บทที่๑๒
ปาณัทขึ้นบนห้องนอน เขานั่งอยู่บนที่นอนด้วยสีหน้าโกรธแค้น เพราะเขาไม่หายแค้นเคืองภูริช อีกฝ่ายทำให้เขาปวดร้าว มาสารภาพกับเขาว่าตัวเองเป็นคนใหม่ของชลิตา และยังสารภาพว่ามีอะไรกันแล้วเลยทำให้ปาณัทคุมสติไม่อยู่ พุ่งหมัดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่รอช้า เขาเชื่อว่าภูริชแย่งแฟนสาวของเขา เพราะเขากับชลิตายังรักกันดี โทรคุยด้วยกันตลอด แต่อยู่ๆ เจ้าหล่อนก็มาบอกเลิกเขา มันต้องมีสาเหตุสิ ไม่ใช่เหตุผลเดียวคือเขาไม่มีเวลาให้ แล้ววันนี้ก็ได้รู้ความจริงว่าเพราะอะไร
ภูริชเป็นคนสารภาพเอง มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและคับแค้นใจเมื่อรู้ว่าคนในครอบครัวเขาแย่งคนรักของเขา แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับภูริชไปมากกว่านี้ เพราะเขาไม่อยากให้ผู้เป็นย่าไม่สบายใจจนอาการกำเริบอีก คุณนภาลัยไม่ชอบให้พี่น้องทะเลาะกัน แต่คุณพ่อกับคุณอาของเขาก็ชอบทะเลาะกันให้คุณย่าเห็นบ่อยๆ จนท่านเกือบเขาโรงพยาบาลหลายครั้งเลยทีเดียว
ปาณัทเปิดลิ้นชักตรงหัวเตียงนอนแล้วหยิบนามบัตรของรินรดาออกมาดู ก่อนจะเอาโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์ต่อสายหาอีกฝ่าย สักพักก็รับสาย ชายหนุ่มจึงกรอกเสียงลงไป
“ฮัลโหลครับ นั่นใช่น้องรินรดาหรือเปล่าครับ”
“อ้อ ใช่ค่ะ” ปลายสายตอบกลับมา
ปาณัทจึงถามไปอีกว่า
“วันนี้น้องรินว่างหรือเปล่าครับ มีเคสผ่าตัดไหม”
“ตอนนี้ยังไม่มีค่ะ” อีกฝ่ายบอก
“ถ้างั้นออกมาคุยกับพี่หน่อยได้ไหม พี่อยากมีเพื่อนคุย เพราะว่าพี่คุยกับน้องรินแล้วพี่สบายใจ”
“ได้ค่ะ แล้วไปเจอกันที่ไหนคะพี่ป้อง”
“ที่ร้านอาหาร...” บอกชื่อร้านอาหารเสร็จเขาก็วางสายไป ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอน
ทางด้านเป็นเอก...วันนี้ชายหนุ่มหยุดงานหนึ่งวัน เพราะผู้เป็นแม่ไม่สบาย เขาต้องไปขายของที่ตลาดแทน หลังจากซื้อยาให้แม่เสร็จเขาก็ไปตลาด เขาจะพาไปโรงพยาบาลแต่แม่ไม่ยอมไป บอกเพียงแต่ว่าไม่เป็นอะไรมาก กินยาพักผ่อนแล้วเดี๋ยวก็หายเอง เป็นเอกก็เลยตามใจแม่ ให้ท่านนอนพักผ่อนอยู่บ้าน แล้วเขาไปขายของแทน
ร้านขายผักของนางต้อยกับร้านขายผลไม้ของนางเพียรอยู่ติดกัน วันนี้นิชาภัทรก็มาขายของแทนผู้เป็นแม่เช่นกัน เพราะผู้เป็นแม่ไปทำธุระนั่นเอง
“เอ้อ ไอ้เอก น้าเพียรเป็นยังไงบ้างวะ” หญิงสาวหันไปถามเป็นเอก
อีกฝ่ายจึงตอบว่า
“ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ไข้หวัดธรรมดา ฉันซื้อยาให้แกกินแล้ว จะพาไปหาหมอแกก็ไม่ยอม ฉันก็เลยให้แกนอนพักผ่อนอยู่บ้าน”
“น้าเพียรแกคงกลัวว่าถ้าไปหาหมอจะหมดเงินหลายบาทมั้ง แกก็เลยไม่อยากไป” เธอว่า
“จะหมดเท่าไหร่ฉันไม่เกี่ยง ฉันอยากให้แม่หาย”
“ถ้าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาเดี๋ยวก็หายแหละ”
“อืมม์” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะบอกว่า “เอ้อ ถ้างั้นฉันฝากร้านก่อนนะ ฉันจะกลับไปดูแม่สักหน่อย”
“สามร้อยบาท”
“อะไรสามร้อย”
“อ้าว ก็ค่าฝากร้านไง”
“โห! หน้าเงินมากนะแก”
“ฉันล้อเล่นน่า แกรีบไปเถอะ”
“เออ เดี๋ยวฉันจะรีบไปรีบมา” เป็นเอกถอดเสื้อเอี๊ยมออก ก่อนจะรีบเดินออกไปทันที
เป็นเอกออกไปได้สักพัก พรรณนิภาก็เดินเข้ามาที่แผงขายผลไม้ของเขา เธอหันไปถามนิชาภัทร
“หนูจ๊ะ เจ้าของแผงนี้ไปไหนเหรอจ๊ะ”
“อ้อ เขาไปดูแม่ของเขาที่บ้านน่ะค่ะ แม่เขาไม่สบาย คุณจะเอาอะไรเหรอคะ เขาฝากร้านไว้กับหนูค่ะ” หญิงสาวถามยิ้มๆ
“ตอนแรกฉันว่าเอาแค่ส้มน่ะ ถ้าตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจละ ฉันขอเหมาหมดแผงเลยแล้วกัน ฉันจะเอาไปเลี้ยงเด็กกำพร้า” เธอบอก
นิชาภัทรรีบเดินไปที่แผงผลไม้ของเป็นเอก เธอยิ้มดีใจแทนนางเพียรกับเป็นเอกที่มีคนใจดีมาเหมาผลไม้ นานๆ ทีจะมีคนมาเหมา ส่วนใหญ่จะเป็นพวกคุณหญิงคุณนายที่มาเหมาเพื่อจะเอาไปทำบุญ แล้วหญิงสาวก็รีบจัดผลไม้ใส่ลังให้ลูกค้าจนเสร็จสิ้น ก่อนจะประนมมือไหว้อีกฝ่าย
“ขอบคุณแทนเจ้าของแผงด้วยนะคะ คุณสวยและใจดีมากเลยค่ะ ว่าแต่รถของคุณอยู่ไหนคะ หนูจะเอาลังผลไม้ไปใส่รถให้”
“อยู่ทางด้านโน้นจ้ะ” พรรณนิภาชี้ไปทางที่จอดรถ จากนั้นก็ถามว่า “ค่าผลไม้ทั้งหมดเท่าไหร่จ๊ะหนู”
“ทั้งหมดสามพันบาทค่ะ” เธอบอกราคา
พรรณนิภาล้วงหยิบธนบัตรใบละพันออกจากกระเป๋าถือมานับแล้วยื่นให้นิชาภัทร
“นี่จ้ะ ค่าผลไม้”
นิชาภัทรนับดู ปรากฏว่าเกินมาหนึ่งพันบาทจึงบอกอีกฝ่าย
“คุณคะ คุณให้มาเกินค่ะ”
“ไม่เกินหรอกจ้ะ ฉันให้ทิป แล้วฉันก็ฝากบอกเจ้าของแผงผลไม้นี้ด้วยนะจ๊ะว่าขอให้แม่ของเขาหายไวๆ”
“ขอบคุณแทนเจ้าของแผงอีกครั้งค่ะ เดี๋ยวหนูจะเอาลังผลไม้ไปขึ้นรถให้นะคะ”
“ขอบใจจ้ะ” พูดจบเธอก็เดินออกไป
แล้วนิชาภัทรก็ยกลังผลไม้ใส่รถเข็น ก่อนจะเข็นตามลูกค้าไป เมื่อถึงรถของลูกค้าหญิงสาวก็จัดการยกใส่รถให้ เพราะอีกฝ่ายเปิดประตูหลังรถรอแล้ว พอเสร็จแล้วพรรณนิภาก็ปิดประตูและพูดขึ้นว่า
“ขอบใจอีกครั้งนะจ๊ะหนู ฉันไปก่อนนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ สวัสดีค่ะ” หญิงสาวประนมมือไหว้สวยงาม
แล้วพรรณนิภาก็เดินขึ้นรถไป วันนี้เธอให้คนขับรถมาส่ง เธอไม่ได้ขับเองเหมือนทุกครั้ง
นิชาภัทรรอให้รถของอีกฝ่ายแล่นออกไปแล้วจึงเข็นรถกลับแผง ก็เจอเป็นเอกที่เพิ่งกลับจากบ้านกำลังทำหน้าแปลกใจเมื่อเห็นผลไม้หมดแผง
“นี่ไอ้นิชา ผลไม้หายไปไหนหมด หา!” เป็นเอกถามทันที
อีกฝ่ายจึงตอบว่า
“อ้อ มีคนใจดีมาเหมาไปเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะ นี่เงิน” เธอยื่นเงินให้ ก่อนจะพูดต่อไปอีก “เขาให้ทิปแกด้วยหนึ่งพันบาท แล้วยังฝากบอกแกด้วยว่าขอให้แม่ของแกหายไวๆ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายวะ” ชายหนุ่มถามเพราะอยากรู้
“ผู้หญิง” ตอบยิ้มๆ “เธอสวยด้วยนะ แถมยังใจดีอีกด้วย ยากนะที่จะเจอคนแบบนี้ง่ายๆ”
“ฉันชักอยากจะเจอท่านแล้วสิ” เป็นเอกบอก
นิชาภัทรจึงถามอย่างสงสัยว่า
“อยากเจอท่านทำไมวะ”
“ฉันอยากจะขอบคุณท่านน่ะสิ”
“ไม่เป็นไร ฉันขอบคุณแทนแกแล้ว”
“มันไม่เหมือนกัน ฉันอยากขอบคุณท่านด้วยตัวเอง”
“ว่าแต่แกไปดูน้าเพียรมา น้าเพียรแกเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“กินยาแล้วก็นอนพักผ่อน ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” เขาบอก
“อ้อ ก็ดีแล้ว” หญิงสาวพยักหน้า “ตอนนี้ผลไม้ของแกก็ถูกเหมาไปหมดแผงแล้ว ต่อไปแกจะทำอะไรล่ะวะไอ้เอก ช่วยฉันขายผักไหม”
“ได้สิ! เดี๋ยวฉันช่วยแกขายผัก แต่ฉันขอค่าจ้างสองร้อยนะ” พูดจบชายหนุ่มก็หัวเราะ
นิชาภัทรต่อยไปที่ไหล่ของเพื่อนเบาๆ ก่อนจะพูดว่า
“ว่าแต่ฉันหน้าเงิน แกก็หน้าเงินเหมือนกันแหละ”
“ฉันล้อเล่นโว้ย ฉันไม่เอาหรอกค่าจ้าง”
“เออ ดี!”
“แหม รีบพูดเชียวนะ” เป็นเอกว่า
“มันแน่นอนอยู่แล้ว” เธอยักคิ้วใส่กวนๆ
เป็นเอกกับนิชาภัทรเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก สนิทกันตั้งแต่เด็ก เติบโตมาด้วยกัน เธอไม่รู้ความจริงว่าเป็นเอกไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของนางเพียร แต่เป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยง นางเพียรบอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นเอกเป็นลูกแท้ๆ จึงทำให้ทุกคนเชื่อ คนที่รู้ความจริงมีเพียงนางเพียรกับนางต้อยเท่านั้น
ปาณัทนัดรินรดาออกมาเจอที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร เพราะอยากมีเพื่อนคุย เขาคุยกับเธอแล้วสบายใจ ซึ่งก็โชคดีที่ตอนที่เขาโทรไปหาคุณหมอรินรดา เธอไม่มีเคสผ่าตัดจึงออกมาพบเขาได้ อาหารบนโต๊ะมีเพียงสองสามอย่างเท่านั้น ทั้งสองคนพูดคุยกันไปทานอาหารกันไป โดยปาณัทเป็นคนเริ่มพูดก่อน
“น้องริน พี่เจ็บปวดมาก พี่ไม่คิดเลยว่านายภูมันจะมาแย่งคนรักของพี่ไป มันทำกับพี่แบบนี้ได้ยังไงกัน”
“พี่ภูริชน่ะเหรอคะ”
“ใช่ครับ!” เขาพยักหน้า ก่อนจะระบายความในใจที่มันอัดอั้น “มันเป็นคนสารภาพกับพี่เองว่ามันเป็นคนใหม่ของลิต้า มันบอกว่าลิต้าบอกกับมันว่าพี่ไม่มีเวลาเธอ อันนี้พี่ยอมรับ แต่พี่งานยุ่งจริงๆ และถึงพี่ไม่เคยไปหาเธอ แต่พี่ก็โทรหาเธอบ่อยๆ คุยกันบ่อยๆ ตอนคุยโทรศัพท์เธอก็พูดกับพี่เข้าใจแล้วนะ แต่พอเมื่อวานเธอนัดพี่ไปคุยด้วย เธอกลับบอกเลิกพี่ซะงั้น พี่ก็พยายามอธิบายให้เธอเข้าใจ พูดจาโน้มน้าวให้เธอเปลี่ยนใจ
แต่เธอก็ยืนยันว่าจะเลิกกับพี่ พี่เสียใจมาก เจ็บปวดที่สุด อุตส่าห์รักกันมานานหลายปีแต่กลับบอกเลิกกันง่ายดาย แถมนายภูมันมาสารภาพกับพี่เมื่อตอนเช้า ว่ามันเป็นคนใหม่ของลิต้า มันบอกว่าที่ลิต้าบอกเลิกพี่ก็เพราะว่าลิต้าจะไปคบกับมันแทน และมันยังยอมรับอีกว่ามันกับลิต้ามีอะไรกันแล้ว มันทำให้พี่เจ็บแค้น มันทำให้พี่หมดความอดทน พี่ก็เลยต่อยมันจนร่วงไปกองกับพื้น”
“พี่ป้องก็น่าจะสะกดกลั้นอารมณ์หน่อยนะคะ เป็นพี่น้องกัน” รินรดาว่า
“มันไม่เคยนับว่าพี่เป็นพี่น้องมัน” ปาณัทบอก “ความจริงพี่อยากจะต่อยมันอีกสักหนึ่งหมัด มันตอแหลกับคุณอาภาว่าลิต้าคบกับมันเอง มันไม่ได้พูดอะไร แล้วคุณอาภาก็เชื่อที่ลูกตัวเองพูด แต่พี่ไม่เชื่อ มันตอแหลทั้งนั้น มันกับลิต้าไม่ได้สนิทกัน จะไปคบกันง่ายๆ ได้ยังไง นอกซะจากว่ามันไปพูดหลอกล่อให้ลิต้าเชื่อใจมัน พี่รู้จักนิสัยมันดี มันชอบเอาชนะพี่ตั้งแต่เล็กจนโต แต่พี่ก็ยอมมันมาตลอด พี่อุตส่าห์ใจดีกับมัน แต่ดูตอนนี้มันทำกับพี่สิ มันเลวแค่ไหนคิดดู”
“รินเข้าใจพี่ค่ะ” เธอรู้สึกเห็นใจผู้ชายคนนี้มาก ถูกแฟนสาวบอกเลิกเพราะภูริช ซึ่งเป็นคนในครอบครัวของเขา เป็นใครก็เจ็บปวด “แต่ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกนะคะ หาเอาใหม่ได้ค่ะพี่ป้อง ไม่ต้องเสียใจไปนะคะ ปล่อยผู้หญิงคนนั้นไป อะไรไม่ใช่ของเรายังไงก็ไม่ใช่ของเรา คนอย่างพี่ป้องหล่อจะตาย ไม่นานต้องมีแฟนใหม่ได้แน่นอน แต่ตอนนี้พี่ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่นหรอกนะคะ พี่เป็นถึงประธานบริษัท พี่ต้องเข้มแข็งให้พนักงานเห็นสิคะ ไม่ใช่แสดงความอ่อนแอให้พวกเขาเห็น มันน่าอายรู้ไหมคะ”
“พี่ก็พยายามแล้วละ วันนี้พี่ก็เลยให้คุณพ่อเข้าบริษัทแทน พี่ขอหยุดหนึ่งวันเพื่อทำใจให้ชิน แต่ตอนนี้พี่เริ่มจะปลงได้แล้วละ เพราะได้คุยกับน้องริน พี่คุยกับน้องรินทีไรสบายใจมากๆ เลยครับ จริงอย่างที่น้องรินว่า อะไรที่ไม่ใช่ของเรายังไงก็ไม่ใช่ของเรา รั้งให้ตายก็ไปอยู่ดี ในเมื่อเขาเลือกคนใหม่พี่ก็ควรจะยินดีกับเขา”
“ถูกต้องค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะถามว่า “เอ้อ พี่ป้องคะ คุณย่านภาเป็นยังไงบ้างคะ”
“ท่านดีขึ้นแล้วครับ หายเจ็บแผลแล้ว ลุกเดินเองได้แล้ว”
“อย่าให้มีเรื่องไปกระทบกระเทือนจิตใจท่านนะคะ ไม่งั้นอาการของท่านอาจจะกำเริบได้” คุณหมอสุดสวยบอก
อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ
“ครับ คุณหมอ”
“ทานข้าวกันเถอะค่ะ เดี๋ยวอาหารบนโต๊ะจะเป็นหมัน” พูดจบเธอก็หัวเราะ
“โอเคครับ” เขาพยักหน้าอีกครั้ง
แล้วทั้งสองคนก็ลงมือรับประทานอาหารกัน หลังจากที่คุยกันจนเสร็จแล้ว ปาณัทได้คุยกับรินรดาแล้วสบายใจทุกครั้ง เธอให้คำปรึกษาได้ดี แถมยังให้กำลังใจเขาอีก เธอน่ารักกับเขาเสมอ เจอกันครั้งแรกเธอก็ให้กำลังใจ เจอครั้งที่สองก็ให้กำลังใจอีก ถ้าผู้ชายคนไหนได้คุณหมอรินรดาเป็นแฟนก็ถือว่าโชคดีมากๆ เลยทีเดียว คิดแล้วเขาก็ปลื้มใจแทนชัชรินทร์กับรวัลยาที่มีลูกสาวที่น่ารักเช่นนี้ คนไข้ทุกคนคงจะหลงรักคุณหมอรินรดา เพราะเธอพูดเก่ง และอัธยาศัยดีกับทุกคนเสมอ
พรรณนิภาเอาผลไม้มามอบให้บ้านเด็กกำพร้า เธอมีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้ และเธอหวังเหลือเกินว่าจะได้พบลูกชายฝาแฝดอีกคนในเร็วๆ นี้ นี่ถ้าปาณัทถูกพรากไปอีกคนเธอคงขาดใจตายแน่ๆ แต่โชคดีที่คนร้ายมันเอาไปคนเดียว ปาณัทเลยได้อยู่กับเธอ ให้เธอเลี้ยงดูจนเติบโต แต่ก็อดคิดถึงฝาแฝดอีกคนไม่ได้
แล้วครูผู้ดูแลบ้านกำพร้าก็ประนมมือไหว้พรรณนิภา โดยตรงหน้ามีเด็กๆ นั่งอยู่หลายคน
“ดิฉันต้องขอบคุณคุณพรรณนิภามากนะคะที่นำผลไม้มามอบให้ทางบ้านเด็กกำพร้าน่ะค่ะ เอ้า เด็กๆ ขอบคุณคุณพรรณนิภาสิจ๊ะ เธออุตส่าห์นำผลไม้มามอบให้พวกเรา”
เด็กๆ จึงประนมมือไหว้พร้อมกัน
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“จ้ะ ทานให้เต็มที่เลยนะจ๊ะ” พรรณนิภายิ้มให้เด็กๆ ก่อนจะหันไปพูดกับครูผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้า “เอ้อ คุณครูกนกคะ ดิฉันว่าจะมอบทุนให้เด็กๆ สักสองสามคนค่ะ คุณครูกนกคัดเลือกมาได้เลยนะคะ”
“ได้ค่ะ” เธอพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนจะมองดูเด็กๆ แล้วเธอเลือกได้ “เด็กคนนั้นเลยค่ะคุณพรรณนิภา เด็กหญิงน้ำอ้อย อายุสิบปี เธอน่ารักและขยันมากค่ะ คนที่สองเด็กชายนพ อายุสิบสองปี ก็ขยันเหมือนกันค่ะ น่ารัก นิสัยดี ส่วนคนที่สามเด็กหญิงก้อย ก็เป็นเด็กดีค่ะ ชอบช่วยเหลือเพื่อนๆ ยามที่เพื่อนๆ ไม่สบาย ทั้งสามคนนี้เหมาะสมที่จะได้รับทุนที่สุดค่ะ”
“ค่ะ ถ้างั้นเรียกออกมาเลยค่ะ” พรรณนิภาบอก
แล้วครูกนกพร ซึ่งเป็นครูผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าก็เรียกเด็กทั้งสามคนที่ถูกคัดเลือก
“เด็กหญิงน้ำอ้อย เด็กหญิงก้อย เด็กชายนพ ออกมานี่หน่อยจ้ะ คุณพรรณนิภาจะมอบทุนให้”
เด็กหญิงน้ำอ้อย เด็กหญิงก้อย และเด็กชายนพรีบลุกขึ้นแล้วเดินมาหาครูผู้ดูแล พรรณนิภามอบทุนให้ทีละคน และบอกว่า
“ฉันขอให้หนูๆ เรียนเก่งๆ สมกับที่ฉันมอบทุนให้ โตขึ้นก็เป็นเด็กดีของสังคมและคนรอบข้างนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณค่ะ” เด็กทั้งสามคนประนมมือไหว้อีกครั้ง
“กลับไปนั่งได้จ้ะ” ครูกนกพรบอก
แล้วเด็กๆ ก็กลับไปนั่งที่เดิมทันที
เมื่อถึงเวลากลับพรรณนิภาก็บอกกับครูผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้า
“ดิฉันต้องขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ” ครูกนกพรประนมมือไหว้ยิ้มๆ “เดี๋ยวดิฉันเดินไปส่งที่รถนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ ถ้างั้นดิฉันกลับก่อนนะคะ” พรรณนิภาบอกอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กๆ “ฉันกลับก่อนนะจ๊ะเด็กๆ ไว้วันหน้าฉันจะมาหาใหม่นะ บ๊ายบาย จ้ะ” เธอโบกมือให้เด็กๆ แล้วก็เดินออกไป
หลังจากเปิดตัวว่าคบกับชลิตา ภูริชก็มาหาเจ้าหล่อนที่คอนโดฯ บ่อยๆ ซึ่งคอนโดฯ นี้เขาเป็นคนซื้อให้เจ้าหล่อนเอง เขาดูแลชลิตาดีมาก เอาใจใส่เธออย่างดี มีเวลาให้เธอมากกว่าปาณัท และเขาทำให้เธอหลงใหล ไม่ว่าเธออยากจะไปเที่ยวดูหนังฟังเพลง ทานอาหารที่ร้านเขาก็พาไปทุกที่ หรือบางทีเขาก็มาค้างกับเธอที่นี่ แถมยังให้บัตรเครดิตกับเธออีกด้วย เธออยากรูดเอาอะไรก็ตามใจเธอ เขาไม่ขัดใจ
ขณะนี้ทั้งเขาและเธอนอนอยู่บนเตียง นอนร่างกายเปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มที่ปกปิดร่างกายเอาไว้ ชลิตานอนซบไหล่ภูริช เธอยิ้มมีความสุข
“คุณมาอยู่กับลิต้าที่นี่ได้ไหมคะภู ลิต้าเหงาเหลือเกิน...นะคะ” หญิงสาวอ้อนวอนเขา
“คงจะไม่ได้หรอกครับลิต้า” ภูริชปฏิเสธ “ผมต้องอยู่ที่บ้านเพื่อเอาใจคุณยาย ขืนผมไปอยู่ที่อื่นไอ้ป้องมันก็ได้หน้าคนเดียวสิครับ ซึ่งผมไม่มีทางยอมมันเด็ดขาด”
“คุณอยากจะเอาชนะปกป้องเหรอคะ รวมถึงเรื่องที่มาคบกับลิต้าด้วยหรือเปล่า” เธอถามอย่างสงสัย
“เอ้อ! ไม่ใช่หรอกครับ ที่ผมคบกับคุณก็เพราะผมหลงใหลในความสวยของคุณต่างหาก แล้วอีกอย่าง ผมก็สงสารคุณด้วย ตั้งแต่คุณคบกับไอ้ป้อง แรกๆ มันก็มีเวลาให้ แต่พอนานๆ ไปพอมันได้เป็นประธานบริษัทมันก็เอาเรื่องงานมาอ้าง บอกว่างานยุ่งบ้างละ ติดประชุมบ้างละ แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้อยากออกมาหาคุณเลยลิต้า” เขากำลังใส่ฟืนใส่ไฟให้ปาณัทดูเลวร้ายในสายตาชลิตา
“คุณจะไปพูดถึงเขาทำไมคะ ในเมื่อลิต้ากับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้ว สำหรับลิต้าเขาคือคนอื่นคนไกล ไม่ใช่คนที่เคยรู้จักกัน ตอนนี้ลิต้ามีแต่คุณคนเดียวในหัวใจนะคะ”
ชลิตาพูดออกมาอย่างเย็นชา ราวกับว่าเธอกับปาณัทไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยเป็นแฟนกัน เธอลืมทุกอย่างง่ายดาย เธอตัดปาณัทออกจากหัวใจโดยไม่เหลือเยื่อใย ทั้งที่ไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง แต่เธอไม่สนใจว่าเรื่องราวที่ผ่านมามันจะเป็นอย่างไร เธอรู้เพียงว่าตอนนี้เธอมีภูริชอยู่ข้างกายทั้งคน คนที่มีเวลาให้เธอมากกว่าปาณัท เธออยากได้อะไรเขาก็ให้ทุกอย่างตามที่เคยสัญญาก่อนจะคบกัน ซึ่งเธอก็พอใจในตัวเขา ตอนนี้เธอรักเขามาก...มากเสียจนไม่อยากเสียเขาให้ใครเลย
“คุณพูดจริงๆ เหรอครับ” ภูริชถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ก็จริงน่ะสิคะ ลิต้าไม่โกหกหรอกค่ะ คุณให้ลิต้าได้ทุกอย่าง ไม่เหมือนปกป้องแทบจะไม่เคยให้อะไรลิต้าเลย ลิต้ารักคุณนะคะ”
“ผมก็รักคุณเหมือนกันครับ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ
แต่ในใจกลับหัวเราะเยาะปาณัท
‘สมน้ำหน้า ไอ้ป้อง คุณลิต้าเขาลบแกออกจากหัวใจแล้ว เขาไม่เหลือเยื่อใยให้แกแล้ว ตอนนี้เขามีแต่ฉันคนเดียวในหัวใจโว้ย และฉันก็ชนะแกแล้ว ส่วนแกก็เป็นผู้แพ้ ฮ่าๆๆ’
แล้วชลิตาก็ถามขึ้นว่า
“คุณสัญญากับลิต้าได้ไหมคะ ว่าคุณจะมีแค่ลิต้าคนเดียว ห้ามมีผู้หญิงคนอื่น”
“เอ้อ...” เขาไม่อยากสัญญา เพราะวันข้างหน้าเขาไม่รับประกันว่าเขาจะมีผู้หญิงคนอื่นหรือไม่มี
“ว่ายังไงคะ สัญญาได้ไหมคะ” เธอคะยั้นคะยอเขา
ภูริชจำเป็นต้องให้คำสัญญาเพื่อให้มันจบๆ ไป
“ก็ได้ๆ ครับ ผมสัญญาว่าผมจะไม่มีผู้หญิงคนอื่น ผมจะรักแค่คุณคนเดียว”
“ขอบคุณมากนะคะที่คุณให้คำสัญญากับลิต้า” เธอรู้สึกพอใจในคำสัญญาของเขา
“ถ้างั้นคุณคงต้องให้รางวัลผมแล้วละตอนนี้” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์
ชลิตาพยักหน้ายิ้มๆ
“ได้สิคะภู”
แล้วทั้งสองคนก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยกันต่อไปอีก
พรรณนิภาเดินไปที่ป่าแห่งหนึ่ง มันมืดมาก เธอเห็นคล้ายๆ ชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่มองไม่ชัด อีกฝ่ายหันหลังให้ มองจากด้านหลังเหมือนปาณัท สูงเท่ากัน แต่ใส่ชุดบ้านๆ เหมือนอยู่ในสลัม เขาหันหน้ามาข้างๆ เห็นเพียงเสี่ยวหนึ่งเท่านั้น คล้ายปาณัทมาก แต่ลักษณะการแต่งตัวไม่ใช่ แต่แล้วอยู่ๆ อีกฝ่ายก็เดินเข้าไปในป่า เธอจึงตะโกนเรียก
“อย่า...อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวก่อน นั่นปิติกรลูกแม่ใช่ไหม กลับมาก่อน” พรรณนิภาสะดุ้งตื่นในตอนดึก ที่แท้เป็นเพียงความฝันนั่นเอง ตอนนี้เหงื่อเธอไหลเต็มใบหน้า เธอรีบปาดเหงื่อออก
ปราภพได้ยินเสียงภรรยาตะโกนถามก็พลอยสะดุ้งตื่นอีกคน แล้วเขาก็ถาม
“คุณพรรณ คุณเป็นอะไรเหรอ ฝันร้ายใช่ไหม” เขาลุกขึ้นนั่ง
อีกฝ่ายจึงเล่าความฝันให้ผู้เป็นสามีฟัง
“ฉันฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ป่าค่ะคุณ เขาแต่งตัวบ้านๆ เหมือนอยู่ในสลัม เขายืนหันหลังให้ฉัน แต่มองดูด้านหลังเหมือนตาป้องมากค่ะ สูงเท่ากันอีก เขาหันหน้ามาข้างๆ ฉันเห็นหน้าเขาแค่เสี่ยวหนึ่ง ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นตาป้อง แต่ไม่ใช่ค่ะ เขารีบเดินเข้าไปในป่า ฉันก็ตะโกนเรียกเขา ฉันคิดว่าเขาต้องเป็นตาปิติกรแน่เลยค่ะ ต้องเป็นลูกชายฝาแฝดของเราอีกคนแน่ๆ”
“คุณคงคิดถึงเขามากไปก็เลยเก็บเอาไปฝัน” ปราภพว่า
“คงจะจริงอย่างที่คุณว่านะคะ” เธอเห็นด้วย “ฉันคงจะคิดถึงลูกชายฝาแฝดอีกคนมากเกินไปก็เลยเก็บเอาไปฝัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันไปทำบุญที่วัดดีกว่าค่ะ ไปขอพรกับพระให้เจอลูกชายฝาแฝดอีกคนเร็วๆ คุณจะไปด้วยกันไหมคะ”
“ไปสิครับ ผมก็อยากไปทำบุญเหมือนกัน” ผู้เป็นสามีบอกยิ้มๆ “นอนต่อเถอะคุณพรรณ” เขาล้มตัวนอนและหลับตาลง
“ค่ะ” แล้วเธอก็ล้มตัวนอน พยายามข่มตาให้หลับ แต่ภาพในความฝันยังติดตาเธอ ทำให้ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เธอมั่นใจว่าชายหนุ่มในความฝันคือปิติกร ลูกชายฝาแฝดของเธออีกคนแน่นอน
เช้าวันใหม่...ในห้องรับประทานอาหารของบ้านบวรเทพ ทุกคนนั่งอยู่บนโต๊ะพร้อมหน้าพร้อมตากัน มีกับข้าวหลายเมนู ล้วนแต่น่าทานทั้งนั้น
และหลังรับประทานอาหารเสร็จปราภพก็บอกกับผู้เป็นแม่ว่า
“คุณแม่ครับ วันนี้ผมกับคุณพรรณจะไปทำบุญที่วัดครับ คุณแม่อยากไปทำบุญด้วยกันไหมครับ”
“อยากไปสิ แม่ก็ไม่ได้เข้าวัดนานแล้ว” คุณนภาลัยบอก
“วันนี้คุณพ่อจะไปทำบุญเหรอครับ” ปาณัทถามผู้เป็นพ่อยิ้มๆ
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ใช่! พ่อขอลางานครึ่งวันนะ”
“ได้ครับ คุณพ่อ”
ประภาแอบเบะปาก พร้อมกับคิดในใจ
‘คงจะไปเข้าวัดทำบุญเพราะจะขอพรกับพระให้เจอลูกชายฝาแฝดอีกคนละสิท่า สาธุ! เจ้าประคู้ณ ขอให้ไอ้ฝาแฝดคนนั้นตายไปซะ’
แล้วพรรณนิภาก็หันไปบอกใบบัว
“แม่ใบบัวจ๊ะ เดี๋ยวไปจัดอาหารใส่ปิ่นโตให้ฉันหน่อยนะ ฉันจะเอาไปทำบุญ”
“ได้ค่ะ คุณพรรณนิภา” รับคำเสร็จใบบัวก็เดินออกไป
แล้วประภาก็พูดขึ้นว่า
“คงจะพากันสะสมบุญเพราะ...”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกคุณนภาลัยพูดแทรก
“พวกฉันจะสะสมบุญเพราะอะไรแกไม่ต้องพูด หุบปากไปซะ” ท่านไม่อยากให้ปาณัทรู้ความจริงว่าเขามีพี่น้องฝาแฝดอีกคน เพราะมันจะกระทบกับเรื่องงานและความรู้สึก
ให้ชายหนุ่มเข้าใจว่าตัวเองเป็นลูกชายคนเดียวเหมือนตลอด ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมาดีแล้ว แต่หากวันหนึ่งเขารู้ความจริงก็จะอธิบายให้เขาฟัง แต่ตอนนี้จำเป็นต้องปกปิดเป็นความลับต่อไป
ประภาถึงกับถึงกับถอนหายใจเมื่อผู้เป็นแม่ห้ามไม่ให้พูดออกมา แต่เธอก็ภาวนาให้ลูกชายฝาแฝดอีกคนของพี่ชายตายไปตั้งแต่แบเบาะ เพราะว่าคนในครอบครัวจะได้หาไม่เจอ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 275
แสดงความคิดเห็น