บทที่๒๙
วันถัดมา...ภูริชกำลังขับรถไปที่บริษัท โดยมีผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ที่เบาะข้างๆ กำลังพูดคุยกันเรื่องแผนการที่จะไปวางเพลิงร้านทองที่ปาณัทซื้อไว้
“เราจะไปวางเพลิงกันคืนนี้เหรอครับคุณพ่อ” ชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อ
เขมนันท์พยักหน้า
“ใช่! เราจะไปทำตามแผนคืนนี้ เพราะพรุ่งนี้จะมีงานเปิดตัวร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยแล้ว เราต้องทำให้ร้านมันไหม้แบบไม่เหลือซาก แบบไม่ให้มันปรับปรุงอะไรได้อีก”
“ดีครับคุณพ่อ...งานนี้ผมจะช่วยคุณพ่อเต็มที่ เพราะผมอยากเห็นความพังพินาศย่อยยับของไอ้ป้อง และผมอยากเห็นหน้าของมันตอนที่รู้ว่าร้านถูกไฟไหม้ร้าน ดูซิ มันจะทำหน้ายังไง” เขายิ้มสะใจ
อีกฝ่ายจึงพูดว่า
“งานนี้ต้องไม่มีคำว่าพลาด มันต้องมีแต่คำว่าสำเร็จเท่านั้น”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่...แต่อยู่ๆ ก็มีรถตู้คันหนึ่งขับปาดหน้าและจอดขวางทาง จนภูริชต้องเบรกรถกะทันหัน รถเกือบเสียหลัก
“โธ่เว้ย! ใครมันบังอาจขับรถมาจอดขวางทางวะ” ชายหนุ่มรู้สึกโมโหมาก
ผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า
“เดี๋ยวเราลงไปดูดีกว่าลูก”
“ครับคุณพ่อ” เขาพยักหน้า
แล้วทั้งสองคนก็ปลดเข็มขัดนิรภัยและเปิดประตูลงจากรถไป ภูริชเดินไปที่ข้างคนขับพร้อมกับต่อว่า
“เฮ้ย! ขับรถแบบนี้น่ะ...ฉันถามจริง แกได้ไปสอบใบขับขี่มาหรือเปล่าวะ หา!” พลางเคาะกระจกเรียก
แต่ดูท่าว่าคนขับจะไม่ยอมลดกระจกคุยกัน
แล้วอยู่ๆ ก็มีผู้ชายหน้าโหดสองคนเปิดประตูรถอีกด้านลงมา พร้อมกับเข้ามาลากตัวเขมนันท์ เขาตกใจและพยายามจะขัดขืน
“เฮ้ย! พวกแกเป็นใครวะ มาจับตัวฉันทำไม”
“นายของพวกเราอยากพบคุณ” หนึ่งในสองคนนั้นบอก
อีกฝ่ายถึงกับทำหน้างง
“นายของพวกแกเป็นใคร ทำไมถึงอยากพบฉัน”
“เฮ้ย ปล่อยตัวคุณพ่อของฉันเดี๋ยวนี้นะโว้ย” ภูริชพยายามจะดึงผู้ชายหน้าโหดทั้งสองคนให้ออกห่างตัวพ่อของเขา แต่ทั้งสองคนกลับเอาปืนขู่ จนเขาต้องถอยให้ห่างอย่างกลัวๆ
แล้วก็มีผู้ชายวัยประมาณหกสิบกว่าๆ เดินลงจากรถตู้ และเดินมาหาเขมนันท์
“อั๊วนี่แหละที่อยากพบลื้อ...อาเขม”
“เสี่ยขจร” เมื่อเห็นว่านายทั้งสองคนเป็นใครเขาก็หน้าซีดเผือด ที่แท้ก็เสี่ยขจรนั่นเอง
ผู้ชายหน้าโหดทั้งสองคนรีบปล่อยตัวเขมนันท์
ภูริชจึงเข้ามาถามพ่อ
“นี่พ่อรู้จักเขาด้วยเหรอครับ”
คนที่ตอบคำถามกลับเป็นเสี่ย
“ใช่! อั๊วรู้จักอาเขมเป็นอย่างดี เพราะอีเข้าไปเล่นที่บ่อนการพนันของอั๊วบ่อยๆ และที่สำคัญ อีกู้เงินอั๊วไปเล่นสองแสน อีบอกว่าจะเอาไปคืนอั๊วให้เร็วที่สุด แต่นี่เกือบจะถึงเดือนแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีวี่แววว่าอีจะเอาเงินไปคืน”
“หา! สองแสน” ชายหนุ่มตกใจ
ผู้เป็นพ่อจึงบอกว่า
“โธ่ แกทำเป็นตกใจไปได้ เงินสองแสนมันเล็กน้อยมาก”
เสี่ยขจรหัวเราะหึๆ
“ฮึ! ถ้าเล็กน้อยจริงอย่างที่ลื้อว่า ป่านนี้ลื้อคงเอาเงินไปคืนอั๊วแล้ว คงไม่ต้องให้อั๊วตามมาทวงแบบนี้หรอก”
เขมนันท์จึงถามลูกชายว่า
“แกพอจะมีเงินให้พ่อยืมไหมวะ”
คนถูกถามสั่นศีรษะ
“ผมไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอกครับคุณพ่อ”
“แล้วเงินที่แกยักยอกเงินในบริษัทมาได้ล่ะ”
“ผมเอาไปเปย์ผู้หญิงหมดแล้วครับ”
“โธ่เว้ย! ไม่ได้เรื่อง” เขารู้สึกโมโห
แล้วเสี่ยขจรก็ถามอีก
“ไง...เรื่องเงินน่ะ มีให้อั๊วไหม”
เขมนันท์จึงหันไปบอกเสี่ยว่า
“ผมขอเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์นะครับเสี่ย แล้วผมจะรีบหาเงินไปใช้หนี้เสี่ยให้ได้”
“ไหนบอกว่าเป็นถึงเขยเจ้าของบริษัทผลิตเครื่องประดับเพชรพลอยชื่อดัง ร่ำรวยพันล้านไง ถ้าร่ำรวยจริงก็ต้องมีเงินใช้หนี้อั๊วสิ นอกซะจากร่ำรวยจอมปลอม”
“โธ่! เสี่ยครับ ไอ้ผมก็เป็นแค่เขย ไม่ได้มีเงินใช้มากมายขนาดนั้นหรอกครับ”
“สรุปว่าวันนี้ลื้อจะไม่จ่ายหนี้อั๊วใช่ไหม”
“ก็ผมบอกว่าขอเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ไงครับ ผมว่าผมพูดชัดเจนแล้วนะครับ” บอกอย่างรำคาญ
เสี่ยขจรหัวเราะ
“อั๊วจะไม่เชื่อลื้ออีกแล้ว ถ้าวันนี้ลื้อไม่จ่ายหนี้อั๊ว เห็นทีอั๊วคงจะต้องเอาตัวลื้อไป”
“หมายความว่ายังไงครับ” เขาถามอย่างตกใจ
เสี่ยหันไปทำหน้าพยักเพยิดให้ลูกน้องหน้าโหดทั้งสองคน
“เฮ้ย! พวกลื้อเอาตัวอาเขมขึ้นรถไป”
แล้วลูกน้องหน้าโหดทั้งสองคนก็ทำตามคำสั่ง เข้าไปจับแขนของเขมนันท์คนละข้างและลากไปที่รถ เขาพยายามสะบัดทั้งสองคนออก แต่สู้ไม่ได้จึงหันหลังไปบอกลูกชาย
“ตาภู ช่วยพ่อด้วยสิลูก”
ภูริชจะเข้าไปช่วยพ่อ แต่ถูกลูกน้องหน้าโหดของเสี่ยหันกระบอกปืนมาหาจึงต้องถอยห่างอีกครั้ง
เสี่ยขจรจึงบอกว่า
“ถ้าลื้ออยากได้ตัวพ่อของลื้อละก็...ลื้อก็ต้องเอาเงินไปแลกกับตัวอีจำนวนสองแสน เอ๊ย ไม่ใช่สิๆ อั๊วต้องคิดดอกเบี้ยเพิ่มอีกสองเท่า อั๊วให้เวลาลื้อจนถึงเที่ยงคืนของคืนนี้ ถ้าอั๊วไม่เห็นลื้อเอาเงินไปให้ละก็ ลื้อเตรียมตัวรับศพอาเขมไปทำบุญได้เลย” พูดจบเสี่ยก็เดินขึ้นรถไป ส่วนเขมนันท์ก็ถูกพาขึ้นรถไปก่อนแล้ว ไม่นานรถตู้ก็แล่นออกไป
ภูริชมองตามรถตู้ไปอย่างรู้สึกโมโห
“โธ่เว้ย แล้วกูจะหาเงินที่ไหนไปไถ่ตัวพ่อวะเนี่ย” เขารู้สึกเครียดขึ้นมา ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถและขับออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
ภูริชกลับมาบ้านเพื่อมาบอกผู้เป็นแม่ ซึ่งอีกฝ่ายนั่งเล่นอยู่ที่ศาลาหลังคฤหาสน์หลังใหญ่ เขาจึงเดินไปบอก
“คุณแม่ครับ คุณแม่ต้องช่วยคุณพ่อนะครับ”
“พ่อแกเป็นอะไร” ประภาถามอย่างแปลกใจ
ผู้เป็นลูกชายจึงบอกว่า
“คุณพ่อติดหนี้ที่บ่อนครับ ไม่ยอมจ่ายหนี้เขา ตอนนี้ถูกเขาจับตัวไปแล้วครับ”
“หา!” เธอทำหน้าตกใจ “แกว่ายังไงนะ พ่อของแกน่ะเหรอแอบไปเข้าบ่อนการพนันจนติดหนี้”
“ใช่ครับคุณแม่” ชายหนุ่มพยักหน้า
อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ
“สมน้ำหน้ามัน”
ภูริชถึงกับอึ้งไป
“อ้าว! ทำไมคุณแม่พูดแบบนี้ล่ะครับ”
“ก็มันอยู่ดีไม่ว่าดีไปสร้างหนี้ให้ตัวเอง มันเฮงซวยที่สุด”
“นี่ตกลงจะไม่ช่วยคุณพ่อเหรอครับ ทางนั้นมันให้เวลาถึงเที่ยงคืนของคืนนี้ ถ้าไม่เห็นผมเอาเงินไปให้มันบอกว่าเตรียมตัวรับศพของคุณพ่อไปทำบุญได้เลยครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เพราะเป็นห่วงพ่อ
ประภาจึงถามต่อว่า
“แล้วพ่อของแกมันไปติดหนี้เขาอยู่เท่าไหร่ล่ะ”
“สองแสนครับ”
“หา! สองแสน” เธอตกใจอีกครั้ง
ผู้เป็นลูกชายพยักหน้า
“ครับ...สองแสน แถมมันยังคิดดอกเบี้ยเพิ่มอีกสองเท่า”
“ฉันไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก”
“แล้วคุณแม่จะปล่อยให้คุณพ่อตายเหรอครับ”
“ก็ฉันไม่มี แกจะให้ทำยังไงล่ะ” เธอทำหน้ารำคาญ “แกก็ลองไปขอคุณยายของแกดูสิ เผื่อท่านจะให้เอาไปไถ่ตัวพ่อของแก”
“คุณยายคงจะให้อยู่หรอกครับ” ภูริชประชด
ผู้เป็นแม่จึงถามว่า
“ถ้าแกไม่ลองไปขอแล้วแกจะรู้ไหม หา!”
“ถ้าคุณแม่ไม่ไปไถ่ตัวคุณพ่อ แล้วแผนการที่วางเอาไว้...”
“ไม่เห็นจะยากเลย ฉันก็แค่จ้างให้คนอื่นทำแทนก็เท่านั้นเอง” เธอบอกอย่างไม่สนใจ
อีกฝ่ายมองหน้าแม่อย่างผิดหวัง
“นี่คุณแม่ไม่คิดที่จะเป็นห่วงคุณพ่อบ้างหรือไงครับ...คุณแม่กับคุณพ่ออยู่ด้วยกันมานานหลายปีไม่มีความรักความห่วงใยให้กันและกันเลยเหรอครับ”
“แกไม่ต้องมาสอนฉัน ฉันเป็นแม่แก”
“ผมไม่ได้สอนคุณแม่ ผมแค่พูดให้คุณแม่คิด...ตลอดระยะเวลาที่คุณพ่อกับคุณแม่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ผมถามจริง คุณพ่อกับคุณแม่เคยเป็นห่วงเป็นใยกันไหมครับ เคยรักกันไหมครับ หรือที่อยู่ด้วยกันเพราะมีผม”
“แกไม่ต้องพูดมาก รีบไปหาเงินไปไถ่ตัวพ่อของแกซะ” ประภาบอกอย่างรำคาญ
ภูริชทำหน้าเหนื่อยหน่าย
“แล้วจะให้ผมไปหาเงินจากไหนล่ะครับ”
“ก็ฉันบอกว่าให้ลองไปขอคุณยายของแกไง”
“คุณยายไม่ให้หรอกครับ เงินตั้งหลายแสน...เงินต้นก็สองแสน นี่มันเรียกดอกเบี้ยเพิ่มสองเท่า ก็เท่ากับสี่แสน ยังไงคุณยายก็ไม่มีทางให้หรอกครับ” เขาว่า
แล้วก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“แกจะเอาเงินสี่แสนไปทำอะไร หา!...ตาภู”
ทั้งสองคนแม่ลูกหันขวับไปมองทางต้นเสียง ก็เห็นว่าเป็นคุณนภาลัยนั่นเอง
“คุณแม่”
“คุณยาย” พากันอุทานอย่างตกใจ
เมื่อประมุขของบ้านเดินมาถึงศาลาก็ถามหลานชายอีกครั้ง
“ว่ายังไง แกจะเอาเงินไปทำอะไรตั้งสี่แสน”
“เอ้อ...” ภูริชมัวแต่อมพะนำ พูดไม่ออก
ประภารู้สึกรำคาญลูกชายจึงตอบแทน
“ก็คุณเขมน่ะสิคะคุณแม่ ไปติดหนี้บ่อนและไม่ยอมไปใช้หนี้ จนเขาต้องมาทวง พอเขามาทวงก็ไม่มีเงินให้เขา เมื่อไม่มีเงินให้เขาเขาก็จำเป็นต้องเอาตัวไป แถมคิดดอกเบี้ยเพิ่มอีกสองเท่าค่ะคุณแม่”
“แล้วตาเขมติดหนี้อยู่เท่าไหร่” ท่านถาม
ผู้เป็นลูกสาวจึงตอบว่า
“สองแสนค่ะ...แต่เขาคิดดอกเบี้ยเพิ่มสองเท่า นั่นก็เท่ากับสี่แสนบาทค่ะคุณแม่”
“หา! สี่แสน” ท่านตกใจ
แล้วปราภพก็เดินตามมาได้ยินพอดี
“ฉันว่าแล้ว ว่าสักวันนายเขมมันต้องหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ แล้วมันก็เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้จริงๆ”
“ใครจะไปดีเหมือนพี่พรรณล่ะคะ แสนดีเกินใคร” ผู้เป็นน้องสาวประชด
อีกฝ่ายไม่พอใจ
“แกหยุดลามปามถึงคุณพรรณเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำไมคะ ก็ภาพูดจริงๆ นี่” ยังทำลอยหน้าลอยตา
คุณนภาลัยโบกมืออย่างรำคาญ
“หยุดๆ หยุดเถียงกันได้แล้ว” แล้วหันไปลูกสาว “เดี๋ยวฉันจะเซ็นเช็คให้ แล้วแกก็เอาไปเบิกเงินสดที่ธนาคาร...แล้วเอาเงินไปไถ่ตัวผัวของแกซะ ฉันจะช่วยแกแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น และต่อไปฉันจะไม่ช่วยแกอีกแล้ว” พูดจบท่านก็หันหลังเดินออกไป
แล้วปราภพก็บอกกับน้องสาวว่า
“เรื่องที่นายเขมไปเข้าบ่อนฉันรู้มานานแล้ว แต่ฉันเลือกที่จะไม่บอกแก อ้อ แล้วมีอีกเรื่อง นายเขมมันแอบนอกใจแก มันไปเที่ยวผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่บอกแกอยู่ดี เพราะฉันกลัวแกเสียใจ”
“ไม่จริงค่ะ คุณเขมไม่เคยนอกใจภา เขารักภาคนเดียวมาตลอด พี่ไม่ต้องมาใส่ร้ายเขา” เธอไม่พอใจ
ผู้เป็นพี่ชายถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แกมันก็เป็นซะแบบนี้ รักผัวหลงผัวจนหูหนวกตาบอด ผัวทำผิดก็ว่าผัวทำถูก”
“ก็เหมือนกับที่พี่ทั้งรักทั้งหลงพี่พรรณนั่นแหละค่ะ”
“แกไม่ต้องมายอกย้อนฉัน ฉันเป็นพี่แก”
“ทำไมล่ะคะ”
“ยายภา มันจะเกินไปแล้วนะ” เขาไม่พอใจน้องสาว
ภูริชรีบห้ามลุงกับแม่
“หยุดทะเลาะกันเถอะครับคุณแม่คุณลุง ผมยิ่งเครียดเรื่องคุณพ่ออยู่” แล้วพูดกับแม่ “คุณแม่ครับ เราไปเอาเช็คกับคุณยายดีกว่านะครับ จะได้ไปเบิกเงินที่ธนาคารและเอาไปไถ่ตัวคุณพ่อ”
“แกก็ไปไถ่ตัวพ่อของแกคนเดียวสิ ฉันไม่ไปด้วยหรอก เดี๋ยวฉันจะอดใจไม่ไหว อาจลงไม้ลงมือกับมัน” พูดจบประภาก็เดินผลุนผลันออกไปจากศาลาอย่างอารมณ์เสีย
ภูริชจะผละไปอีกคน
“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณลุง” แล้วเดินออกไป
ปราภพหันมองตามหลังและสั่นศีรษะ
“เฮ้อ! ว่าแล้วสักวันมันต้องเกิดเรื่องแบบนี้”
ที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด คิดว่าสักวันเขมนันท์ต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อน แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ ด้วย ถ้าเขาซื้อล็อตเตอรี่ก็คงจะถูกรางวัลที่หนึ่งกระมัง
หลังจากได้เช็คเงินสดมาแล้วภูริชก็เอาไปเบิกเงินที่ธนาคาร หลังจากนั้นขับรถไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าเสี่ยขจรจะนัดให้เอาไปให้ที่ไหน เพราะไม่ได้บอกไว้
“โธ่เว้ย! แล้วมันจะให้เราเอาเงินไปให้ที่ไหนกันล่ะเนี่ย” ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิด
ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เขาหยิบขึ้นมาดูก็เห็นเบอร์แปลก แต่ก็กดรับสาย
“ฮัลโหล นั่นใครน่ะ”
“อั๊วเอง” ปลายสายตอบกลับมา เป็นเสี่ยขจรนั่นเอง
เมื่อรู้ว่าใครโทรมาภูริชก็ถามกลับไป
“คุณพ่อของฉันเป็นยังไงบ้าง แกทำอะไรเขาหรือเปล่า”
“อีสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร แล้วเรื่องเงินล่ะ”
“เงินฉันให้แกแน่ แต่แกจะให้ฉันเอาเงินไปให้ที่ไหน”
แล้วอีกฝ่ายก็บอกว่า
“เดี๋ยวอั๊วจะแชร์โลเคชั่นไปให้” และวางสายไป
สักพักเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขากดก็เห็นว่าเป็นโลเคชั่นที่เสี่ยขจรส่งมาให้ เขาจึงวางโทรศัพท์มือถือลง ก่อนจะขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่อีกฝ่ายนัดหมายมา
ที่โกดังแห่งหนึ่ง...เขมนันท์ถูกมัดกับเสา และมีบาดแผลจากการถูกทำร้ายเพราะขัดขืน บวกกับพยายามจะหนีเลยต้องเจ็บตัว
“เสี่ย...ผมกู้เงินของเสี่ยแค่นี้เอง ทำมาเป็นทวงแล้วทวงอีก แถมยังคิดดอกเบี้ยอีกสองเท่า มันไม่โหดไปหน่อยเหรอเสี่ย” เขาพูดกับเสี่ย
อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ
“จะโหดหรือไม่โหดลื้อไม่ต้องสนใจ ลื้อเป็นคนขอกู้เงินอั๊วเอง เพราะฉะนั้นหน้าที่ของลื้อคือต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดให้กับอั๊ว”
“ฮึ! เดี๋ยวลูกชายของผมก็เอาเงินมาให้เสี่ยแหละ เสี่ยไม่ต้องเป็นห่วง มันไม่ปล่อยให้พ่อของมันเป็นอะไรไปหรอก” เขมนันท์ว่า
พูดยังไม่ทันขาดคำก็เห็นภูริชเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเงินสด ตรงเข้ามาเสี่ยขจรและบอกว่า
“ถ้าอยากได้เงินแกก็ต้องปล่อยตัวคุณพ่อของฉันก่อนสิวะ”
“ลื้อไม่มีสิทธิ์ต่อรองอะไรทั้งสิ้น” เสี่ยบอก
เขมนันท์ยิ้มที่เห็นลูกชายมาช่วย เขาจึงบอกว่า
“รีบๆ ให้มันไปเถอะตาภู มันจะได้ปล่อยตัวพ่อ”
ผู้เป็นลูกชายไม่สนใจสิ่งที่พ่อพูด เขาถามเสี่ยอย่างไม่พอใจ
“ไหนแกบอกว่าคุณพ่อของฉันสบายดี ไม่ได้เป็นอะไรไง แล้วนี่อะไร แกสั่งให้ลูกน้องของแกทำอะไรคุณพ่อของฉัน หา!”
“แหม! อั๊วก็แค่ให้ลูกน้องของอั๊วสั่งสอนอีนิดหน่อย เพราะอีคิดจะหนี” เสี่ยว่า
“รีบๆ ให้เงินเสี่ยไปเถอะ อย่าชักช้า พ่ออยากกลับบ้านจะแย่แล้ว” เขมนันท์บอกลูกชาย
แต่ภูริชไม่ยอม
“ไม่ครับคุณพ่อ ถ้าเกิดให้เงินมันไปแล้วมันอาจจะคิดตุกติกกับเราก็ได้”
“อั๊วไม่ใช่คนที่ชอบคิดตุกติก...ลื้อแค่ให้เงินอั๊วมาก็เท่านั้น อั๊วอยากได้เงินของอั๊วคืน”
“แน่ใจนะว่าแกจะไม่คิดตุกติกกับฉัน”
“อั๊วรับรองได้ เพราะอั๊วเป็นคนที่พูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้น”
“ก็ได้” เท่านั้นแหละภูริชจึงยอมยื่นกระเป๋าเงินสดให้อีกฝ่าย
แล้วเสี่ยขจรก็รับกระเป๋ามาและเปิดตรวจสอบดูเงินว่าครบถ้วนตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าเงินครบก็บอกกับลูกน้อง
“เฮ้ย! ปล่อยตัวอาเขม”
พอได้รับคำสั่งจากเสี่ยลูกน้องหน้าโหดทั้งสองคนก็รีบแก้เชือกให้เขมนันท์ทันที
หลังจากถูกปล่อยให้เป็นอิสระเขมนันท์ก็รีบวิ่งไปหาลูกชาย
“ขอบใจมากนะลูกที่มาช่วยพ่อ”
“ไม่เป็นไรครับคุณพ่อ ผมไม่ปล่อยให้คุณพ่อต้องเป็นอะไรไปอย่างเด็ดขาด” แล้วหันไปทางเสี่ย “ถ้าหมดธุระแล้ว...งั้นผมกับคุณพ่อขอตัวกลับก่อน ไปครับคุณพ่อ”
ทั้งสองคนพ่อลูกหันหลังเดินออกไปทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้านและเข้าห้องนอนไป เขมนันท์ก็ถูกภรรยาทุบตีแขนและหลังอย่างโมโห
“นี่แน่ะๆ คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง คุณแอบไปเข้าบ่อนนานแค่ไหนแล้ว หา! เข้าบ่อนไม่พอยังกู้เงินเขาเล่นอีก จนทำให้ฉันกับคุณแม่ต้องเดือดร้อน ไอ้ผัวเฮงซวย” ทุบแขนสามีไม่หยุด
เขมนันท์รู้สึกโมโหเช่นกัน เขาใช้หลังมือตวัดไปที่ใบหน้าของภรรยา
“โธ่เว้ย! ผมชักจะหมดความอดทนกับคุณแล้วนะ มาทุบตีผมอยู่ได้ คิดว่ามีมืออยู่คนเดียวหรือไง หา!”
ประภาจับใบหน้าของตัวเองและกรี๊ด
“อ๊าย! นี่คุณกล้าตบฉันเหรอ”
“ก็คุณอยากทำกับผมก่อน” เขาอ้าง
ผู้เป็นภรรยาลุกขึ้นและเข้าไปทุบตีสามีอีก
“นี่แน่ะๆ คุณบังอาจ...บังอาจมาตบฉัน”
คราวนี้เขมนันท์ผลักภรรยาลงบนเตียงนอน
“ผมรำคาญคุณ รู้ไหมว่าผมรำคาญคุณ ต่อไปนี้ผมจะไม่อดทนกับคุณอีกแล้ว”
“คุณหมายความว่ายังไง...คุณเขม”
อีกฝ่ายไม่ตอบ เขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบกระเป๋าออกมา พร้อมกับเอาเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าและรูดซิปเดินถือกระเป๋าไปที่ประตู
ประภารีบลุกจากเตียงวิ่งเข้าไปกอดสามีร้องไห้
“คุณอย่าไปจากฉันเลยนะคะคุณเขม ถ้าไม่มีคุณฉันก็อยู่ไม่ได้ ฉันขอโทษนะคะที่ทำให้คุณรำคาญ และฉันขอสัญญาว่าต่อไปฉันจะทำตัวดีๆ กับคุณ จะไม่ทำให้คุณต้องรำคาญใจอีก...แต่ฉันขอร้องนะคะเขม ฉันขอให้คุณอยู่กับฉันและลูก อยู่ช่วยฉันกับลูกกำจัดไอ้ฝาแฝดนั่น ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลจะได้ตกเป็นของเรา เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข พ่อแม่ลูก...นะคะเขม” ประโยคหลังเธอพูดปกติ เพราะปาดน้ำตาออกแล้ว
เขมนันท์นิ่งคิดอยู่สักครู่ คิดไตร่ตรองก่อนจะตอบ
“ก็ได้...ผมจะอยู่ช่วยคุณกับลูกกำจัดไอ้ฝาแฝดนั่นเพื่อทรัพย์สมบัติ” ในที่สุดเขาก็ยอมใจอ่อน เพราะมีคำว่า ‘ทรัพย์สมบัติ’ เข้ามาเกี่ยวข้อง
ผู้เป็นภรรยายิ้มพอใจ รีบคลายอ้อมกอดสามี
“ขอบคุณนะคะที่คุณยอมอยู่ช่วยฉันกับลูกกำจัดศัตรูหมายเลขหนึ่ง”
อีกฝ่ายหันกลับมามองหน้าภรรยา
“คุณก็อย่าทำตัวน่ารำคาญอีกก็แล้วกัน”
เจ้าหล่อนพยักหน้า
“ค่ะ ฉันจะไม่ทำตัวน่ารำคาญอีกแล้ว ฉันขอสัญญาค่ะ...ว่าแต่แผนที่เราจะไปวางเพลิงร้านจิวเวลรี่ล่ะคะ จะเอายังไง”
“ผมคงไปทำไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้ผมยังเจ็บอยู่”
“ถ้างั้นเราจะทำยังไงกันดีคะ”
“ล้มเลิกแผนนี้ไปเลย แล้วเราค่อยวางแผนที่เด็ดกว่านี้ทีหลัง”
“แต่ฉันไม่เห็นด้วยกับคุณ”
“คุณเชื่อผมเถอะนะ ผมมีแผนที่เด็ดกว่าการวางเพลิง รับรองคุณถึงกับอึ้งแน่นอน” เขายิ้มอย่างมีแผน
ประภาทำหน้าสงสัย
“คุณมีแผนอะไรคะ”
“เดี๋ยวคุณก็รู้เอง” เขาขออุบไว้ก่อน
สรุปแล้วแผนการที่ประภาวางไว้ก็ต้องถูกล้มเลิกไป เพราะเขมนันท์มีแผนที่เด็ดกว่านั้นอีก แต่ก็ยังไม่บอกว่าเป็นแผนอะไร...รอดูต่อไป
แล้วงานเปิดตัวร้านจิวเวลรี่ก็มาถึง เมื่อได้ฤกษ์ที่ดีแล้ว...งานนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรนัก มีแขกมาร่วมงานประมาณหนึ่งร้อยคนได้ ทั้งพนักงานที่เชิญมาสิบห้าคน และหุ้นส่วนอีกสิบสองคน ที่เหลือก็คนรู้จักทั้งนั้น รวมถึงครอบครัวของชัชรินทร์ แต่น่าเสียดายที่รินรดาไม่ได้มาด้วยเพราะติดเคสผ่าตัดคนไข้ด่วน และอาหารที่สั่งมาให้แขกที่มาร่วมงานได้ทานก็มาจากร้านอาหารหรูชื่อดังย่านใจกลางกรุงเทพมหานคร
ปราภพได้นิมนต์พระจากวัดใกล้ๆ มาฉันเช้า ทำบุญร้านจิวเวลรี่เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล วันนี้เขมนันท์ ประภาและภูริชก็มาด้วย แต่มาแบบมีแผนบางอย่าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีแผนอะไร
การจัดงานปาณัทก็ได้จ้างให้ออแกไนเซอร์ชื่อดังมาจัดการให้ งานในวันนี้จึงดูสวยหรูที่สุด...ด้านหน้างานคุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภาและเป็นเอกกำลังยืนคุยอยู่กับชัชรินทร์และรวัลยาหลังพระฉันเช้าเสร็จและกลับวัดไป ส่วนปาณัทก็เดินเข้าไปในงาน
“ร้านใหญ่ดีนะ นายปราภพ” ชัชรินทร์พูดกับปราภพ
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ครับพี่ชัช ก็ใหญ่เกือบเท่าห้างสรรพสินค้าเลยละครับ แต่ใหญ่และกว้างขวางแบบนี้ก็ดีเหมือนกันครับ คนจะได้ไม่ต้องเดินชนกัน” พูดจบเขาก็หัวเราะ
ทั้งคุณนภาลัย พรรณนิภา ชัชรินทร์และรวัลยาต่างก็พากันหัวเราะตาม
“กว้างใหญ่แบบนี้แม่ชอบนะ ตาปราภพ” คุณนภาลัยว่า
ส่วนรวัลยาก็พูดว่า
“คิดการใหญ่ใจต้องถึงค่ะคุณป้า”
“แหม! พี่วันพูดถูกใจผมที่สุดเลยครับ” ปราภพยิ้ม
“นี่ถ้านายไม่บอกพี่ว่าซื้อร้านนี้ในราคาสามล้านพี่ก็แทบจะไม่เชื่อเลยนะ ร้านใหญ่ขนาดนี้และขายในราคานี้มันถูกมาก” ชัชรินทร์ยิ้ม
ปราภพพยักหน้า
“ครับ ผมถือว่าถูกมากเลยครับพี่ชัช หาซื้อร้านที่ใหญ่แบบนี้และราคานี้ไม่มีอีกแล้วครับ”
เป็นเอกมองไปรอบๆ ร้านก็ถึงกับร้องอ๋อในใจ ที่แท้ร้านนี้เองที่ผู้เป็นพ่อของเขากับปาณัทเป็นคนซื้อ เพราะเมื่อสองเดือนก่อนเขาแวะมาทำธุระแถวนี้พอดี เขาเห็นมีคนร้ายกำลังซุ่มเตรียมจะยิงผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถืออยู่หน้าร้านนี้ แต่หันหลัง แต่เขาช่วยจัดการกับคนร้ายได้ทันก่อนที่มันจะลั่นไก และผู้ชายคนนั้นก็น่าจะเป็นปาณัท แต่ตอนนั้นไม่ได้เจอหน้ากันเพราะนิชาภัทรมาขวางทางเสียก่อน
“เมื่อสองเดือนที่แล้วผมมาทำธุระแถวนี้ ผมเห็นคนร้ายซุ่มอยู่ตรงโน้น มันเตรียมจะลั่นไกปืนยิงผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าร้านนี้ แต่ผมเห็นเข้าก็เลยเตะปืนมันกระเด็น จากนั้นก็ต่อสู้กับคนร้ายจนมันเผ่นหนีไป และผู้ชายที่เป็นเป้าหมายของมันก็น่าจะเป็นนายป้องครับคุณพ่อ” เป็นเอกเล่าเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อนให้พ่อฟัง
อีกฝ่ายทำหน้าอึ้งไป
“อะไรนะลูก เมื่อสองเดือนก่อนตาป้องน่ะเหรอจะถูกซุ่มยิง”
“น่าจะใช่นายป้องครับคุณพ่อ แต่ตอนนั้นผมเห็นแต่ข้างหลังเขา ผมไม่แน่ใจ”
“ใช่ตาป้องแหละ เพราะเมื่อสองเดือนก่อนเขามาทำสัญญาซื้อขายร้านนี้” ผู้เป็นพ่อว่า
คุณนภาลัยจึงพูดว่า
“แสดงว่าเมื่อสองเดือนที่แล้วตาป้องเคยถูกซุ่มยิงแล้วครั้งหนึ่ง แต่แกช่วยไว้ได้ทัน”
“ใช่ครับคุณย่า ผมช่วยเขาไว้ทัน แต่ตอนนั้นยังไม่เห็นหน้าเขาก็เลยไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดของผมครับ” ชายหนุ่มยิ้ม
แล้วผู้เป็นย่าก็พูดต่อ
“ที่แท้พี่น้องก็คลาดกันนี่เอง ถ้าตอนนั้นเจอกันก็จะรู้ความจริงไปนานแล้ว”
“ผมก็ยังคิดเหมือนคุณย่าเลยครับ” พูดจบเป็นเอกก็หัวเราะ
คุณนภาลัย ปราภพ พรรณนิภา ชัชรินทร์และรวัลยาพลอยหัวเราะตามไป
แล้วปาณัทก็เดินออกมาจากข้างในร้าน เดินมาหาครอบครัว
“อ้าว! ตาป้องออกมาแล้ว” ผู้เป็นย่ายิ้ม “ถ้างั้นก็ได้เวลาเปิดตัวหลานชายฝาแฝดของตระกูลบวรเทพแล้ว ถือโอกาสเปิดตัวในงานนี้เลย ไม่ต้องจัดงานที่บ้าน”
“ก็ดีเหมือนกันครับคุณย่า จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินในการจัดงานให้ผมครับ” เป็นเอกเห็นด้วยกับความคิดของย่า
อีกฝ่ายถึงกับหัวเราะอีกครั้ง
“ช่างพูดนะเรา รู้จักมัธยัสถ์ซะด้วย”
“แม่เพียรเคยสอนผมไว้น่ะครับ ว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัด ใช้มันเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น” เขายิ้ม
ท่านพยักหน้า
“อืมม์ แกถูกเพียรสอนมาอย่างดี อันนี้ย่าขอชื่นชมเพียร” และหันไปปรบมือเรียกแขกที่มาร่วมงานทั้งหมด “ทุกคนคะ หันมาทางนี้หน่อยค่ะ”
แล้วทุกคนก็หันไปตามเสียงเรียก
เมื่อทุกคนหันมาหมดแล้วคุณนภาลัยก็เริ่มพูดต่อ
“เอาละค่ะ ดิฉันถือโอกาสเปิดตัวหลานชายฝาแฝดของดิฉันในงานเปิดร้านเลยนะคะ” ปาณัทกับเป็นเอกยืนอยู่ใกล้ชิดกัน ทั้งสองคนหันไปประนมมือไหว้แขกทุกคน
และเมื่อทุกคนได้เห็นก็อึ้งไป เพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณนภาลัยจะมีหลานชายฝาแฝด เพราะเคยเห็นแต่ปาณัทคนเดียว แล้วอีกคนมาจากไหน...ทุกคนถึงกับงง
คุณนภาลัยชี้ไปที่หลานชายฝาแฝดคนโต
“คนนี้ชื่อปาณัทหรือปกป้อง...คนนี้เขาอยู่กับพ่อกับแม่ แล้วก็ดิฉันมาตั้งแต่เกิดค่ะ ส่วนนั่น...” ท่านชี้ไปที่หลานชายฝาแฝดคนเล็ก “เขาชื่อปิติกรหรือเป็นเอก...คนนี้เขาถูกขโมยไปตั้งแต่แรกเกิด มีคนเอาเขาไปทิ้งที่หลังตลาดสดแห่งหนึ่ง...และพวกเราเพิ่งจะได้พบเจอกันเมื่อเร็วๆ นี้ หลังจากถูกพลัดพรากจากกันไปนาน มีคนใจดีคนหนึ่งเก็บเขาไปเลี้ยงเป็นลูก เลี้ยงดูเขาอย่างดีเลยค่ะ ต้องขอบคุณผู้หญิงคนนั้นนะคะ เพราะถ้าไม่มีเธอป่านนี้หลานชายคนนี้ของดิฉันไม่รู้จะเป็นยังไง”
สิ้นสุดเสียงพูดของคุณนภาลัยก็มีเสียงปรบมือดังเกรียวกราว ทุกคนต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า อ๋อ นั่นหมายถึงว่าเข้าใจแล้ว
ทางด้านประภารู้สึกหมั่นไส้หลานชายฝาแฝด
“เชอะ ไอ้พี่น้องฝาแฝดนั่นยิ้มหน้าระรื่นเชียวนะ น่าหมั่นไส้จริงๆ”
“เดี๋ยวมันก็ได้เปลี่ยนจากยิ้มเป็นตกใจแทน” เขมนันท์ว่า
ผู้เป็นภรรยาจึงหันกลับมามองสามีอย่างสงสัย
“นี่คุณยังไม่ได้บอกฉันเลยนะคะ ว่าคุณมีแผนอะไรที่จะจัดการกับมัน”
“บอกได้แค่ว่า...รับรองว่างานนี้มีเซอร์ไพรส์” เขายิ้มอย่างมีแผน
และทางด้านคณะของคุณนภาลัย หลังจากได้ประกาศเปิดตัวหลานชายฝาแฝดก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดีเพียบ ที่ท่านได้หลานชายฝาแฝดอีกคนกลับคืนมา ท่านก็ยิ้มและขอบคุณ บางคนก็บอกว่าปาณัทกับเป็นเอกหล่อทั้งคู่ หล่อแบบสูสีกันเลยทีเดียว
บางคนก็แสดงความยินดีที่เปิดร้านจิวเวลรี่ใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ปาณัทได้จ้างให้คนมาเขียนชื่อร้านให้ เขียนหน้าร้านตัวอักษรใหญ่ๆ มีชื่อร้านว่า ‘สิริพัฒน์ฯ จิวเวลรี่’ นั่นเอง ตั้งชื่อโดยปราภพ
“ดิฉันขอแสดงความยินดีกับการเปิดตัวร้านจิวเวลรี่ใหม่ด้วยนะคะคุณปราภพ” คุณนายท่านหนึ่งเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับปราภพ
ปราภพประนมมือไหว้ยิ้มๆ
“ขอบคุณครับ”
แล้วคุณหญิงอีกคนก็แสดงความยินดีด้วยเช่นกัน
“ดิฉันขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ...ขอให้ค้าขายเฮงๆ รวยๆ ค่ะ”
“ขอบคุณครับ” เขาประนมมือไหว้อีก
และมีอีกหลายคนมาร่วมแสดงความยินดีกับเขา ทั้งคุณหญิงคุณนายและคนทั่วไป ซึ่งเขาก็ขอบคุณทุกคน บางคนก็แสดงความยินดีกับเขาที่ได้ลูกชายฝาแฝดอีกคนกลับคืนมาด้วย และเขาก็ยิ้มรับ
“ผมขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมงานนะครับ และขอเชิญทุกท่านเข้าไปชมสินค้าข้างในร้านได้ครับ มีเครื่องประดับทุกชนิด สวยๆ ทั้งนั้นครับ...เชิญครับ” เขาผายมือเชื้อเชิญให้แขกที่มาร่วมงานเข้าไปชมสินค้าในร้าน ซึ่งทุกท่านก็ทยอยพากันเข้าไป
แล้วอยู่ๆ ก็มีตำรวจสองนายเดินเข้ามาหาปราภพ
“สวัสดีครับ ผมขอตรวจค้นข้างในร้านหน่อยนะครับ พอดีมีคนแจ้งไปว่าที่ร้านนี้มีการซุกซ่อนยาเสพติดร่วมกับเครื่องประดับ”
ทันทีที่ได้ยินตำรวจพูดปราภพก็อึ้งไป เขาโบกไม้โบกมือพัลวัน
“ไม่จริงนะครับคุณตำรวจ ในร้านนี้ไม่มียาเสพติดซุกซ่อน”
ปาณัทจึงกระซิบข้างหูผู้เป็นพ่อ
“เราบริสุทธิ์ใจครับคุณพ่อ...เราต้องให้คุณตำรวจเข้าไปค้นครับ”
อีกฝ่ายจึงพยักหน้า
“อืมม์...ถ้างั้นเชิญเข้าไปข้างในร้านครับคุณตำรวจ” แล้วเดินนำตำรวจสองนายไป ปาณัทเดินตามไป
แขกบางคนที่ยังอยู่ข้างนอกร้านก็พากันตกใจกับสิ่งที่ตำรวจพูด
คล้อยหลังลูกชายคุณนภาลัยก็พูดขึ้นว่า
“นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกัน”
“ผมว่าต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ เลยครับคุณย่า” เป็นเอกบอก
ส่วนชัชรินทร์ก็เชื่อใจรุ่นน้องอย่างปราภพ
“ผมเชื่อว่านายปราภพบริสุทธิ์ใจครับคุณป้า มันไม่มียาเสพติดอะไรหรอกครับ”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 293
แสดงความคิดเห็น