สาส์นจากผู้คุมประชาชน
วิลเลี่ยมหยุดเดินที่หน้ารถม้า มือยังกำแขนอีกฝ่ายแน่นจนรู้สึกแรงกระตุกจากอีกฝ่าย “อ๊ะ---ขออภัยขอรับฝ่า...” วิลเลี่ยมปล่อยมือ “นี่คุณ....” “โทมัส!!” โทมัสรู้สึกถึงกำแพงขนาดใหญ่ที่เข้ามาขวางทางระหว่างตัวเขาไว้ ส่งดวงตาที่ไม่เป็นมิตรออกไป แม้จะถูกคุกคามแต่วิลเลี่ยมยังเต็มไปด้วยความสุขุม “คุณเป็นใครครับ?” “วิลเลี่ยมครับ นักเรียนปีหนึ่งครับ” รอยยิ้มของเขาไม่อาจซื้อความเชื่อใจจากอีกฝ่ายได้ “ทำไมถึงพาคุณโทมัสมาถึงที่นี่ มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือเปล่าครับ?” พูดเหมือนวิลเลี่ยมมีแผนจะทำอะไรไม่ดีกับโทมัส วิลเลี่ยมยังไม่เสียรอยยิ้มบนใบหน้า “เอาไว้คุยกันหลังจากพวกเราหาที่ลับๆ ได้แล้วจะดีกว่านะครับ” วิลเลี่ยมเดินเข้ามาหาซาคาเรียส สร้างความกดดันอย่างมากจนเขาเผลอยกมือตั้งการ์ด วิลเลี่ยมอมยิ้มอย่างมีความสุข ใบหน้าโน้มเข้ามาใกล้ๆ กระซิบบางอย่างที่โทมัสได้ยิน “ถ้าไม่อยากให้คนขับรถรู้ว่าคุณโทมัสคือเจ้าชาย” วิลเลี่ยมถอยหลังเพียง 3 ก้าวก็ถึงประตูรถม้า เปิดมันออกต้อนรับเพื่อนใหม่สองคน แม้จะไม่เต็มใจแต่ก็ช่วยไม่ได้เมื่อโทมัสยอมเดินขึ้นไป
ช่วงเวลาพักกลางวันที่แสนสั้นของใครหลายคนกลับเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานของคน 3 คนที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้สูง ไกลจากลานน้ำพุมังกร สถานที่แห่งแรกที่พวกเขาใช้แลกเปลี่ยนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในความเงียบงันของช่วงเวลาพักกลางวัน “เหตุผลที่ผมหยุดพวกคุณไม่ให้เลือกข้างกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสเป็นเพราะผมรู้ว่าคุณโทมัสคือใคร” วิลเลี่ยมเปิดประเด็น “มันคงน่าฉงนใจถ้าหากผู้เป็นทายาทของผู้ก่อตั้งกลุ่มจัสติคจะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มฟอร์เทร็ซเซสผู้โค่นล้มความยิ่งใหญ่ของจัสติคในอดีต” โทมัสขมวดคิ้ว อยู่ๆ ก็พูดเข้าเรื่องที่ไม่รู้มาก่อน ‘ทายาทของกลุ่มจัสติค...’ ไม่ใช่แค่เขาแต่ซาคาเรียสเองก็เกิดความสงสัย ซักถามไปๆ มาๆ จึงได้คำตอบที่น่าสนใจเพราะวิลเลี่ยมก็เป็นหนึ่งในทายาทของผู้ก่อตั้งกลุ่มจัสติค เชื่อมโยงไปถึงผู้เป็นพ่อของโทมัสและวิลเลี่ยม “หลังจากการสร้างกลุ่มจัสติค พวกเขาได้ประกาศนโยบาย….” “พอก่อนครับ” วิลเลี่ยมและซาคาเรียสต่างมีสายตามองไปที่เจ้าของเสียงเมื่อครู่ โทมัสลุกขึ้นยืน “ฟังดูคร่าวๆ เห็นแต่จะเป็นเรื่องของบิดาของพวกเรา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราแม้แต่น้อย” “แต่ว่า...” “เราไม่ได้มาที่โรงเรียนแห่งนี้เพื่อสาส์นต่อเจตจำนงของกลุ่มทิ่บิดาของเราและของคุณเป็นผู้ตั้ง” โทมัสสั่งให้ซาคาเรียสเก็บสำรับข้าวกลับเข้าไปในกล่องสี่เหลี่ยมสีดำที่ห้อยอยู่ตรงเข็มขัดก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินขึ้นอาคารเรียนไป ทิ้งให้วิลเลี่ยมหน้าเหวอ เขาถอนหายใจอย่างหนักใจก่อนจะวิ่งตามพวกนั้นไปในที่สุด
ช่วงบ่ายของการเรียนวิชาศาสตร์ไอเทมในชีวิตประจำวัน นักเรียนในคลาสของอาจารย์เดเมียนต่างนั่งฟังการบรรยายครึ่งหลังเกี่ยวกับวิธีจำแนกลักษณะไอเทมพลังจิตทั้งที่มาจากมนุษย์สร้างและเกิดขึ้นจากธรรมชาติ สาระสำคัญค่อนข้างชวนหลับได้เป็นอย่างดี คงเพราะความไม่หวือหวาในการสอนเหมือนเมื่อเช้าและยังเต็มไปด้วยทฤษฎีที่ยากแก่การเข้าใจอีกด้วย “วันนี้พอแค่นี้ก่อนครับ” นักเรียนบางส่วนเริ่มลุกขึ้น “ยังไม่อนุญาตให้กลับครับ” เสียงอันน่าเกรงขามของเขาทำเอานักเรียนที่กำลังเดินออกจากโต๊ะรีบวิ่งกลับมานั่งด้วยความกลัว “มีใครอาสาเป็นหัวหน้าห้องรึยังครับ?” ความเงียบงันบังเกิดอย่างฉับพลัน เมื่อไร้ซึ่งผู้อาสา ก็ช่วยไม่ได้ที่ผู้เป็นอาจารย์จะต้องใช้วิธีสุดท้าย เดเมียนควักเหรียญทองขึ้นมากำไว้ในมือครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มก้าวลงจากเวที เดินตรงไปที่โต๊ะตัวแรกหน้าเวที ยื่นเหรียญทองให้นักเรียนที่นั่งประจำเก้าอี้ตัวแรกและสั่งให้ส่งต่อไปเรื่อยเรื่อยจนกระทั่งถึงโทมัส เขามองเหรียญทองบนมือของเพื่อนร่วมชั้นอย่างสุขุมแต่ใครจะรู้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บหน้าอก
“ผมอาสาครับ” วิลเลี่ยมยกมือขึ้น เสี้ยววินาทีนั้นเขากลายเป็นดาวเด่นประจำห้องเรียนในทันที “เท่านี้ก็ได้หัวหน้าห้องกันแล้วนะครับ” โทมัสรู้สึกสับสน เหมือนกับว่าวิลเลี่ยมพยายามช่วยเขา เหมือนกับรู้ว่าหากเหรียญนั้นสัมผัสที่ฝ่ามือที่สั่นเทาของเขาจะเกิดบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว อย่างน้อยก็สำหรับเขา
นักเรียนต่างทยอยออกจากห้องอย่างเป็นระเบียบ เหลือแต่พวกโทมัส วิลเลี่ยมเก็บของใส่กระเป๋าหนังอย่างสบายใจ หันไปส่งยิ้มให้โทมัสและซาคาเรียส ชั่ววินาทีที่เขากำลังจะก้าวออกจากห้อง เขารู้สึกถึงจังหวะที่เปลี่ยนไปในความเงียบ วิลเลี่ยมเอียงคอกลับไปมองชั่วขณะ เป็นโทมัสและซาคาเรียสที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา “ครับ?” วิลเลี่ยมแสดงใบหน้าถนัด งุนงงกับสายตาที่ดูโกรธเกรี้ยวมากกว่าเป็นมิตรของโทมัส “ทำไมถึงช่วยเราครับ?” น้ำเสียงนั้นดุดันจนฟังเผินๆ เหมือนหาเรื่องมากกว่าจะถามเฉยๆ “ไม่รู้สิครับ” วิลเลี่ยมยิ้มเล็กๆ “อย่ายุ่งกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคุณจะดีกว่าครับ” โทมัสทิ้งท้ายไว้แบบนั้นแล้วเดินจากไป เหลือเพียงซาคาเรียสที่ยิ้มให้วิลเลี่ยมเหมือนการปลอบใจก่อนจะรีบวิ่งตามโทมัสไป
“กระผมว่าพระองค์ทรงกล่าวรุนแรงกับคุณวิลเลี่ยมเกินไปนะขอรับฝ่าบาท” ซาคาเรียสกล่าว เขาและโทมัสนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่มีเสียงตอบจากอีกฝ่าย ทำเอาซาคาเรียสไปต่อไม่ถูกเช่นกัน
สิ่งแรกที่โทมัสทำหลังจากกลับถึงพระราชวังไม่ใช่การปรี่ตรงเข้าห้องนอนหรือห้องฝึกดาบแต่เป็นหอนั่งเล่น เขาพยักหน้ารับคำทักทายของทั้งราชองครักษ์หน้าประตูห้องและผู้ดูแลหอ ไม่มีใครคิดว่าจะได้เจอเขาที่นี่ โทมัสเดินตรงไปที่โต๊ะนั่งเล่น แอ่นตัวบนเก้าอี้นุ่มสีแดง ตามองทอดยาวที่ฝั่งตรงข้ามราวกับกำลังมองเห็นสิ่งที่สะท้อนอยู่ในกระจกเพียงแต่ไม่ปรากฏตัวเขาอีกคน คิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากันอย่างช้าๆ แสดงออกถึงความคิดบางอย่างอันน่าหนักใจ ชั่ววินาทีที่กำลังคิดบางสิ่งหนักสมอง สายตามองเห็นความว่างเปล่าตรงหน้าที่กำลังบิดเบือน ถูกแต่งแต้มสีสันที่จำกัด
“วันแรกที่โรงเรียนหลวงทำให้พระองค์ทรงมีพระพักตร์เยี่ยงนี้เลยรึเพคะฝ่าบาท?” หญิงชราในชุดคลุม ก้มหน้าในขณะเอ่ยถามชายผู้สูงศักดิ์ โทมัสเบนหน้าขึ้นมองใบหน้าเหี่ยวย่น สายตาของเขาดุดันกว่าเดิมอย่างน่าประหลาด มาเรียหลับตาลงทันใด “เพคะฝ่าบาท” ทันทีที่เธอกล่าวจบ ภาพรอบตัวโทมัสพลันบิดเบี้ยวไปหมด มีแต่เขาและมาเรียที่ยังมีสภาพตรงในขณะที่ภาพโดยรอบเปลี่ยนไป
ลมหายใจเข้าออกถี่ตลอดเวลาทั้งที่ห้านาทีที่แล้วและจนตอนนี้ก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม โทมัสเหลือบตามองมาเรีย เธอยังคงยืนอยู่กับที่ “ที่เหลือเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากความทรงจำของดิฉันเพคะฝ่าบาท” “ขอบคุณครับ” โทมัสเดินออกจากห้องไปทันใด ไม่ได้เห็นว่ามาเรียกำลังมองตามเขาจนกระทั่งประตูบานคู่ปิดลงอีกครั้ง
ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม นึกถึงเรื่องที่ได้ฟังแม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ความรู้สึกมากมายสุดท้ายเผลอหลับไปพร้อมกับแสงบนเพดาน รู้สึกตัวอีกทีเพราะแสงที่กลับมาสว่างอีกครั้ง เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง เป็นซาคาเรียสที่ถือถาดไม้ เหมือนจะออกจากห้อง “ต้องขออภัยขอรับฝ่าบาท กระผมคิดว่าพระองค์วาดภาพอยู่ พอเข้ามาเห็นห้องมืด กระผมตกใจนึกว่าพระองค์...” “ขอบคุณสำหรับนมร้อนครับ” โทมัสไม่ได้มองหรือได้กลิ่นแต่ความคุ้นชิน ไอร้อนจากแก้วและเหยือกที่ถูกเติมเต็มด้วยสีขาว วางอยู่บนโต๊ะไม้กลมข้างกระดานไม้สี่เหลี่ยม “ด้วยความยินดีขอรับฝ่าบาท” ซาคาเรียสยิ้ม เป็นความสุขของการทำงาน
ซาคาเรียสยืนนิ่งที่หน้าประตู หันหน้ากลับมาที่ร่างที่กำลังเดินไปที่โต๊ะอย่างนิ่งสงบ “ฝ่าบาท กระผมเพิ่งนึกได้จึงอยากกล่าวกับพระองค์ตอนนี้ขอรับฝ่าบาท” โทมัสหันมองซาคาเรียสด้วยความสงสัย ใบหน้านั้นให้ความรู้สึกถึงเรื่องที่น่าจะสำคัญ
“มานั่งก่อนสิครับ” โทมัสเดินไปนั่งที่โต๊ะรับรองพร้อมซาคาเรียส “ฝ่าบาท นักเรียนที่ชื่อวิลเลี่ยม” โทมัสขมวดคิ้ว “กระผมคิดว่าผมเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน คิดอยู่นานในที่สุดกระผมก็นึกออกว่าเขาคือพระสหายสมัยก่อนของพระองค์ขอรับฝ่าบาท” คิ้วขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม “เพื่อนสมัยก่อนของผมหรือครับ?” เขาแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี “ใช่แล้วขอรับฝ่าบาท ตอนนั้นพระองค์ทรงมีพระสหายที่สนิทที่สุด 3 คน และยังเป็นกลุ่มเพื่อนที่เรียนด้วยกันตั้งแต่ตอนอยู่ที่โบสถ์กับไฮ พรีสท์ ลอว์เลนซ์ ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะได้เจอกันและยังเรียนห้องเดียวกันด้วยขอรับฝ่าบาท” ซาคาเรียสกล่าวไปยิ้มไปอย่างมีความสุข “แล้วคนที่สามล่ะครับ” โทมัสถามต่อ ใบหน้าแสดงออกอย่างสนใจ “ต้องเห็นหน้าก่อนถึงรู้ขอรับฝ่าบาท ที่จำได้คือเป็นผู้หญิงขอรับฝ่าบาท” โทมัสไม่ได้แสดงใบหน้าสนใจที่จะถามต่อ “ครับ เรื่องของวิลเลี่ยมจะยังไงก็แล้วแต่ แต่ผมไม่อยากให้พี่ชวนผมเข้าเป็นส่วนหนึ่งเวลาที่คุยกับเขานะครับ” ชั่ววินาทีนั้นโทมัสเห็นใบหน้าที่สับสนของของซาคาเรียส “แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมกำลังห้ามไม่ให้พี่คุยกับเขานะครับ” ซาคาเรียสแสดงออกอย่างโล่งใจแต่เพียงชั่วครู่ก็กลับมามีสีหน้าปกติเหมือนเดิม
“หากฝ่าบาทไม่ประสงค์จะสร้างความสัมพันธ์กับคุณวิลเลี่ยม กระผมก็จะไม่ทำเช่นกันขอรับฝ่าบาท” โทมัสถอนหายใจ ไม่รู้ว่ามันหมายถึงการที่เขารู้สึกโล่งใจที่ซาคาเรียสคิดแบบนั้นหรือหน่ายใจกันแน่ “ไม่ใช่แบบนั้นแต่ก็เอาเถอะครับ” ซาคาเรียสแสดงความเคารพ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เขาหันกลับมา “ฝันดีขอรับฝ่าบาท” บานประตูเลื่อนกลับมาลงกลอน โทมัสเบนหน้าขึ้นมองเพดาน แสงสีขาวนวลบนนั้นให้ความรู้สึกเหมือนได้มองดวงอาทิตย์ยามเช้าก็มิปาน
ในห้องเรียนช่วงเช้า เสียงสนทนายังคงดังอยู่อย่างงั้น โทมัสมองวิชาเรียนวันนี้ ศาสตร์ธาตุพื้นฐาน สอนโดยอาจารย์โบนกิน นิโคลัส ฟังจากชื่อไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยแต่อย่างใด “สวัสดีครับ” โทมัสเอียงหน้ามอง วิลเลี่ยมและรอยยิ้มอันเป็นมิตรของเขา ดูเหมือนจะเพิ่งมาถึง “สวัสดีครับ” ไม่ใช่แค่เขาแต่ซาคาเรียสก็ทักกลับไปด้วย
วิลเลี่ยมเดินผ่านเก้าอี้ซาคาเรียสก่อนจะหยุดลงอย่างมีนัยยะ “จะเป็นอะไรไหมถ้าผมจะขอนั่งข้างคุณครับ?” ไม่ใช่คำขอที่ทำให้ซาคาเรียสหนักใจแต่เป็นเพราะเรื่องเมื่อคืน "เอ่อคือ…." “นั่งเลยครับ พวกเรายินดี” โทมัสกล่าวเสียงเรียบ “ขอบคุณครับ ผมนึกว่าเรื่องเมื่อวานจะทำให้พวกคุณปฏิเสธคำขอของผมเสียอีก” วิลเลี่ยมผ่อนลมหายใจออกอย่างมีความสุข “เรื่องเล็กน้อยแค่นั้นเองครับ อย่าใส่ใจเลย” ซาคาเรียสรีบกล่าวอย่างถ่อมตน
โทมัสหยิบนาฬิกาพ็อกเก็ตขึ้นดูเวลา เหลืออีกครึ่งชั่วโมง เป็นครึ่งชั่วโมงแห่งความอึดอัด ไม่ใช่สำหรับซาคาเรียสแต่เป็นเพียงคนเดียว สิบนาทีแรกสองคนนั้นเข้าขากันดีอย่างกับรู้จักกันมานาน ไม่เหมือนกับเขาที่เป็นอดีตเพื่อนสนิทของวิลเลี่ยมโดยตรงแต่กลับจำไม่ได้ถึงความทรงจำอันแสนหอมหวนครั้งในอดีต ใบหน้าที่เรียบนิ่งดั่งก้อนน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็วกับเสียงสนทนาอย่างมีความสุขของคนข้างๆ ทั้งที่พยายามให้ความสนใจกับเสียงรอบข้างมากกว่าแต่ก็ยังได้ยินอยู่ดี
ที่สุดแล้วเขาก็ได้ยินเสียงที่แตกต่าง อาจารย์โบนกินมาแล้ว เขาคิดแบบนั้นแต่สิ่งที่ได้เห็นกลับไม่ใช่ร่างตัวสูงในชุดเครื่องแบบอาจารย์แต่เป็นชุดนักเรียน เดินมาเป็นกลุ่ม ที่สำคัญคือผ้าคลุมของคนพวกนี้ไม่มีสัญลักษณ์ที่ด้านหน้าแต่เป็นด้านหลัง รูปร่างคล้ายกับหัวของหมูป่า ถักด้วยด้ายทองอย่างดี ทั้งกลุ่มขึ้นไปยืนบนเวทีพลันเสียงที่ดังอยู่ในห้องเงียบไปโดยฉับพลัน
“พวกเราคือผู้ส่งสาส์นจากผู้คุมประชาชน สาขาหมูป่า ฟังให้ดีนักเรียนหลวง หากใครมีเบาะแสเกี่ยวกับเจ้าชายฟรานซิสโก้ ให้แจ้งให้พวกเราหรือสมาชิกสาขาหมูป่าทราบโดยไว”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 338
แสดงความคิดเห็น