ไม่มีใครเข้าใจข้า ไม่มีสักคนเดียว แม้แต่เจ้า
เงามืดไร้เสียงบนทางเดินที่แสนเงียบสงบ ไม่มีอัศวินประจำหน้าห้องแต่ละจุด เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังอยู่ในบรรยากาศไร้เสียงและหยุดที่หน้าห้องแห่งหนึ่ง แสงไฟจากเบื้องล่างประตูสว่างอย่างชัดเจน เสียงแง้มของมันมิได้ปลุกเจ้าของห้องที่กำลังหลับใหลอยู่บนเตียง แสงสว่างมากล้นจนแสบตามีที่มาจากหินกลมที่ติดอยู่ทั่วมุมห้อง เจ้าของเสียงฝีเท้าหยุดที่ข้างเตียง ใบหน้าที่กำลังหลับใหลใต้แสงอาทิตย์จำลองนี้ดูอิ่มเอิบและชวนหลงใหล รู้ตัวอีกทีมือของเขากำลังสัมผัสที่แก้มของมาราอาน หวนให้นึกถึงเรื่องราวในวันนั้น ในฉากที่ว่างเปล่าในความทรงจำของเอเฟเฟีย มาร์เวทถูกพลังของมาราอานที่ถูกกระตุ้นจากความมืดรอบตัวทำให้ใหล่ซ้ายสลายจนแขนเกือบขาดออกจากกันพานให้ความเย็นชาบนใบหน้าหายไป และถูกเติมเต็มด้วยความโกรธแค้นอย่างสุดจะทน ไม่ใช้ดาบแต่ใช้กรงเล็บยาวที่ตะปบไปที่มาราอานแต่ถูกหยุดไว้ด้วยมือปริศนาอันทรงพลัง พอหันไปมองจึงรู้ว่าไม่ใช่มาราอานแต่เป็นหญิงปริศนาในชุดคลุมสีดำ มาร์เวทพ่นอัคคีสองสีจากปากใส่ร่างปริศนาที่กระโดดถอยหลังออกมาเพียงเล็กน้อย มือทั้งสองกางออกในลักษณะคล้ายกำลังวาดรูปวงกลม ปรากฏบาเรียที่มองไม่เห็นคุ้มกันตัวเขาจากเปลวไฟเหล่านั้น แถมยังสะท้อนบางส่วนของเปลวไฟกลับไปหาเจ้าของแต่ก็ทำอะไรปีกที่สยายออกมาคุ้มกันตัวไม่ได้ ทันใดนั้นมาร์เวทรู้สึกถึงสัมผัสที่บริเวณไหล่ซ้ายที่หายไปของตน
“ทรงยังใจร้อนเหมือนเดิมเลยนะเพคะฝ่าบาท” ไม่ใช่เสียงของผู้ชายแต่เป็นผู้หญิงวัยกลางคน “เหตุใดเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่ เซเลีย?!!” เธอตอบด้วยเสียงหัวเราะก่อนจะถอยร่นออกจากการโจมตีอันแหลมคมของกรงเล็บยาว “ทั้งหมดนี่คือฝีมือของเจ้า อยากจะฆ่าข้าจนต้องใช้วิถีแห่งเงาเลยรึ? นังผู้หญิงคนนั้นเองก็คงเป็นหุ่นเชิดของเจ้าเช่นกัน” มาร์เวทเหลือบมองมาราอานผู้กำลังทำท่าเหมือนจะเข้าจู่โจมมาร์เวทอีกครั้ง เขาชักดาบออกจากฝัก ตั้งท่าเตรียมปะทะแม้มืออีกข้างจะใช้การไม่ได้แต่เซเลียเข้ามาขวางและใช้ดัชนีนิ้วชี้จ่อไปที่หน้าผากของมาราอานและทำให้เธอสลบกลางอากาศ “จะทรงเชื่อรึไม่ แต่ข้ามิใช่ผู้ประสงค์ร้ายต่อพระองค์เพคะฝ่าบาท มาอารานเป็นเพียงเครื่องมือของใครคนหนึ่งที่หลบอยู่หลังม่านสีดำนี้ หึ! ทั้งที่ได้ฉายาแม่มดขาวแต่กลับใช้วิถีเงาได้สกปรกเสียยิ่งกว่าข้าผู้นี้” เซเลียเหวี่ยงมือออกไปข้างหนึ่ง แสงสีดำที่พุ่งออกจากฝ่ามือปะทะเข้ากับาเรียสีขาวที่ปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด ภายในคือกลุ่มคนซึ่งหนึ่งในนั้นคือหญิงผมยาวสีรวงข้าวที่ดูโดดเด่นที่สุด เธอคนนั้นหลับตาลงพลันบาเรียสีขาวค่อยๆเลือนหายไปแม้เซเลียจะพยายามใช้เวทมนต์ดำเข้าต่อกรแต่ก็เจาะเข้าไปไม่ถึงอยู่ดี
หลังจากวันนั้น มาร์เวทก็เริ่มเข้าใจหลายอย่างเกี่ยวกับความลับของมาราอานและพลังที่สามารถฆ่าเขาได้แต่ก็ยอมที่เก็บชีวิตอันกะทัดรัดนี้ไว้ไม่ไกลทั้งที่เซเลียไม่ได้ห้ามไม่ให้มาราอานถูกฆ่าทิ้ง มาร์เวทออกคำสั่งให้เธอถูกกักตัวอยู่ในห้องนอนของเธอตลอดเวลา ให้ออกมาข้างนอกได้ต่อเมื่อมาร์เวทไม่อยู่ที่พระราชวังเท่านั้น วันดีคืนดีองครักษ์บางคนจะเห็นมาร์เวทออกมาเดินเล่นในพระราชวังในยามวิการเพียงลำพัง แม้จะไม่ได้สอบถามแต่พอเห็นเข้าทุกวันก็เริ่มเดาความคิดออกเพราะห้องๆนั้นที่เขามักหยุดยืนหน้าห้องคือห้องของมาราอาน นั่นคือเศษความทรงจำสุดท้ายก่อนที่ภาพทั้งหมดจะกลับมาเป็นห้องนอนที่กำลังส่องสว่างตามเดิม “.…” มาร์เวทมองมือที่แบอยู่บนเตียง สีเลือดนั้นชัดเจน แตกต่างจากของตัวเขาที่มันซีดขาวจนน่ากลัว ยิ่งมองใบหน้าอันงดงามยิ่งอยากรู้ว่านางกำลังแหวกว่ายอยู่ในฝันแบบใด มาร์เวทยื่นมือออกไปสัมผัสที่มือของเธอ กำความอบอุ่นที่ตนเพรียกหาและบัดนี้ทั้งสองได้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง
จริงหรือฝัน ที่เห็นคือฝันหรือจริง แยกไม่ออกอีกต่อไปกับทัศนวิสัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทุ่งดอกไม้ที่นอนเอนกายดั่งเตียงที่รังสรรโดยธรรมชาติ ข้างกันคือเธอผู้ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้ที่เขาไม่รู้จัก “ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าอีกครั้ง เด็กผู้น่าสงสาร” มาราอานเอียงหน้ามองมาร์เวทที่ยังคงมีใบหน้าแหงนมองออกไปบนผืนฟ้าคราม “ข้ามิใช่เด็ก เลิกเรียกข้าแบบนั้นเสียที” มาร์เวทกล่าว เหมือนจะเป็นถ้อยคำไม่พอใจแต่น้ำเสียงกลับไปคนละทาง “แม้ร่างกายจะเป็นผู้ใหญ่แต่ใจเจ้ายังคงเป็นเด็กคนนั้นไม่เปลี่ยน” รอยยิ้มของเธอหายไป ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าและสงสาร “เพราะชีวิตที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งของข้าจึงทำให้เจ้ามีสีหน้าแบบนั้นรึ?” เธอส่ายหัวเล็กน้อย รอยยิ้มกลับมาส่องประกายอีกครั้ง “เพราะข้าอยากจะเข้าใจความเกลียดชัง ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าของเจ้าให้มากขึ้น ข้าจึงเกิดความสงสารและอยากช่วยเหลือเจ้า ช่วยปลดปล่อยเจ้าจากพันธนาการอันแข็งแกร่งในจิตวิญญาณของเจ้า” “หึ!” มาร์เวทลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าที่หันมองมาราอานแสดงออกว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก “คนนอกอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร? บอกให้ข้าปล่อยวางรึ?” เขาลุกขึ้นยืน ดวงตายังล็อคที่อีกฝ่ายอย่างขมึงตึง “เจ้ากำลังบอกให้ข้าให้อภัยพวกมันที่ฆ่าข้าและพ่อแม่ข้ารึ?!!!” มาร์เวทไม่อาจกลั้นต่ออารมณ์ที่หุนหันพลันแล่น ความร้อนในจิตใจทะลักออกมาราวกับน้ำท่วมที่ถูกแทนที่ด้วยอัคคีนรก ทุ่งดอกไม้อันสวยงามบัดนี้ไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไป ดำ เกรียม มีแต่กลิ่นไหม้กับขี้เถ้าที่ลอยคลุ้งทั่วไปหมด
มาราอานลุกขึ้นยืนบ้าง เธอค่อยๆก้มลง มือสัมผัสพื้นอย่างไม่รังเกียจหรือกลัวในความร้อนที่ยังอาจสถิตอยู่พลันดอกไม้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงชนิดเดียวที่ถูกคืนชีพ “หากไฟอันร้อนแรงเมื่อครู่เต็มไปด้วยความพยาบาท ข้าคงมิอาจคืนชีพดอกนาร์ซิสซัสได้” เธอยิ้มอย่างมีความสุข “เจ้าจะคิดเช่นไรข้าคงมิห้ามเจ้า อย่างไรก็ตามข้ามีของจะให้เจ้า คงมีประโยชน์กับเจ้าไม่มากก็น้อย” มาราอานส่งยิ้มแทนคำกล่าวขอบคุณ ความสงสัยที่ผุดขึ้นทั้งที่ในอีกไม่ถึงนาทีก็จะได้เห็นในสิ่งที่อีกฝ่ายจะมอบให้ กระนั้นก็ยังสงสัยอยู่ดีว่ามันคืออะไร มาร์เวทเดินไปที่ด้านหลังของหญิงสาว มือยื่นออกระหว่างคอ สัมผัสเส้นผมสลวยสีน้ำตาล สิ่งที่ถืออยู่บนมือ สร้อยคอที่ห้อยลูกแก้วสีฟ้าสว่างราวกับมันแบกน้ำทะเลไว้ภายใน มาราอานมองลูกแก้วนั้นอย่างประหลาดใจ “จักไม่มีความมืดใดเข้าใกล้เจ้าได้อีก ไม่ว่าที่ใดที่เจ้าไปจงให้มันส่องแสงนำทางเจ้าไป ไปยังโลกที่มีแต่แสงสว่างที่เจ้าโหยหา” แสงสว่างที่เขากล่าวถึงกำลังส่องประกายออกจากลูกแก้วที่ห้อยอยู่ที่คอของเธอ อบอุ่นมากกว่าจะทำให้แสบตาและพอแสงนั้นดับหายไปเสมือนสัญญาณบอกให้ดวงตาคู่นี้ลืมขึ้นอีกครั้ง
มาราอานลืมตาตื่นขึ้น เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก้มหน้ามองที่ลำคอ ไม่เห็นสร้อยคอนั้นที่ปรากฏในฝัน คงเป็นเพียงความฝันเท่านั้น เธอถอนหายใจและทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ไม่ทันสังเกตว่าที่บานหน้าต่างที่กำลังมีแสงยามเช้าลอดผ่านเข้ามา กระทบลงกับขอบโต๊ะหิน ส่องประกายสีฟ้าสว่างราวผิวมหาสมุทรที่มองจากเบื้องล่างของผืนน้ำ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 271
แสดงความคิดเห็น