่ยืนมองดูอย่างที่คุณแนะนำ”
ทัศที่นั่งฟังหญิงสาวแปลกหน้าที่โผล่มาในบ้านของเขาและพูดจาให้เขาได้มีความคิดอีกมุมหนึ่งที่น่าทึ่งอีกทั้งยังทำให้เขาอยากกอดเธอในเวลาเช่นนี้ที่เขามีความรู้สึกอยากดื่มวิสกี้เหลือเกิน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 151
แสดงความคิดเห็น