ลำธารสีเลือดแห่งผู้วายชนม์ ต่างล้วนแล้วแต่บริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วทำไม
คำคืนอันยาวนาน แม้พยายามเบิกตาแต่ไม่อาจชนะความง่วงที่ประชิดตัวเข้ามาทุกวินาทีจนเผลอปล่อยเลยไปตามเลยในที่สุด เมื่อปราศจากซึ่งมนต์ศักสิทธิ์ก็มิต่างจากการไม่สวมใส่เครื่องแบบออกศึกในขณะออกศึก ผลที่ได้คือความโหดร้ายจากฝันชั่วนิรันดร์ เสียงร้องโหยหวนดังระงมทั่วพระราชวัง เชิญชวนให้ผู้พักอาศัยรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่สุดจะทนไหวของจักรพรรดิของพวกเขา ไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยเหลือใดๆ บานประตูที่เปิดอ้าของห้องแห่งหนึ่งภายในพระราชวัง สลักกลอนที่คล้องอย่างดีแตกหักอยู่บนพื้น ร่างที่ออกจากประตู กำลังเดินอยู่บนชั้นอาคารอย่างเงียบสงบ ยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ออกจากบานประตูตรงหน้า มือที่สัมผัสลงบนผิวประตูและผลักออก มองเห็นร่างที่ดิ้นไปมาอยู่บนเตียง แสดงออกถึงความทรมานอย่างที่สุด เป็นภาพที่แสนน่าเวทนานักสำหรับเขาผู้เป็นดั่งเจ้าแห่งโลก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งเห็นว่าทุกส่วนของร่างกายกำลังขยับไปมาอย่างรวดเร็ว มันคือฝันที่แสนทรมาน กระต่ายขนปุย ยอมทิ้งพ่อแม่ของมันเพราะคือการเสียสละเพื่อต่อหนึ่งชีวิตไปอีกสักระยะ ก่อนที่ฝูงหมาป่าจะเข้าขย้ำ ความเจ็บปวดแล่นอยู่ในร่างกายที่กำลังชักกระตุก ถูกคาบในปากของหมาป่าดุร้าย รอเวลาที่เข็มนาฬิกาชีวิตจะดับลง ร่วงลงสู่ปล่องภูเขาไฟ แขนสั้นที่ยื่นออกไปข้างหน้าหมายจะไขว่คว้าหาสิ่งอันว่างเปล่ากลายเป็นแขนของมนุษย์ก่อนจะสัมผัสกับบางอย่างที่อบอุ่นจากมือของใครอีกคนก่อนที่ภาพทั้งหมดจะสลายไป เปลี่ยนเป็นอีกฉากที่คุ้นเคย สวนดอกไม้อีเดนแห่งความลับ ที่ที่เขาจะได้ยินเสียงของเธอผู้ช่วยชีวิตเขาไว้ สวมกอดเขาด้วยจิตใจแห่งความสงสัยและอาลัย “จากนี้ไป....ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป เซนัล” เธอซุกหัวลงที่แผ่นอกกว้าง ร้อนฉ่าไปทั้งตัว “เจ้า....สงสารข้ารึ?” ดวงตาสีแดงยังคงมองตรงไปข้างหน้า “ใช่....เจ้าเด็กผู้น่าสงสาร” สายลมอ่อนๆพัดพากลิ่นหอมของดอกไม้ให้ฟุ้งกระจายไปทั่ว
ณ ป่าลึกแห่งหนึ่ง ไกลออกไปจากศูนย์กลางจักรวรรดิแห่งไฟ กำแพงรากไม้สูงชันราวกับกำแพงที่ถูกปิดบังอยู่ภายในความสูงของป่าลึก ฉากหน้าคือเถาวัลย์นับพันส่วนฉากหลังเป็นเพียงสิ่งหลอกตาเพื่อปิดบังกระท่อมเก่าขนาดกลาง ภายในมีชายคนหนึ่งยืนเกือบพิงกำแพงห้อง ใบหน้าก้มต่ำ อีกคนเดินงุ่นง่านไปมาด้วยความไม่สบายใจ มีเพียงหญิงสาวผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารที่ไร้จานข้าว ใบหน้าใจดีค่อนไปทางเย็นชาเสียมากกว่า “ท่านเอเลโอร่า นี่มันหมายความเช่นไรกัน?” โอฟาโพฟที่หยุดเดินหันมองเอเลโอร่า สีหน้าของเธอยังคงเรียบนิ่งกับคำถามของเขา “เหตุใดจึงมีข่าวว่าดอกไม้ของข้าอยู่กับมาร์เวทและดูเหมือนนางจะเป็นคนของมาร์เวทเต็มตัวมากกว่าจะเป็นผู้สังหารจอมปีศาจอย่างที่ท่านกล่าวเอาไว้?” น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจในตัวเอเลโอร่า “ใช่ ท่านแม่มดขาว ไม่ใช่ว่าท่านให้พรกับนางเพื่อให้นางกำจัดมาร์เวทเมื่อครั้งก่อนหน้าหรือ?” โวปามเองก็มีท่าทีร้อนรนและเป็นห่วงมาราอานไม่แพ้กัน ความเป็นห่วงที่เขาแสดงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้สะกิดใจโอฟาโพฟไม่น้อยดวงตาที่กำลังมองผิวน้ำนิ่งในแก้วน้ำควันกรุ “พรที่ฉันมอบให้แม่หญิงคงถูกเซเลียสลายไป” เพียงแค่ชื่อที่เปล่งเสียงออกมาทำให้ชายทั้งสองชะงัก “ปะ ปะเป็นไปได้ยังไง ท่านน่าจะมีพลังเวทย์มากกว่านางไม่ใช่รึ?” โอฟาโพฟไม่อาจปักใจเชื่อในสิ่งที่ได้ยินแต่เมื่อได้เห็นใบหน้าเย็นชาของเอเลโอร่ากำลังเบนลงถึงปักใจเชื่อ “เช่นนั้นพวกข้าควรทำเช่นไร? มาราอานตอนนี้อาจกำลังถูกควบคุมโดยเซเลียก็เป็นได้” จิตใจของโอฟาโพฟไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้” โทนเสียงของเธอเปลี่ยนไป กลายเป็นจุดสนใจของคนในห้อง “เพราะเซเลียได้หายไปจากโลกใบนี้แล้ว....ด้วยน้ำมือของมาร์เวทเอง”
ด้านนอก หลังตัวบ้านคือสวนดอกไม้ขนาดย่อมและชิงช้าที่ทำจากไม้และเถาวัลย์สวยงาม ยินำเบยืนครุ่นคิดบางอย่างในขณะที่ลูกศิษย์ของเขาโฟเอพเฟ กำลังออกแรงเหวี่ยงชิงช้าเล่นอย่างมีความสุขแต่ความสุขเพียงคนเดียวกลับไม่เติมเต็มให้เขาอย่างที่ต้องการจึงหยุด และเดินไปหาผู้เป็นอาจารย์ที่ยังทำหน้าเหมือนสงสัยอะไรบางอย่างเป็นอย่างมาก “ยังไม่หายสงสัยเรื่องนั้นอีกรึ ท่านอาจารย์?” เสียงเรียบเฉย ไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้ยินำเบเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของมหาอัครเทวทูตทั้งแปดรึไม่?” โฟเอพเฟพยักหน้า “มหาเทวทูตทั้งแปดคือผู้ให้กำเนิดพลังเวทย์ขาว เรื่องนั้นเป็นสิ่งพื้นฐานที่จอมเวทย์ขาวทุกคนต้องรู้ ท่านอาจารย์ต้องการหมายถึงสิ่งใดรึ?” “ข้าสงสัยว่าจะมีปีศาจตนใดที่ให้อำนาจเหนือยิ่งกว่าเวทมนต์ที่ถูกหยิบยื่นโดยตรงจากหนึ่งในมหาอัครเทวทูตที่ท่านอาจารย์มี” ดวงตาที่เบิกกว้างของโฟเอพเฟแสดงถึงความตกใจอย่างมากกับความลับของหญิงสีขาวคนนั้น “แต่เดี๋ยวก่อนท่านอาจารย์ หากที่ท่านกล่าวมาคือเรื่องจริงเช่นนั้นเหตุใดปรมาจารย์ถึงไม่ลงมือกำจัดมาร์เวทเสียเองล่ะ?” ยินำเบอึ้งไปชั่วขณะ “ข้าเองก็เคยสงสัยเช่นนั้นจนเมื่อท่านบอกกับข้าว่าพลังของท่านไม่ได้มีไว้เพื่อการเข่นฆ่า” ยินำเบถอนหายใจ “แต่กรยืมมือคนอื่นมาฆ่าแทนแบบนี้ก็เรียกว่าการเข่นฆ่ามิใช่รึ...!!” โฟเอพเฟอุทานด้วยความเจ็บปวดที่แล่นอยู่บนหัวอย่างจัง มันคือมะเหงกที่ผู้เป็นอาจารย์ประทานให้หนึ่งชุด “อย่าได้กล่าวคำนี้!!” โฟเอพเฟพยักหน้ารับ ใบหน้าแสดงออกว่าเสียใจกับการกล่าวอย่างพล่อยๆ “ถึงอย่างไรท่านผู้นั้นก็คงไม่โทษตัวเองง่ายๆที่ได้หลอกใช้แม่หญิงคนนั้นไปแล้วครั้งหนึ่ง”
“พรุ่งนี้กลุ่มจอมเวทย์ดำบางส่วนจะรวมตัวกันอย่างลับๆที่หุบเขาของสมาคมสีดำเพื่อสังหารผู้นำสมาคมคนปัจจุบันที่ได้กลายเป็นหุ่นเชิดของมาร์เวทโดยสมบูรณ์ และเนรมิตหุบเขาทั้งลูกให้กลายเป็นปราการที่จะใช้ต่อต้านจักรวรรดิแห่งไฟ” เอเลโอร่ากล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาและไร้อารมณ์ “พวกเราจะแฝงตัวในกลุ่มกบฏ ข้าเชื่อว่ามาร์เวทจะนำตัวมาราอานมาด้วยในวันพรุ่งนี้ ในฐานะของที่ปรึกษาคนใหม่ของจักรวรรดิแห่งไฟ” เธอยกแก้วขึ้นจิบน้ำอย่างใจเย็น “ข้าหวังว่าแผนครั้งนี้จะสำเร็จด้วยดี” โอฟาโพฟเดินออกจากห้องไปด้วยอาการไม่ค่อยสบอารมณ์ โวปามนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งซ้ายติดกับหัวโต๊ะที่เอเลโอร่านั่งอยู่ ยื่นหน้ามาใกล้นางเล็กน้อย “ได้โปรด สัญญากับข้าว่าท่านจะไม่ทำให้เธอเจ็บปวดแม้จะต้องเป็นเหยื่อล่อเพื่อสังหารมาร์เวท อย่าให้เธอได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่วินาทีเดียว” แววตาที่จริงจังของโวปามพานให้เอเลโอร่ายิ้มออกมา “ข้าให้คำสัจแก่เจ้า โวปาม” โวปามรู้สึกโล่งเป็นอย่างมากจึงแสดงความเคารพหญิงสาวและออกจากห้องไปอย่างสำรวม ใบหน้าเริ่มแสดงออกถึงความจริงจังทีละน้อย “ยกโทษให้ข้าด้วย ทั้งเจ้าและมาราอาน…” ดวงตามองจ้องผนังกำแพงอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะลุกออกจากห้องไปในที่สุด ทิ้งไว้เพียงแก้วน้ำสามใบภายในห้องอันเงียบสงบและปราศจากซึ่งแสงไฟ
เช้ามืดของวันต่อมา ณ หุบเขาสีดำ ความวังเวงอันเกิดจากแสงยามเช้าที่ยังไม่เติมเต็มพื้นที่เบื้องล่างทำให้เหมือนกำลังล่องหนอยู่ในความดำมืด และช่วยอำพรางกลุ่มผู้ประสงค์ร้ายจนสามารถขึ้นไปถึงปากทางเข้าสู่โลกอีกใบ ตั้งอยู่ต่ำกว่าปากทางเข้าห้องประชุมที่มาร์เวททำลายไป ภายในกลวงเหมือนเขาวงกตที่เต็มไปด้วยบ้านเรือนตลอดฝั่ง มีบันไดไม้เชื่อมแต่ละฝั่งอย่างซับซ้อน กลุ่มคนสวมชุดคลุมสีดำมีฮู๊ดปิดบังส่วนหัวอย่างมิดชิดเดินตามเส้นทางไปยังชั้นสูงสุดก่อนจะแบ่งจำนวนคนไปประจำที่บ้านแต่ละหลังทั้งหมดเจ็ดหลังและเข้าไปภายใน แสงสีดำลอดผ่านทุกช่องหน้าต่างของตัวบ้านตามด้วยเสียงต่อสู้ที่ดังเพียงชั่วครู่ ความมืดภายในหมู่บ้านถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากด้านบนที่ลอดลงมาจากปล่องขนาดใหญ่ มันคือแสงประกายของวันใหม่ที่มาถึง ณ สมาคมสีดำ
ผืนฟ้าคราม สัมผัสของสายลมที่กระทบใบหน้าอย่างรุนแรงจนต้องยกมือบังดวงตาที่หรี่ลง มาราอานและเอเฟเฟีย พวกเขากำลังนั่งอยู่บนแผ่นหลังที่ทำจากผลึกสีดำ มันกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่คุ้นเคย ไปยังหุบเขาสีดำอีกครั้ง “มาราอาน” เอเฟเฟียหันมองที่หญิงสาวผู้มองเขากลับอย่างสงสัย “ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขั้นในวันนี้ ข้ามิอยากให้เจ้าเก็บมันมาคิด เจ้าจักทำได้รึไม่?” มาราอานส่ายหัวทันควัน ทำเอาอีกฝ่ายไปต่อไม่ถูกและรู้สึกอึ้งกับการปฏิเสธโดยไม่ใยดีของนาง “เมื่อเจ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์แล้วก็จงยอมรับเสียว่าเจ้าจะไม่มีวันได้รับอิสระที่เคยมีอย่างแต่ก่อน เพราะนับจากวันที่เจ้ามาพบฝ่าบาท เจ้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความฝันของฝ่าบาท แม้ข้าจะไม่รู้เหตุผลที่เจ้าทำให้ฝ่าบาททรงเห็นฝันร้ายที่ทรงหวาดกลัวมากที่สุดเพื่อการใดแต่ข้ามิอยากให้ฝ่าบาททรงเห็นมันอีก” มาราอานรับฟังเงียบๆ ไม่มีท่าทางตอบสนองใดๆ “บางทีเจ้าอาจจะโกรธที่พระองค์ทรงเข่นฆ่าพ่อมดดำโดยไร้เหตุผล แต่สงครามมันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ทำตัวเจ้าเองให้เป็นดั่งความเย็นในฤดูเหมันต์คงมิใช่เรื่องยากอันใด” เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายรับฟังและอยากจะสื่ออะไรบางอย่างแต่เพราะไร้เสียงจึงไม่อาจทราบได้ ‘แม่หญิงคนนี้และอาจารย์ของนางล้วนแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสมาคมสีดำแต่อย่างใด เช่นนั้นแล้วทำไมนางจึงมีโทสะเมื่อเห็นผู้อาวุโสถูกฆ่ากัน?’ เอเฟเฟียคิดในใจ ใช้เวลาสำรวจความคิดของอีกฝ่าย นานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้แต่หางตาเริ่มมองเห็นสีดำทะมึนตรงหน้าแม้จะยังดูลางๆ
มังกรทมิฬยังไม่ทันถึงที่หมายพ่นไฟออกจากปาก น้ำตกสีฟ้าที่ร่วงหล่นลงสู่ปราการสีดำกลับไม่อาจเผาผลาญมันได้ และถูกบางสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นกีดกั้นเอาไว้และสะท้อนมันกลับไปหาเจ้าของ มังกรยักษ์สูดเปลวไฟทั้งหมดผ่านปากที่อ้ากว้าง บินโฉบลงพื้นเบื้องล่างอย่างรวดเร็วก่อนจะกลายสภาพเป็นมนุษย์ในชุดเกล็ดสีดำเต็มตัว แปรเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นชุดที่เขามักใส่อยู่ตลอดเวลา “ม่านมนต์ดำ” มาร์เวทยืนจ้องบรรยากาศอันว่างเปล่าตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนจะหันกลับมาที่ผู้ติดตามทั้งสองแต่เหมือนว่าสายตานั้นจะเล็งที่มาราอานเป็นพิเศษ “เจ้าคือแม่มดขาวที่สามารถหยุดฝันร้ายข้าได้ เช่นนั้นคงมิใช่เรื่องยากหากเจ้าจะทลายม่านมนต์ดำตรงนี้ไป ใช่รึไม่?” มาราอานรับฟังน้ำเสียงเย็นชาของมาร์เวทโดยไม่ออกอาการตอบโต้ใดๆ ดวงตาจดจ้องความว่างเปล่าตรงหน้าพลันยื่นมือออกไป ค้างอยู่ในท่านั้นเพียงครู่หนึ่งก่อนจะถอนมือออกและส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง “เจ้ากล้าโกหกข้ารึ?” มาร์เวทชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าที่เอเฟเฟียจะขยับเข้าไปห้ามทัน คมแหลมของดาบกรีดลงบนอากาศตรงหน้า เกิดเป็นเสียงคล้ายกระดาษที่ถูกฉีกอย่างรุนแรง
มาร์เวทเก็บดาบเข้าที่เดิม ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังมองผู้ติดตามทั้งสองและเดินตรงไปยังหุบเขาสีดำที่ตั้งตระหง่านและกำลังท้าทายอำนาจของเขาอยู่ เล็บยาวแหลมงอกออกจากมือทั้งสอง ตะปบออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงวัตถุที่กลิ้งหล่นลงพื้น หัวปริศนาและร่างที่ล้มลงอย่างไร้กำลัง เลือดกระฉูดอกจากส่วนที่ถูกบิดอย่างแรง กระนั้นขาคู่นั้นยังคงเดินต่อไป ไม่สนใจเสียงร้องตะโกนไม่เป็นภาษาของมาราอาน ใบหน้าคมเข้มแหงนขึ้นเล็กน้อย กำหมัดและชกมันออกไปข้างหน้าที่ว่างเปล่าก่อนจะปรากฏร่างในชุดคลุม ท้องเชื่อมกับมือของมาร์เวทและพอแหงนคอขึ้น ดวงตาสีแดงมองเห็นจุดสีดำมากมายที่กระจายทั่วผิวภูเขาและกำลังพุ่งเข้ามา ไม่ต่างจากเครื่องดนตรีที่ดังอย่างผิดจังหวะ ควันจำนวนมากปะปนกับเศษดินคลุ้งไปทั่วบริเวณแต่ใช่ว่าจะการันตีจุดจบของมาร์เวท เหล่าจอมเวทย์ดำตั้งท่ารวบรวมพลังไว้ที่มือ พร้อมสำหรับการโจมตีระรอกสองแต่สายเกินไป คอของพวกเขารวมถึงหัวและร่างกายทุกส่วนถูกแทงด้วยของมีคมจนพรุนไปทั้งตัว ทยอยร่วงลงจากที่สูง ไม่ต่างจากแมลงเม่าที่บินเข้าหาเปลวไฟจากดวงอาทิตย์เพราะสุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นเพียงแมลงเม่า ปีกงอกจากแผ่นหลังและสยายออก ทิ้งแรงลมกระโชกให้คนทั้งสองที่ยืนมองด้วยอารมณ์ที่แตกต่างจนล้มลง มาร์เวทในร่างมนุษย์ติดปีกบินหายเข้าไปในปากภูเขาตามคำเชื้อเชิญอันเงียบงัน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 317
แสดงความคิดเห็น