ตอนที่ 561 มาร
ตอนที่ 561 มาร
“ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่?” อันธอุทานขึ้นมาด้วยความสับสน
พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยแสงหลากหลายสีสัน ใต้เท้าของเขาคือแผ่นน้ำแข็งที่แบนเรียบและห่างออกไปก็เป็นโลงน้ำแข็งที่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ คล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้คือสุสานของใครบางคน
“บางทีที่นี่อาจจะเป็นสุสานของใครสักคนหรือเปล่า? บนโลกก็มีคนเคยสร้างสุสานขนาดใหญ่คล้าย ๆ แบบนี้อยู่บ้างนะ” เซี่ยเฟยกล่าวก่อนที่เขาจะทำใจเดินไปยังโลงศพน้ำแข็งที่โดดเด่น
บนแท่นที่ตั้งโลงศพจำเป็นจะต้องเดินขึ้นบันไดไปกว่า 1,000 ขั้น และเขาก็ได้พบว่าทั้งสองด้านของโลงน้ำแข็งมีน้ำแข็งสลักเป็นรูปของสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวคอยปกป้องโลงศพโลงนี้อยู่
ตัวโลงศพโลงนี้มีขนาดใหญ่มาก โดยมีความยาวถึง 20 เมตรและมีความกว้างและความสูงอยู่ถึง 5 เมตร
ด้านในโลงศพเห็นแต่เพียงชุดเกราะสีดำที่ปกปิดร่างทั้งร่างเอาไว้ แต่เมื่อพิจารณาจากขนาดของชุดเกราะที่ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ร่างของผู้ที่อยู่ด้านในก็คงจะมีรูปร่างไม่ต่างจากยักษ์
เซี่ยเฟยพยายามผลักโลงศพด้วยมือทั้งสองข้าง แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงมากแค่ไหนแต่โลงศพก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“แปลก! แปลกมาก”
เซี่ยเฟยตัดสินใจนั่งลงพักที่บันได ขณะที่ขนอุยได้พยายามเลียคอเพื่อเอาอกเอาใจชายหนุ่ม
“ที่นี่มันคือที่ไหนกันแน่นะ?” เซี่ยเฟยส่งเสียงพึมพำกับตัวเอง
อันธทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ในขณะที่เขาจะแสดงความคิดเห็นจู่ ๆ ชุดเกราะสีดำภายในโลงศพก็เริ่มส่งเสียง
“ที่นี่คือทุ่งน้ำแข็งนิรันดร์”
“ผีหลอก!!” เซี่ยเฟยรีบกระโจนขึ้นจากพื้นด้วยความตกใจ ก่อนที่เขาจะได้พบกับชุดเกราะสีดำในโลงน้ำแข็งที่กำลังหันศีรษะมามองทางเขา
“เอ่อ... คุณเป็นใครเหรอครับ?” เซี่ยเฟยถามอย่างสับสน
“นายนั่นแหละเป็นใคร? ถึงทะลุกฎแห่งแสงเข้ามาที่นี่ได้”
เสียงจากชุดเกราะให้ความรู้สึกถึงความหนักแน่นและความมีคุณวุฒิ จนทำให้ชายหนุ่มคิดว่าคนที่อยู่ภายในเกราะจะต้องเป็นคนที่มีความสง่างามมากแน่ ๆ
“ผมชื่อเซี่ยเฟย” เซี่ยเฟยกล่าวตอบพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับมือกับเหตุฉุกเฉินตลอดเวลา
“ไม่ต้องระวังตัวขนาดนั้นก็ได้ กฎแห่งแสงที่ขังฉันเอาไว้ไม่เป็นภัยคุกคามสำหรับนายหรอก ฉันจำไม่ได้แล้วสิว่าฉันถูกขังเอาไว้ที่นี่นานแค่ไหน อย่างน้อยมีคนมาคุยด้วยแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน หลังจากนี้เรียกฉันว่าผู้อาวุโสดำก็ได้” ชุดเกราะจากโลงศพกล่าว
“ผู้อาวุโสดำ?”
ชื่อของคนคนนี้ฟังดูเรียบง่ายมาก แต่ไม่ว่าเซี่ยเฟยจะมองยังไงคนที่อยู่ในชุดเกราะย่อมไม่ใช่คนที่อ่อนแออย่างแน่นอน เพราะด้วยขนาดร่างกายอันใหญ่โตของเขาเพียงอย่างเดียว มันก็แสดงออกถึงพละกำลังอย่างมหาศาล ดังนั้นถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะยังอยู่ในโลงศพ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะลดความระมัดระวังได้จริง ๆ
“ว่าแต่นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่านายผ่านกฎแห่งแสงเข้ามาได้ยังไง?”
“คุณกำลังบอกว่าแสงสีพวกนี้คือกฎแห่งแสงงั้นเหรอครับ? ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
“นายเป็นมนุษย์ที่อยู่ฝั่งของเผ่าเทพ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่นายจะไม่เคยได้ยินกฎที่ใช้ในเผ่ามาร แสงพวกนั้นไม่ได้เพียงแต่เป็นกฎแห่งแสงธรรมดาเท่านั้น แต่มันยังเป็นกฎแห่งแสงที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดากฎแห่งแสงทั้งหมดอีกด้วย” ผู้อาวุโสดำกล่าวพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
“คุณเป็นคนของเผ่ามารงั้นเหรอ?!” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“แล้วฉันจำเป็นจะต้องเป็นมนุษย์ด้วยหรือยังไง ทำไมฉันจะเป็นมารไม่ได้” ผู้อาวุโสดำกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ
เซี่ยเฟยถึงกับพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง เพราะสิ่งที่ผู้อาวุโสดำพูดมามันก็ไม่ใช่เรื่องผิด
“ทำไม? นายคงจะไม่ได้คิดว่าเผ่าเทพเป็นตัวแทนของความยุติธรรม แล้วเผ่ามารเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายอยู่ใช่ไหม?”
อาจจะเป็นเพราะผู้อาวุโสดำไม่ได้คุยกับใครมานานเกินไป เขาจึงอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้เซี่ยเฟยฟังอย่างยืดยาว โดยพยายามเน้นย้ำว่ามันไม่ได้มีความดีความชั่วที่แท้จริงอยู่ในจักรวาล จนทำให้ชายหนุ่มเริ่มขี้เกียจที่จะฟังเรื่องราวพวกนั้นแล้ว
“ทำไมมารตัวนี้พูดมากจัง” อันธกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“เผ่าเทพกับเผ่ามารไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน และแม้แต่ตัวนายที่เป็นมนุษย์ก็ยังสามารถเข้าไปเป็นสมาชิกของเผ่าเทพได้ ถ้าหากว่านายมีพลังที่แข็งแกร่งมากเพียงพอ”
“อันที่จริงเผ่าเทพก็คือกลุ่มของนักสู้ชั้นนำจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ในจักรวาลได้มารวมตัวกันแล้วก่อตั้งเป็นเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ดังนั้นคำว่าเผ่าเทพจึงไม่ได้กำหนดอย่างชี้เฉพาะว่าคนภายในเผ่าจะต้องเป็นเผ่าพันธุ์อะไร เพราะตราบใดก็ตามที่นักสู้คนไหนมีความแข็งแกร่งมากเพียงพอ พวกเขาก็สามารถเข้าร่วมกับเผ่าเทพได้เมื่อพวกเขาถูกเชิญชวน”
“แน่นอนว่าเมื่อมนุษย์เลือกที่จะยืนอยู่ข้างเผ่าเทพ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะมายืนอยู่ฝั่งเดียวกันกับเผ่ามารด้วย เพราะเผ่าเทพกับเผ่ามารเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ และพวกเราก็พยายามต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงความเป็นเจ้าของของประตูจักรวาล”
คำอธิบายของผู้อาวุโสดำเริ่มทำให้เซี่ยเฟยมีความเข้าใจทั้งสองเผ่าพันธุ์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาลมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้ตระหนักว่าเผ่าพันธุ์ทั้งสองไม่ใช่เผ่าพันธุ์จริง ๆ แต่เป็นกลุ่มนักรบกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่มที่เป็นศัตรูกัน
“จุดรวมตัวของนักรบระดับสูงสุดของจักรวาลงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยเริ่มสงสัยว่าเผ่าพันธุ์พวกนั้นได้รวมสัตว์ประหลาดแบบไหนเอาไว้กันแน่
“เผ่าเทพได้ถือครองกฎแห่งเวลา, กฎแห่งมิติและกฎแห่งสสารเป็นกฎหลัก ส่วนเผ่ามารก็ได้ถือครองกฎแห่งแสง, กฎแห่งความมืดและกฎแห่งชีวิตเป็นกฎหลักเช่นเดียวกัน กฎทั้งหกข้อนี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นกฎระดับสูงสุดของจักรวาล ซึ่งนอกเหนือจากกฎหลักทั้งหกแล้วมันก็ยังมีกฎต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน”
“สิ่งที่ฉันฝึกฝนคือกฎแห่งความมืดซึ่งเป็นด้านตรงข้ามของกฎแห่งแสงสว่าง ดังนั้นเมื่อฉันถูกตัดพลังด้วยกฎแห่งแสงสว่างมันจึงทำให้ฉันไม่มีแรง แต่โชคดีที่ฉันมีชีวิตเป็นอมตะ ดังนั้นถึงแม้จะถูกกักขังมาเนิ่นนานแต่ฉันก็ยังไม่เสียชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้”
“ที่คุณมีชีวิตเป็นอมตะ มันเป็นเพราะว่าคุณฝึกฝนกฎแห่งชีวิตงั้นเหรอ?” เซี่ยเฟยถาม
“ใช่ กฎแห่งชีวิตทำให้ฉันไม่มีวันตาย ต่อให้ร่างกายของฉันแหลกสลายแต่วิญญาณของฉันก็จะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ แม้ว่าฉันจะต้องเริ่มฝึกฝนกฎทุกอย่างใหม่ก็ตาม” ผู้อาวุโสดำกล่าว
‘ในจักรวาลมันมีกฎมหัศจรรย์ที่ทำให้เกิดใหม่ได้ด้วยงั้นเหรอ?’ เซี่ยเฟยคิดภายในใจอย่างตกตะลึง
สิ่งที่ผู้อาวุโสดำเล่ามาทำให้หัวใจเซี่ยเฟยสั่นสะท้านอย่างแท้จริง แต่ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของเขาก็เริ่มทำงานขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพราะเขาเกือบลืมเรื่องจริงเรื่องหนึ่งไปเลยว่าผู้อาวุโสดำถูกกักขังเอาไว้ในสถานที่แห่งนี้
“ข้างนอกนั่นใช่เพื่อนนายไหม?” ผู้อาวุโสดำถาม
“คุณสัมผัสถึงเขาได้ด้วยงั้นเหรอ?”
“ฉันสัมผัสได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างบนทุ่งน้ำแข็งนิรันดร์ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะสัมผัสถึงสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่ฉันก็ทำอะไรกับมันไม่ได้” ผู้อาวุโสดำตอบ
“คนข้างนอกคือศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าผมมาก และผมก็ถูกไล่ล่าจนหลงเข้ามาที่นี่” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“แบบนี้นี่เอง น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของนายยังมีไม่พอ ถึงแม้ว่านายจะได้รับความช่วยเหลือจากมารขาวแล้ว แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะจัดการกับเขาอยู่ดี” ผู้อาวุโสดำกล่าว
“ไม่เป็นไร ผมยังมีเวลา” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เดินลงบันไดและเริ่มนั่งขัดสมาธิโดยไม่สนใจผู้อาวุโสดำอีกต่อไป
“มารตนนั้นครั้งหนึ่งเคยทรงพลังมาก เขาจะต้องมีวิธีจัดการกับคนข้างนอกนั่นแน่ ๆ ทำไมนายถึงไม่ขอให้เขาสอนวิชาอะไรบางอย่างให้กับนายล่ะ?” อันธกล่าวอย่างกระวนกระวาย
“เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก อีกอย่างเขากำลังรอให้ฉันขอร้องเขาอยู่” เซี่ยเฟยกล่าวตอบ
“นายกำลังหมายความว่ายังไง?” อันธถามอย่างไม่เข้าใจ
“ผู้อาวุโสดำรู้ดีว่าฉันมีพลังของกฎแห่งความโกลาหลที่สามารถทำลายกฎแห่งแสงและเข้ามาที่นี่ได้ ถ้าหากว่านายถูกกักขังมานานหลายพันปี นายจะต้องการหลบหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ไหมล่ะ?”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันก็คงจะขอให้นายทำลายผนึกนี้ออก” อันธกล่าว
“ใช่ ผู้อาวุโสดำก็คงจะคิดแบบนั้นอยู่เหมือนกัน เขาเลยพยายามเล่าว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน จากนั้นเขาก็ชี้ให้ฉันเห็นถึงสถานการณ์ในปัจจุบันที่เลวร้ายและรอให้ฉันร้องขอความช่วยเหลือจากเขา”
“เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเป็นฝ่ายเริ่มเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากเขาก่อน ฉันก็จะตกหลุมพรางในทันที จากนั้นเขาก็จะเริ่มเรียกร้องหาสิ่งตอบแทน แล้วนายคิดว่าฉันจะยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของเขาไหมล่ะ” เซี่ยเฟยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มันก็ไม่เห็นจะมีอะไรผิดปกตินี่ อีกอย่างเขาก็บอกเองว่าเขาสูญเสียพลังทั้งหมดไปแล้ว ดังนั้นต่อให้นายปล่อยเขาออกมาเขาก็ไม่สามารถที่จะคุกคามนายได้อยู่ดี” อันธกล่าว
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้พูดโกหก” เซี่ยเฟยกล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ถ้าเขาโกหก นายก็จะตกอยู่ในอันตรายสินะ” อันธกล่าวพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบคางเพื่อใช้ความคิด
เพียงแค่ได้รู้ว่าผู้อาวุโสดำมาจากเผ่ามาร มันก็สามารถการันตีได้เลยว่าเซี่ยเฟยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน ดังนั้นการลงมือทำอะไรผลีผลามมันก็อาจจะนำมาซึ่งอันตรายมากขึ้นกว่าเดิม
“แล้วพวกเราจะทำยังไงกันต่อไป? อย่าบอกนะว่าพวกเราจะต้องถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไปเหมือนกับเขา” อันธกล่าว
เซี่ยเฟยไม่ตอบแต่หยิบเรดาร์แบล็คแบทออกมาเพื่อพยายามติดต่อไปหาแอวริล แต่โชคไม่ดีที่ระบบเรดาร์นี้ไม่มีสัญญาณตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ซึ่งโดยปกติมันก็มักที่จะมีอาการแบบนี้บ่อย ๆ นับตั้งแต่ได้เขาได้เดินทางมายังดินแดนของผู้ใช้กฎ
“ค่อย ๆ คิดไปทีละหน่อยก็แล้วกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ฉันยังไม่อยากจะปล่อยเขาออกมา”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็คงจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปอีกนาน” อันธกล่าว
“ก็มารอดูกันว่าใครจะอดทนได้นานกว่ากัน ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังมีคริสตัลต้นกำเนิดอยู่อีกเยอะ คริสตัลพวกนี้น่าจะมากพอให้ฉันอยู่ที่นี่ไปได้นานอีกเป็นปีเลยล่ะ” เซี่ยเฟยกล่าวพร้อมกับหยิบคริสตัลขาวออกมาป้อนให้กับขนอุย
ทุกอย่างที่เซี่ยเฟยคาดเดาเอาไว้ไม่ได้ต่างไปจากความคิดของผู้อาวุโสดำมากนัก เพราะเขากำลังรอที่จะให้เซี่ยเฟยร้องขอความช่วยเหลือจากเขาจริง ๆ แต่สิ่งที่เขาไม่ได้คิดเอาไว้คือเซี่ยเฟยสงบมาก และถึงแม้ว่าด้านนอกจะมีศัตรูดักรอเขาอยู่ แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็นั่งลงเริ่มทำการฝึกฝนอย่างหน้าตาเฉย
เซี่ยเฟยเริ่มทำการฝึกฝนอย่างอดทน ซึ่งในความเป็นจริงการฝึกฝนที่นี่ก็ค่อนข้างที่จะสงบกว่าการที่เขาได้ฝึกฝนอยู่ในตระกูลหยูด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่มีใครมารบกวนเขาในระหว่างที่เขากำลังทำการฝึกฝน
ความสามารถในการอดทนรอถือได้ว่าเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ล้ำค่าสำหรับนักรบทุกคน และความสามารถในการอดทนต่อสิ่งล่อลวงก็เป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เซี่ยเฟยมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้
ยิ่งตกอยู่ในสภาวะวิกฤตความอดทนของเซี่ยเฟยยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าเดิม และถึงแม้ว่ามู่ฉิวโป๋ที่อยู่ด้านนอกจะไม่อยากรอชายหนุ่มแล้ว แต่เข็มทิศมิติของเขาก็ไม่สามารถที่จะใช้งานได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาต้องการที่จะเดินทางออกไปแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำแบบนั้นได้จริง ๆ
…
“ในที่สุดฉันก็กลายเป็นนักรบกฎขั้นที่ 7 แล้ว ใกล้ความจริงที่จะจัดการกับศัตรูข้างนอกไปได้อีกก้าว ฉันยังมีคริสตัลต้นกำเนิดอยู่อีกเยอะต่อให้ฝึกอยู่ที่นี่ไปอีก 10 ปีมันก็ไม่น่ามีปัญหา” เซี่ยเฟยกล่าวกับขนอุยขณะลูบหัวของมันเบา ๆ
อย่างไรก็ตามคำพูดลอย ๆ ของเซี่ยเฟยในครั้งนี้ก็ทำให้ผู้อาวุโสดำชะงักไปอย่างกะทันหัน และเขาก็สามารถตระหนักได้ในทันทีว่าเซี่ยเฟยกำลังพยายามจะสื่อสารกับเขาอย่างชัดเจน
มีคริสตัลต้นกำเนิดอยู่อีกเยอะ?
ฝึกที่นี่ไปอีก 10 ปี?
ผู้อาวุโสดำถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“รอก่อนเถอะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะมีใครสามารถต้านทานกฎแห่งชีวิตได้จริง ๆ” ผู้อาวุโสดำคิดอย่างโกรธเคืองภายในใจ
***************
แข่งความอดทนกัน! พี่เฟย, ผู้อาวุโสดำและมู่ฉิวโป๋ ใครจะชนะเกมนี้กันน๊ออออ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 145
แสดงความคิดเห็น