บริสุทธิ์รึไม่แต่มันผู้ใดคิดขวางทางข้าจักต้องตาย
เอเฟเฟียมองเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยสายตาอันเรียบเฉยก่อนจะเหลือบมองใบหน้าของมาราอาน ปราศจากซึ่งความหวาดกลัว มีแต่ความสงสัยและเศร้าหมอง เขาเบนสายตากลับมาที่ซากศพที่กระจัดกระจายไปทั่ว ก้มลงไปที่หัวของพวกกบฏและปิดตาเบิกกว้างของศพตรงหน้าเท่านั้น เมื่อดวงตาปิดสนิทบังเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เอเฟเฟียเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง มันสลายหายไปต่อหน้าต่อตา “ฝ่าบาทอยู่ในอันตราย!!!” เขาวิ่งไปที่หุบเขาอย่างสุดกำลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและเป็นห่วงที่เพิ่มมากขึ้นในทุกขณะแต่ชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นอย่างจัง พอตั้งหลักได้อีกครั้งจึงใช้ดาบกวัดแกว่งไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังก่อนจะพบว่าด้านหน้าที่เขาพยายามจะข้ามไปถูกปิดบังด้วยม่านพลังเวทย์ที่มองไม่เห็นอย่างหนาแน่น แม้จะใช้ทั้งดาบและเปลวไฟก็มิอาจทำอันตรายใดๆกำแพงนี้ได้ “มาราอาน ช่วยข้า!!!” เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเอเฟเฟียตะคอกใส่เธอ ทั้งใบหน้าและการกระทำแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเป็นห่วงคนที่อยู่อีกฟากของกำแพงแต่แม้จะถูกเรียกใช้ ใบหน้ากลับแสดงออกอย่างลังเล “มาราอาน!!!” กำแพงที่มองไม่เห็นบัดนี้ถูกย้อมด้วยสีดำ กลืนกินอรุณแสงยามเช้าจนหมดสิ้น เมื่ออยู่ในความมืดที่แม้แต่มือตัวเองก็มองไม่เห็น เอเฟเฟียได้ยินเสียงกรีดร้องของมาราอาน แต่ไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด ใกล้หรือไกล เขายื่นมือออกไปข้างหน้า ควานหาร่างบางแต่เหมือนจะสัมผัสบางอย่างที่แปลกไป มันนิ่มและเย็นจนรู้สึกขนลุกก่อนที่ตัวเขาจะถูกสิ่งๆนั้นดึงด้วยแรงมหาศาล สิ่งที่รับรู้ต่อจากนั้นคือความรู้สึกไม่ต่างจากกำลังอยู่ใต้น้ำ เย็นซ่านไปทั้งตัวและน่าขยะแขยง คลื่นไฟขนาดใหญ่พวยพุ่งออกจากร่างกายที่ขยับไม่ได้ ทำลายความมืดมิดโดยรอบจนตัวเขาเป็นอิสระอีกครั้ง เอเฟเฟียควบคุมเปลวไฟที่ลอยอยู่รอบตัว เหล่ามังกรไฟจิ๋วบินออกไปโดยรอบ แสงที่ส่องสว่างจากพวกมันทำให้รู้ว่าเขายังอยู่ที่แถวบริเวณหุบเขาและในที่สุดก็เห็นมาราอาน กำลังนั่งอยู่ท่าทางงอตัว มือปิดดวงตาไว้แน่นราวกับว่าไม่อยากที่จะมองเห็นสิ่งที่เธอกลัวอย่างสุดขีด เอเฟเฟียสร้างไฟจากมือที่ชูขึ้นฟ้า ก่อรูปลักษณ์เป็นม่านเพลิงสีเหลืองคลุมรอบตัวพวกเขาไว้และช่วยขับไล่ความมืดรอบตัวออกไป
เพียงชั่วครู่ที่เปลวไฟขับไล่ความมืดมิดปรากฏการเคลื่อนไหวในระยะสายตา ดาบถูกเขวี้ยงออกไปในทิศทางนั้นอย่างรวดเร็วแต่ไม่ถึงตัวของผู้หลบในเงามืด รับรู้แต่สัมผัสที่วนอยู่รอบตัวและเพียงเสี้ยววินาที วงแหวนแห่งไฟอันมั่นคง รวมไปถึงเหล่ามังกรได้ดับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปลดปล่อยอำนาจมืดให้เป็นอิสระอีกครั้ง มาราอานทรุดลงกับพื้นทันใด แม้เอเฟเฟียจะพยายามกี่ครั้งแต่ไม่มีไฟถูกจุดไฟขึ้นเป็นครั้งที่สองเหมือนมีบางอย่างสะกดพลังเขาไว้ ทำให้รู้สึกเป็นกังวล ไม่ใช่ตัวเขาแต่เป็นเธอ เธอผู้กลัวความมืดอย่างสุดหัวใจ เธอผู้กำลังถูกความกลัวกลืนกินทีละน้อย มิอาจหลีกหนีไปไหนได้ จะมีหนทางใดที่จะจุดประกายแสงให้ส่องสว่างอีกครั้งรึไม่...!!! เสี้ยววินาทีที่เกือบถอดใจ ที่ความหวังเกือบดังสลาย แสงสว่างดั่งใจหวังกลับมาส่องประกายอีกครั้ง ส่องจากด้านบน เหมือนผ้าที่ถูกฉีกออก ลำคออันยืดยาวเปลี่ยนสภาพเป็นลำคอของมนุษย์ ปีกที่สยายออกกลายเป็นผ้าคลุมที่ถักด้วยคริสทัลดำ เป็นเขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำแบบนี้ได้ เอเฟเฟียที่กำลังชื่นชมในความแข็งแกร่งของผู้เป็นนาย สายตาเหลือบไปเห็นร่างที่กำลังลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ มาราอาน มือของเธอมีหอกสีดำปรากฏขึ้นและนั่นทำให้เอเฟเฟียรู้สึกขนลุกขึ้นมาด้วยสัญชาติญาณอันเฉียบแหลม เขาพุ่งเข้าใส่มาร์เวท สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือมือที่ยื่นออกไปข้างหน้าพร้อมแรงที่มีทั้งหมดก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดไปพร้อมเสียงของบางสิ่งที่ถูกแทง ร่วงหล่น ร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์
ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากเหมือนเปลือกตาหนักอึ้งไปหมด แขนและขาชา ไม่รู้สึกว่าพวกมันต่ออยู่กับตัวเหมือนปกติ หัวยกขึ้นอย่างยากลำบาก ยังคงเห็นแขนและขาแต่ก็ยังไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของพวกมันอยู่ดี ครู่ใหญ่กว่าสายตาจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ เริ่มมองเห็นภาพชัดขึ้นกว่าเก่า ที่นี่คือห้องนอนของเขาเมื่อพิจารณาจากเพดาน บางอย่างในจิตใจทำให้ร่างกายนี้ขยับไปเอง เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง แขนซ้ายเริ่มเป็นอิสระมากขึ้นเช่นเดียวกับขาทั้งสองข้างที่กำลังนำร่างนี้ออกไปนอกห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้า แม้จะล้มลุกคลุกคลาน แม้จะต้องลุกขึ้นเดินต่อหรือคลานออกไปก็ไม่คิดจะปริปากเรียกหาความช่วยเหลือ องครักษ์ที่เห็นสภาพของชายหนุ่มช่วยกันหิ้วปีกอย่างขันแข็ง รับฟังคำถามซ้ำๆจากเขา เมื่อได้ยินคำตอบก็ทำให้โล่งใจขึ้นเป็นปลิดทิ้ง แบกหามอย่างทุลักทุเลจนมาถึงหน้าห้องแห่งหนึ่ง บรรยากาศที่คุ้นเคยเมื่อประตูถูกเปิดออก มาร์เวท ใบหน้าที่ดูเย็นชาเมื่อเห็นผู้มาเยือนเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะยังดูเย็นชาแต่มีความอ่อนโยนแฝงอยู่ในนั้น เขาลุกขึ้น เดินตรงมาหาเอเฟเฟียอย่างร้อนใจ “ฝ่าบาท กระผมขออภัยที่มิอาจปกป้องพระองค์ได้ขอรับฝ่าบาท” เอเฟเฟียคุกเข่าลงกับพื้น บัดนี้มองเห็นเพียงรองเท้าเหล็กที่หยุดยืนตรงหน้า “กล้าดียังไงหลอกข้า?!!!” รู้สึกจุกอยู่ในคอ เสียงตะคอกนั้นทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน ทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกได้เป็นอย่างดี “ฝ่าบาท ได้โปรดลงโทษกระผมให้สมกับความผิดพลาดด้วยเถิดขอรับฝ่าบาท” สิ่งที่เดียวมองเห็น รองเท้าคู่นั้นกำลังเปลี่ยนท่าทาง เจ้าของรองเท้าคุกเข่าลงพลันสัมผัสเย็นเฉียบของนิ้วที่ยื่นเข้ามาสัมผัสที่คางและออกแรงเงยขึ้นอย่างทนุถนอม “แขนที่เจ้าเสียไปก็เพื่อให้หัวใจของข้ายังเต้นอยู่ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้ายังจะขอโทษอะไรข้าอีก?” ใบหน้าใกล้เพียงคืบ ชั่งอ่อนโยนจนผิดวิสัย เหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ออกมาแต่เพราะศักดิ์ศรีและอำนาจจึงไร้น้ำตา
มาร์เวทพยุงตัวเอเฟเฟียขึ้น สร้างเก้าอี้จากพื้นพระราชวังให้สมเกียรติยศของการเสียสละอันยิ่งใหญ่ เริ่มคุยถึงแขนข้างขวาและความจริงในความมืดมิดที่ตัวเอเฟเฟียไม่รู้มาก่อน แท้จริงแล้วมือขวาของเขาไปถึงตัวของมาร์เวทและด้วยแรงผลักนั้นทำให้หอกดำพลาดเป้าสำคัญไป แต่เจาะมือของเอเฟเฟียอย่างจังจนทำให้มือสลายกลายเป็นควันดำจนมาร์เวทต้องตัดสินใจตัดแขนทิ้งก่อนที่มันจะลามไปถึงตัวและแทนที่ด้วยแขนที่สร้างจากเวทมนต์ดำซึ่งก็เป็นไปได้ว่าแขนข้างใหม่จะยังไม่เข้าขากับเจ้าของใหม่ของมันเช่นกัน “ฝ่าบาท แล้วมาราอาน พระองค์ทรงจัดการไปแล้วใช่ไหมขอรับฝ่าบาท?” สีหน้าของมาร์เวทเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินชื่อของเธอคนนั้น ไม่ใช่ความโกรธแค้นแต่เป็นความสงสัยและไม่เข้าใจ “ข้ายังมิได้สังหารนาง” เอเฟเฟียเงยหน้าขึ้นทันที “ฝ่าบาท แต่นางคือ...!!” “ข้ารู้ดีว่านางคือใครและทำอะไรได้!” พอถูกอีกฝ่ายตะเบ็งเสียงกลับทำให้เอเฟเฟียต้องก้มหน้าลงทันที “ตอนแรกที่ข้ารับรู้ถึงความจริงข้อนี้ ข้าก็เกือบพลั้งมือสังหารนางไปแล้วเช่นกัน” ยิ่งได้ยินก็ยิ่งทำให้เอเฟเฟียสงสัย “ฝ่าบาท ถ้านางรอดจากเปลวไฟของพระองค์ นั่นหมายความว่าท่านเซเลียเองก็....หรือว่านางจงใจแก้แค้นพระองค์ขอรับฝ่าบาท?” “ข้ากลับมิคิดเช่นนั้น” ไม่เพียงแต่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแต่ใบหน้าที่เลื่อนขึ้นของเอเฟเฟียมองเห็นอย่างชัดเจน ใบหน้าของเจ้าของเสียงเมื่อครู่ “ท่านเซเลีย?!” เขาผงะตัวลุกขึ้นแต่เพราะความฉับพลันจึงทำให้ล้มลงแทน “ฮ่าๆๆ เด็กหนอเด็ก” หญิงผมขาวสวมเครื่องแต่งกายรุงรังสีดำปรากฏตัวที่ด้านหลังของมาร์เวทอย่างน่าเหลือเชื่อ นิ้วเรียวทั้งห้าสัมผัสลงที่ไหล่ซ้ายของเขา ไล่ลงจนถึงหน้าอกก่อนจะถูกมือของอีกฝ่ายปรามไว้เสียก่อน “ต้องขออภัยเพคะฝ่าบาท ดิฉันเพียงอยากให้แน่ใจว่าบาดแผลของพระองค์สมานกันเรียบร้อยดีแล้วก็เท่านั้น” มาร์เวทดึงมือเธอออกแผ่นอกของเขาทันที “ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้ว?” เซเลียยกยิ้มอย่างพึงพอใจ “เพคะฝ่าบาท” เธอเดินไปประจำที่เดิม ที่ข้างบัลลังก์ก่อนที่ตัวมาร์เวทเองจะเดินกลับไปนั่งประจำที่เช่นกัน
“เรื่องที่เกิดขึ้นที่สมาคมสีดำเป็นกับดักของแม่มดขาว เอเลโอร่า คามิลิตา มิใช่เพียงแค่นั้น แต่ยังรวมไปถึงการก่อกบฏ หนอนบ่อนไส้ที่ประเทศกเมาก์กิเนตและการหลอกใช้มาราอานให้สังหารข้าล้วนแต่เป็นแผนการของนางทั้งสิ้น” มาร์เวทเอ่ยขึ้นอย่างดุดัน “จงโบยบินออกไป อีกาดำ นำหัวนังนั่นกลับมาให้ข้า” เซเลียเดินลงมาคุกเข่าต่อหน้าบัลลังก์ เมื่อหัวเงยขึ้น ปรากฏดวงตาสีม่วงที่กำลังจ้องมองเขาผู้นั่งอยู่ ณ จุดสูงสุดด้วยความภักดี “เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำพระทัยที่ทรงให้อภัยข้า ข้าจะนำหัวของนางและกบฏทุกคนมาถวายท่าน จักรพรรดิแห่งข้า” ร่างกายเธอเปลี่ยนเป็นสีดำ แขนทั้งสองที่กางขึ้นกลายเป็นปีกอีกา ร่างกายที่เหลือเองก็เปลี่ยนไป อีกาดำตัวใหญ่เท่ามนุษย์โผบินทะลุกำแพงห้องออกไปอย่างน่าอัศจรรย์ “เอเฟเฟีย” เจ้าของนามสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกขานชื่อขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ขอรับฝ่าบาท” “จงไปรักษาแขนใหม่ให้ได้โดยเร็ววัน ข้ามิอยากเดินตามลำพังโดยมิมีเจ้าอยู่ใกล้ๆ” ทั้งที่น่าจะเป็นประโยคที่แสนธรรมดาแต่พอมันหลุดจากปากของชายคนนี้จึงทำให้เอเฟเฟียรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก “เจ้าเป็นอะไรรึ?” เห็นอีกฝ่ายทำท่าครุ่นคิดก็พานให้เขาสงสัยตาม “หะ-หะ-หามิได้ขอรับฝ่าบาท” เอเฟเฟียรีบลุกขึ้นแสดงความเคารพก่อนจะเดินจากไปด้วยอาการร้อนรน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 325
แสดงความคิดเห็น