ตอนที่ 396 อูดี้และบิทินี่
ตอนที่ 396 อูดี้และบิทินี่
รายงาน 2 ฉบับล่าสุดทำให้อูดี้รู้สึกหงุดหงิดมาก เขาจึงระบายความโกรธโดยการทุบโต๊ะอย่างแรง ก่อนที่จะกระโดดลงมาจากเก้าอี้และเดินไปเดินมาเพื่อใช้ความคิด
เพื่อปกปิดข้อด้อยของตัวเองอูดี้จึงได้สั่งทำโต๊ะชนิดพิเศษขึ้นมาในเต็นท์ทองคำ โดยโต๊ะและเก้าอี้พวกนี้มีความสูงมากกว่า 3 เมตร อูดี้จึงได้ใช้พวกมันนั่งมองดูคนอื่นจากที่สูงคล้ายกับราชาผู้สูงส่ง
อูดี้มีนิสัยชอบดูถูกคนอื่นมากแล้วมันก็อาจจะเป็นเพราะเขามีนิสัยชอบดูถูกคนอื่นเช่นนี้นี่เอง เขาจึงกลัวว่าคนอื่นจะมาดูถูกความสูงของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามสร้างของใช้ให้มีความสูงมากกว่าปกติเพื่อที่เขาจะได้อยู่สูงกว่าคนอื่นตลอดเวลา
แต่วันนี้อูดี้กลับรู้สึกเหมือนบนบัลลังก์เต็มไปด้วยหนามแหลม เขาจึงเดินไปมาด้วยสองขาสั้น ๆ อย่างกระวนกระวายใจ
บริเวณหน้าเต็นท์มีนายพลยืนอยู่ 2 คน โดยคนหนึ่งคือทูดี้ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าสมาพันธ์นักรบศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่อีกคนคือโซอี้ผู้บัญชาการกองทหารสูงสุด และห่างออกไปไม่ไกลราชินีบิทินี่กำลังนั่งอวดเรียวขาอยู่บนโซฟา ราวกับว่าเธอไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้เลย
ในวันปกตินายพลทั้งสองคงจะไม่พลาดวิวทิวทัศน์อันงดงามที่บิทินี่ตั้งใจเปิดออกมาโชว์ เพราะท้ายที่สุดเธอคนนี้ก็คือผู้หญิงที่สวยที่สุดในเผ่าพันธุ์เซิร์กทั้งหมด แล้วเธอก็มีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดใจเพศตรงข้ามไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใครก็ตามและมันก็รวมถึงพวกเขาทั้งสองคนด้วย
แต่น่าเสียดายที่ในวันนี้นายพลทั้งสองไม่สามารถจะรับชมวิวทิวทัศน์อันงดงามได้ เพราะหลังจากที่มันได้เกิดเรื่องใหญ่พวกเขาก็จำเป็นจะต้องรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ให้ได้ก่อน
“มนุษย์ฆ่าเมนี่แล้วขโมยกรงเล็บภูติโลหิตไปงั้นเหรอ?” อูดี้ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“จากรายงานและวิดีโอที่พวกเราได้รับก่อนกาแล็กซีจะถูกทำลาย พวกเราได้วิเคราะห์ว่าคนร้ายคือนักรบมนุษย์ที่มีพลังความเร็ว และเขาก็ลงมือทำทุกอย่างโดยลำพัง” โซอี้กล่าวรายงานขึ้นมาอย่างเร่งรีบ
“นายคิดว่ายังไง? ทำไมนักรบมนุษย์คนนั้นถึงสังหารเมนี่ได้?” อูดี้ถามขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดขณะหันไปหาทูดี้ที่อยู่อีกข้าง
“เมนี่ใกล้จะบรรลุพลังระดับ 7 แล้วและพลังพิเศษของเขาก็คือการล่องหนที่ยากจะคาดเดาได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถสังหารศัตรูได้สำเร็จ แต่เขาก็ไม่ควรจะถูกสังหารได้ง่าย ๆ เหมือนกัน ผมได้ดูวิดีโอที่บันทึกการต่อสู้ของนักรบมนุษย์คนนั้นเอาไว้แล้ว ซึ่งความเร็วสูงสุดของเขาก็อยู่ที่ประมาณ 10,000 เมตรต่อวินาทีเท่านั้น ผมจึงคิดว่าเขาคงจะจงใจซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถเอาชนะเมนี่ด้วยความเร็วเพียงแค่นี้ได้” ทูดี้กล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ
“จงใจซ่อนความสามารถที่แท้จริง? จุดประสงค์ของเขาคืออะไรกันแน่? ทำไมเขาจะต้องซ่อนความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ด้วย แล้วเขาแอบเข้ามาในดินแดนของเราได้ยังไง?” อูดี้พึมพำอย่างครุ่นคิด
“ผมเดาว่าเขาคงไม่อยากจะดึงดูดความสนใจจากพวกเรา มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงฆ่าปิดปากเมนี่ในที่เกิดเหตุ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ใช้อาวุธอะไรบางอย่างทำลายกาแล็กซีไปครึ่งกาแล็กซี แต่เขาโชคไม่ดีที่ประเมินระดับการส่งข้อมูลของพวกเราต่ำไป มันจึงทำให้เขาไม่สามารถปิดบังตัวตนในระหว่างที่เขาลงมือได้” ทูดี้กล่าว
อูดี้พยักหน้ารับโดยคิดว่าการวิเคราะห์ของทูดี้สมเหตุสมผล ซึ่งอันที่จริงเขาก็คิดเรื่องนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนเหตุผลที่เขาถามออกมาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามทดสอบความสามารถของนายพลทั้งสองคน ซึ่งผลลัพธ์ก็แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าทูดี้มีพื้นฐานการวิเคราะห์เป็นอย่างดี ส่วนโซอี้ยังขาดพื้นฐานด้านการวิเคราะห์สถานการณ์อยู่อีกไกล
ปกติ 2 นายพลนี้ไม่ค่อยจะถูกกันมากเท่าไหร่นัก ดังนั้นเมื่อโซอี้เห็นว่าทูดี้สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างสมเหตุสมผล มันจึงทำให้เขาเริ่มรู้สึกร้อนรนที่มีผลงานด้อยกว่า
“ฝ่าบาทนักรบผู้นี้มีระดับพลังสูงมากและเขายังได้ครอบครองอาวุธลึกลับที่สามารถทำลายล้างกาแล็กซีได้ในพริบตา ผมขอแนะนำว่าให้เราส่งกองกำลังไล่ล่าเขาทันที ไม่อย่างนั้นในอนาคตเขาก็อาจจะสร้างความวุ่นวายขึ้นมามากกว่านี้ก็ได้”
หลังจากกล่าวจบโซอี้ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย โดยคิดว่าข้อเสนอของเขาก็พอจะมีความน่าเชื่อถืออยู่เหมือนกัน
“ไอ้โง่! เรื่องแบบนั้นมันสมควรจะต้องทำตั้งแต่แรกแล้วไหม!!” อูดี้ตะโกนด่าออกมาอย่างดุดัน ซึ่งมันก็ทำให้ทูดี้ที่อยู่ใกล้ ๆ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“ออกไปซะ! ส่วนทูดี้อยู่ก่อน ฉันมีเรื่องจะต้องคุยกับนาย” อูดี้กล่าวโดยไม่แม้แต่จะหันไปมองโซอี้
โซอี้กัดฟันเดินออกจากเต็นท์ทองคำด้วยความแค้นใจ เพราะไม่ว่าจะเป็นคำด่าทอที่ดูถูกเหยียดหยามของอูดี้ หรือเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของทูดี้ต่างก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เขารู้สึกอารมณ์เสีย เขาจึงเตะทหารเฝ้าประตูออกไปไกลนับ 10 เมตร จนทำให้ทหารคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากกระดูกหักไปหลายท่อน
บิทินี่ที่นั่งอยู่ในเต็นท์ทองคำเฝ้าดูภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม และในแววตาของเธอก็กำลังให้ความรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังพึงพอใจกับสถานการณ์ในครั้งนี้มาก
“นั่งลง” อูดี้ออกคำสั่ง เพราะเขาไม่ชอบให้ใครมายืนค้ำหัวเขาในระหว่างทำการสนทนา จากนั้นเขาก็เดินลงมานั่งข้าง ๆ บิทินี่ ซึ่งเธอก็ก้มหัวลงอย่างชำนาญเพื่อให้อูดี้ได้สัมผัสกับผมสีดำของเธอ
การเคลื่อนไหวของเธอดูเป็นธรรมชาติมากคล้ายกับว่าเธอไม่ได้จงใจก้มตัวลงให้อยู่ต่ำกว่าอูดี้เลย และนี่ก็คือเหตุผลที่บิทินี่ทำให้อูดี้หลงใหลเธอได้มากขนาดนี้ เพราะไม่เพียงแต่เธอจะมีรูปร่างหน้าตาอันสวยงามเท่านั้น แต่เธอยังเก็บรายละเอียดปลีกย่อยเล็ก ๆ พวกนี้ได้อย่างชำนาญอีกด้วย
บิทินี่เป็นผู้หญิงฉลาดและเธอก็เข้าใจในสิ่งที่ผู้ชายต้องการเป็นอย่างดี ซึ่งนอกเหนือจากที่ผู้ชายจะต้องการความรักแล้วพวกเขาก็หวังที่จะมีสถานะที่อยู่เหนือกว่า และการคลอเคลียสามีต่อหน้าผู้ชายคนอื่นมันก็จะทำให้พวกเขามีความรู้สึกถึงความภาคภูมิใจ
น่าเสียดายที่สาวงามส่วนใหญ่ไม่ชอบปรนนิบัติผู้ชายมากนัก เพราะพวกเธอคิดว่าพวกเธอสวยเลือกได้และผู้ชายจะต้องมาคอยตามง้อตามเอาใจตัวพวกเธอแทน แต่น่าเสียดายที่พวกเธอเหล่านี้ได้ลืมความจริงข้อหนึ่งไปว่า ไม่ว่าผู้หญิงจะสวยแค่ไหนแต่ท้ายที่สุดเธอก็จะเป็นรองผู้ชายหลังจากแต่งงานกันไปอยู่ดี โดยเฉพาะผู้ชายที่มีความทะเยอทะยานสูงย่อมไม่ชอบให้ผู้หญิงมาทำตัวสูงกว่า เพราะมันจะทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้สูญเสียศักดิ์ศรีในฐานะลูกผู้ชายไป
บิทินี่เข้าใจถึงความต้องการของผู้ชายเป็นอย่างดี เธอจึงจงใจลดท่าทีของเธอต่อหน้าสามีลง ดังนั้นถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของอูดี้จะดูน่าเกลียดมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังคงเป็นราชาผู้มีสติปัญญาสูงที่สุดของเผ่าพันธุ์อยู่ดี และถึงแม้ว่าคนอื่นจะดูถูกรูปร่างหน้าตาของเขาลับหลัง แต่บิทินี่ก็จะพยายามทำว่าเธอคอยสนับสนุนเขาอยู่ด้านหลังเสมอ
“บิทินี่ฉันมีเรื่องที่จะต้องคุยกับทูดี้…” อูดี้กล่าวขึ้นมาเบา ๆ ขณะลูบผมภรรยาอย่างเบามือ
ท่าทางที่บิทินี่แสดงออกมาทำให้อูดี้รู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้นกว่าเดิม ท้ายที่สุดผู้หญิงที่สวยที่สุดในเผ่าพันธุ์ก็ยอมคุกเข่าลงตรงหน้าเขาแต่โดยดี แล้วในฐานะของผู้ชายเขาจะไม่รู้สึกภาคภูมิใจกับสถานะในปัจจุบันได้อย่างไร
บิทินี่เดินออกจากเต็นท์ทองคำพร้อมกับทำความเคารพอูดี้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่เมื่อเธอหันศีรษะกลับไปสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที และถึงแม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจะยังคงอยู่ แต่มันกลับไม่ใช่รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักแต่มันเป็นรอยยิ้มที่ถูกประดับเอาไว้ด้วยความรังเกียจ
แน่นอนว่าอูดี้ย่อมไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของภรรยา เขาจึงเฝ้าดูบิทินี่จากไปอย่างมีความสุขพร้อมกับหันศีรษะมาเริ่มบทสนทนาอย่างจริงจัง
“กรงเล็บภูติโลหิตยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ถึงแม้นักรบมนุษย์คนนั้นจะขโมยมันไปแต่เขาก็ยังไม่สามารถจะใช้งานมันได้ในทันที ดังนั้นเราจะต้องเอามันกลับมาให้ได้ก่อนที่สมุนไพรต้นนั้นจะถึงเวลาเก็บเกี่ยว”
“ฝ่าบาททรงอย่ากังวล ผมส่งกำลังคนออกไปค้นหาอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าหากว่าผมพบเบาะแสใด ๆ ผมจะรีบรายงานให้คุณทราบทันที” ทูดี้กล่าวพร้อมกับพยักหน้า
“ส่งซิปปี้, ลารี่กับเกาตี้ออกไปด้วย ระดับพลังของเขาสูงกว่าที่เราคาดไว้มาก เราจะประมาทเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด” อูดี้กล่าว
“ฝ่าบาทผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าจะให้นักรบศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดคอยคุ้มกันอยู่ที่เต็นท์ทองคำ การส่งพวกเขาออกไปทำภารกิจพร้อมกันแบบนี้มันจะทำให้การคุ้มกันของเต็นท์ทองคำอ่อนแอลง” ทูดี้กล่าวขึ้นมาด้วยความตกตะลึง
“มนุษย์คนนั้นไม่มีทางมาที่เมืองหลวงในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้หรอก และฉันก็ไม่ไว้ใจว่าคนอื่นจะจัดการกับเขาได้ ฉันได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้มีนักรบศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งถูกกำจัดไปเหมือนกัน ดูเหมือนว่าเขาจะชื่อไซย่าใช่ไหม?” อูดี้กล่าวพร้อมกับโบกมือแสดงท่าทางว่าไม่เป็นไร
“ใช่ครับ เมื่อไม่นานมานี้ไซย่าเพิ่งจะถูกพบเป็นศพในสถานที่ฝึกฝนของเขาเอง อย่างไรก็ตามเขาก็มีพลังอยู่ในระดับ 2 เท่านั้นและโดยปกตินักรบศักดิ์สิทธิ์ก็มักที่จะท้าทายกันเป็นประจำอยู่แล้ว นอกจากนี้เขายังมีนิสัยชอบสังหารคนอื่นเป็นผักปลา บางทีเขาอาจจะไปกระตุกหนวดใครเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ครับ” ทูดี้กล่าว
“ฉันกำลังสงสัยว่าคนลงมือสังหารไซย่าน่าจะเป็นคนคนเดียวกันกับที่สังหารเมนี่ เพราะข้อมูลได้แสดงให้เห็นว่าไซย่าถูกตัดศีรษะจนขาดออกจากกัน และมันก็ยังมีร่องรอยของการถูกแช่แข็งบนร่างของเขาด้วย ซึ่งมันเป็นร่องรอยที่คล้ายกันกับบาดแผลที่ทำให้เมนี่เสียชีวิต ดังนั้นอาวุธที่ใช้ในการสังหารมันจะต้องเป็นอาวุธชิ้นเดียวกันแน่ ๆ” อูดี้กล่าวอย่างจริงจัง
“ถ้ามนุษย์คนนั้นจู่โจมค่ายฝึกนักรบศักดิ์สิทธิ์เพื่อขโมยกรงเล็บภูติโลหิต แล้วทำไมเขาถึงสังหารไซย่าที่เป็นนักรบธรรมดาที่ไม่มีนัยสำคัญด้วยเหรอครับ?” ทูดี้อุทานขึ้นมาด้วยความสับสน
“ก่อนที่เมนี่กับไซย่าจะถูกสังหาร เมืองในบริเวณชายแดนก็ถูกทำลายโดยหาสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน ลองดูตำแหน่งของเหตุการณ์ทั้งสามให้ดี ๆ ตอนนี้นายพอจะเชื่อมโยงอะไรบางอย่างได้แล้วหรือยัง?” อูดี้กล่าวด้วยรอยยิ้มขณะเปิดเรียกแผนที่ดวงดาวขึ้นมาบนหน้าจอ
เมื่อได้เห็นตำแหน่งของสถานที่เกิดเหตุทูดี้ก็หน้าซีดขึ้นมาอย่างฉับพลัน เพราะสถานที่เกิดเหตุทั้งสามเรียงกันเป็นเส้นตรง ซึ่งแนวเส้นตรงนี้ก็เหมือนจะมุ่งตรงมาที่เมืองหลวงของเผ่าเซิร์ก
“ฝ่าบาทถ้าเหตุการณ์ทั้งสามเกิดขึ้นจากคนคนเดียวกัน มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าเป้าหมายของเขาคือคุณ!!”
***************
ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเผ่าเซิร์ก มองแผนพี่เฟยออกไวมากกก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 133
แสดงความคิดเห็น