บทที่๑๑
ณ ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ปาณัทนั่งอยู่กับชลิตา เจ้าหล่อนบอกว่ามีธุระจะคุยกับเขา เขาจึงมาตามนัด และบนโต๊ะมีอาหารแค่สองสามอย่าง ยังไม่เริ่มทาน ชลิตาพูดขึ้นก่อน
“เอ้อ ป้องคะ ลิต้าว่าเราหยุดความสัมพันธ์แต่เพียงเท่านี้เถอะนะคะ เพราะคุณไม่เคยมีเวลาให้ลิต้าเลย คุณเอาแต่ทำงาน ทำงาน แล้วก็ทำงาน จนเกือบลืมลิต้าไปแล้ว”
“ผมไม่มีทางลืมลิต้าแน่นอนครับ” ปาณัทบอก “ต่อไปผมจะมีเวลาให้คุณมากกว่านี้ แต่ขอร้องนะครับ อย่าตัดความสัมพันธ์ของเราดื้อๆ แบบนี้เลย ถึงที่ผ่านมาเราจะไม่ได้ไปเดต ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ แต่ผมก็โทรหาคุณตลอดนะครับ ผม...”
“แค่นั้นมันไม่พอหรอกค่ะสำหรับลิต้า ลิต้าอยากไปเที่ยวดูหนังฟังเพลงกับคุณ อยากอยู่กับคุณสองต่อสอง และอยาก...” เธอหยุดพูดทันที ก่อนจะตั้งสติและพูดต่อ “เอาเป็นว่ายังไงซะ วันนี้ความสัมพันธ์ของเราคงต้องจบลงแล้วค่ะ อย่ายื้อลิต้าไว้เลยนะคะ”
“คุณมีคนใหม่ใช่ไหม” ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“มันไม่สำคัญหรอกค่ะ ว่าฉันจะมีคนใหม่หรือไม่มี แต่ที่แน่ๆ ต่อไปนี้ฉันกับคุณเราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีกค่ะ ลาก่อนนะคะปกป้อง” คราวนี้เจ้าหล่อนเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกแทนตัวเอง แล้วก็ลุกขึ้นยืน คว้ากระเป๋าสะพายก่อนจะเดินออกไป แต่เดินไปได้สองก้าวก็ถูกปาณัทคว้าแขนดึงไว้ไม่ให้ไป
“คุณอย่าทิ้งผมไปเลยนะลิต้า คุณจะให้ผมทำอะไรผมก็ยอม ขออย่างเดียว อย่าทิ้งผมไป”
โชคดีที่ในร้านไม่มีใครนั่งทานอาหารนอกจากทั้งสองคน ชลิตาพยายามดึงแขนอีกฝ่ายออก
“คุณปล่อยฉันนะคะ ไม่งั้นฉันจะเรียกให้คนช่วย”
“ที่คุณเรียกผมมาคุย บอกว่ามีธุระ ที่แท้คุณให้ผมมาหาแล้วบอกเลิกงั้นเหรอ คุณใจร้ายกับผมมาก ที่ผ่านคุณไม่เคยรักผมเลยใช่ไหม ทำไมคุณถึงตัดเยื่อขาดใยผมง่ายดายแบบนี้ ทำไม” เพราะความเสียใจทำให้น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมา เขาเจ็บปวดสุดพรรณา แต่แล้วชายหนุ่มก็ปาดน้ำตาออก ก่อนจะปล่อยมืออีกฝ่ายและบอกว่า “ได้! ถ้าคุณหมดใจผมก็ไม่ยื้อคุณไว้เพราะว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไร มันมีแต่จะทำให้ผมเจ็บปวด ถ้าคุณตัดสินใจดีแล้วผมก็ขอให้คุณโชคดีก็แล้วกัน เจอคนใหม่ก็ขอให้รักเขานานๆ ส่วนผมเสียใจไม่นานหรอก”
“ฉันก็ขอให้คุณโชคดีเช่นกันค่ะ ลาก่อนนะคะปกป้อง” เธอเดินออกไปราวกับไม่รู้สึกอะไร ทำเหมือนเธอกับปาณัทไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยรักกัน เธอทำเย็นชา บอกเลิกปาณัทง่ายดาย โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของเขาเลย ว่าเขาจะเจ็บปวดหรือไม่
ส่วนปาณัทก็พยายามเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ เขารู้ว่าการยื้อคนที่ไม่ได้รักเราแล้วมันแต่จะทำให้เจ็บปวดทั้งสองฝ่าย สู้ปล่อยเขาไปดีกว่า ถ้ายื้อเขาไว้มันไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อใจของเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว ชายหนุ่มหยิบธนบัตรใบละหนึ่งพันจำนวนสองใบและวางบนโต๊ะ ก่อนจะเรียกบริกร
“น้องครับ มาเก็บเงินด้วยครับ” แล้วเขาก็เดินออกไปจากร้านทันที
ค่ำคืนนี้ฝนตกหนัก ปาณัทขับรถมาจอดตรงสะพานแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็ลงมายืนตากฝนเพื่อล้างความเจ็บปวดใกล้ราวสะพาน แล้วอยู่ๆ ชายหนุ่มก็ตะโกนขึ้นฟ้าเสียงดัง
“ทำไมวะ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมๆๆ” จากนั้นเขาก็หันไปเกาะราวสะพาน
แล้วก็มีรถอีกคันมาจอดด้านหลังรถของปาณัท เป็นรถของรินรดานั่นเอง! หญิงสาวขับรถมาก็เห็นรถคันหนึ่งอยู่และมองเห็นเหมือนมีผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำท่าจะกระโดดสะพานเธอจึงรีบจอดรถ จากนั้นเธอก็ถือร่มลงจากรถและกาง ก่อนจะรีบไปห้ามผู้ชายคนที่เธอคิดว่าเขากำลังจะกระโดดสะพาน
“ใจเย็นๆ ก่อนสิคะคุณ มีอะไรก็ค่อยๆ คิด อย่าเพิ่งคิดสั้น นึกถึงหน้าพ่อแม่ คนในครอบครัว คนรอบข้างบ้าง ว่าพวกเขาจะรู้สึกยังไงถ้าคุณเป็นอะไรไป”
“หา! ผมเนี่ยนะจะคิดสั้น” ปาณัทมองไปที่หญิงสาวอย่างงงๆ และชี้ที่ตัวเอง แต่แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครชายหนุ่มก็ถึงกับอุทาน “อ้าว! คุณหมอนั่นเอง”
“อ้าว! คุณ” รินรดาก็อุทานเช่นกัน
“ผมไม่ได้จะฆ่าตัวตายครับคุณหมอ ผมแค่เกาะราวสะพานเฉยๆ คนอย่างผมไม่คิดสั้นหรอกครับ” เขาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
คุณหมอสาวจึงพูดว่า
“อ้าว! ใครจะไปรู้ล่ะคะ ก็ฉันเห็นคุณยืนชิดกับราวสะพาน แถมยังทำท่าเหมือนจะปีน ฉันก็นึกว่าคุณจะฆ่าตัวตายซะอีก”
“ผมขอยืนยันว่าผมไม่คิดที่จะฆ่าตัวตายหรอกครับ ว่าแต่คุณหมอกำลังจะกลับบ้านเหรอครับ” ประโยคท้ายเขาถามอีกฝ่าย
“ใช่ค่ะ ฉันกำลังจะกลับบ้าน” รินรดาพยักหน้า ก่อนจะสังเกตุเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของชายหนุ่มจึงถามขึ้นว่า “ทำหน้ายังกับคนอกหักอย่างนั้นแหละ”
“ถ้าผมตอบว่าใช่ คุณหมอจะเชื่อไหมล่ะครับ”
“เขาทิ้งคุณหรือว่าคุณทิ้งเขาล่ะคะ” เธอเผลอหัวเราะ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ตลกด้วย เธอจึงหยุดหัวเราะ ก่อนจะรีบขอโทษขอโพย “ฉันขอโทษนะคะที่พูดเล่นกับคุณ ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขาบอก แล้วจากนั้นเขาเดินเข้าไปหาคุณหมอคนสวย พร้อมกับบอกว่า “ผมขออนุญาตระบายให้คุณหมอฟังนะครับ ผมอึดอัดใจเหลือเกิน”
“ได้ค่ะ คิดซะว่าฉันเป็นโถส้วมก็ได้ คุณอยากระบายก็ระบายมาได้เลย” เธอบอก
แล้วปาณัทก็เริ่มระบายความรู้สึกให้คุณหมอสุดสวยฟัง ทั้งยืนเล่า นั่งเล่า เล่าไปเล่ามาฝนก็หยุดตก พร้อมกับที่เขาเล่าเสร็จพอดี ตบท้ายด้วยคำขอบคุณ
“ผมขอบคุณคุณหมอมากนะครับที่ยอมฟังผมระบายความรู้สึกจนจบ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวบอก “แต่ก็น่าเห็นใจคุณนะคะ คุณรักผู้หญิงคนนั้นมาก รักมานาน แต่อยู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็มาบอกเลิกคุณง่ายดาย ทำยังกับคนไม่เคยรักกัน คุณคงเสียใจมากใช่ไหมคะ ยังไงฉันก็ขอให้คุณสู้ๆ นะคะ ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลก ถึงแม้ผู้หญิงคนนั้นจะทิ้งคุณไป แต่ก็ยังมีผู้หญิงคนอื่นๆ ที่พร้อมจะรักคุณอย่างจริงใจ ไม่เสแสร้งแกล้งทำ สู้ๆ ค่ะ”
“ได้คุยกับคุณแล้วผมสบายใจขึ้นเยอะเลยครับ ขอบคุณนะครับคุณหมอที่ให้กำลังใจผม เรามาแลกนามบัตรกันไหมครับ เผื่อเวลามีเรื่องไม่สบายใจจะได้โทรหากัน คุยกัน”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ” รินรดาเดินไปที่รถ สักพักก็เดินกลับมาและยื่นนามบัตรให้อีกฝ่าย
ปาณัทรับมาและมองดูนามบัตรของหญิงสาว เมื่อเห็นนามสกุลก็เบิกตาโตด้วยความตะลึง
“ศัลยแพทย์หญิงรินรดา ภิรมย์วัชรกุล...คุณนามสกุลภิรมย์วัชรกุล คุณเป็นอะไรกับคุณลุงชัชรินทร์เหรอครับ”
“เอ๊ะ คุณรู้จักคุณพ่อฉันด้วยเหรอคะ” เธอถามด้วยความแปลกใจ
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ใช่ครับ ผมรู้จักดีเลยแหละ เอ๊ะ เดี๋ยวนะครับ เมื่อกี้คุณเรียกคุณลุงชัชว่าอะไรนะครับ”
“เรียกว่าคุณพ่อค่ะ ฉันเป็นลูกสาวของท่าน”
“หา! ถ้างั้นคุณก็คือน้องริน” เขานึกออกทันที
รินรดามองหน้าอีกฝ่ายอย่างงงๆ
“ทำไมคุณถึงเรียกฉันว่าน้องริน”
“นี่พี่ป้องเอง” ชี้ที่ตัวเอง
“พี่ป้อง ลูกชายของคุณอาปราภพน่ะเหรอคะ”
“ใช่ครับ” เขาพยักหน้า “รอสักครู่นะครับ” แล้วก็เดินไปที่รถ สักพักก็เดินกลับมาพร้อมกับยื่นนามบัตรให้อีกฝ่าย “นี่นามบัตรของพี่ครับ”
คุณหมอสุดสวยมองอ่านนามบัตรที่เพิ่งได้มา พอเห็นชื่อและนามสกุลของชายหนุ่มก็ยิ้มออก
“ใช่พี่ป้องจริงๆ ด้วย รินไปเรียนอยู่ที่เมืองนอกตั้งแต่อายุสิบปี กลับมาเมืองไทยอีกทีก็จำใครไม่ค่อยได้ แม้แต่คุณย่านภา คุณอาปราภพ คุณอาพรรณรณนิภา หรือแม้แต่พี่ป้องเองรินก็จำเกือบจำไม่ได้ พี่ป้องจำได้ไหมคะ วันที่พี่ป้องกับคุณอาปราภพส่งคุณย่านภาไปโรงพยาบาล วันนั้นรินจำใครไม่ได้ก็เลยไม่ได้ทัก”
“คนในครอบครัวของพี่ก็จำน้องรินไม่ได้เหมือนกันจ้ะ น้องรินโตขึ้นเปลี่ยนไปเยอะเลย” เขาว่า
“พี่ป้องเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกันนะคะ เราต่างคนต่างเปลี่ยนไป จนจำกันไม่ได้” รินรดายิ้ม ก่อนจะก้มมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วเบิกตาโต “ตายแล้ว นี่มันเกือบจะห้าทุ่มแล้วค่ะพี่ป้อง ถ้างั้นรินขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่ค่ะ สวัสดีค่ะ” เธอประนมมือไหว้เสร็จก็รีบเดินไปขึ้นรถและขับออกไปทันที
ปาณัทมองตามรถที่เพิ่งจะแล่นออกแล้วยิ้ม เขานึกถึงเรื่องราวเมื่อเด็กๆ ครอบครัวของเขากับครอบครัวของคุณหมอรินรดาสนิทกันมาก พ่อกับแม่ของหญิงสาวชอบพาไปที่บ้านเขาบ่อยครั้ง และเขากับเธอก็ชอบวิ่งเล่นกันที่สนามหญ้าหน้าบ้านอย่างสนุกสนานตามประสาเด็กๆ แต่แล้ววันหนึ่งรินรดาก็ถูกส่งไปเรียนที่ต่างประเทศกับน้าของเธอ เมื่อเขารู้ข่าวก็ทำหน้าเศร้า ใจหาย คงไม่ได้เล่นกับเธออีกแล้ว แต่วันนี้โชคชะตาพาให้เขากับเธอกลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แต่ก็จำกันไม่ได้ เพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเติบโตตั้งแต่เด็กๆ กลับมาเจอกันอีกทีก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว เปลี่ยนไปเยอะเลยทีเดียว ชายหนุ่มยอมรับว่าอีกฝ่ายสวยจริงๆ ยิ่งใส่ชุดคุณหมอยิ่งสวย แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากไปกว่าน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น
แล้วเขาก็เดินไปขึ้นรถของตัวเอง ก่อนจะขับออกไปทันที
เช้าวันถัดมา...ในห้องรับประทานอาหารในคฤหาสน์ตระกูลภิรมย์วัชรกุล บนโต๊ะมีหลากหลายเมนูทีเดียว และน่าทานทั้งนั้น
ก่อนจะเริ่มรับประทานอาหาร รินรดาก็บอกกับพ่อแม่ว่า
“เอ้อ คุณพ่อคุณแม่คะ เมื่อคืนหนูไปเจอพี่ป้องด้วยนะคะ หน้าเขาเปลี่ยนไปมากค่ะ ตอนแรกหนูไม่เชื่อหรอกนะคะว่าเขาเป็นพี่ป้อง แต่พอเขาเอานามบัตรให้ดูเท่านั้นแหละค่ะหนูถึงเชื่อ”
“แล้วไปเจอเขาที่ไหนล่ะลูก” ชัชรินทร์ถามผู้เป็นลูกสาว
ศัลยแพทย์หญิงรินรดาจึงบอกว่า
“อ้อ หนูไปเจอเขาแถวสะพานพุทธค่ะ เขายืนตากฝน ตอนแรกหนูเห็นเขายืนติดกับราวสะพาน ทำท่าเหมือนจะปีน หนูก็เลยรีบจอดรถไปห้ามเขา แต่เขาบอกว่าไม่ได้จะคิดสั้น เขาแค่ยืนเกาะราวสะพานเฉยๆ แล้วเขาก็บอกว่าเขาถูกผู้หญิงทิ้ง เขาอกหัก จากนั้นเขาก็ระบายให้หนูฟังค่ะ หนูก็ฟังเขา พี่ป้องเขาเป็นคนที่น่าเห็นใจมากเลยนะคะคุณพ่อ เขารักแฟนเขามาก รักมานาน แต่อยู่ๆ อีกฝ่ายก็มาบอกเลิกเขาดื้อๆ ทั้งที่ไม่ได้ทะเลาะกันค่ะคุณพ่อ”
“หา! ตาป้องถูกแฟนทิ้ง?” ชัชรินทร์ถึงกับอึ้งไป
อีกฝ่ายพยักหน้า
“ค่ะ คุณพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเห็นใจอยู่ เพราะเท่าที่พ่อเคยได้ยินนายปราภพเล่าให้ฟัง ตาป้องกับแฟนของเขาคบกันมานานมาก ตั้งแต่เรียนอยู่ด้วยกันที่เมืองนอก ถ้าอยู่ๆ อีกฝ่ายมาบอกเลิกกันโดยที่ไม่ได้ทะเลาะกัน เป็นใครก็เสียใจทั้งนั้นแหละ”
“นั่นสิคะคุณพ่อ” หญิงสาวเห็นด้วยกับผู้เป็นพ่อ “หนูก็ให้กำลังใจพี่ป้อง แล้วพูดกับเขาอีกหลายประโยค เขาบอกว่าคุยกับหนูแล้วสบายใจ และหนูก็ให้นามบัตรเขาไว้ด้วยนะคะ”
“เมื่อสองวันที่ผ่านมาพ่อก็ไปเจอเขาที่โรงพยาบาลเหมือนกัน ตอนที่ไปเยี่ยมคุณย่านภาน่ะ...ทั้งนายปราภพ คุณพรรณนิภา เจ้าป้อง แล้วก็คุณย่านภา พวกเขาไม่รู้เลยว่าหนูเป็นลูกพ่อ พวกเขาจำลูกไม่ได้ จนกระทั่งพ่อบอกว่าลูกเป็นศัลยแพทย์หัวใจคนใหม่ของโรงพยาบาลนั่น พวกเขาถึงได้รู้” ผู้เป็นพ่อบอก
“จะว่าไปแล้วเนี่ย ตาป้องก็หล่อและนิสัยดี ออกจะสุขุมหน่อยๆ แต่ไม่ได้มากมายอะไร แม่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงเลือกทิ้งตาป้อง ทั้งที่ตระกูลตาป้องมีธุรกิจพันล้าน นั่งนอนนับเงินสบายใจออก” รวัลยารู้สึกแปลกใจ
ชัชรินทร์จึงพูดว่า
“คงจะตาบอดมั้งคุณ”
“สงสัยจะตาบอดจริงๆ อย่างที่คุณว่าแหละค่ะ มองไม่เห็นอัญมณีอันล้ำค่า ราคาสูงลิบลิ้ว เลือกทิ้งของมีค่า ถ้าเป็นฉันฉันไม่ทิ้งหรอกค่ะ”
“แล้วคุณคิดว่าผมเป็นอัญมณีหรือเป็นอะไรครับ” อีกฝ่ายแกล้งถาม
ผู้เป็นภรรยาจึงตอบว่า
“ก็ต้องเป็นอัญมณีสิคะ ถ้าคุณเป็นก้อนกรวดฉันคงทิ้งคุณไปนานแล้วค่ะ”
“ผมรักคุณนะ”
“มาบอกรักอะไรตอนทานข้าวคะคุณชัช”
“ก็ผมยังบอกรักคุณไม่อิ่มนี่” เขาบอก
รินรดาจึงแกล้งแซวพ่อกับแม่
“โอ๊ย! คุณพ่อคุณแม่คะ ตอนนี้มดจะขึ้นโต๊ะอาหารเต็มแล้วค่ะ จะสวีทกันอีกนานไหมคะ ทานข้าวกันเถอะนะคะ”
“จ้ะ ลูกริน” ผู้เป็นแม่พยักหน้ายิ้มๆ
แล้วทั้งสามคนพ่อแม่ลูกก็ลงมือรับประทานอาหารทันที...ครอบครัวภิรมย์วัชรกุล เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก อยู่กันสามคนพ่อแม่และลูก ไม่นับคนรับใช้กับคนสวนอีกสี่คน ชัชรินทร์เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี รักภรรยารักลูก ไม่จุกจิกจู้จี้ เป็นที่เคารพรักของภรรยากับลูกและคนสวนคนรับใช้ เขามักจะน่ารักกับทุกคนเสมอ ไม่ว่าจะกับคนในครอบครัวหรือคนข้างนอกก็ตามแต่
วันนี้ปาณัทลางานหนึ่งวัน ให้ผู้เป็นพ่อของเขาไปที่บริษัทแทน เพราะตอนนี้สภาพจิตใจเขายังย่ำแย่ หลังจากถูกแฟนสาวบอกเลิกเมื่อวาน ทั้งที่พยายามเข้มแข็งแล้ว แต่ก็ยังคงทำใจไม่ได้...ก็คนรักกันมานานหลายปี รักมาก มากเหลือล้น แต่อยู่ๆ มาบอกเลิกกันเอาดื้อๆ ทำอย่างกับคนไม่เคยรักกัน
ชลิตาบอกกับเขาเพียงว่าเขาไม่เคยมีเวลาให้กับเธอ เธอจึงขอหยุดความสัมพันธ์กับเขาแต่เพียงเท่านี้ ด้วยเหตุผลสั้นๆ ที่ฟังไม่ขึ้น เขาเจ็บปวดหัวใจจนต้องมานั่งทำใจที่ศาลาตรงสวนหย่อมหลังบ้าน สีหน้าเขาตอนนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ทุกคนในบ้านรู้ว่าเขาถูกแฟนสาวบอกเลิก ก็ได้แต่ให้กำลังใจและรู้สึกสงสารเขา ยกเว้นก็แต่เขมนันท์ ประภากับภูริชที่คอยสมน้ำหน้าเขาในใจ และเขาขอมานั่งอยู่คนเดียวที่ศาลา
ภูริชเดินปรบมือเข้ามาที่ศาลา พร้อมกับหัวเราะเยาะปาณัทดังลั่น
“โถๆ คนถูกแฟนทิ้ง หน้าหงอยเหมือนหมาเลยว่ะ ฉันควรจะสมเพชเวทนาแกดีไหมวะไอ้ป้อง”
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ทะเลาะกับแก ไปให้ไกลฉันเลยนายภู” ปาณัทไล่อีกฝ่ายทันที
ภูริชเดินเข้ามาในศาลาพลางมองหน้าผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่พอใจ
“นี่ไอ้ป้อง แกกล้าไล่ฉันเหรอวะ”
“ทำไมฉันจะไม่กล้าวะ ไปไกลฉันเลย ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“เดี๋ยวฉันจะบอกให้แกเลิกโง่นะไอ้ป้อง ว่าเพราะอะไรที่คุณลิต้าบอกเลิกแก ก็เพราะว่าเธอมีคนใหม่ไง คนคนนั้นก็คือฉันเองโว้ย” เขาสารภาพทันที
เมื่อได้ยินเช่นนั้นปาณัทก็ลุกขึ้นพรวด จ้องหน้าอีกฝ่ายและถามว่า
“เมื่อกี้แกบอกว่าอะไรนะ ไอ้ภู”
“อ้อ นี่กล้าเรียกฉันว่าไอ้แล้วเหรอวะ” พูดจบก็หัวเราะสะใจ
“ฉันถามว่าเมื่อกี้แกบอกว่าอะไรนะ” ถามย้ำอีกครั้งอย่างไม่พอใจ
ภูริชจึงบอกว่า
“แกได้ยินไม่ผิดหรอก ที่คุณลิต้าบอกเลิกกับแกก็เพราะว่าเธอจะมาคบกับฉันแทนโว้ย ก็ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็แกไม่อยากมีเวลาให้เธอเองนี่ ผู้หญิงที่ไหนจะยอมทนกับผู้ชายที่ไม่มีเวลาให้ เธอก็อยากจะอยู่กับคนที่มีเวลาให้เธอสิวะไอ้โง่” หัวเราะอย่างสะใจอีกครั้ง
“แกทำแบบนี้ทำไม” ตอนนี้แววตาของปาณัทเขียวปั้ดด้วยความโกรธ
“ฉันทำอะไรวะ” ทำเป็นไขสือ
“ยังมีหน้ามาถามอีก ก็แกแย่งลิต้าไปจากฉันไง แกทำแบบนี้ทำไม หา!”
“โอ๊ะๆ แกพูดผิดแล้วไอ้ป้อง ฉันไม่ได้แย่งเลย คุณลิต้าเธออยากมาคบกับฉันเองโว้ย”
“ไม่จริงหรอก ลิต้าเธอรักฉันจะตาย เธอไม่มีทางมาบอกเลิกฉันแล้วไปคบกับแกหรอก นอกซะจากว่าแกไปพูดหลอกล่ออะไรเธอ แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าแกไปพูดอะไรกับลิต้า ลิต้าถึงยอมคบกับแก” เขากระชากคอเสื้ออีกฝ่ายมาคาดคั้น
ภูริชยิ้มกวนๆ ก่อนจะดึงมือปาณัทออกและบอกว่า
“คนอย่างฉันไม่เห็นต้องพูดหลอกล่อกับผู้หญิงเลย ผู้หญิงเขาก็เดินเข้ามาฉันเอง”
“โกหก!”
“ฉันพูดจริงโว้ย”
“ฉันไม่เชื่อแกหรอกไอ้ภู มันต้องมีแรงจูงใจอะไรสักอย่างสิที่ทำให้ลิต้ายอมคบกับแก หรือว่าแกกับลิต้ามีอะไรกันแล้ว” ปาณัทสงสัย
อีกฝ่ายหัวเราะอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า
“เริ่มฉลาดแล้วนี่ หายโง่แล้ว ใช่ ฉันกับลิต้ามีอะไรกันแล้ว” สิ้นสุดคำพูดก็ถูกปาณัทต่อยด้วยความโมโห จนล้มลงไปกองกับพื้น เขาเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้น “มึง! มึงต่อยกู”
“แค่นี้มันยังน้อยไป” ชายหนุ่มว่า
แล้วก็มีเสียงโวยวายของใครบางคนดังขึ้น
“ตายแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เป็นเสียงของประภานั่นเอง เธอเดินมากับเขมนันท์ เดินตามหาลูกชาย จนกระทั่งมาเจอที่ศาลาตรงสวนหย่อมหลังบ้าน เห็นแวบๆ ตอนภูริชล้มลง
“คุณแม่” ภูริชมองไปเห็นผู้เป็นแม่แล้วรีบลุกขึ้น
ประภาเดินเข้ามาในศาลา เธอสังเกตุเห็นเลือดที่มุมปากลูกชาย แม้จะเช็ดแล้วแต่มันก็ยังคงไหลออกซิบๆ เธอจึงถาม
“ตาภู ปากลูกมีเลือดออกนี่ ใครทำอะไรลูก” แล้วเธอก็หันไปทางปาณัท “แกใช่ไหมที่ทำลูกฉัน หา!”
“มันนั่นแหละครับคุณแม่ที่ต่อยผม” ภูริชถือโอกาสฟ้องทันที พร้อมกับยิ้มเยาะคู่กรณี
“แกต่อยลูกฉันทำไม” ประภาไม่พอใจมาก
ปาณัทจึงบอกว่า
“คุณอาก็ถามลูกชายของคุณอาสิครับ ว่าเพราะอะไรผมถึงต่อยมัน”
“ผมไม่ได้ทำอะไรมันเลยนะครับคุณแม่ อยู่ๆ มันก็มาต่อยผม ผมเจ็บครับคุณแม่” ภูริชพูดโกหก
“โถ ลูกแม่ คงเจ็บมากใช่ไหม” เธอจับที่มุมปากลูกชายอย่างสงสาร และเธอเชื่อลูกชายพูด จึงหันไปต่อว่าหลานชาย “เห็นแกนิ่งๆ ฉันก็ว่าแกเป็นคนดี ที่แท้แกก็เป็นอันธพาลดีๆ นี่เอง ทำร้ายได้แม้กระทั่งพี่น้องตัวเอง เลวมาก”
“ลูกชายคุณอาพูดอะไรคุณอาก็เชื่อไปหมด โดยไม่ถามหาความจริงซะก่อน ผมไม่ได้อยู่ๆ ก็ไปต่อยมันหรอกครับ แต่มันมาพูดให้ผมโมโห มันแย่งลิต้าไปจากผม” ปาณัทบอก
ประภาจึงหันไปถามผู้เป็นลูกชาย
“จริงเหรอลูก”
“ไม่จริงเลยนะครับคุณแม่ ลิต้าเธอมาคบกับผมเอง ผมไม่ได้พูดอะไรเลย เธอคงเบื่อของเก่ามั้งครับ” ยิ้มเยาะให้คู่กรณีอีกครั้ง
คราวนี้ปาณัททนกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ได้ เลยจะพุ่งเข้าไปต่อย แต่ถูกเขมนันท์ห้าม
“หยุดนะ อย่ามาต่อยลูกชายฉัน”
“นี่ขนาดฉันกับเขมอยู่ด้วยนะ แกก็ยังคิดที่จะใช้กำลังกับตาภู ชอบใช้พฤติกรรมไพร่ๆ” เธอต่อว่า
แล้วพรรณนิภาก็เดินฉับๆ มาทางศาลา มาทันได้ยินที่ประภาพูดพอดี เธอไม่พอใจ
“มันจะเกินไปแล้วนะภา ไปว่าหลานอย่างนั้นมันไม่แรงไปหน่อยเหรอ”
ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียง เห็นพรรณนิภากำลังเดินเข้ามา ประภาถึงกับตกใจ
“พี่พรรณ...”
เมื่อเดินมาถึงศาลาพรรณนิภาก็พูดว่า
“พี่รู้จักนิสัยของลูกชายพี่ดี พี่เลี้ยงมากับมือ เขาไม่เคยใช้กำลังโดยไม่มีเหตุผล นอกซะจากว่ามีคนทำให้เขาหมดความอดทนเขาถึงใช้กำลัง”
“นี่คุณป้ากำลังจะบอกว่าผมทำให้ไอ้ เอ้อ นายป้องหมดความอดทนอย่างนั้นเหรอครับ” ภูริชไม่พอใจ
ประภาจึงพูดเพื่อช่วยลูกชาย
“พี่พรรณคะ ลูกทำผิดพี่ก็ไม่ควรจะไปเข้าข้างนะคะ เดี๋ยวมันจะได้ใจ พี่พรรณต้องตักเตือนถึงจะถูกค่ะ”
“ว่ายังไงตาป้อง ลูกผิดไหม” เธอถามลูกชาย
ปาณัทจึงตอบว่า
“ผมไม่ผิดครับคุณแม่ คนที่ผิดก็คือนายภูต่างหาก มันแย่งคนรักของผม ไม่รู้ว่ามันไปพูดอะไรกับลิต้า ลิต้าถึงเปลี่ยนใจไปจากผม มันสารภาพกับผมเองว่ามันเป็นคนใหม่ของลิต้า มันนั่นแหละที่เลว ผมกับลิต้ารักกันอยู่ดีๆ ก็มีมันมาเป็นมือที่สามแย่งลิต้าไป”
“ผมเปล่านะครับคุณป้า ผมไม่ได้แย่ง คุณลิต้าบอกกับผมเองว่านายป้องไม่มีเวลาให้เธอ เธออยากไปเที่ยวกับคนรัก แต่ก็ไม่ได้ไป เธอเบื่อ เธออยากไปให้พ้นๆ จากนายป้อง เธออยากไปหาคนที่มีเวลาให้เธอครับ เธอบอกกับผมแบบนี้จริงๆ ครับคุณป้า” ภูริชบอก แต่บางคำเป็นคำที่เขาพูดเอง ไม่ใช่ชลิตาเป็นคนพูด
“มันโกหกครับคุณแม่” ชายหนุ่มไม่พอใจฝ่ายคู่กรณีสักเท่าไหร่
พรรณนิภารีบห้ามลูกชาย
“พอเถอะลูก อย่ามีเรื่องกันเลย ถ้ารู้ไปถึงหูคุณย่า เดี๋ยวอาการคุณย่าจะกำเริบอีกนะ”
“ก็ได้ครับคุณแม่ ถ้างั้นเราเข้าบ้านกันเถอะครับ” พูดจบปาณัทก็เดินออกไปก่อน แต่ไม่วายส่งความโกรธแค้นผ่านแววตาให้ภูริช
พรรณนิภาก็เดินตามลูกชายไป แต่ก่อนจะไปก็บอกประภาว่า
“อ้อ ภา เธอก็หัดสั่งสอนลูกบ้างนะ”
ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกมองตามหลังพรรณนิภาไปด้วยความไม่พอใจ แล้วภูริชก็พูดกับผู้เป็นแม่ว่า
“เหมือนคุณป้าพรรณจะบอกว่าคุณแม่ไม่เคยสั่งสอนผมอย่างนั้นแหละครับ”
“แกไม่ต้องพูดหรอกตาภู” ประภาบอกลูกชาย ก่อนจะถามต่อมาว่า “อ้อ วันนี้ทำไมแกไม่ไปทำงาน เดี๋ยวแกก็ถูกตัดเงินเดือนหรอก”
“ผมขี้เกียจครับคุณแม่ ขอตัวก่อนนะครับ ผมจะไปหาคุณลิต้า สุดที่รักของผม” พูดจบชายหนุ่มก็รีบเดินออกไปทันที
“ดูสิดู นิสัยเหมือนพ่อมันเลย” เธอว่า
เขมนันท์ถึงกับงง
“อ้าว! ทำไมคุณถึงมาว่าผมด้วยล่ะ”
“ก็คุณกับลูก มีนิสัยขี้เกียจเหมือนกันนี่” แล้วเธอก็เดินกลับเข้าบ้านไป
ผู้เป็นสามีจึงตะโกนถาม
“โธ่ ถ้าคุณขยันนัก ก็แล้วทำไมคุณถึงไม่ไปทำงานที่บริษัทของคุณเล่า”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 300
แสดงความคิดเห็น