บทที่ 14...1/4 ลงให้อ่านเป็นบทสุดท้ายค่ะ
ใบหน้าเรียบๆ เหมือนมีเรื่องให้คิดเป็นนิจของเขมินท์ไม่ได้แสดงออกว่าตกใจหรือประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว ภาคินเสียดายนึกว่าจะเห็นอะไรแบบนั้นบ้าง แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ พี่ชายของเขาเป็นนักธุรกิจเต็มตัว เรื่องแสดงออกทางสีหน้าย่อมเป็นไปได้ยาก ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก ส่วนเขา พ่อคงเห็นแววว่าคงไม่ไปทางธุรกิจก่อสร้างของครอบครัวแน่ เขมินท์เลยถูกเคี่ยวจนเก่งในเรื่องไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกเวลาต้องเจรจาธุรกิจกับใครก็ตาม
“ผมก็ตามไปเรื่อยจนรู้ว่ามีนเช่าห้องพี่เขม แต่ผมกลับไม่เจอว่าแฟนพี่เขมเป็นใคร ไม่สิ พี่เขมไม่มีแฟน แต่ทำไมปู่มั่นใจว่าพี่เขมมีแฟน” ภาคินเล่าแกมสังเกต เขาพูดมาขนาดนี้แล้วต้องได้เรื่องอะไรบ้างสิน่า
เขมินท์เลิกคิ้วพอจะรู้ทันน้องชายว่าพูดมายาวเหยียดขนาดนี้เพราะอะไร หากมีนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ภาคินไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่ายๆ ช่างเป็นความหวังดีที่สวยงามสำหรับเขาที่เห็นมาตลอด
“คินจะถามอะไรพี่ล่ะ พี่จะได้ตอบได้ถูก”
ได้ฟังแบบนี้แล้วภาคินจะรออะไรอีก “พี่เขมมีแฟนแล้วหรือยัง ทำไมปู่พูดเหมือนพี่เขมมีแฟนแล้ว”
เขมินท์ยิ้มขันท่าทางของภาคินที่อยากรู้จะแย่ แต่ต้องพยายามรักษาฟอร์มไว้ การที่เขาช่วยมีนาในหลายเรื่องคงเหมือนใบเปิดทางให้ภาคินทลายกำแพงระหว่างพี่น้องที่มีมานานกระมัง
“ใครใกล้พี่ที่สุดก็คนนั้นล่ะ พี่คิดว่าคำตอบมันก็น่าจะชัดเจนพอแล้วนะ”
“ใช่มีนจริงๆ หรือพี่เขม” ถ้าไม่ใช่มีนาคงก็ต้องเป็นเลขาของเขมินท์แล้วล่ะ ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน
เขมินท์เก็บถ้วยซ้อนกันแล้วนำมาวางบนถาด ภาคินทำตามโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เขากำลังอยากรู้คำตอบ แต่พี่ชายไม่ยอมตอบเสียนี่ ถ้าอย่างนั้นเขาจะใช้จินตนาการของตัวเองแทนแล้วกัน
“ผมไม่รู้ว่าเดาถูกไหมหรอกนะ แต่ถ้าใครคนนั้นที่ปู่พูดถึงเป็นมีน ผมก็อยากบอกว่าเป็นห่วงมีน”
เขมินท์ชะงักมือพลางหันมามองภาคิน “ถ้าสมมติว่าเป็นมีน ทำไมคินจะต้องห่วงด้วยล่ะ หากมีนจะเป็นแฟนกับพี่”
ภาคินถอนใจ เมื่อต้องใช้ความคิดเพื่อประมวลออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจน เพราะเหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เขาเคยอึดอัดเพราะต้องพยายามเก่ง ราวกับนักวิ่งที่เห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า แต่ไม่เคยไปถึงเส้นชัยก่อนเขมินท์เลยสักครั้ง ถ้าเทียบแล้วเขาคงเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องดี ไม่ต้องเก่งไปทุกเรื่องก็ได้ แต่สำหรับเขมินท์แล้วกลับต่างออกไป
“พี่เขมเป็นคนที่มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตมาตลอด ต้องเรียนให้ได้ที่ 1 จบด้วยเกียรตินิยม ต้องเป็นผู้นำ แวดล้อมไปด้วยคนที่เก่ง ทุกอย่างรอบตัวมักจะสมบูรณ์แบบเสมอ ทุกอย่างที่ผมพูดมาเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้พี่เขมกอบกู้บริษัทของพ่อกลับมาได้ แถมยังเติบโตกว่าเดิมหลายเท่า” ภาคินยอมรับในเรื่องนี้ถึงได้ยอมรับว่าเขมินท์ไม่ได้พยายามจะเก่งเพื่อเอาชนะน้องชายที่ไม่ค่อยได้เรื่องอย่างเขา แต่พี่ชายพยายามเพื่อทุกคนต่างหาก “แต่มีนไม่ใช่คนที่อยู่ในมาตรฐานแบบพี่ ผมไม่อยากให้พี่เห็นมีนเป็นแค่ตัวเลือก ที่สุดท้ายแล้วไม่เลือก ผมไม่อยากให้มีนเสียใจ”
เขมินท์ฟังภาคินอย่างตั้งใจ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดในแง่มุมนี้มาก่อนเลยความสมบูรณ์แบบสำหรับเขามาจากการวางแผนที่ดีและความพยายาม ดังนั้นความสมบูรณ์แบบในเรื่องงานและชีวิตจึงกลายเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้ว แต่เขาไม่ได้ต้องการให้เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก ครอบครัวและสิ่งแวดล้อมมีส่วนอย่างมากที่ทำให้เขาต้องดูแลให้ทุกอย่างเรียบร้อยดี รวมถึงความคาดหวังจากทุกคน จนบางครั้งเขาอึดอัดและเหนื่อย แต่ไม่เคยระบายออกมาให้ใครได้รู้
“คินไม่คิดว่าพี่จะชอบความไม่สมบูรณ์แบบ ความไม่เป็นระเบียบ ความคาดการณ์ไม่ได้บ้างเลยหรือ การไม่คาดหวังแต่กลับได้พบสิ่งที่พิเศษ คนที่ไม่โดดเด่นไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่ไม่คู่ควรหรอกนะ”
คำตอบของเขมินท์ยิ่งทำให้ภาคินยิ้มกว้าง เขามั่นใจว่าเข้าใจไม่ผิดแน่ๆ ทำไมเขาไม่เคยสังเกตหรือนึกสงสัยมาก่อนว่าพี่ชายไม่คอยมองว่ามีนาเป็นน้องสาว แม้จะบอกมาตลอดว่ามีนาก็เหมือนน้องสาว
“เป็นมีนจริงๆ เสียด้วย”
“คินกำลังถามเรื่องที่สมมติขึ้นไม่ใช่หรือ พี่ก็ตอบเชิงสมมติกลับไปเท่านั้นเอง” เขมินท์ตอบพลางลุกขึ้น แล้วยกถาดติดมือมาด้วย
จากที่แน่ใจเต็มร้อย ภาคินก็ชักลังเลเหลือสักเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์แทน ถึงแม้พี่ชายจะบอกว่าเป็นเรื่องสมมติ แต่เขามั่นใจว่าคำตอบของพี่ชายคือความจริงทั้งหมด
“ไม่รู้ล่ะถ้ามีนเสียน้ำตาเพราะพี่เขม ผมจะจัดการพี่เขมแทนเพื่อน”
เขมินท์หันมามองภาคินที่กำลังเดินตามมาติดๆ คำตอบของน้องชายไม่ต่างจากวัยรุ่นที่เคยไปมีเรื่องกับเด็กในซอยเพราะมารังแกมีนา แม้ว่ามีนาจะสู้ได้สบายๆ ก็เถอะ แต่ภาคินยังไม่วายพูดทิ้งท้ายให้คู่อริในซอยขยาด คิดหรือว่าคำพูดแค่นี้จะทำให้เขารู้สึกกลัว ถ้าเขาจะมีความรู้สึกอะไรก็คงดีใจที่น้องชายเป็นคนที่ชอบปกป้องทุกคนที่ตัวเองรักมาโดยตลอด
ภาคินขับรถไปส่งพระที่วัดเสร็จแล้วจึงกลับมาสมทบกับเขมินท์ที่เรือนไทย เจตน์มองเรือนไทยแล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหล รุจาพอจะเข้าใจเพราะน้องสะใภ้จากไปเร็วเหลือเกิน ภาคินจึงช่วยสร้างบรรยากาศด้วยการขอถ่ายรูปหมู่กับครอบครัวและญาติที่ยังไม่กลับ เจตน์กลับมายิ้มอีกครั้ง การร่ำลากินเวลานานกว่าญาติจะกลับไปจนหมด หลังจากนั้นครอบครัวที่เขมินท์กับภาคินพยายามปกป้องและดูแลก็เดินทางกลับเป็นคันสุดท้าย เหลือเพียงความทรงจำที่งดงามและโหยหาไว้เบื้องหลัง
โบว์จะลงบทที่ เป็นบทสุดท้าย แล้วจบการลงนิยายเพียงเท่านี้ค่ะ
หากต้องการอ่านต่อได้ที่ MEB ตอนนี้ เพราะคุณคือรักแรก วางจำหน่ายใน MEB แล้วนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
บรรพตี
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 242
แสดงความคิดเห็น