บทที่๒๗

สุภาพบุรุษสุดดวงใจ
คุณกำลังอ่าน: สุภาพบุรุษสุดดวงใจ

-A A +A

บทที่๒๗

วันนี้คุณนภาลัยเรียกให้คุณกฤษนัย ซึ่งเป็นทนายประจำตระกูลและเป็นเพื่อนของคุณปพลมาพบ ว่าด้วยเรื่องที่จะทำพินัยกรรม วันนี้ลูกหลานออกไปข้างนอกหมด...ท่านให้คุณกฤษนัยเข้ามาที่ห้องโถง โดยบอกให้ใบตองเอาน้ำมาเสิร์ฟและสาวใช้ก็เดินออกไป

“เริ่มจดได้เลยนะคะ” ท่านบอกกับทนาย

อีกฝ่ายพยักหน้าและเตรียมกระดาษกับปากกา

“ครับ ว่ามาได้เลยครับ”

แล้วนภาลัยก็เริ่มบอก

“ข้าพเจ้านางนภาลัย บวรเทพ...ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ไว้ให้ลูกหลาน เมื่อข้าพเจ้าได้ถึงแก่กรรมก็ขอให้ทนายเปิดพินัยกรรมได้เลย...ที่ดินแถวพหลโยธินจำนวนสี่ร้อยไร่และเงินสดในธนาคารอีกหนึ่งร้อยล้านบาท ข้าพเจ้าขอยกให้นางสาวประภา บวรเทพและนายเขมนันท์ ธีรธานนท์ ผู้เป็นบุตรสาวและบุตรเขยของข้าพเจ้า ให้มีสิทธิ์ร่วมกัน...ที่ดินแถวรังสิตจำนวนสองร้อยไร่และเงินสดอีกร้อยล้านบาท ข้าพเจ้าขอยกให้นายภูริช ธีรธานนท์ ผู้เป็นหลานชายของข้าพเจ้า...ที่ดินแถวรัชดาจำนวนสี่ร้อยไร่และเงินสดอีกจำนวนสี่ร้อยล้านบาท ข้าพเจ้าขอยกให้นายปราภพ บวรเทพและนางพรรณนิภา บวรเทพ ผู้เป็นบุตรชายและบุตรสะใภ้ของข้าพเจ้า ให้มีสิทธิ์ร่วมกัน...บริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่และบ้านหลังนี้ รวมถึงเงินสดอีกห้าร้อยล้านบาท ข้าพเจ้าขอยกให้นายปาณัท บวรเทพและนายปิติกร บวรเทพ ผู้เป็นหลานชายฝาแฝดของข้าพเจ้า ให้พวกเขาได้มีสิทธิ์ร่วมกัน...”

และบอกกับทนายว่า

“เสร็จแล้วค่ะ...เอาไปร่างไว้หลายๆ ฉบับเลยนะคะคุณทนาย เผื่อมันหาย”

“ได้ครับ” เขาพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเก็บเอกสารพินัยกรรมเข้าซองสีน้ำตาลทันที

ประมุขของบ้านจึงพูดต่อ

“ไม่มีอะไรแล้วละค่ะ”

“ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ทนายประจำตระกูลลุกขึ้นและประนมมือไหว้

อีกฝ่ายรับไหว้

“สวัสดีค่ะ”

แล้วคุณกฤษนัยก็ถือกระเป๋าเอกสารเดินออกไปจากห้องโถง คุณนภาลัยมองตามทำหน้าเศร้า

“ฉันรู้ตัวเองว่าฉันอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันถึงต้องรีบทำพินัยกรรมแบ่งทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกหลาน ถึงแม้มันอาจจะไม่เท่ากันก็เถอะ แต่ฉันก็ถือว่าฉันได้แบ่งแล้ว” ท่านรู้ว่าการที่ท่านแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานไม่เท่ากันอาจจะมีผลตามมาอย่างร้ายแรง แต่ท่านก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายหน้า

คุณกฤษนัยเดินมาก็เจอกับประภาที่เพิ่งจะกลับมาจากข้างนอก เธอมองทนายประจำตระกูลด้วยความแปลกใจ

“คุณแม่เรียกคุณอามาพบเหรอคะ”

“ใช่! ถ้างั้นอาขอตัวก่อนนะ” แล้วคุณทนายก็เดินออกไป

ประภาทำหน้าสงสัย

“คุณแม่เรียกคุณอากฤษนัยมาทำไมนะ เอ๊ะ หรือว่าจะเกี่ยวกับพินัยกรรม” เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอก็ยิ้มอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน

เจ้าหล่อนเข้ามาในห้องโถงก็เห็นผู้เป็นแม่นั่งอยู่จึงถาม

“คุณแม่เรียกคุณอากฤษนัยมาทำพินัยกรรมเหรอคะ”

คุณนภาลัยพยักหน้า

“อืมม์!”

ผู้เป็นลูกสาวรีบเดินไปนั่งข้างๆ แม่

“เอ้อ แล้วคุณแม่แบ่งทรัพย์สมบัติยังไงบ้างคะ”

“ฉันตายเมื่อไหร่เดี๋ยวแกก็รู้เองแหละ” พูดจบท่านก็ลุกขึ้นและเดินออกไป

ประภามองตามผู้เป็นแม่อย่างหงุดหงิด

“ภาต้องรู้ก่อนที่คุณแม่จะตายให้ได้ค่ะ”

 

ที่บริษัทบวรเทพ จิวเวลรี่...วันนี้ปาณัทเรียกภูริชมาหาที่ห้องทำงาน แต่ไม่บอกว่ามีเรื่องอะไร เมื่อเข้ามาถึงภูริชก็ถามทันที

“ที่แกเรียกฉันมามีเรื่องอะไร”

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ นั่งลงก่อน” ชายหนุ่มผายมือเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้

แต่ภูริชกลับบอกว่า

“ไม่จำเป็น...มีอะไรก็รีบๆ พูดมาเถอะ”

“อ้าว! นายรีบขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาถามยิ้มๆ

อีกฝ่ายมองหน้าอย่างโมโห

“เออสิ”

“พูดเพราะๆ หน่อย รู้ไหมว่านายกำลังพูดอยู่กับใคร...ฉันคือประธานบริษัท”

“ฉันรู้...แกไม่ต้องย้ำ รีบๆ พูดมา ชักช้าเสียเวลาชะมัด”

“ไปกินรังแตนมาจากไหน อารมณ์เสียเป็นบ้า”

“ฉันแค่ไม่ชอบขี้หน้าแก”

“อ้อ แล้วนึกว่าฉันชอบขี้หน้าแกนักเหรอ”

“แก...” มองอย่างไม่พอใจ

“เอาละ...” เขาเริ่มพูดธุระ “ที่ฉันเรียกแกมาหาก็เพราะว่าฉันมีเรื่องอยากจะบอก...ฉันจะไม่ให้แกทำงานที่ฝ่ายการเงินอีกแล้ว แต่ฉันจะให้แกไปทำงานที่ฝ่ายการตลาดแทน”

“ได้ยังไง” เขาไม่พอใจอย่างมาก

ปาณัทยิ้ม

“ก็ได้อย่างนั้นแหละ”

“ฉันไม่ยอม แกทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับฉัน”

“ฮึ! พูดมาได้ว่าไม่ยุติธรรม” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “ที่แกบอกว่าแกเบิกเงินไปซื้อวัสดุอุปกรณ์ แกสั่งซื้อจากเมืองนอก แต่ฉันไปตรวจสอบดูแล้ว...แกไม่ได้สั่งซื้อจริงๆ”

ภูริชทำหน้าตกใจ แต่ทำเป็นใจดีสู้เสือ

“แกไม่มีหลักฐาน”

“ถ้าแกต้องการหลักฐาน ฉันมีแน่”

“ไหนล่ะหลักฐานที่แกวะ อย่าพูดลอยๆ นะโว้ย” เขาหัวเราะเยาะ เพราะคิดว่าปาณัทไม่มีหลักฐานอย่างที่กล่าวอ้างมา แค่พูดลอยๆ เท่านั้น

ท่านประธานปรบมือ ก่อนจะเรียกเลขาที่อยู่ข้างนอกห้อง

“คุณสุ...เอาเอกสารหลักฐานมาให้ผมที”

แล้วสักพักประตูห้องก็ถูกเปิดออก สุจิราถือซองสีน้ำตาลเข้ามายื่นให้เจ้านาย

“นี่ค่ะ” และเดินออกไป

ปาณัทโยนซองลงตรงหน้าภูริช

“เอ้า! นี่หลักฐาน แกอยากได้นักไม่ใช่เหรอ ดูให้เต็มตาสิ”

อีกฝ่ายหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาและดึงกระดาษเอกสารออกมาอ่านดู เมื่ออ่านจบเขาก็มีสีหน้าตกใจ

“นี่มันบ้าอะไรกัน”

ท่านประธานกอดอก โยกเก้าอี้ไปมา

“ฉันไปตรวจสอบการสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์จากเมืองนอกแล้ว ไม่มีชื่อแกที่เป็นคนสั่งซื้อเลย และไม่เคยมีด้วย ทีนี้แกมีอะไรจะแก้ตัวไหม”

“ฉันก็ใช้ชื่อคนอื่นในการสั่งซื้อไง” ยังแถได้อีก

“ชื่อใครล่ะ”

“ก็...” คิดหาคำแก้ตัวไม่ได้

ปาณัทแค่นหัวเราะ

“ฮึ! คิดหาคำแก้ตัวไม่ได้ละสิ...” เว้นวรรค ก่อนจะถามต่อ “ฉันถามแกหน่อย แกเอาเงินมากมายหลายล้านไปทำอะไร บอกฉันมา”

“ฉันก็เอาไว้ใช้ไง”

“โกหก”

“ฉันไม่ได้โกหก”

“ถ้าแกอยากได้ ทำไมแกไม่ขอฉันดีๆ ล่ะ ทำไมต้องวิธียักยอกด้วย” เขารู้สึกผิดหวังผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องมาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนแบบนี้

แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมรับ

“พูดให้ดีๆ นะโว้ย อย่ามาใช้คำว่ายักยอก”

“นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ไล่แกออกจากบริษัท แต่ฉันใช้วิธีลดตำแหน่งแกแทน”

“โธ่เว้ย!” มองอย่างไม่พอใจ

ท่านประธานผายมือไปทางประตู

“หมดธุระแล้ว แกออกไปได้”

ก่อนจะเดินออกไป ภูริชชี้หน้าอย่างแค้นๆ

“ฝากไว้ก่อนเถอะ” และเดินออกไป

ปาณัทสั่นศีรษะและถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ

“ฉันไม่นึกเลยว่าแกจะเป็นคนแบบนี้ คุณพ่อฉันอุตส่าห์ไว้ใจให้แกทำตำแหน่งนี้ แต่แกกลับทำแบบนี้ได้ยังไง หลงไว้ใจคนผิด”

ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังและเสียใจ ผู้เป็นพ่อของเขาอุตส่าห์มอบตำแหน่งดีๆ ให้ภูริช แต่ภูริชกลับหักหลัง ไม่น่าทำกันเช่นนี้ได้เลย คิดแล้วเหนื่อยใจจริงๆ

 

ภูริชกลับบ้านและขึ้นห้องนอน ปัดกวาดข้าวของที่อยู่บนโต๊ะตรงหัวเตียงลงพื้นอย่างโมโห

“โธ่เว้ย!”

เขาโมโหที่ถูกปาณัทลดตำแหน่ง ไม่ให้เขาทำงานที่ฝ่ายการเงินแล้ว แต่ให้เขาไปทำงานที่ฝ่ายการตลาดแทน ซึ่งเขาไม่ยอม แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะปาณัทเป็นประธานบริษัท และประธานบริษัทก็สามารถทำได้ทุกอย่าง หรือจะลดตำแหน่งพนักงานทุกคนอย่างไร

เขาโมโห เขาไม่พอใจปาณัท แต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดที่คิดไปยักยอกเงินในบริษัท พอถูกจับได้ก็ยังแถไปเรื่อย ไม่ยอมรับความจริง แต่กลับไปโทษคนอื่น โดยไม่มองดูตัวเองเลยสักนิด เขาก็เป็นเห็นแก่ตัวเหมือนพ่อกับแม่ของเขานั่นละ แต่ไม่รู้ตัวเอง

ประภาเข้ามาหาลูกชายในห้อง เมื่อเห็นข้าวของกระจัดกระจายเธอก็ถาม

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นฮึ! ตาภู”

ภูริชจึงบอกกับผู้เป็นแม่ว่า

“ไอ้ป้องมันรู้แล้วครับแม่ว่าผมยักยอกเงินในบริษัท”

“หา!” เธอตกใจ “แล้วไปทำอีท่าไหนมันถึงจับได้ล่ะ”

“ผมไม่ได้ทำอะไรครับคุณแม่ ไอ้ป้องมันไปตรวจสอบการสั่งซื้อวัสดุอุปกรณ์เอง มันบอกว่าไม่มีชื่อของผมในการสั่งซื้อ และไม่เคยมี แถมมันยังเอาหลักฐานมาให้ผมดูอีก”

“แม่ว่าแล้ว ว่าไอ้ป้องมันฉลาดเป็นบ้า ถ้ามันสงสัยอะไรมันต้องสืบให้รู้ แล้วสุดท้ายมันก็รู้ แกไม่เคยทันมัน”

“ไม่ใช่แค่เรื่องยักยอกเงินในบริษัท แต่มันลดตำแหน่งงานของผม มันให้ผมไปทำงานที่ฝ่ายการตลาดแทน และมันบอกว่าดีแค่ไหนแล้วที่มันไม่ไล่ผมออกจากบริษัท แต่ใช้การลดตำแหน่งแทน ผมโมโหชะมัดครับคุณแม่ แต่ทำอะไรมันไม่ได้เลย” เขาพูดอย่างโมโห

ประภาจึงตบไหล่ลูกชายเบาๆ

“เอาเถอะลูก ถึงแม้ตอนนี้เรายังทำอะไรมันไม่ได้ แต่อีกหน่อยเราทำได้แน่นอน”

“คุณแม่หมายความว่ายังไงครับ”

“แม่มีเรื่องที่น่าสนใจมากกว่านั้น”

“เรื่องอะไรเหรอครับคุณแม่” ถามอย่างสนใจ

ผู้เป็นแม่ยิ้ม

“เมื่อเช้าคุณยายท่านเรียกทนายประจำตระกูลมาพบ เพราะท่านจะทำพินัยกรรม”

“หา! ทำพินัยกรรม!” เขาเผลออุทานเสียงดังเพราะตื่นเต้น

อีกฝ่ายรีบปิดปากลูกชาย

“แกจะเสียงดังไปทำไม”

ชายหนุ่มรีบดึงมือผู้เป็นแม่ออก

“ก็ผมตื่นเต้นนี่ครับคุณแม่”

“แต่แม่อยากรู้ว่าคุณยายจะแบ่งทรัพย์สมบัติให้ลูกหลานคนละเท่าไหร่ แม่อยากรู้ก่อนคนอื่น”

“ไม่เห็นจะยากเลยนี่ครับคุณแม่...คุณแม่ก็แค่ไปถามทนายประจำตระกูล”

“เขาคงจะยอมบอกหรอกนะ” เธอประชด

ภูริชยิ้มเจ้าเล่ห์

“มันก็ไม่ยากอีกอยู่ดีนั่นแหละครับคุณแม่...ถ้าเขาไม่ยอมบอกเราดีๆ เราก็แค่บังคับให้เขาบอก เห็นไหมครับ มันไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย”

“ลูกของแม่นี่ฉลาดจริงๆ ฉลาดได้แม่” เธอพูดเข้าข้างตัวเองเห็นๆ

ผู้เป็นลูกชายยิ้มรับ

“มันแน่นอนอยู่แล้วครับคุณแม่”

ทั้งสองคนแม่ลูกอยากรู้พินัยกรรมถึงขั้นคิดจะไปข่มขู่ทนายประจำตระกูลเพื่อให้บอก เรียกได้ว่าเกินเยียวยาจริงๆ

 

แล้วก็ถึงวันจันทร์...เป็นเอกกลับมาทำงานตามปกติ หลังจากพักรักษาบาดแผลและเพิ่งจะสูญเสียแม่เพียรไป ทำให้เขาต้องหยุดงานยาวๆ แต่พอแผลหายดีเขาก็มาทำงานต่อทันที

“แหม! เป็นเอก...พี่ได้ข่าวว่านายได้ไปเป็นลูกเศรษฐีแล้วใช่ไหม พี่ก็นึกว่านายเป็นลูกแท้ๆ ของคุณเพียร ที่ไหนได้ นายเป็นลูกที่ถูกเก็บไปเลี้ยง แต่ยังไงพี่ก็ต้องแสดงความยินดีด้วยนะ” ชยุตพงศ์ตบไหล่เป็นเอกเบาๆ แสดงความยินดีขณะอยู่ในครัว ตอนที่ยังไม่มีลูกค้าสั่งออเดอร์เข้ามา

“ฉันก็ต้องแสดงความยินดีกับนายเหมือนกันนะ นายเป็นเอก” ตี๊ดยิ้มให้เพื่อนร่วมงาน

เชฟชัชเดินเข้ามาใกล้เป็นเอก ก่อนจะถามว่า

“เป็นลูกหลานเศรษฐีแล้วนายจะมาทำงานอีกทำไม ฉันเคยได้ยินว่าคนที่เป็นเศรษฐีเขาไม่ชอบทำงานนะ”

“ถึงผมจะเป็นลูกหลานเศรษฐี แต่ผมก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าเด็ดขาดครับเชฟชัช...ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ผมจะสู้ด้วยหนึ่งสมองกับสองมือของตัวเอง” พูดพลางยิ้มพลาง

เชฟชิตเดินมาอีกคน

“นี่แหละที่เขาเรียกว่าคนเก่ง...เพราะคนเก่งเขาจะสู้ด้วยสองมือกับสองเท้าที่เขามี เขาไม่เคยง้อใคร นายคือคนเก่งคนหนึ่ง ฉันขอชื่นชมนาย”

“ผมไม่ได้เป็นคนเก่งอะไรหรอกครับเชฟชิต ผมก็แค่ไม่ชอบงอมืองอเท้าก็เท่านั้นเอง”

“ถ่อมตัวซะด้วยแฮะ” ตี๊ดแซว

“นายตี๊ด” ชยุตพงศ์เรียกบริกรหนุ่ม

คนถูกเรียกจึงขานรับ

“ครับพี่พงศ์”

“ออกไปดูลูกค้าข้างนอกหน่อย”

“ได้ครับ” เขาพยักหน้าและเดินออกไปจากครัว

ชยุตพงศ์หันกลับมาบอกเป็นเอกกับเชฟชัชและเชฟชิต

“พวกนายไปเตรียมหั่นผักหั่นอะไรๆ รอได้เลย เดี๋ยวถ้ามีออเดอร์เข้ามาจะได้ทำเลย”

“ครับพี่พงศ์” ทั้งสามคนตอบเกือบจะพร้อมกัน ก่อนจะพากันเดินไปจัดการเตรียมของเอาไว้ทำอาหาร เพื่อรอออเดอร์จากลูกค้า

 

ประภาพาลูกชายมาหาทนายประจำตระกูลที่บ้าน แต่ประตูรั้วกลับล็อก พร้อมกับมีป้ายแขวนไว้ ในป้ายเขียนว่า

‘ประกาศขายบ้านด่วน ๒ ห้องนอน ๑ ห้องน้ำ และ ๑ ห้องครัว ติดต่อที่เบอร์โทร...’

เจ้าหล่อนทำหน้าตกใจ

“มันอะไรกันเนี่ย คุณอากฤษนัยไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้แล้วเหรอ”

“คุณแม่แน่ใจนะครับว่าบ้านหลังนี้” ภูริชถาม

ผู้เป็นแม่พยักหน้า

“ต้องใช่สิลูก ตอนคุณตายังมีชีวิตอยู่ท่านเคยพาแม่มาหาทนายประจำตระกูลบ่อยๆ ที่บ้านหลังนี้”

“แต่ตอนนี้เขาอาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้ครับ”

ประภานิ่งอย่างใช้ความคิด แล้วก็เห็นชาวบ้านแถวนั้นเดินผ่านมา เธอจึงถาม

“เอ้อ พี่คะ นี่ใช่บ้านของคุณอากฤษนัยไหมคะ”

คนถูกถามพยักหน้า

“ใช่จ้ะ แต่เพิ่งจะย้ายออกไปเมื่อเช้า และประกาศขายบ้านอย่างที่เห็นนี่แหละ” และเดินออกไป

ประภารู้สึกอารมณ์เสีย

“นี่เหมือนคุณอากฤษนัยจะรู้ล่วงหน้าว่าแม่จะมาหาก็เลยหนีไป”

“แล้วทำไมต้องหนีด้วยล่ะครับคุณแม่” ภูริชถามอย่างสงสัย

ผู้เป็นแม่จึงตอบว่า

“ก็เพราะว่าไม่อยากให้แม่รู้ไง เอ๊ะ หรือว่าคุณยายจะโทรมาบอกคุณอากฤษนัย”

“แล้วคุณแม่จะทำยังไงต่อไปครับ”

“เมื่อกี้แม่ก็ลืมถามพี่คนนั้นว่าคุณอากฤษนัยย้ายไปที่ไหน และแม่จะต้องสืบให้รู้ว่าเขาย้ายไปอยู่ที่ไหน” เธอพูดอย่างมาดมั่น

สรุปแล้วเธอมาหาคุณกฤษนัยแต่เสียเที่ยว เพราะอีกฝ่ายได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว คล้ายกับรู้ล่วงหน้าว่าเธอจะมาหา...จะมาถามเรื่องพินัยกรรมก็เลยหนีไป เพราะไม่อยากให้เธอรู้ น่าเสียดาย...ดันมาไม่เจออีกฝ่ายเสียนี่ แต่ถึงยังไงเธอก็จะต้องสืบให้รู้ว่าคุณกฤษนัยย้ายไปอยู่ที่ไหน เธอจะต้องรู้เรื่องพินัยกรรมให้ได้

 

“เมื่อเช้าแม่เรียกคุณทนายประจำตระกูลมาทำจดพินัยกรรม เพราะแม่จะทำพินัยกรรมไว้ให้พวกแก” คุณนภาลัยบอกกับลูกชายขณะนั่งอยู่ในห้องโถง มีพรรณนิภากับปาณัท และเป็นเอกนั่งอยู่ด้วย

ปราภพมองหน้าผู้เป็นแม่ด้วยแววตาเศร้า

“คุณแม่ไม่เห็นต้องรีบทำเลยนี่ครับ เพราะคุณแม่ยังอยู่กับพวกผมอีกนาน”

“ว่าได้เหรอ” ท่านว่า “ชีวิตของคนเรามันไม่แน่นอน วันนี้ยังเห็นว่าแข็งแรงปกติ แต่ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ยิ่งแม่มีโรคประจำตัวอยู่ด้วย แม่ก็ยิ่งรู้ตัวเองว่าจะอยู่ได้อีกไม่นาน แม่ปลงแล้วกับความตาย มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง”

“อย่าพูดแบบนี้สิครับคุณย่า ผมชักใจคอไม่ดี” ปาณัทสั่นศีรษะ

ส่วนเป็นเอกก็พูดว่า

“ผมเสียแม่เพียรไปคนหนึ่งแล้ว อย่าให้ผมต้องเสียคุณย่าไปอีกคนเลยครับ ต่อไปคุณย่าอย่าพูดถึงความตายอีกนะครับ ฟังแล้วผมใจคอไม่ค่อยดีครับ”

“คุณแม่ยังอยู่กับพวกเราได้อีกนานค่ะ อยู่รออุ้มเหลน” พรรณนิภาบอกยิ้มๆ

“ใช่ๆ ครับคุณย่า...คุณย่าต้องรออยู่อุ้มลูกของพวกผมก่อน” ปาณัทเห็นด้วยกับแม่

ประมุขของบ้านแค่นหัวเราะ

“แล้วเมื่อไหร่จะมีล่ะ แกขอหนูรินแต่งงานแล้วเหรอ”

คนถูกถามสั่นศีรษะ ยิ้มแห้งๆ

“เอ้อ ยังเลยครับ รอโอกาสเหมาะๆ ก่อน คาดว่าน่าจะหลังจากงานเปิดร้านขายเครื่องประดับเสร็จก่อนครับ...แล้วค่อยขอน้องรินแต่งงาน”

ผู้เป็นย่าหันไปทางหลานชายฝาแฝดอีกคน

“แล้วแกล่ะ...ตาเอก”

เป็นเอกทำหน้างงๆ และชี้ที่ตัวเอง

“ผมเหรอครับคุณย่า”

ท่านพยักหน้า

“ใช่! แกนั่นแหละ ตาเอก”

อีกฝ่ายหัวเราะ

“โอ๊ย ผมน่ะเหรอครับ...อีกนานครับ”

“แล้วหนูคนนั้นล่ะ”

“หนูคนไหนครับคุณย่า”

“ก็หนูคนนั้นไง ชื่ออะไรนะ ชื่อ...” ท่านพยายามนึกชื่อ

ปาณัทจึงบอก

“เขาชื่อนิชาภัทรครับคุณย่า”

“อืมม์ นั่นแหละ หนูนิชาภัทรน่ะ” ท่านพยักหน้าอีกครั้ง “หนูนิชาภัทรดูเหมือนจะสนิทกับแกมากนะ เห็นบอกว่าอยู่เคียงข้างแกตลอด และช่วยเหลือแกบ่อยๆ”

“อ้อ ไอ้นิชาน่ะเหรอครับ มันเป็นเพื่อนสนิทของผมครับคุณย่า” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ

ผู้เป็นพี่ชายจึงแซวว่า

“เป็นเพื่อนสนิท...สนิทไปสนิทมาก็อาจจะคนรู้ใจ หรือเรียกง่ายๆ ว่าแฟน”

“โอ๊ย! ไม่มีทาง” ปฏิเสธเสียงสูง

“แน่ะ ปฏิเสธเสียงสูงด้วย” ปาณัทยังแซวอีก

พรรณนิภาตีแขนลูกชายคนโตดัง เผียะ!

“นี่แน่ะ แซวน้องเก่งจริงๆ”

ผู้เป็นลูกชายคนโตลูบแขนไปมา

“โอ๊ย คุณตีผมทำไมครับ ผมเจ็บ”

“เจ็บนั่นแหละดี” เธอยิ้ม

เป็นเอกหัวเราะเยาะ

“ตีให้เจ็บไปเลยครับคุณแม่”

“นี่นายสนับสนุนคุณแม่เหรอ” มองค้อนน้องชาย

อีกฝ่ายยักคิ้วใส่

“ใช่! ฉันสะใจดี นายอยากแซวฉัน”

“เอาละๆ เลิกเล่นกันได้แล้ว” คุณนภาลัยโบกมือ ก่อนจะหันไปทางลูกชาย “เมื่อเช้ายายภาก็มาถามแม่เรื่องพินัยกรรม แต่แม่บอกไปว่าถ้าแม่ตายเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เอง...และแม่ก็คิดว่าถ้าแม่ไม่บอกยายภา ยายภามันจะต้องไปคาดคั้นเอาจากคุณกฤษนัย หรือถ้าคุณกฤษนัยไม่ยอมบอกมัน มันอาจจะหาวิธีทำให้คุณกฤษนัยยอมปริปากบอก เพราะแม่รู้จักยายภาดี ถ้ามันอยากรู้อะไรมันก็ต้องรู้ให้ได้ แม่ก็เลยโทรไปบอกคุณกฤษนัยให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อความปลอดภัย”

“คุณแม่นี่ฉลาดและรอบคอบจริงๆ ครับ” ปราภพยิ้มให้แม่

ประมุขของบ้านจึงบอกว่า

“ไม่งั้นฉันจะเป็นแม่ของแกได้เหรอ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งสี่คนก็หัวเราะ

“แสดงว่าพวกเราได้ความฉลาดมาจากคุณย่า” พูดจบปาณัทก็หัวเราะ

ผู้เป็นย่าพยักหน้ายิ้มๆ

“แน่นอน เราฉลาดกันทั้งบ้าน”

แล้วทุกคนก็หัวเราะพร้อมกันอีกครั้งอย่างสนุกสนาน...ที่แท้ ที่คุณกฤษนัยย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เพราะคุณนภาลัยเป็นคนโทรไปบอกให้ย้ายไปนั่นเอง เพราะท่านรู้ว่าลูกสาวจะต้องไปคาดคั้นถามเรื่องพินัยกรรมเอาจากทนายประจำตระกูล หรือถ้าคุณกฤษนัยไม่ยอมบอกก็อาจจะเกิดอันตรายกับเขา เพราะคนอย่างประภาทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ คุณนภาลัยรู้จักนิสัยของลูกสาวคนนี้ดี...ท่านฉลาดและรอบคอบถึงได้โทรไปบอกคุณกฤษนัย อีกฝ่ายจึงได้ย้ายไปที่อื่นได้ทัน และประภาไปหาไม่เจอ เป็นโชคร้ายของเธอที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่คนอย่างประภาหรือจะยอมแพ้ เธอจะสืบหาทนายประจำตระกูลให้เจอจนได้

 

หลังกลับจากบริษัทในตอนเย็นปาณัทก็แวะไปหารินรดาที่โรงพยาบาล เพราะความคิดถึงนำพาให้เขาไปหาเธอ...และตั้งแต่เกิดเรื่องยุ่งๆ ในบริษัทก็ไม่ค่อยได้ไปหาเธอเลย แต่ก็บอกเธอไปแล้ว ซึ่งเธอก็เข้าใจ เพราะเธอก็ยุ่งๆ อยู่กับการผ่าตัดคนไข้เช่นกัน ต่างคนก็ต่างยุ่งจึงเข้าใจกันและกัน

เมื่อชายหนุ่มจอดรถที่โรงจอดรถเสร็จก็จะเดินเข้าไปข้างในโรงพยาบาล อยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้มากอดเขาจากข้างหลัง

“ป้องคะ ลิต้าคิดถึงคุณเหลือเกิน คิดถึงที่สุด” เป็นชลิตานั่นเองที่กอดเขา

ปาณัทตกใจ รีบแกะมือเจ้าหล่อนออกจากตัวเขา ก่อนจะไปถาม

“คุณมาทำอะไรที่โรงพยาบาล”

อีกฝ่ายจึงตอบว่า

“ลิต้ามาให้คุณหมอตรวจครรภ์ให้น่ะค่ะ ลิต้ารู้สึกเวียนหัวและอ้วกออกมาเยอะมากเลยค่ะ...ลิต้าเลยสงสัยว่าตัวเองท้อง ก็มาให้คุณหมอตรวจดู ปรากฏว่าคุณหมอบอกลิต้าว่าลิต้าตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วค่ะ ลิต้าดีใจมากค่ะ”

“คุณควรไปบอกไอ้ภูว่าคุณท้อง” เขาว่า

ชลิตาสั่นศีรษะและจับแขนชายหนุ่ม

“ลิต้ากับเขาไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกแล้วค่ะ”

“หมายความว่ายังไง”

“เขาลืมลิต้าแล้วค่ะ เขาไปควงผู้หญิงคนใหม่แล้ว เขาไม่ได้จริงใจกับลิต้าเหมือนกับป้องเลย ที่เขายอมคบกับลิต้าก็เพราะว่าเขาอยากจะเอาชนะป้อง ลิต้าโง่เองที่ไปหลงคารมหลอกลวงคนอย่างเขา ป้องคะ...”

ปาณัทรีบแกะมือของอีกฝ่ายออกจากแขนของเขา ราวกับรังเกียจเจ้าหล่อนมากมาย

“คุณไม่ควรทำแบบนี้กับผม เดี๋ยวน้องรินมาเห็นเข้าจะเข้าใจผิดเอา”

“ก็ช่างสิคะ” เธอพูดอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

ชายหนุ่มมองผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างไม่พอใจ

“ทำไมคุณพูดแบบนี้”

เจ้าหล่อนพยายามจะมาเกาะแขนเขาอีกครั้ง

“ป้องคะ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะคะ”

เขาสะบัดแขนออกอย่างไม่ไยดี

“ผมไม่สามารถจะกลับไปหาคุณได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้ผมมีคนที่รักอยู่แล้ว และรักมากด้วย อ้อ และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากเธอเด็ดขาด ผมกับคุณเราคืออดีตไปแล้ว ไม่อาจหวนกลับมาได้ เพราะฉะนั้นคุณอย่ามายุ่งกับผมอีก”

“ทำไมคะ คุณรักนังนั่นมากเลยเหรอคะ”

“กรุณาให้เกียรติน้องรินด้วย” เขาไม่พอใจมาก

อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ

“ทำไมลิต้าต้องให้เกียรติมันด้วยคะ มันวิเศษวิโสมาจากไหนกันคะ”

“ก็เพราะว่าเธอเป็นแฟนผม และอีกไม่นานเราจะแต่งงาน ขอให้คุณเข้าใจไว้ด้วย...อ้อ ส่วนเรื่องที่คุณจะถูกไอ้ภูเทหรือไม่ ผมไม่สนใจหรอก เพราะผมถือว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว คุณจะเป็นยังไงก็เรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับผม”

“อ้าว! แล้วลูกในท้องของลิต้า...” เธอทำหน้าเหลอหลา

ชายหนุ่มจึงบอกว่า

“คุณก็ไปบอกไอ้ภูสิ เผื่อมันจะกลับมาหาคุณ”

“ไม่ค่ะ ลิต้าไม่อยากกลับไปหาเขา ลิต้าอยากอยู่กับคุณมากกว่า”

แล้วก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น

“คนเขาไม่สนใจก็ยังจะเซ้าซี้เขาอยู่ได้ ถ้าเป็นฉันละรำคาญจนต้องไล่ตะเพิดแล้วค่ะ”

ทั้งสองคนหันไปมองทางต้นเสียง ก็เห็นว่าเป็นคุณหมอรินรดานั่นเองที่พูด ปาณัทยิ้มดีใจ

“น้องริน...”

เมื่อเดินมาถึงตัวคนรักศัลยแพทย์สาวก็พูดกับผู้หญิงตรงหน้าว่า

“คุณก็แค่อดีตของพี่ป้อง ฉันต่างหากคือปัจจุบันของเขา เพราะฉะนั้นคุณอย่ามายุ่งกับเขาอีก”

“เธอ...” เจ้าหล่อนมองหน้าคนที่พูดอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก

รินรดายิ้มให้คนรักและใช้มือลูบท้อง

“พี่ป้องคะ รินหิวข้าวจังเลยค่ะ ตอนนี้คิวของรินยังว่าง ยังไม่มีเคสผ่าตัดค่ะ...ไปทานข้าวที่ร้านอาหารกันไหมคะ แต่รินขอเลือกร้านเองนะคะ ขอเป็นร้านที่โรงแรม ทานข้าวบนดาดฟ้า และเวลาเราทานข้าวก็มีคนสีไวโอลินให้ฟัง คิดแล้วน่าโรแมนติกจังเลยค่ะ” เธอจงใจพูดให้กระเทือนถึงชลิตา

ปาณัทรู้ว่าเธอกำลังทำให้ ‘อดีต’ แฟนของเขาไม่พอใจ แต่เขาก็ต้องตามน้ำ

“อ้อ ได้สิจ๊ะน้องริน พี่ตามใจน้องรินเสมอ”

คุณหมอสุดสวยหันไปยิ้มให้ผู้หญิงตรงหน้า เป็นรอยยิ้มเยาะ

“เห็นไหมคะว่าเขารักฉันแค่ไหน เขาตามใจฉันทุกอย่าง...คงรู้แล้วใช่ไหมคะว่าอดีตอย่างคุณไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์ของเราได้ เชิญคุณไปหาผู้ชายคนใหม่เอาป้ายหน้าเถอะค่ะ คนนี้เขามีเจ้าของแล้ว”

ชลิตาทนอยู่ตรงนี้ไม่ไหว เดินสะบัดหน้าออกไปอย่างอารมณ์เสีย

คล้อยหลังชลิตาปาณัทจึงพูดกับคุณหมอรินรดา

“น้องรินครับ...”

เธอกลับกอดอก หันหลังใส่และทำหน้างอ

ชายหนุ่มถึงกับเกาศีรษะอย่างงงๆ

“อ้าว! เมื่อกี้น้องรินยังชวนพี่ไปทานข้าวอยู่เลย แล้วทำไมตอนนี้ถึงหันหลังใส่พี่เสียแล้วล่ะ”

“ก็พี่ป้องแอบคุยกับคนรักเก่า” ปากพูดแต่หน้าไม่หัน

คนฟังถึงกับอมยิ้ม พอรู้แล้วเป็นเพราะอะไร

“อ้อ ที่แท้ก็หึงพี่นี่เอง”

คราวนี้เธอหันกลับมามองเขา ทำหน้างอใส่

“รินไม่ได้หึงค่ะ กรุณาใช้คำให้ถูกต้องด้วยค่ะ”

“จ้ะๆ ไม่ได้หึง...แต่หวง”

“ไม่ได้หวงด้วยค่ะ”

“โอเคจ้ะ ไม่ได้หึงและไม่ได้หวง” เขาตัดบท เพราะถ้าพูดเยอะเดี๋ยวได้ทะเลาะกันไปใหญ่ แล้วเขาก็ช้อนคางคนรักให้มองหน้าเขา ก่อนจะพูดอธิบาย “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะคุยกับเขาหรอก บังเอิญว่าเขามาให้คุณหมอตรวจครรภ์ให้น่ะ คุณหมอบอกว่าเขาตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว เขาท้องกับไอ้ภู...ตอนแรกเขาบอกว่าอยากให้พี่กับเขาไปเป็นเหมือนเดิม เพราะเขาเลิกกับไอ้ภูแล้ว แต่พี่ก็ปฏิเสธเขาไป บอกกับเขาว่าพี่มีคนที่พี่รักอยู่แล้ว และรักมากด้วย และพี่จะไม่เปลี่ยนใจไปจากคนที่พี่รักเด็ดขาด” เขาจับมือเธอขึ้นมา “ไหนน้องรินเคยบอกกับพี่ว่าจะเชื่อใจพี่ไงครับ ทำไมตอนนี้น้องรินทำเหมือนไม่เชื่อใจพี่แล้ว”

“รินขอโทษค่ะที่อ่อนไหวเกินไป” เธอทำหน้าเศร้า

ปาณัทพูดต่อ

“พี่ขอให้น้องรินรู้ไว้เลยว่าพี่ไม่สามารถรักใครได้อีกแล้ว เพราะทั้งหัวใจพี่ยกให้น้องรินไปหมดแล้ว และรักน้องรินมากที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรักได้ และอีกอย่าง พี่ไม่เคยโกหกน้องรินสักครั้ง ที่พี่พูดมาทั้งหมดมันคือความจริง”

“รินรู้ค่ะว่ามันคือความจริง” เธอมองหน้าเขาน้ำตาคลอ “ต้องโทษความอ่อนไหวของรินที่เกือบทำให้รินไม่เชื่อใจพี่ป้อง ทั้งที่รินเคยบอกพี่ป้องแล้วว่าจะเชื่อใจพี่ป้องคนเดียว แต่รินก็ทำไม่ได้”

“คนเราถ้ารักกันก็ต้องเชื่อใจกัน แต่ถ้าหมดความไว้เนื้อเชื่อใจกันแล้วก็แสดงว่าหมดรักกันแล้ว”

“รินไม่เคยหมดรักพี่ป้องค่ะ และจะไม่มีวันหมด เพราะพี่ป้องคือรักแท้และรักเดียวของรินค่ะ ต่อไปรินจะพยายามหนักแน่นกับความรู้สึกของตัวเองให้มากขึ้นค่ะ” น้ำตาของเธอไหลออกมาไม่ขาดสายเพราะเสียใจ

ชายหนุ่มดึงตัวแฟนสาวมากอดไว้

“ถ้าน้องรินรักพี่น้องรินก็ต้องเชื่อใจและไว้ใจพี่ เหมือนที่พี่เชื่อใจและไว้ใจน้องรินไงครับ...เพราะน้องรินคือรักสุดท้ายของพี่ พี่ขอหยุดหัวใจไว้ที่น้องรินคนเดียว ผู้หญิงคนอื่นที่เข้ามาหาพี่พี่ไม่สนใจ เพราะพี่มีน้องรินอยู่ทั้งคน”

“ขอบคุณนะคะที่รักริน”

ปาณัทรีบคลายอ้อมกอด ก่อนจะปาดน้ำตาให้แฟนสาว

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว คุณหมออะไรขี้แยจัง เดี๋ยวคนไข้มาเห็นก็อายคนไข้หรอก”

“ค่ะ ต่อไปรินจะไม่ขี้แยอีกแล้ว” เธอยิ้ม

อีกฝ่ายจึงบอกว่า

“ถ้าหายงอนพี่แล้วก็กรุณาช่วยไปทานข้าวมื้อค่ำกับพี่ด้วยครับ”

คุณหมอสุดสวยพยักหน้า

“ได้ค่ะ...แต่รินขอตัวไปเอากระเป๋าที่ห้องทำงานก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวพี่จะไปเป็นเพื่อน” เขายิ้ม

แล้วทั้งสองคนก็เดินเข้าไปข้างในโรงพยาบาล

สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็กลับมาเข้าใจกันเช่นเดิม ไม่มีอะไรมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาได้ หวังว่าต่อไปความรักของพวกเขาจะแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ และคงถึงขั้นแต่งงานกันในที่สุด ก็ได้แต่หวังให้เป็นเช่นนั้น

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.