บทที่๒๘

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ
คุณกำลังอ่าน: สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A

บทที่๒๘

บนดาดฟ้าของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง...หลังจากส่งคุณหมอรินรดากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่บ้าน ปาณัทก็พาเธอไปทานอาหารค่ำที่ร้านอาหารในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ใจกลางกรุงเทพมหานคร โดยเลือกใช้บนดาดฟ้าในการทานอาหารตามที่ศัลยแพทย์สาวเคยบอกไว้ ตอนนี้มีเพียงพวกเขาที่นั่งทานกันสองคน และจ้างนักดนตรีมาสีไวโอลินให้ฟัง เรียกได้ว่าโรแมนติกครบชุดเลยทีเดียว

อาหารถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะมากมายหลายเมนู แต่ละอย่างล้วนน่าทานทั้งนั้น ก่อนทานฝ่ายชายก็พูดกับฝ่ายหญิงว่า

“ทานให้เยอะๆ นะครับ พี่จัดให้ตามคำขอของน้องรินแล้ว”

“ความจริงรินแค่จะพูดให้กระเทือนถึงคุณลิต้าเฉยๆ แต่ได้มาทานจริงๆ ก็ดีเหมือนกันค่ะ แถมมีคนสีไวโอลินให้ฟังอีก โรแมนติกเหมือนที่รินเคยพูดไว้เลยค่ะ” เธอพูดพลางยิ้มพลาง

ชายหนุ่มจ้องหน้าคนรักแล้วยิ้ม จนคนถูกจ้องถึงกับต้องถาม

“หน้าของรินมีอะไรติดเหรอคะ”

“เปล่าครับ” เขายิ้มอีกครั้ง ก่อนจะจับมือเธอขึ้นมา “พี่แค่รู้สึกว่าเวลาที่น้องรินหึงพี่ น้องรินน่ารักกว่าทุกครั้ง...น้องรินรู้ตัวไหม”

“ผู้หญิงทุกคนถ้ารักมากก็หึงมากค่ะ” เธอว่า “โดยเฉพาะตอนที่มีผู้หญิงคนอื่นเข้ามาใกล้คนรักจะรู้สึกหึงและหวงเป็นพิเศษค่ะ”

“เหมือนตอนที่น้องรินเห็นลิต้าเข้าใกล้พี่ใช่ไหม น้องรินก็เลยหึงพี่”

“ค่ะ รินยอมรับว่ารินหึงพี่” ยอมรับง่ายๆ เสียนี่

ปาณัทอมยิ้ม

“ยอมรับง่ายๆ ซะด้วย”

“เอ้า ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดบังนี่คะ”

อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะจับมือหญิงสาวขึ้นมา

“ครับ...พี่รักน้องรินนะครับ รักมากที่สุด รักจนตราบฟ้าดินสลายหรือจนถึงวันที่เราต้องตายจากกัน”

“พี่ป้องจำได้ไหมคะ ว่าพี่ป้องบอกรักรินไปแล้วกี่ครั้ง นับได้หรือเปล่า” หญิงสาวแซวคนรัก

อีกฝ่ายถึงกับหัวเราะ

“พี่นับไม่ได้เลยครับ พี่จำไม่ได้ แต่รู้สึกว่าจะเยอะอยู่นะ”

“ใช่ค่ะ เยอะมาก...มากจนรินไม่รู้จะเก็บไว้ตรงไหนแล้วค่ะ” พูดจบเธอก็หัวเราะบ้าง

“น้องรินก็พูดไป มันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“รินล้อเล่นค่ะ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่อีกหน่อยก็น่าจะถึง”

“หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว พี่จะบอกรักให้เยอะกว่านี้อีก”

“เว่อร์ไปค่ะ...ใครบอกว่ารินจะแต่งงานกับพี่คะ”

คนฟังถึงกับคอตก จนแฟนสาวต้องบอกว่า

“ถึงกับคอตกเลยเหรอคะ...ไม่เอานะคะ รินพูดเล่นค่ะ ใครจะไม่อยากแต่งงานกับนักธุรกิจรูปหล่อบ้างล่ะคะ แถมรวยมากด้วย ปล่อยไปละเสียดายแย่เลย”

“ขยันทำให้พี่ใจเสียได้ตลอดเลยจริงๆ” แกล้งทำหน้างอใส่

รินรดาอมยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของชายหนุ่มเบาๆ

“งอนรินเหรอคะคนดี ผู้ชายอะไรขี้งอนจัง”

“พี่ไม่ได้งอนครับ พี่แค่ใจเสีย”

“ถ้ารินขอโทษจะหายไหมคะ”

“ไม่หายครับ”

“ถ้างั้นต้องทำยังไงคะถึงจะหาย”

ปาณัทยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปข้างๆ หญิงสาว แล้วจัดการหอมแก้มเธอแบบไม่ให้ตั้งตัวทัน จากนั้นก็กลับไปนั่งที่เดิม

“พี่หายใจเสียแล้วครับ”

“คนเจ้าเล่ห์!” เธอส่งค้อนให้เขาวงใหญ่

อีกฝ่ายจึงถามว่า

“ถึงพี่จะเจ้าเล่ห์ แล้วน้องรินรักพี่ไหมล่ะครับ”

“ไม่เห็นต้องถามเลยนี่คะ...เมื่อตอนเย็นรินก็บอกพี่ไปแล้วนี่”

“แต่ตอนนี้พี่อยากได้ยินจากปากของน้องรินอีก”

“รินรักพี่ป้องค่ะ” เธอตอบอย่างรวดเร็ว

แต่ชายหนุ่มแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“ว่าอะไรนะครับ”

“รินรักพี่ป้องค่ะ”

“หา! ว่ายังไงนะ พูดอีกทีสิ หูพี่ไม่ค่อยได้ยินเลย”

“หูไม่ค่อยได้ยินใช่ไหมคะ เดี๋ยวรินช่วยทำให้ได้ค่ะ” พูดจบเธอก็ยื่นมือไปตบบ้องหูอีกฝ่าย พร้อมกับถามว่า “เป็นยังไงบ้างคะ หูได้ยินชัดหรือยัง”

คนถูกตบบ้องหูนิ่วหน้าเจ็บ ลูบหูไปมา

“โอ๊ย พี่เจ็บ...หูของพี่เกือบจะไม่ได้ยินจริงๆ ซะแล้ว”

“สมน้ำหน้า” เธอแลบลิ้นใส่

“แสบจริงๆ นะคุณหมอ” เขาว่า

หญิงสาวยิ้ม

“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ”

“เอาละ ทานอาหารได้แล้วครับ พูดคุยกันมาตั้งนาน อาหารจะเย็นหมดแล้วเนี่ย”

“ค่ะ” เธอพยักหน้า

แล้วทั้งสองคนก็ลงมือทานอาหารกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางวิวสวยๆ บนดาดฟ้ายามค่ำคืนและเสียงไวโอลินอันไพเราะ ช่างเป็นอะไรที่โรแมนติกสุดๆ ...และความสุขมีล้นหลามกันเลยทีเดียว

 

วันถัดมา...ชัชรินทร์กับรวัลยามาดูงานไซต์งานก่อสร้างบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ แถวถนนศรีอยุธยา ซึ่งตอนนี้ก่อสร้างไปได้แปดสิบเปอร์เซ็นแล้ว ใกล้จะเป็นความจริงแล้ว อีกสามเดือนก็น่าจะเปิดได้

“คุณคิดชื่อบริษัทไว้หรือยังคะ” รวัลยาถามสามีขณะเดินดูงาน

อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ

“ผมชื่อไว้แล้ว คิดมานานมากด้วย”

“ชื่อว่าอะไรคะ”

“บริษัทภิรมย์วัชรกุล เมดิคอล” เขาบอก

“ชื่อเพราะดีค่ะ”

“รู้ไหมว่าชื่อนี้ผมคิดตั้งแต่ก่อนจะตัดสินใจสร้างบริษัทเลยนะ”

“คุณคิดนานขนาดนั้นเลยเหรอคะ” รวัลยาถาม

“ใช่” เขาพยักหน้าอีกครั้ง “ผมคิดไว้หลายชื่อ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกชื่อนี้ เพราะคำว่าเมดิคอล มันแปลว่าทางการแพทย์ ส่วนภิรมย์วัชรกุลก็นามสกุลของเราเอง เป็นยังไงล่ะความคิดของผม”

“เริ่ดมากเลยค่ะ” เธอยกนิ้วโป้งให้

ชัชรินทร์ชี้ไปทางหนึ่ง

“เราเดินไปดูทางโน้นดีกว่าไหมคุณวัน”

“ดีค่ะ” เธอยิ้ม

แล้วทั้งสองคนก็เดินออกไปดูงานอีกด้าน

ความจริงบริษัทที่ชัชรินทร์กำลังสร้างไม่ใช่เล็กๆ เลย ดูเหมือนจะใหญ่มากด้วยซ้ำ ใช้เงินลงทุนสร้างไม่ต่ำกว่าห้าสิบล้านบาท แต่เขาไม่เสียดายเงิน เพราะเขาตั้งใจทำแล้วก็ต้องทำต่อไป...เขามีบริษัทเป็นของตัวเองเสียที หลังจากวางแผนอยู่นานหลายปี แถมปราภพยังเคยบอกว่าจะขอมาเป็นหุ้นส่วนบริษัท ซึ่งเขาก็ยินดีมาก เพราะเขากับอีกฝ่ายสนิทกันมากอยู่แล้ว ถ้าได้ทำงานร่วมกันก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร

 

ชลิตาตัดสินใจมาหาภูริชที่บ้าน ตอนแรกกะว่าจะไม่ยุ่งกับเขาแล้ว แต่เมื่อเธอตั้งครรภ์เขาก็ควรจะรับผิดชอบ เพราะเขาเป็นคนทำ...เธอเดินทางมาโดยแท็กซี่ เมื่อลงจากแท็กซี่เธอก็ยืนกดออดหน้าประตูรั้ว กดอยู่นาน สักพักก็มีคนรับใช้เดินมาและถามเจ้าหล่อนผ่านทางช่องว่างของประตูเล็ก

“มาหาใครคะ”

“ฉันมาหาคุณภู” เธอตอบแบบไม่สบอารมณ์

ใบตองจึงบอกว่า

“คุณภูไม่อยู่ค่ะ”

“แล้วเขาไปไหน”

“ไม่ทราบค่ะ” สั่นศีรษะ

ชลิตารู้สึกหงุดหงิด

“อะไรกัน อยู่บ้านยังไง หา! ไม่รู้ว่าเจ้านายออกไปไหน ไม่ได้เรื่อง”

แล้วก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังจากด้านหลังใบตอง

“เสียงใครมาเอะอะหน้าบ้าน หา! นังใบตอง”

เป็นเสียงของประภานั่นเอง

ใบตองหันทางคนพูดด้วยท่าทางกลัวๆ เพราะเธอเคยถูกขู่ แล้วเธอตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

“เอ้อ...มะ...มะ...มีคนมาหาคุณภูค่ะ”

“ใครมาหาตาภู” ผู้เป็นเจ้านายถาม

สาวใช้สั่นศีรษะ

“มะ...ไม่ทราบค่ะ”

“จะไปไหนก็ไป” ไล่อย่างรำคาญ

“ค่ะๆ” แล้วรีบผละไปอย่างเร็ว

ประภาเดินมาตรงประตูเล็ก ก่อนจะเปิดประตูเพื่อไปคุยกับคนที่มาหาลูกชายเธอ เมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอตกใจ

“เธอ...”

“สวัสดีค่ะ ลิต้ามาหาคุณภูค่ะ” ชลิตาประนมมือไหว้แม่ของภูริช

อีกฝ่ายจึงถามว่า

“มาหาลูกชายของฉันทำไม”

“ลิต้าจะมาบอกข่าวดีกับเขาค่ะ”

“ข่าวดีอะไร”

“เอ้อ ฉันท้องค่ะ” เธอบอกข่าวดีกับอีกฝ่าย

“เธอว่ายังไงนะ” ประภาตกใจ แต่สักพักก็แค่นหัวเราะ “นี่คงคิดที่จะปล่อยให้ตัวเองท้องเพื่อจะจับตาภูสินะ คงจะหวังรวยทางลัดละสิท่า เพราะว่าตาภูรวยล้นฟ้า อ้อ เธอคงอยากเป็นหนูตกถังข้าวสารใช่ไหม”

“คุณแม่ชักจะดูถูกลิต้าเกินไปแล้วนะคะ” เจ้าหล่อนไม่พอใจมาก

อีกฝ่ายก็ทำหน้าไม่พอใจเช่นกัน

“ใครเป็นแม่ของเธอ”

หญิงสาวไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดอย่างอื่น

“ลิต้าไม่ได้อยากเป็นหนูตกถังข้าวสารอย่างที่คุณว่าหรอกค่ะ แต่เพราะว่าคุณภูเคยให้สัญญากับลิต้าว่าเขาจะดูแลลิต้าอย่างดี แต่สุดท้ายก็เลือกเทลิต้า ทำยังกับลิต้าเป็นเศษขยะที่ไม่สลักสำคัญอะไรเลย ลูกชายคุณมันก็แค่ผู้ชายหน้าตัวเมียดีๆ นี่เอง เห็นผู้หญิงทั่วไปเป็นของเล่นเป็นขยะ พอเบื่อก็เททิ้ง ผู้ชายแบบนี้มันทุเรศค่ะ”

สิ้นคำพูดประภาก็ตวัดมือไปบนใบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงเพราะความโมโห

“แกอย่ามาว่าลูกชายของฉันนะ ก็เพราะผู้หญิงทั่วไป ซึ่งรวมถึงแกด้วยที่ใจง่ายยอมเป็นของเล่นตาภู พวกผู้หญิงมันโง่ จะมาโทษตาภูคนเดียวมันก็ไม่ถูก แกเคยได้ยินคำนี้ไหม...ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง”

“เข้าข้างลูกแบบนี้เอง...ลูกมันถึงได้ใจ เที่ยวไปทำชั่วกับคนอื่น สักวันมันต้องได้รับกรรม”

“นี่แกกล้าว่าฉันเหรอ หา!” เธอไม่พอใจ

“ทำไมจะไม่กล้า” ชลิตายิ้ม “ฝากบอกไอ้คุณภูหน้าตัวเมียด้วยนะคะ ว่าฉันท้อง”

“ฉันไม่รับฝาก”

“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนค่ะ ไม่อยากจะคุยกับคนไร้สมองไร้ปัญญา ฉันปวดศีรษะ” เธอจะหันหลังเดินไป

ประภาเรียกไว้

“หยุด! นี่ด่าเสร็จก็จะเดินหนีไปเลยเหรอ”

“ทำไมคะ” หญิงสาวตอบแบบไม่หันกลับไปมอง

อีกฝ่ายกอดอกแล้วบอกว่า

“ไปเอาเด็กออกซะ เดี๋ยวฉันจะให้เงิน”

คราวนี้ชลิตาหันกลับไปมองคนพูดอย่างไม่พอใจ

“คุณว่ายังไงนะคะ”

“ฉันว่าฉันพูดชัดเจนที่สุดแล้วนะ”

“สมองของคุณคิดได้แค่นี้เองเหรอคะ พูดออกมาได้ยังไงว่าให้เอาเด็กออก นี่เป็นสายเลือดของคุณนะคะ เป็นลูกของภูริช”

“ใครจะรู้...เธออาจไปนอนกับผู้ชายคนอื่นจนท้อง แล้วจะมาจับตาภูก็ได้” ยิ้มเยาะ

ชลิตาทนไม่ไหว ตวัดมือไปบนใบหน้าอีกฝ่ายอย่างโมโห จนหน้าหัน

คนถูกตบถึงกับหน้าชา หันมาชี้หน้าอย่างโกรธๆ

“นี่แกกล้าตบฉันเหรอ”

“ทำไมฉันจะไม่กล้า ฉันทำได้มากกว่านี้ถ้ามีคนมาดูถูกฉันมากๆ ...อ้อ ฉันจะขอบอกคุณไว้เลยนะว่าฉันไม่ได้ต้องการเงินของคุณ เชิญคุณเก็บเงินของคุณไว้ซื้อโลงศพให้ลูกชายของคุณเถอะ เพราะอีกไม่นานเขาจะตายเพราะกรรมที่เขาเคยทำไว้กับคนอื่น ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบก็หันหลังเดินออกไป

ประภามองตามไปอย่างแค้นๆ

“นังบ้า! มาตบหน้าฉันไม่พอ ยังมาแช่งให้ลูกฉันตายอีก แกนั่นแหละที่จะต้องตาย”

 

วันนี้เป็นเอกเลิกงานเร็ว เพราะร้านอาหารปิดเร็ว เนื่องจากภรรยาของชยุตพงศ์กำลังจะคลอดลูก เขาจึงต้องทำการปิดร้าน เมื่อเลิกงานชายหนุ่มก็ถือโอกาสแวะไปที่ชุมชนคลองรักษ์ เกือบเดือนแล้วที่เขาไม่เคยได้มาที่นี่ และคิดถึงที่นี่มาก...มากจนต้องแวะมาทันที

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในตลาดสด ทักทายคนทั้งตลาด ซึ่งก็รู้จักกันทั้งนั้น รู้จักตั้งแต่อยู่ที่นี่ เป็นเสมือนญาติพี่น้องกัน เป็นกันเอง

“อ้าว! ไอ้เอก นึกยังไงถึงได้แวะมาที่นี่ แหม ไปอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ดูมีสง่าราศีเชียวนะเอ็ง” แม่ค้าขายผลไม้ทัก

คนถูกทักยิ้มแป้นใส่

“เพราะผมคิดถึงทุกคนจึงแวะมาหาครับ เป็นยังไงบ้างครับทุกคน สบายดีกันไหมครับ”

แม่ค้าขายอาหารทะเลสดจึงบอกว่า

“พวกเราก็อยู่ตามอัตภาพนั่นแหละจ้ะ”

แล้วก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังจากข้างหลังเป็นเอก

“ใครจะไปอยู่อย่างสุขสบายเหมือนลูกผู้ดีกันล่ะ คนจนก็อยู่อย่างอดๆ อยากๆ ต้องปากกัดตีนถีบ หาเลี้ยงปากท้องของตัวเอง ไอ้พวกลูกผู้ดีก็นั่งใช้เงินสบายๆ ไม่ต้องทำงาน”

เป็นเอกรีบหันขวับไปมองคนพูด ก็เห็นว่าเป็นมังกรกับลูกสมุนอีกสองคน ซึ่งเป็นอดีตคู่อริกัน

“ไอ้มังกร”

เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ก็ถามว่า

“ไง! ไปอยู่บ้านหลังใหญ่ เอ็งคงมีเงินใช้มากมายละสิท่า ดูลักษณะการแต่งตัวก็รู้...ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ ต่างจากตอนอยู่ที่สลัมมาก”

“แล้วเอ็งมายุ่งอะไรด้วยวะ” เขาถาม

คนถูกถามกลับแค่นหัวเราะ

“โอ้โห! นี่เอ็งไปเป็นผู้ดีได้ไม่เท่าไหร่ก็หยิ่งแล้วเหรอ หา!”

“ข้าไม่ได้หยิ่งโว้ย แต่ข้าไม่ชอบพูดดีๆ กับไอ้พวกที่ชอบหาเรื่องคนอื่น”

“มันจะบอกว่าลูกพี่ชอบหาเรื่องจ้ะ” ไอ้เอ็ม ลูกน้องฝั่งขวาบอก

ก็เลยถูกลูกพี่ตบศีรษะอย่างแรง

“เออ ไม่ต้องย้ำ”

“โอ๊ย!” จนต้องร้องลั่น

แล้วมังกรก็หันไปทางอดีตคู่อริ

“เดี๋ยวนี้เป็นคนดีแล้วหรือไงวะ หา!”

เป็นเอกหัวเราะ

“ข้าเป็นคนดีมานานแล้ว...แล้วเมื่อไหร่เอ็งจะเป็นคนดีบ้างล่ะ หรือจะเป็นคนชั่ว เป็นอันธพาลแบบนี้ตลอดไปฮึ!”

“เอ็ง...” ชี้หน้าอย่างโมโห

ถูกเป็นเอกหักนิ้วดังเป๊าะ

“อย่ามาชี้หน้าข้า”

อีกฝ่ายสะบัดมือไปมาเพราะเจ็บ

“โอ๊ย! นิ้วข้าหักหมดแล้ว”

“สมน้ำหน้าเอ็ง ให้มันหักไปให้หมดเลย อยากชี้หน้าคนอื่นดีนัก” พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะ

แล้วนิชาภัทรก็เดินออกมาจากแผงขายผัก หลังยืนมองเพื่อนกำลังพูดกับมังกรอยู่นาน

“ไงเพื่อน อุตส่าห์แวะมาทั้งที...นี่กะจะมีเรื่องกับไอ้พวกนี้เลยหรือไง”

“เปล่า” เขาสั่นศีรษะ “ฉันแค่ตักเตือนมันนิดหน่อย จะกี่ปีนิสัยอันธพาลของมันก็ไม่เคยเปลี่ยน ฉันนึกว่ามันจะกลับตัวเป็นคนดีไปแล้ว ที่ไหนได้...ยังชั่วเหมือนเดิม”

มังกรง้างหมัดจะต่อยหน้าอดีตคู่อริ กลับถูกชี้หน้า

“อย่านะโว้ยๆ ข้าไม่อยากมีเรื่อง”

“แต่ข้าอยากมีว่ะ” อีกฝ่ายหัวเราะ

“ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่อยากมีเรื่อง” ปากบอกไม่อยากมีเรื่อง แต่กำหมัดเสยคางอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว จนอีกฝ่ายล้มลงไป

“ไหนแกบอกว่าไม่อยากมีเรื่องไงวะ” นิชาภัทรถามอย่างงงๆ

เป็นเอกจึงบอกว่า

“ก็ฉันอดไม่ได้นี่หว่า แกก็เห็นนี่”

ลูกสมุนทั้งสองคนจะเข้าไปเอาเรื่องแทนลูกพี่ แต่ก็เป็นเอกจัดการเรียบ

“พวกเอ็งจำไว้เลย ว่าอย่ามาซ่ากับข้าอีก”

“แกเยี่ยมไปเลยไอ้เอก” หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้ ก่อนจะหันไปมองพวกมังกร “สมน้ำหน้าพวกเอ็ง อยากซ่ากับไอ้เป็นเอกดีนัก จะกี่ครั้งก็ยังไม่เข็ดจริงๆ”

มังกรกับลูกสมุนทั้งสองคนลุกขึ้นและชี้หน้าเป็นเอกอย่างแค้นๆ

“ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ”

“จะฝากแบบไหนดีล่ะ...แบบออมทรัพย์หรือแบบประจำดี บอกข้าได้” ชายหนุ่มถามกวนๆ

อีกฝ่ายไม่ตอบ รีบผลุนผลันออกไปพร้อมกับลูกสมุน

เป็นเอกกับนิชาภัทรมองตามไปแล้วหัวเราะลั่น ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะบอกว่า

“เราไปกินก๋วยเตี๋ยวกันไหม เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเอง นานๆ เจอกันทีโคตรคิดถึงว่ะ ไปกินที่ร้านเดิมนะ”

“ไม่เอา ฉันจะเป็นคนเลี้ยงแกเอง เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เป็นสุภาพบุรุษ ให้ผู้หญิงเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว” เขาว่า

หญิงสาวถึงกับอดขำไม่ได้

“ก็ดีเหมือนกัน วันนี้มีเศรษฐีเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว”

“แกก็พูดซะ”

“อ้าว! ใครจะนึกล่ะว่าอยู่ดีๆ แกจะเป็นลูกหลานเศรษฐีที่ถูกขโมยมาทิ้ง แล้วได้น้าเพียรเก็บไปเลี้ยง แกเป็นบุญวาสนามากนะโว้ย นี่ฉันยังนึกอิจฉาแกเลย”

“ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าฉันจะเป็นลูกของคนมีเงิน แถมมีบริษัทผลิตเครื่องประดับเพชรพลอย อัญมณี แก้วแหวนเงินทอง และอีกมากมาย แต่ฉันก็ไม่เคยขอเงินคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็คุณย่าใช้เลย ทุกวันนี้ฉันก็ยังทำงานอยู่ที่เดิม” เป็นเอกบอกยิ้มๆ

นิชาภัทรพยักหน้า

“แกเก่งมาก...ที่ยอมสู้ด้วยลำแข้งของตัวเอง โดยไม่หวังพึ่งพาใคร คนแบบแกอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนรักแหละ”

“อย่าบอกนะว่าแกกำลังแอบปิ๊งฉันอยู่” เขาแซว

คนถูกแซวถึงกับหน้าแดง

“บ้า! ฉันว่าเรารีบไปกินก๋วยเตี๋ยวเถอะ” ก่อนจะหันไปบอกแม่ที่อยู่ที่แผงขายผัก “เดี๋ยวฉันมานะแม่” และรีบเดินออกไปก่อน

ชายหนุ่มมองตามเพื่อนแล้วยิ้ม

“หน้าแดงซะด้วย แสดงว่าแอบคิดอะไรกับเราอยู่แน่ๆ เลย...เฮ้ย รอด้วยสิวะ” รีบวิ่งตามไปทันที

 

เป็นเอกกับนิชาภัทรมานั่งทานก๋วยเตี๋ยวด้วยกันที่ร้านประจำใกล้ๆ ตลาดสด ที่เคยพากันมาทานบ่อยๆ นั่งทานไปคุยกันไป เรื่องส่วนมากที่คุยจะเป็นเรื่องของเป็นเอกทั้งนั้น โดยนิชาภัทรเป็นคนถาม

“ตั้งแต่แกจากชุมชนคลองรักษ์ไป...แกรู้ไหมว่ามันเงียบเหงามากเลยนะ ไม่ครึกครื้น”

“แกก็พูดเว่อร์ไป คนที่นี่มีทั้งเป็นร้อยเป็นพัน ขาดฉันไปคนเดียวถึงกับเงียบเหงาเหรอ...แกคนเดียวหรือเปล่าที่เงียบเหงา” ชายหนุ่มถามยิ้มๆ

แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับ ยังปากแข็ง

“บ้า! อย่างฉันน่ะเหรอจะเงียบเหงา ไม่มีทาง...ฉันมีแม่อยู่ทั้งคน”

เมื่อได้ยินเพื่อนพูดคำว่า ‘ฉันมีแม่อยู่ทั้งคน’ ทำให้เขาอดที่จะหวนคิดถึงแม่เพียรไม่ได้ เกือบเดือนแล้วที่นางจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ยังอยู่ในใจของทุกคนเสมอ รวมถึงเป็นเอกด้วย และจะอยู่ในความทรงจำตลอดไป

แล้วเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“เฮ้อ ฉันอดคิดถึงแม่เพียรไม่ได้เลย เกือบจะถึงเดือนแล้วที่แกจากไป แต่แกจะอยู่ในใจของฉันและทุกๆ คน ป่านนี้แกคงจะไปนางฟ้าอยู่บนสวรรค์แล้วมั้ง และฉันเชื่อว่าแกจะคอยปกปักษ์รักษาฉันให้แคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งหมดทั้งมวล”

“ฉันก็คิดถึงน้าเพียรเหมือนกัน...ฉันคิดว่าน้าคงกำลังมองลงมาจากบนฟ้า มองดูแกอยู่เสมอ” เธอว่า

อีกฝ่ายพยักหน้า

“อืมม์ ฉันก็คิดเหมือนแก”

“ว่าแต่...แกไปอยู่บ้านหลังใหญ่แล้วเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ไม่เป็นยังไง”

“หมายความว่ายังไงวะ”

“ฉันอยู่ที่นั่นก็สบายดีแหละ ทุกคนรักฉัน แต่ยกเว้นคุณอาภา ดูๆ ไปก็เหมือนเขารักและเอ็นดูฉัน แต่มองอีกอย่างเหมือนเขาต้องการอะไรจากฉันมากกว่า” ชายหนุ่มบอกเพื่อน

นิชาภัทรทำหน้าสงสัย

“อ้าว! แล้วเขาต้องการอะไรจากแกล่ะ”

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว!”

“รีบๆ กินเถอะ กินไปคุยไปเดี๋ยวเส้นก๋วยเตี๋ยวติดคอตายกันพอดี” เป็นเอกว่า

อีกฝ่ายพยักหน้า

“อืมม์ รีบๆ กิน”

แล้วทั้งสองคนก็ลงมือทานก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อย โดยไม่ได้พูดคุยกันระหว่างทานอีกเลย ก้มหน้าก้มตาทานอย่างเดียว

 

ช่วงบ่ายของวันถัดไป...ปราภพกับปาณัทกำลังนั่งพูดคุยกันเรื่องการทำพิธีเปิดร้าน ซึ่งก็ได้ฤกษ์ที่เหมาะสมแล้ว นั่นก็คืออีกสองวัน

“เมื่อวานพ่อได้ไปดูฤกษ์ดูชัยมาแล้ว อีกสองวันเราจะไปทำพิธีเปิดร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยกัน...จะเชิญพนักงานแค่ไม่กี่คนไป และเชิญคนที่รู้จักไปด้วย ในวันนั้นพ่อคิดว่าจะสั่งอาหารจากร้านอาหารชื่อดังที่อร่อยที่สุด อ้อ และอีกอย่าง พ่อจะนิมนต์พระไปทำบุญร้านด้วยนะ เพื่อความเป็นสิริมงคลและเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของร้าน”

“เป็นความคิดที่ดีมากเลยครับคุณพ่อ ถ้างั้นก็เอาตามนี้ครับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ปาณัทพูดยิ้มๆ

ผู้เป็นพ่อพยักหน้า

“อืมม์”

“เอ้อ...” ชายหนุ่มอมพะนำ คล้ายกับมีอะไรจะพูดกับผู้เป็นพ่อ แต่ก็ลังเล

จนปราภพต้องถาม

“มีอะไรหรือเปล่าลูก”

“เอ้อ คุณพ่อมีความคิดเห็นว่ายังไงครับ...ถ้าผมจะเซอร์ไพรส์ขอน้องรินแต่งงานหลังจากงานเปิดตัวร้านเสร็จ” พูดพลางยิ้มพลาง

ผู้เป็นพ่อหัวเราะ ก่อนจะบอกว่า

“เรื่องนี้พ่อไม่ขอออกความคิดเห็นใดๆ นะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของแกกับหนูริน แต่ถึงยังไงพ่อก็ขอเอาใจช่วยแกแล้วกันนะ ขอให้แกทำสำเร็จ”

“ขอบคุณครับคุณพ่อ” เขาประนมมือไหว้ ยิ้มแก้มแทบปริกันเลยทีเดียว แล้วพูดเรื่องของเป็นเอกกับผู้เป็นพ่อ “เอ้อ...คุณพ่อครับ ผมมีเรื่องของเป็นเอกจะบอกครับ”

“ตาเอกเขาเป็นอะไรล่ะ” ถามอย่างแปลกใจ

ปาณัทสั่นศีรษะ

“เปล่าครับคุณพ่อ เขาไม่ได้เป็นอะไร...แต่ว่าเป็นเอกเขามีความฝันอยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง ซึ่งเขาเคยบอกกับผมว่าเขาจะทำงานเก็บเงินเพื่อสร้างร้านเอง ทั้งที่ผมบอกว่าให้เขาไปปรึกษาคุณย่าดู แต่เขากลับบอกว่าเกรงใจคุณย่า เขาไม่อยากรบกวนใคร...ความจริงผมไม่อยากพูดมันออกมาเลย เพราะถ้าเป็นเอกรู้แล้วจะโกรธผม แต่ผมอยากช่วยน้อง อยากให้ความฝันของเขาประสบความสำเร็จเร็วๆ ก็เลยต้องพูดกับคุณพ่อครับ”

ปราภพพยักหน้า

“อืมม์ พ่อขอชื่นชมตาเอก ที่มีความขยันและอดทนต่ออุปสรรค อยากสู้ด้วยตัวเอง...อยากจะประสบความสำเร็จด้วยตัวของเขาเอง ซึ่งมันจะนำมาสู่ความภาคภูมิใจของตัวเขา...ถึงจะมีใครช่วยเขาก็ไม่น่าภูมิใจเท่ากับเขาทำเอง นี่คุณเพียรคงจะสอนตาเอกมาดี ตาเอกถึงขยันและอดทนขนาดนี้ แถมยังเป็นคนดีอีกต่างหาก...ถ้าตาเอกถูกคนอื่นที่ไม่ใช่คุณเพียรเก็บไปเลี้ยง บางทีตาเอกอาจไม่ใช่แบบนี้ อาจถูกเลี้ยงอีกแบบหนึ่ง แต่นี่คุณเพียรก็เลยนิสัยดี”

“คุณน้าเขาเป็นคนดีและเป็นคนขยัน ขายผลไม้เลี้ยงเป็นเอกมาตั้งแต่เล็กจนโต แสดงว่าคุณน้าต้องอดทนมากๆ เลยครับคุณพ่อ และแกคงจะสอนให้เป็นเอกเป็นคนดี...เป็นคนขยันและอดทนเหมือนแกครับ” เขาว่า

“ใช่ พ่อก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” ผู้เป็นพ่อยิ้มให้ลูกชาย

ปาณัทพยักหน้า ก่อนจะก้มมองดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าเที่ยงแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น และบอกกับพ่อว่า

“นี่เที่ยงแล้ว เดี๋ยวผมขออนุญาตโทรหาน้องรินสักครู่นะครับคุณพ่อ”

“อืมม์ พ่อก็จะกลับไปที่ห้องทำงานแล้วละ ถ้างั้นพ่อขอตัวก่อนนะ” ปราภพลุกขึ้น

“ครับ” ผู้เป็นลูกชายยิ้ม

แล้วอีกฝ่ายก็เดินออกไปจากห้อง

คล้อยหลังผู้เป็นพ่อปาณัทกดโทรหาคุณหมอรินรดา ไม่นานปลายสายก็กดรับ

“ฮัลโหลครับน้องริน...นี่ก็เที่ยงแล้วเราไปทานข้าวกันไหม เดี๋ยวพี่ไปรับ”

ปลายสายตอบกลับมาว่า

“รินคงจะออกไปทานข้าวเที่ยงกับพี่ป้องไม่ได้ค่ะ เพราะตอนนี้รินมีเคสที่จะต้องทำบอลลูนหัวใจให้คนไข้ค่ะ รินต้องขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ...คนเป็นหมอชีวิตของคนไข้ต้องสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าไม่มีหมอกับพยาบาลทุกคนก็ไม่มีโอกาสรอด น้องรินอยู่รักษาคนไข้ไปเถอะครับ”

“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจริน” ถ้าจะสามารถเห็นหน้าคนพูดได้ก็คงจะเห็นว่าเธอกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กับโทรศัพท์มือถือ

ชายหนุ่มก็ยิ้มเช่นกัน

“ไม่เป็นไรครับ...ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะครับน้องริน” แล้วก็วางสายไป

ปาณัทรู้สึกเข้าใจกับคนที่ทำอาชีพคุณหมอมาก การรักษาคนไข้ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใด เพราะถ้าคนไข้จะเป็นหรือจะตายก็ขึ้นอยู่กับการรักษาของคุณหมอ ถ้ามีคุณหมอรักษาดีอาการของคนไข้ก็จะดีตามไปด้วย ชายหนุ่มรู้สึกภูมิใจที่มีแฟนเป็นคุณหมอ เพราะถือว่าเป็นการช่วยเหลือคนอื่น ช่วยรักษาให้หาย...ตอนอยู่กับคนไข้ก็น่ารักกับคนไข้ ส่วนตอนที่อยู่กับเขาก็น่ารักกับเขา มีแฟนน่ารักแบบนี้เป็นใครก็รักตายเลย และถ้าอนาคตเขากับเธอมีลูกด้วยกันเยอะๆ คงจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมากๆ มีลูกวิ่งเล่นเต็มบ้าน แค่คิดเขาก็รู้สึกอบอุ่นมากๆ แล้ว...และถ้าเป็นเอกมีเมียมีลูกอีก บ้านก็จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะไม่เงียบเหงาอีกต่อไป

 

อาหารค่ำของตระกูลบวรเทพ ทุกคนนั่งพร้อมหน้าพร้อมกันบนโต๊ะอาหารเหมือนทุกวัน มีคุณนภาลัยกับลูกชายลูกสาว ปราภพกับประภา และลูกสะใภ้ลูกเขย พรรณนิภากับเขมนันท์ และหลานชายอีกสามคน ปาณัทกับเป็นเอก และภูริช ทุกคนนั่งทานอาหารอย่างเงียบๆ ...จนเมื่อทานเสร็จปราภพก็พูดว่า

“ผมมีเรื่องจะแจ้งให้คุณแม่และทุกๆ คนทราบพร้อมกัน...อีกสองวันจะมีงานเปิดตัวร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยในเครือบริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ ซึ่งผมจะเชิญพนักงานในบริษัทไปไม่กี่คน และจะเชิญคนที่รู้จักไปด้วย แต่ไม่เยอะ และในวันนั้นผมจะสั่งอาหารจากร้านอาหารชื่อดังไปให้แขกที่ไปร่วมงานได้ทานกัน อ้อ ผมจะนิมนต์พระไปทำบุญร้านเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและให้มีความเจริญรุ่งเรืองอีกด้วยครับ”

เมื่อลูกชายพูดจบคุณนภาลัยก็ยิ้ม ก่อนจะถามว่า

“อ้อ อีกสองวันเหรอ”

“ใช่ครับคุณแม่” เขาพยักหน้า

ประภาจึงถามพี่ชายว่า

“ถ้าอีกสองวัน...มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอคะพี่ปราภพ”

ผู้เป็นพี่ชายจึงหันไปทางน้องสาว

“เร็วอะไรกัน พี่กับตาป้องช่วยกันเตรียมงานมาเป็นเดือนๆ และเพิ่งจะได้ฤกษ์ดี”

“แต่แม่ว่าไม่เร็วไปหรอก” ท่านว่า

ประภารู้สึกขัดใจ แต่ไม่พูดอะไรออกมา

ปาณัทหันไปพูดกับผู้เป็นอา

“อีกสองวันคือฤกษ์ที่สะดวกที่สุดแล้วครับคุณอาภา ถ้ารอนานกว่านั้นมันไม่ทันการณ์ครับ”

“จ้ะ...” พูดเพียงสั้นๆ เท่านั้น

ก่อนจะคิดในใจ

‘ฉันว่าฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้วละ ไม่ให้พี่ปราภพได้เปิดร้าน ฉันจะต้องขัดขวางทุกวิถีทางเพราะฉันไม่ต้องการให้พี่ปราภพได้ดีเหนือฉัน’

และลุกขึ้น

“ภาขอตัวก่อนนะคะคุณแม่” จากนั้นก็เดินออกไป

เขมนันท์กับภูริชลุกเดินตามไปทันที

ประมุขของบ้านมองตามลูกสาวและสั่นศีรษะ ก่อนจะหันไปพูดกับลูกชาย

“เดี๋ยวจะเชิญเพื่อนคุณหญิงคุณนายไปร่วมงานด้วย”

“ได้เลยครับคุณแม่” เขาพยักหน้ายิ้มๆ

ปาณัทหันไปถามน้องชายที่นั่งอยู่ข้างๆ

“วันนี้ทำไมนายเงียบจัง”

“ฉันก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่” เป็นเอกว่า

คุณนภาลัยจึงบอกว่า

“เอาละ ทานข้าวเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปได้”

“ครับคุณแม่” ปราภพลุกขึ้น

แล้วทุกคนก็ลุกตาม จากนั้นก็เดินออกไปพร้อมกัน

 

เมื่อเข้ามาในห้องนอนประภาก็ยืนกอดอก ทำหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อตอนทานอาหารพี่ชายบอกว่าอีกสองวันจะมีงานเปิดตัวร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยในเครือบริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่ ซึ่งเธอไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เธอไม่อยากให้พี่ชายได้ดีเหนือกว่าตัวเธอ เพราะเธออิจฉา

“คุณเขม...ฉันว่าฉันจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วละ ก่อนที่จะถึงวันงานเปิดร้านขายเครื่องประดับ” เธอพูดกับสามี

เขมนันท์จึงถามว่า

“อ้าว! แล้วทำไมล่ะ”

“ก็ฉันไม่ต้องการให้พี่ปราภพกับลูกๆ ของเขาได้ดีเหนือฉัน ที่ผ่านมาฉันยอมเขา แต่ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอม”

“ก็ไม่เห็นคุณจะทำอะไรสักอย่าง”

“ก็นี่ไงคะ ฉันกำลังจะทำ”

“แล้วคุณจะทำยังไง”

ประภายิ้มอย่างมีแผน

“ก็ไม่เห็นจะยากอะไรนี่...เราก็แค่จ้างคนไปวางเพลิงที่ร้านนั่น เอาให้ไหม้แบบไม่เหลือซาก แล้วทีนี้พี่ปราภพก็ไม่มีโอกาสได้เปิดร้านจิวเวลรี่อีกแล้ว”

“คุณคิดว่าพี่ปราภพจะโง่หรือไง เขาก็สร้างร้านใหม่สิ” ผู้เป็นสามีว่า

เจ้าหล่อนแค่นหัวเราะ

“ถ้าคิดจะสร้างร้านใหม่ก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะเงินที่ใช้ลงทุนสร้างมันไม่น้อยๆ เลย อีกนานกว่าจะสร้าง”

“แต่ผมว่าไม่ประมาทจะดีที่สุด”

“คุณเงียบไปเลย...ทำตามที่ฉันบอกก็พอ” เธอว่า

เขมนันท์จำต้องเงียบ ผู้เป็นภรรยาจึงพูดต่อ

“เดี๋ยวฉันจะวานให้คุณไปจ้างคนให้วางเพลิงหน่อยนะคะ”

เงียบ...

จนเธอต้องถาม

“คุณได้ยินที่ฉันบอกไหมคะ...คุณเขม”

“ก็คุณบอกว่าให้ผมเงียบ ผมก็เงียบนี่ไง” เขาบอก

อีกฝ่ายทำหน้าเบื่อหน่าย

“โธ่เอ๊ย! ฉันอยากจะบ้าตาย...ที่ฉันบอกว่าให้คุณเงียบไปเลย ฉันหมายถึงไม่ให้คุณออกความคิดเห็นเรื่องของพี่ปราภพ ฉันจะเป็นคนคิดเอง”

“อ้อ” พยักหน้าเข้าใจ

“ทีนี้เข้าใจแล้วใช่ไหม”

“อืมม์”

“ถ้างั้นคุณก็ไปจัดการตามที่ฉันสั่ง”

“แต่ผมว่า...ให้ผมกับลูกจัดการเองดีกว่านะ” เขมนันท์อาสา

ผู้เป็นภรรยาเห็นด้วย

“เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ...ถ้างั้นก็ลงมือพรุ่งนี้เลย”

“ตกลง...” เขาพยักหน้ายิ้มร้าย

ประภาวางแผนจะไปวางเพลิงร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอยของปราภพที่จะเปิดตัวในอีกสองวัน เพราะเธอไม่ต้องการให้ร้านถูกเปิด เดี๋ยวพี่ชายจะได้ดีกว่าเธอไปมากกว่านี้ เธอต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลมเสียเลยจะดีกว่า

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.