STARCIN ภาคที่ 5 Elforia ตอนที่ 22 ไรฝุ่น
เสียงครวญครางดังลั่นไปทั่วสนามรบการนองเลือดที่เลี่ยงไม่ได้แม้จะมีการสูญเสียไปบ้างแต่เพื่อความปลอดภัยของประชาชนมันก็คุ้มค่า สำนักมนตร์ดำกว่าแปดสิบเปอเซ็นถูกกำจัดไปแล้วและยิ่งรวดเร็วยิ่งขึ้นเมื่อกอนด้ากลับคืนร่างเป็นมังกรเป่าผู้คนที่อ่อนแอหายไปทันที
“มันจบแล้วโยน ยอมจำนนแต่โดยดีแล้วเราจะฆ่าแบบไม่ให้เจ็บปวด” เฮอเมสกล่าวด้วยถ้อยคำที่เป็นกลางไม่เอาอารมณ์เข้ามายุ่งเกี่ยวทำเพียงหน้าที่ของทหารที่ต้องปกป้องผู้คนแต่ใบหน้าของโยนที่ยังยิ้มเยาะกับคำพูดเหล่านั้นกำลังหัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้า
“ทำเป็นพูดดีไปทั้ง ๆ พวกแกเสียคนไปหลายพันคนแท้ ๆ กลับจะให้ความตายที่ไม่เจ็บปวดมันใช้ได้ที่ไหน? เลือดต้องล้างด้วยเลือดข้าไม่กลัวตายอะไรทั้งนั้นและจะไม่ตายด้วย”
หมอกควันที่ดูน่าสงสัยกำลังพุ่งพวยออกมารอบ ๆ ตัวโยนพุ่งเข้าหาสิ่งมีชีวิตกลืนกินและสูบพลังกลับไปให้กับเจ้าตัว
“มนตร์ดำที่สามารถดูดซับพลังของผู้อื่นได้ ไม่คิดว่าจะได้เห็นในยุคนี้อีกครั้ง”
“มัวแต่มองอะไรคุณเฮอเมส?” โยนเข้าประชิดตัวจากด้านหลังทั้ง ๆ ที่พวกเขากำลังจ้องมองโยนอยู่ตรงหน้า คมมีดที่ตวัดเป็นเส้นโค้งทำลายเสริมกำลังของเฮอเมสได้ในทีเดียวอีกทั้งยังสร้างใบมีดวายุฟาดฟันไม่ยั้ง
“พลังของมันกำลังเพิ่มขึ้น” แม้จะพลาดโดนมีดเฉือนสีข้างไปครั้งแรกแต่เขาก็สามารถตั้งสติและใช้ดาบของตนป้องกันไว้ได้ ขณะเดียวกันชิมม่อนไม่รอช้าใช้ช่วงเวลาที่โยนกำลังสนใจเฮอเมสฟาดดาบลงจากด้านขวาทำให้เขาต้องกระโดดถอยห่างออกไปทันที
“มองอะไรอยู่?” มีดสั้นของโยนเจาะเข้าไปที่ท้องของเฮอเมสได้บ้างก่อนจะถูกซัดกระเด็นออกมา ความเร็วในการตอบสนองของพวกเขารวดเร็วดั่งการกะพริบตาและด้วยประสบการณ์การต่อสู้มากมายทำให้ยากที่จะจัดการ
เหอะแค่ยื้อเวลาไว้สักหน่อยรอจนกว่าพลังจะฟื้นคืน แต่เพราะเด็กเวรนั่นเลยทำเอาวิ่งลำบาก แม้เลือดที่แผลตรงฝ่าเท้าจะหยุดไหลแล้วแต่ทุกการย่างก้าวหรือเคลื่อนไหวเร็วมันก็ยิ่งทำให้แผลฉีก
“[วาตะ - พันศรปักษา]” ถึงมันจะเป็นเวทมนตร์ที่ใช้มานาเยอะไปหน่อยแต่ก็น่าจะถ่วงเวลามันได้
มานามหาศาลหล่อหลอมเป็นนกตัวเล็ก ๆ เหมือนกับฮัมมิงเบิร์ดนับพันกำลังบินขึ้นสูงและโผเข้าใส่พวกเขา
“ข้าจัดการเอง [สาดสะบั้นท่วงทำนองบุปผา] ” ท่าทีที่นิ่งสงบของเฮอเมสกำลังกำดาบที่อยู่ข้างเอวไว้แน่นขณะเดียวกันชิมม่อนก็ถอยไปอยู่ข้างหลังปล่อยให้เพื่อนรักได้กวัดแกว่งคมดาบโดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น ฝูงนกสีขาวที่บินโฉบเข้ามาในระยะสามเมตรถูกของมีคมฟันขาดครึ่งในทันทีทั้ง ๆ ที่ตัวเฮอเมสยังไม่ได้ขยับ
ถ้าคนทั่วไปก็คงเห็นว่ายืนนิ่ง ๆ แต่ถ้าความเร็วของเรามากพอก็จะเห็นการตวัดดาบที่รวดเร็วแต่ก็เท่านั้นแหละ
หมอกควันสีดำค่อย ๆ รอบล้อมเฮอเมสและชิมม่อนไว้ทำให้คนภายนอกไม่อาจรู้ชะตากรรมพวกเขาได้มีเพียงแรงกดดันและจิตสังหารที่แพร่กระจายออกไปทำเอาอึดอัดจนหายใจไม่ออก
“ดูเหมือนมันจะยังมีแรงเหลืออีกเยอะเลย” ชิมม่อนพุ่งเข้าใส่โยนหลังจากที่เวทมนตร์ของเขาหายไปใช้จังหวะที่กำลังพักฟื้นชิงโอกาสในการเข้าถึงตัวเหวี่ยงดาบจากด้านบนปะทะกับมีดสั้นที่ดูไม่น่ารับไหวแต่กลับมีเวทวายุครอบคลุมไว้เสริมสร้างประสิทธิภาพของมีดสั้นให้ดียิ่งขึ้น
มีดสั้นจะได้เปรียบจุดที่เหวี่ยงได้รวดเร็วกว่าแต่แพ้ระยะอย่างชัดเจน ต่อให้เพิ่มระยะด้วยการเคลือบมานาแต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้ใช้เวทที่มีประสบการณ์ในการต่อสู้สูงและเลเวลแปดเท่ากับเรา พวกเขาเลือกที่จะประชันการออกอาวุธเพราะไม่มีเวลาจะมาร่ายเวทเลยสักนิดเหลือเพียงแค่การคุมมานาเพื่อให้มันใช้ได้ทันทีอย่างน้อยก็สามารถสร้างโล่ป้องกันและเคลือบอาวุธด้วยมานาเฉกเช่นเดียวกับเวทเสริมกำลัง
“ช้าลงแล้วเหรอ?” ชิมม่อนกระตุกยิ้มขณะที่คมดาบรอดผ่านมีดสั้นของโยนที่ไม่อาจปัดได้ทันและกำลังจะเฉือนช่วงอกของเขาแต่โยนกลับใช้แขนอีกข้างมารับไว้แทนหากไม่มีเสริมกำลังคงแขนขาดไปแล้ว
“แขนโดนตัดไปถึงกระดูกคงจะใช้การไม่ได้แล้วสินะ”
“ก็แล้วจะทำไมล่ะวะ !” โยนสาดเลือดใส่ตาของชิมม่อนลดวิสัยทัศน์ได้เล็กน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงต่ำอยู่ในจุดบอดที่เขาไม่อาจมองเห็นได้และมีดสั้นของเขาก็กำลังจะพุ่งแทงหัวใจของชิมม่อน
“ลืมอะไรไปหรือ?” เฮอเมสใช้เท้าถีบกระแทกโดนแขนของโยนเต็ม ๆ ทำให้มีดเลื่อนออกไปไม่โดนหัวใจสร้างแค่แผลถาก ๆ ไว้
“พวกเราไม่ได้มาคนเดียวสักหน่อย”
แขนหักเหรอ? อีกข้างก็ใช้การไม่ได้แถมยังมีนักรบชั้นแนวหน้าของเผ่าเอลฟ์ที่อยู่เลเวลแปดต่อให้หนีก็คงไม่ทัน
ใบหน้าของเขาค่อย ๆ ยิ้มฉีกกว้างหัวเราะลั่นหลบเข้าไปในหมอกควันใช้ผ้ามัดมีดสั้นให้อยู่ติดกับมือ
“หนีไปแล้วเหรอ?” เฮอเมสกล่าวด้วยท่าทางสมเพชเวทนา
“ยัง ข้ายังเห็นออร่ามานาของมันอยู่รอบ ๆ นี้”
พูดไม่ทันขาดคำก็มีลูกศรมานาพุ่งออกมาจากหมอกควันรอบทิศทางแต่มันก็ไม่อาจรอดพ้นการป้องกันของพวกเขาไปได้
“ตรวจจับของข้ามันใช้ได้ยากในสนามรบแบบนี้ ออร่ามานามันฟุ้งไปทั่วทุกที่แทบจะแยกไม่ได้แล้ว”
“ประเมินของข้าก็ต้องมองเห็นตัวก่อนถึงจะระบุสถานะได้” เฮอเมสลองฟาดดาบไปข้างหน้าผ่านหมอกสีดำทะมึนสุ่ม ๆ ไปก่อน
“ยังมีพวกเราอยู่อีก ไม่อยากจะใช้เวทใหญ่เท่าไหร่ต้องรออีกสักพักให้พวกเขาถอยไปไกล ๆ” ระหว่างที่กำลังถ่วงเวลาโยนไว้เพื่อให้เผ่าอื่น ๆ หนีไปเหลือเพียงทหารระดับสูงเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ในสนามรบ
เหอะรอเวลาให้พวกโง่เง่านั้นหนีเหรอแบบนี้ก็สวยสิ โยนแฝงตัวไปกับกลุ่มทหารฝั่งมนุษย์ด้วยการปลอมตัวอาศัยสภาพอันร่อแร่ทำให้พวกมนุษย์ไม่รู้ตัวว่าช่วยเหลือหัวหน้าฝั่งศัตรูเสียแล้ว
“นายรีบไปให้หน่วยแพทย์รักษาเถอะ ดูสภาพของนายคงอยู่แนวหน้าสินะ”
ฮ่า ๆ ๆ อะไรจะง่ายเช่นนี้
ขณะที่กำลังเดินตามแถวของนายทหารจู่ ๆ รอบข้างก็มืดลงอย่างกับเขายืนอยู่คนเดียวไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
“หา? นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ” โยนใช้แขนที่มัดมีดสั้นไว้ร่ายมานาเตรียมพร้อมรบแต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิดหรือนี่จะเป็นโลกหลังความตาย
“เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมาก ๆ คนโลภ” เสียงอันคมเข้มเอ่ยออกมาผ่านสายลมไหลเข้าหูจนขนลุก
ไม่ใช่เสียงของเจ้าสองคนนั้น “แกเป็นใครออกมาเดี๋ยวนี้”
ทันใดนั้นตรงหน้าของเขาก็ได้พบกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หุ่นสมส่วนกำลังเอามือไขว้หลังไม่มีความเกรงกลัวนักฆ่าอย่างโยนเลยสักนิด
“เผ่ามนุษย์เหรอ? ใครเป็นคนส่งเจ้ามา”
“ข้า-” ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะตอบโยนก็พุ่งเข้าใส่ใช้มีดเวทมนตร์ใบมีดวายุสะบัดฟันไปที่คอของเขา
“แหม่ ๆ ข้ายังไม่ทันได้พูดเลย” มีดสั้นที่เต็มไปด้วยมานากลับถูกหยุดไว้ได้ด้วยนิ้วมือของชายผู้นั้น
บ้าเอ๊ยเจ้าหมอนี่มันอะไรกัน? แม้โยนพยายามดึงมีดกลับก็ไม่อาจทำได้จนต้องฝืนดึงด้วยแรงทั้งหมดถึงจะทำให้มีดหลุดจากมือได้
“ใจร้อนดีจริงเลยก็สมกับเป็นเจ้าดี” เมื่อเขาเริ่มก้าวเดินจากจุดที่ยืนเพียงแค่นั้นก็ทำให้โยนทรุดตัวลงไปกับพื้นราวกับมีแรงกดดันที่หนักอึ้งดั่งตึกทั้งหลังวางอยู่บนตัว
“อ๊าก !” เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานที่ร่างกายค่อย ๆ ถูกกดทับกระดูกแตกเละแต่เพียงแค่ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มเรื่องทั้งหมดก็กลับเป็นเหมือนเดิม แขนขาที่แหลกเละก็กลับมาเป็นปกติเช่นกัน
“ทีนี้จะสงบได้หรือยัง?”
โยนที่กำลังตกตะลึงกับความเจ็บปวดก่อนหน้านี้รวมทั้งเหตุการณ์ตรงหน้าชายหนุ่มสุดแสนจะประหลาดที่ทั้งแข็งแกร่งและลึกลับทำให้สมองไม่อาจประมวลได้ทัน
“ข้าได้เห็นความพยายามและสิ่งที่เรียกว่าความไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้าได้เห็นมันหมดแล้ว”
“เหอะ ๆ แกคงเป็นยมทูตสินะ จะมาพิพากษาหรือเก็บวิญญาณก็เชิญแต่ขอได้ออกแรงอีกสักหน่อยไม่ได้หรือ”
“ฮ่า ๆ ๆ นั่นแหละคนโลภต้องแบบนั้น เห็นแก่ตัวเข้าไว้ขอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะได้ข้าล่ะชอบจริง ๆ”
ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินเข้าหาพร้อมกับยิ้มเยาะในความโลภที่ไม่มีจำกัดของโยน ต่อให้จะตายไปก็คงหวังจะฆ่ายมทูตเป็นแน่
“รับไปสิ นี่เป็นของขวัญจากข้า”
ของขวัญ? เดี๋ยวก่อนนะเคยได้ยินเลยพรจากพระเจ้ามันก็แบบนี้ จู่ ๆ เราก็จะไปอยู่ไหนใดที่หนึ่งและเขาคนนั้นจะยื่นพรให้
“ถูกอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ”
“ถ-ถ้าใช่” โยนคุกเข่าลงพื้นเหลือเพียงมือที่แทบจะใช้การไม่ได้ยื่นขึ้นมาเหนือหัวพร้อมรับพร
“ดีมาก ! ขอให้เจ้าทำตามเป้าหมายสำเร็จล่ะ” หลังจากที่โยนรับพรของชายผู้นั้นก็รู้สึกอึดอัดหน้าอกเหมือนมีอะไรกำลังจะผุดออกมาก่อนที่จะมีเวทมนตร์ใหม่เพิ่มเข้ามาในสเตตัส
“ดิอีทเตอร์…ผู้กลืนกิน”
ความมืดมิดเหล่านั้นได้หายไปกลับมายังกลุ่มทหารที่พากันล่าถอย
กลับมาแล้ว? เราอยู่ในนั้นตั้งหลายนาทีแต่ที่นี่มันเหมือนไม่กี่วินาทีเอง
“รีบเร็วเข้าก่อนที่พวกเขาจะต้านโยนไว้ไม่ไหว” นายทหารผู้ควบคุมกลุ่มกำลังเดินหน้าสั่งการ
เจ้าพวกโง่นี่ยังไม่รู้ว่าเราออกมาแล้ว ตัวแทนที่เราทิ้งไว้คงจะยื้อไว้ได้แต่สิบนาทีแต่มันก็พอแล้ว โยนเดินแทรกตัวออกจากแถวไปทางหน่วยซ้ายที่โจมตีพวกออร์คอยู่
“เดี๋ยวผมจะไปสนับสนุนฝั่งนู้นนะครับ”
“อ้าวเฮ้ย ! บอกว่าให้ถอยไง” ไม่ทันพูดจบโยนก็หนีออกจากแถวไปหาฝูงออร์คที่เคลื่อนเข้ามา
ถึงจะพึ่งเคยได้พรจากพระเจ้าแต่ทำไมถึงรู้สึกได้ว่ามันใช้งานยังไง เขาฆ่าออร์คตรงหน้าตายได้ไม่ยากเย็นและเฉือนเนื้อของมันมากินสด ๆ เมื่อกลืนลงไปไม่นานนักเขาก็ได้รับพลังส่วนหนึ่งของออร์ค
เผ่าออร์คมีพลังในการฟื้นฟูแต่กำเนิดถ้าคนเราแผลหายในสองวันออร์คก็จะหายในหนึ่งวัน แถมยังได้พลังกายและมานาเพิ่มมาอีกด้วย รอยยิ้มที่แสยะออกทันทีเมื่อได้เห็นสเตตัสเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสมกับเป็นพรจากพระเจ้า
“จะหนีไปไหน !” ไม่นานนักเฮอเมสและชิมม่อนก็ตามตัวเจอ ทำได้เพียงฟาดดาบมานาใส่เพราะอยู่ในฝูงชนจึงไม่กล้าใช้เวทมนตร์ระดับสูง
"ใครจะอยู่ให้โง่ล่ะ" โยนแทรกตัวไปกับกลุ่มทหารที่กำลังสู้รบกับเผ่าออร์คโดยมีโฟล เคานต์และบองช่วยกันนำทัพกำจัดพวกมันโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนโลภแฝงตัวเข้ามาเสียแล้ว
"โชคดีจริง ๆ ที่เจ้ามังกรนั่นอยู่ฝั่งเรา"
"อย่ามัวแต่ชื่นชมซัดมานาเข้าไปเอาให้มันตายกันไปข้าง" ทหารแต่งเต็มยศพร้อมกับชุดเกราะราคาแพงเข้าปะทะกับพวกออร์คสุดกำลัง
เลือดเนื้อของพวกแกจะต้องมาเป็นพลังให้กับข้า แล้วถ้าได้กินเจ้าสองคนนั้นล่ะ?
โยนกระโจนเฉือนแขนของชิมม่อนขณะที่พวกเขากำลังเดินตามหาโดยไม่ทันได้ระวัง แม้จะมีเสริมกำลังแต่ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นของโยนทำให้เจาะทะลุเข้าไปได้และสร้างบาดแผลลึกประมาณสามเซนติเมตร
"ฮ่า ๆ ๆ ไม่ใช่แค่สเตตัสหรือพละกำลังแต่ดันได้เวทมนตร์ของพวกแกมาด้วย อะไรเนี่ยประเมินเหรอ? ขอลองใช้มันดูหน่อยแล้วกัน [ประเมิน] "
Lv.8 เฮอเมส ดากูล
กายภาพ S
มันสมอง S
เวทมนตร์ A
Lv.8 ชิมมอดอน ซอซอนซ่า
กายภาพ A
มันสมอง S
เวทมนตร์ A
"เหอะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่ามันหมายถึงอะไรไอ้เวทมนตร์ประเมินเนี่ย"
"เวทมนตร์ประเมินคือการมองดูศักยภาพในการเติบโตของทั้งสามด้าน ต่อให้ดูไปแกก็ไม่มีทางชนะพวกเราหรอก"
"ก็แค่สงสัยว่ามันใช้ได้จริงหรือไม่ แต่ดูเหมือนผู้กลืนกินจะดูดซับได้กระทั่งเวทมนตร์เลยสมกับเป็นพรจากพระเจ้า"
ชิมม่อนกระโจนเข้าใส่คว้าแขนข้างที่เกือบขาดอยู่รอมร่อฉีกกระชากสร้างความเจ็บปวดและเหวี่ยงดาบจากด้านขวาทำให้โยนยากต่อการป้องกัน
ช้าไป โยนบิดตัวพร้อมกับกับกระโดดส่งแรงหมุนตัวกลางอากาศหลบดาบนั่น ยอมที่จะเสียแขนข้างซ้ายเพื่อหนีจากการจับตัวของชิมม่อน
"แกไม่รอดแน่ !" รัศมีดาบจากเฮอเมสและชิมม่อนตัดผ่านกันเป็นกากบาททั้ง ๆ ที่มันไม่ควรจะหลบได้แต่กลับหมอบลงต่ำผ่านช่องว่างเล็กแม้จะเฉี่ยวโดนไปบ้างแต่ก็ไม่ทำให้โยนหยุดได้
โยนเอาแต่หนีหัวซุกหัวซุนระหว่างทางก็ไล่ฆ่าทหารกัดกินเลือดเนื้อเพิ่มพลังให้กับตนเองยิ่งยากต่อการตามตัว อีกทั้งมนตร์ดำที่ใช้ยังมีลูกเล่นหลายอย่าง
ไล่ทั้งวันก็หาไม่เจอหรอกไอ้พวกโง่ ยิ่งกลางคืนยิ่งเป็นเวลาของพวกเรา แม้กองทัพสำนักมนตร์ดำจะถูกกวาดล้างไปหมดแล้วพร้อม ๆ กับเผ่าออร์คเหลือเพียงโยนผู้บริหารระดับสูง
"เจ้านั่นอยู่ ๆ ก็เก่งขึ้นทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังเกือบไม่รอดอยู่แล้ว"
"ข้าก็ไม่รู้หรือมันจะเป็นแค่แรงเฮือกสุดท้าย" เพียงแค่พริบตาเดียวโยนก็แยกออกเป็นสองร่างวิ่งไปคนละทิศคนละทางทำให้พวกเขาต้องแยกกันไป
นี่มันใกล้จะเข้าเขตเมืองแล้วต้องรีบจับตัวให้ได้ แต่ตรวจจับของเราดันแยกไม่ออกอีกว่าตัวไหนเป็นตัวจริง
ขณะที่กำลังครุ่นคิดหาวิธีจับตัว ร่างของโยนก็แยกออกเป็นสองคนอย่างกับไฮดราที่พอตัดหัวก็จะงอกเพิ่มขึ้นมาอีก ช่วงเวลาที่ความมืดเข้าครอบคลุมพื้นที่ยิ่งกับมุมบ้านเมืองที่มีทางตรอกซอกซอยหลายสิบที่ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
ขณะเดียวกันที่เมืองเอลโฟเรียที่ถูกกองทัพออร์คและสำนักมนตร์ดำโจมตีโดยมีกลุ่มเอลฟ์ที่สู้ได้ออกมาต้านพวกมันไว้ก่อนจะเข้ามาถึงตัวเมือง
"โค ! พาพวกเด็ก ๆ หนีไปอีกฝั่งก่อน ทางนี้พวกเราจัดการเอง" ซาบีนและพรรคพวกที่เชี่ยวชาญการต่อสู้รวมกลุ่มกันเผชิญหน้า ต้นไม้สูงใหญ่เป็นเสมือนป้อมปราการที่สอดส่องได้แต่ไกลช่วยให้หาจุดสังเกตและวิธีรับมือได้ง่ายขึ้น
"พวกมันมีราว ๆ สองร้อยคน" ฟอยส่งสัญญาณให้กับพรรคพวกที่เตรียมพร้อมอยู่ข้างล่าง
"ถ้าอย่างงั้นก็น่าจะสู้ได้อยู่"
"เฮ้ย ๆ ข้าวบนนั่นมันอะไรวะ !"
เสียงตะโกนลั่นทำให้ผู้คนเงยหน้าขึ้นฟ้าได้เห็นหญิงสาวกำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับส่องสายตาจิกกัดแม้จะอยู่ไกลก็รู้สึกได้เช่นกัน
อีกด้านหนึ่งซึฮากิฆ่าสัตว์อสูรที่เจอในป่าเพื่อดื่มเลือดฟื้นฟูพลังและวิ่งด้วยความเร็วที่สูงมากยิ่งกว่าสถิติในโลกเดิมเสียอีกอีกทั้งยังวิ่งต่อเนื่องด้วยระยะทางกว่าสามร้อยกิโลเมตร
เวรเอ่ยที่เมืองมีคนสู้เก่ง ๆ ไม่กี่คน อย่างน้อยถ้าเรากลับไปสมทบทันก็คงจะดี
"จะไปไหนเจ้าหนุ่ม" หลังจากที่ซึฮากิวิ่งออกมาได้ครึ่งชั่วโมงแม้จะออกมาก่อนโยนตั้งสิบนาทีแต่เขากลับตามมาทันเสียแล้วอีกทั้งยังโจมตีไม่ให้สุ้มให้เสียงด้วยมีดสั้นที่เฉือนเฉี่ยวช่วงหัวไหล่ไป
"แกมัน" ซึฮากิกระโดดข้ามผ่านรถม้าที่อยู่ข้างหน้าพอดิบพอดีกับจังหวะโยนที่กำลังจ้วงแทง
ตอนนี้เราไม่มีทางสู้มันได้แน่ ทั้งพลังและเวทมนตร์มันเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อีก ซึฮากิไม่มีทางเลือกจึงต้องใช้หมอกควันเพื่อปกปิดตัวตนและหลบออกไปข้างทาง
"เหอะอ่อนแอจริง ๆ" โยนหันมองรอบ ๆ แต่ไม่พบใครจึงวิ่งต่อไปยังเมืองเอลโฟเรีย
ที่นั่นเป็นที่สุดท้ายที่ยังมีกองกำลังอยู่ อย่างน้อยถ้าเรารวบรวมพวกมันไว้ก็มีโอกาสฟื้นคืนสำนักมนตร์ดำอยู่
ซึฮากิที่แอบมองอยู่ในป่าได้แต่กัดฟันเจ็บใจที่ต้องหลีกหนีออกมา เขาจำเป็นต้องเลี่ยงเส้นทางเพื่อไม่ให้โยนเจอตัวแต่ก็ต้องแลกมาด้วยมานาจำนวนมากโดยการวิ่งฝ่าป่าดงแทนที่จะเป็นบนถนนรุกรัง
ว่าแต่เจ้านั่นมันจะไปไหน? อย่าบอกนะว่าไปที่เมือง ซึฮากิคำนวณเส้นทางและระยะทางจากจุดนั้นไปยังเมืองเอลโฟเรียอย่างกับมีแผนที่อยู่ในหัว
บัดซบเอ๊ยรู้อย่างนี้น่าจะฝืนสู้ไปเลยดีกว่าเพราะถ้ามันไปที่เมืองเอลโฟเรียคงเละแน่ ๆ
โยนที่กำลังลองใช้พลังใหม่กับหลาย ๆ สิ่งทั้งสัตว์อสูรและมนุษย์ล้วนแต่ได้พลังของมันทั้งนั้น พลังกายจากกอริลลาป่า ประสาทรับกลิ่นจากหมาป่าถ้ำ อีกทั้งยังเพิ่มความสามารถในการได้ยินเป็นเท่าตัว การขยับกล้ามเนื้อขาช่วยให้วิ่งได้ดียิ่งขึ้นรวม ๆ แล้วร่างกายของเขาแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่กลับมีความสามารถเหล่านั้นเพิ่มขึ้น
หลังจากที่ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงจนในที่สุดโยนก็มาถึงป่าที่เป็นที่ตั้งของเมืองเอลโฟเรีย ที่นั่นมีร่องรอยของการรุกรานพื้นหญ้าที่เรียบเตียนเพราะถูกเหยียบย้ำมุ่งไปยังใจกลางเมืองเอลโฟเรีย
เดี๋ยวนะทำไมมันถึงเงียบอย่างนี้ หรือว่าพวกมันจัดการคนในเมืองไปแล้ว
เขาหยุดอยู่ตรงหน้าทางเข้าเมืองที่มีเด็กผู้หญิงกำลังลอยอยู่กลางอากาศชะเง้อคอมองไปทั่วด้วยความสงสัยดูเหมือนเด็กหลงทางอย่างไงอย่างงั้นเลย
ตาฝาดไปหรือเปล่าวะเนี่ย จู่ ๆ โยนก็หยุดชะงักเมื่อเข้าไปใกล้เด็กสาวคนนั้นตกใจนึกว่าเจอผีแม้แต่เขายังต้องถอยหลัง
เมื่อกี้มันอะไรกันความรู้สึกขนลุกเหมือนกับที่ได้เจอกับพระเจ้า
โยนกระโจนเข้าใส่ด้วยมีดสั้นที่ควบแน่นมานาไว้ "เป็นพระเจ้าหรือเปล่าเดี๋ยวก็รู้ [วาตะ - ล้างบางนคร]"
เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องใช้เวทใหญ่แบบนั้นกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แต่สัญชาตญาณมันดังก้องในหัวไม่หยุด หลังจากที่ใช้เวทตรวจสอบและประเมินดูเขาจึงได้พบสิ่งที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่าตอนอยู่ในสนามรบ
กายภาพ S+
มันสมอง SS
เวทมนตร์ SS
โยนได้เห็นระดับของศักยภาพที่สูงยิ่งกว่าชิมม่อนและเฮอเมสหลายเท่าและเมื่อเวทพายุลมที่พัดหมุนเป็นเกลียวใหญ่คับฟ้าราวกับเป็นจรวดพุ่งได้เร็วเทียบเท่ากระสุนปืนสไนเปอร์เล็งไปหาเด็กสาวตรงหน้า
"พวกหัวรุนแรงมาอีกแล้ว" เสียงที่เอ่ยออกมาเหมือนพึมพำกับตัวเองของเด็กสาวดังมาถึงหูของโยนก่อนที่เวทล้างบางนครจะถูกหักเหขึ้นไปข้างบนฟ้าแทนไม่มีใครบาดเจ็บหรือของเสียหายเลยสักอย่าง
เป็นไปไม่ได้ "ย-อย่าเข้ามานะ" โยนกลับหลังกลับอย่างไวแม้เธอจะยิ้มทักทายแต่มันกลับน่ากลัวเสียยิ่งกว่าจนได้ไปเจอกับซึฮากิที่ตามมาทีหลังซัดเวทมนตร์ใส่ในทันที
อุตส่าห์เล่นทีเผลอยังจะเลี่ยงจุดตายได้อีก ซึฮากิยืนเผชิญหน้ากับโยนที่เอาแต่วิ่งหนีแต่ในขณะเดียวกันเวทประเมินของเขาก็ยังเปิดใช้งานและมองไปเห็นศักยภาพของซึฮากิ
"พวกแกมันป-ปีศาจ" ไม่ทันที่เขาจะได้หนีไปก็ถูกคลื่นน้ำซัดกลับมาหาเด็กสาว แม้จะใช้เวทหมอกควันแต่มันก็ถูกน้ำซัดไปรวมกันหมดอยู่ดี
"อะไรของเขานึกจะมาโจมตีก็มานึกไปก็ไป" เด็กสาวคนนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศท่าทางสบายอกสบายใจเหมือนนั่งดูโทรทัศน์อยู่บ้าน
"เธอมัน..." ซึฮากิลดอาวุธลงถอนหายใจสั้น ๆ รู้สึกโล่งใจแต่ก็ยังลังเลยืนอยู่ห่าง ๆ
"ปล่อยข้านะเว้ยไอ้พวกปีศาจ"
"เอาแต่เรียกคนอื่นว่าปีศาจดูยังไงฉันก็ไม่ได้ทุเรศขนาดนั้นสักหน่อย" เธอตบหน้าซ้ายทีขวาเล่นเอาฟันหลุดทุกครั้งที่ตบเลย
"ว่าแต่เธอคงไม่มาทำร้ายพวกเราหรอกใช่ไหม?" ซึฮากิเอ่ยถามขณะที่ชายตามองเมืองที่อยู่ห่างออกไปแค่หนึ่งร้อยเมตรเห็นสภาพในเมืองที่ยังดูดีอยู่
"อะไรกันก็แค่จะมาดูเฉย ๆ ปกติอยู่แต่ที่โน่นมันก็มีเบื่อ ๆ บ้าง แต่มาถึงก็เจอเรื่องวุ่นวายก็เลยทำให้เงียบไปแล้ว"
"ขอบคุณที่ช่วยอีกครั้งนะครับคุณ...เนเน่"
"เรียกตามใจเถอะฉันไม่ว่า ตอนแรกฉันก็สงสัยว่าทำไมไรลี่ถึงฝากให้ฉันดูแลนายแต่พอได้เห็นเมืองที่พัฒนาแบบก้าวกระโดดก็พอจะเข้าใจแล้ว"
ระหว่างที่คุยกันพวกเขาก็ค่อย ๆ เดินเข้าเมืองโดยลากโยนที่ถูกพันธนาการจากสายน้ำรัดไว้ขยับไปไหนไม่ได้เหมือนเป็นมัมมี่
"พี่กิกลับมาแล้ว !" คิโนริวิ่งแจ้นมาอย่างไวก่อนที่โคและคนอื่น ๆ จะตามมาทักทาย
"แหม่ ๆ พี่รีบกลับไปหน่อยไม่ได้ซื้อของมาฝากเลย" ซึฮากิชกกำปั้นผสานกับพวกเด็ก ๆ เป็นการทักทาย
"พวกเราอยากจะเรียกเวทมนตร์อีกค่ะของฝากไม่มีก็ไม่เป็นอะไร"
"อย่าใช้คำว่าพวกเราได้ไหม" เอมองค้อนคิโนริเช่นเดียวกับหลานที่ขี้เกียจจะซ้อมเต็มทน
"ว่าแต่คุณพี่สาวเป็นเพื่อนกับพี่กิใช่ไหมคะ?" เด็กเหล่านี้กล้าเข้าใกล้เนเน่โดยไม่มีความรู้สึกกลัวตรงข้ามกับพวกผู้ใหญ่ที่เว้นระยะห่างดูหวาดระแวงเป็นพิเศษอาจจะเพราะออร่ามานาที่ปล่อยออกมามันมากจนน่าสงสัย
หลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยพวกเขาก็พาโยนไปรวมกับพรรคพวกที่ถูกจับไว้ที่อยู่ห่างออกไปในป่า พวกเขาต่างก็ถูกสายน้ำเฉกเช่นเดียวกับที่โยนโดนรัดอยู่จับไว้
นี่มันอะไรกัน คนตั้งมากมายถูกจับได้แบบไม่ได้ตอบโต้เลยเหรอ สภาพป่าที่ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของการต่อสู้ยิ่งทำให้โยนตกตะลึงนั่งครุ่นคิดไม่หยุด
ทั้งผู้หญิงคนนั้นทั้งเจ้านั่นที่เอาแต่หนีเรา ทั้ง ๆ ที่เราได้รับพรมาแล้วทำไมยังจะแพ้อีกล่ะ โยนกัดฟันกรอดใช้แขนหยิบมีดสั้นเล่มสุดท้ายที่ซ่อนไว้ฟันสายน้ำปลดพันธนาการและพุ่งจู่โจมเนเน่ด้วยมานาทั้งหมดทั้งมวล
"ตายซะ !"
"หา?" เนเน่ขมวดคิ้วสงสัยยื่นมือออกไปพร้อมรับมานามหาศาลที่ก่อรูปเป็นคมดาบ
มือของเนเน่ที่ยื่นออกไปก่อรูปมานาขึ้นมาเป็นแผ่นวงกลม "[กระจกสะท้อน]"
คลื่นดาบมานาของโยนสะท้อนกลับและด้วยระดับมานามากถึงเพียงนั้นทำให้โยนไร้การป้องกันชั่วคราวไม่อาจป้องกันเวทมนตร์ของตนเองได้ทัน ร่างกายถูกตัดขาดครึ่งในทันทีเหลือเพียงสติอันน้อยนิดที่กำลังเลือนหาย
"ฮ่า ๆ ๆ พรของพระเจ้าเหรอ? [ประเมิน] " แม้ท่อนล่างจะขาดไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมีดและใช้เวทมนตร์อีกครั้ง
Lv. 8 โยเนะ ยาซากะ
กายภาพ A+
มันสมอง S
เวทมนตร์ A+
เหอะของตัวเองก็ดีไม่เบาเหมือนกันนะเนี่ยแต่พอได้เห็นสัตว์ประหลาดนั่นแล้วอยากจะบ้า
"ศักยภาพที่อยู่จุดสูงสุดของสิ่งมีชีวิตเหรอ? ซึฮากิ..." เสียงสุดท้ายที่เอ่ยขึ้นมาก่อนจะสิ้นลมหายใจท่ามกลางสายตาของลูกน้องที่เชื่อฟังได้แต่นั่งมองนายใหญ่ตายอย่างไร้ทางสู้
Lv. 6 ซึฮากิ ฮลาฟกลาด
กายภาพ SSS+
มันสมอง SSS+
เวทมนตร์ SSS+
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 253
แสดงความคิดเห็น