บทที่ 9 ตำนาน
บทที่ 9 ตำนาน
ณ สถานที่ที่แสนห่างไกล เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีดำอายุประมาณ 16 กวาดมองรอบๆบริเวณอย่างสงสัยใคร่รู้ นี่เป็นวันที่ 2 ที่เขาได้มาฝึกวิชาเพียงลำพัง อีกไม่นานก็จะใกล้วันเปิดภาคเรียนโรงเรียนเวทย์มนต์อีกครั้ง ถึงแม้เขาจะไม่สนใจว่าโรงเรียนเวทมนต์จะเป็นยังไง
แต่ด้วยหน้าที่ที่เขาถูกบังคับทำให้เขาต้องเข้าโรงเรียนแห่งนั้น สำหรับเขาที่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้อย่างคล่องแคล่ว โรงเรียนแห่งนี้ก็เหมือนกับการฆ่าเวลาไปวันๆ ความสามารถที่มากล้นของเขาทำให้เด็กหนุ่มไม่อยากจะสนใจเรียนในโรงเรียนนี้มากนัก
สัตว์อสูรที่นอนตายกลาดเกลื่อนทำให้เขารู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ หากจะถามว่าพวกมันล้มตายด้วยสาเหตุใดนั่นก็เป็นเพราะว่าการฝึกซ้อมของเขานั่นเอง
ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง เสียงของน้องสาวก็เรียกเขาทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมอง
“พี่เนกิ เลิกฝึกแล้วมากินข้าวได้แล้ว พรุ่งนี้หนูคิดว่าหนูจะไปบ้านของอาสึนะ ได้ข่าวว่าอาจารย์ไอยรากลับมาแล้ว”
เนกิเงยหน้าไปมองน้องของตน “รู้ได้ยังไง อาสึนะโทรมาบอกอย่างนั้นหรอ”
“ไม่ใช่ วันนี้เป็นวันที่ 4 ก่อนที่จะถึงวันสอบเข้าโรงเรียนเวทมนต์ อาจารย์ไอยราเป็นคนคุมสอบ ดังนั้นมันเป็นไปได้ที่อาจารย์จะกลับมาในวันนี้ การเดินทางไปชายแดนมันไม่ได้ไกลขนาดนั้น ถ้าอาจารย์กลับมากับน้องชายและน้องสาวของอาจารย์อาจารย์น่าจะใช้เวลาประมาณนี้แหละ”
เนกิสบัดมือ ทันใดนั้นเองสัตว์อสูรเวทมนตร์ก็พลันหายไป “อย่างนั้นหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ พี่ยังมีที่อยากจะสอบถามอาจารย์อีกตั้งเยอะตั้งแยะ”
น้องสาวของเนกิยิ้ม “ถ้าจะให้เดา พี่คงเจ็บใจมากสินะที่แพ้อาจารย์ไอยรา แต่ว่าถึงแม้พี่จะเป็นอัจฉริยะแต่พี่ก็มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ได้แค่ธาตุเดียว แต่อาจารย์น่ะมีเวทมนตร์ทั้ง 2 ธาตุ ต่อให้พี่จะแพ้อาจารย์มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก”
เนกิยิ้ม ก่อนที่จะส่ายหัวปฏิเสธความคิดของน้องสาว “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกนนะ สิ่งที่พี่อยากจะถามอาจารย์ก็คือทำยังไงให้เพจของพี่มีพลังมากขึ้นต่างหาก เรื่องธาตุของเวทมนตร์น่ะเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่อย่าลืมว่าพวกเราก็สามารถแปลงคุณสมบัติเวทมนต์ได้ การมีพลังธาตุเยอะไม่ใช่ข้อดีของนักเวทย์ สำหรับความคิดของพี่มันออกจะเป็นข้อเสียด้วยซ้ำ เพราะว่า ถ้ามีธาตุในร่างกายหลายธาตุการฝึกพลังธาตุก็จะทำได้ช้า การเข้าใจพลังมืดมนก็จะยิ่งช้าขึ้นทำให้การพัฒนาพลังเวทย์ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ ถ้าจะเป็นนักเวทย์ระระดับนักเวทฝึกหัดหรือนักรบเวทย์ก็เป็นไปได้”
เขาหยุด ก่อนที่จะมองน้องสาวของตน “แต่ว่า สำหรับผู้ที่ต้องการเป็นจักรพรรดิเวทมนตร์ การมีพลังธาตุในร่างกายเยอะมันเสียเวลา”
—------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ณ อดีตกาล โลกใบนี้ไม่เคยปรากฏสัตว์อสูรที่แสนร้ายกาจ ผู้คนต่างใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข ถึงแม้จะมีผู้คนที่มีพลังเวทมนต์แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพลังเวทย์ ผู้คนพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม
แต่ว่าความสงบสุขนั้นก็มีไม่ได้ยาวนาน การไล่ล่า - ลาเพื่อแย่งชิงพลังงานก็เกิดขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่ต้องการเป็นใหญ่ในโลกที่แสนกุลาหล ทำให้โลกนี้จากเดิมที่มีทุ่งหญ้าที่แสนสวยสดงดงาม ต้นไม้ที่เขียวขจีสัตว์ป่าที่ไม่ผิดแปลก และไม่ร้ายกาจกับถูกทำลายลง
โลกใบนี้เต็มไปด้วยมลพิษ ที่เกิดจากสงครามที่มนุษย์ต่างแย่งชิง กัมมันตรังสีปะปนไปยังแม่น้ำลำธารจนผู้คนไม่สามารถใช้ดื่มกิน สัตว์ต่างๆเริ่มล้มตายไปอย่างช้าๆ ในขณะที่มวลมนุษย์กำลังเข้าสู่ความสิ้นหวัง ได้มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าเขามาจากที่ใด ไม่มีใครรู้จักใบหน้าที่อยู่ในหน้ากาก รู้เพียงแต่ว่าบุรุษหนุ่มคนนั้นมีดวงตาสีฟ้าสดใส ผมสีทองยังเงางามเป็นประกาย ครอบครัวตัวของเขาจะมีหญิงสาวทั้ง 3 นาง
หญิงสาวคนแรกมีผมสีทองผิวสีแทนใช้อาวุธคือดาบสีแดงเพลิง หญิงสาวคนที่ 2 มีผมสีน้ำตาลใช้คทาเวทย์มนต์ที่สามารถอัญเชิญสัตว์อสูร ส่วนหญิงสาวคนที่ 3 ต่อนมีใบหน้าสะสวยแววตาสีฟ้าคราม มีบางคนก็เรียกก่อหล่อนว่าเทพธิดา มีบางคนก็เรียกเธอว่าพระเจ้า เนื่องจากลอนดอนมีความสามารถในการรักษาและคืนชีพให้กับมนุษย์
จากเดิมที่มนุษย์กำลังแย่งชิงพลังงานและกำลังทำศึกสงคราม เมื่อเจอหน้าพวกเขาคนที่กำลังทำสงครามก็ถูกชายหนุ่มนัยตาสีฟ้าผมสีทองทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์จนสิ้น
ผู้คนที่บ้าคลั่งสงครามถูกชายหนุ่มสังหารชีวาไปจนเกือบหมดโลก ส่วนผู้ที่ใฝ่ฝันถึงสันติภาพก็ถูกชายหนุ่มผู้นี้ช่วยเหลือ โลกใบนี้เมื่อก่อนเคยมีสงครามแต่ว่าหลังจากการช่วยเหลือของชายหนุ่มก็เริ่มเกิดความสงบสุข
อาณาจักรต่างๆที่เคยรบราฆ่าฟันถูกชายหนุ่มคนนี้กำจัด ตามตำนากว่าว่าเขาตั้งตนเป็นราชาของโลก หลังจากงั้นก็ถ่ายทอดเวทมนตร์ให้กับคนบนโลกใบนี้ ตามตำนานว่ากันว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มาจากมิติอื่น บ้างก็ว่าเขาคือลูกของพระผู้เป็นเจ้าที่กำเนิดยังโลกใบนี้ ส่วนเทพีทั้ง 3 นั้นก็คือองครักษ์ของเขา
แต่กลับมีอีกตำนานหนึ่งที่ได้กล่าวไว้ว่า ทั้งสงครามของอาณาจักรต่างๆและเรื่องทั้งหมด ผู้คนที่ต้องฆ่ากันและทรัพยากรที่ถูกแย่งชิง นั่นเป็นแผนการของชายหนุ่มผู้นี้ เขาคือผู้ที่ถูกส่งมาจากนรกเพื่อให้ทำลายล้างโลก หลังจากนั้นจึงฟื้นฟูโลกขึ้นมาใหม่ เขาคืออสุราที่แสนร้ายกาจ
อย่างไรก็ตามก่อนที่ชายหนุ่มจะหายตัวไป เขาได้กำหนดพลังระดับของโลกเวทย์มนต์อยู่ไว้ 5 ระดับ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานของนักเวทมนตร์ของโลกใบนี้ หลังจากที่นักเวทย์ทุกคนสามารถเข้าใจระดับพลังเวทย์ชายหนุ่มผู้นี้ก็หายไปราวกับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้
ตามตำนานได้กล่าวไว้ว่าแม้ผู้คนจะพยายามหาจักรพรรดิและองครักษ์ของเขา แต่ว่าก็กลับไม่พบแม้แต่ร่องรอย ราวกับว่าบุรุษหนุ่มและ 3 สาวได้หายตัวไปจากโลกใบนี้อย่างถาวร
อาสึนะหยุด ก่อนที่จะหันไปมองหน้าของมาย “เป็นไงบ้างนิทานที่พี่เล่าสนุกหรือเปล่า”
มายพยักหน้า “สนุกมากเลยค่ะ นี่คือตำนานของจักรพรรดิเวทมนตร์รุ่นแรกอย่างนั้นหรอ สุดยอดเลยนะคะคนที่เป็นจักรพรรดิเวทมนตร์ สามารถปกครองผู้คนนับหมื่น”
อาสึนะยิ้ม เธออยากจะบอกเด็กสาวตรงหน้าจริงๆว่าเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั้นมันก็เป็นแค่ตำนาน ที่ถูกเขียนเมื่อนานมาแล้ว แต่ว่าเมื่อเธอมองเห็นสีหน้าที่เอาจริงเอาจังของเด็กสาว อาสึนะกลืนคำพูดลงลำคอก่อนที่จะพยักหน้ารับ
“พี่ก็คิดอย่างนั้น ว่าแต่มายอยากจะเป็นจักรพรรดิเวทมนตร์หรือเปล่า”
มายสั่นหน้า “ไม่เอาอ่ะ หนูไม่อยากเป็นจักรพรรดิเวทมนตร์ หนูอยากเป็นนักดนตรีที่ใช้เวทมนต์มากกว่า นักดนตรีเวทมนตร์ดีจะตายเวลาคนเศร้าคนเหงาก็เล่นเพลงให้เขาฟัง นักดนตรีเวทคือสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจของคนอื่น”
“มายชอบเล่นดนตรีเวทยังงัืนหรอ”
มายพยักหน้ารับ ก่อนที่เด็กสาวจะชูนิ้วขึ้นมา แล้วทำท่าบรรเลงเพลงราวกับว่าเธอกำลังเล่นเปียโนอยู่ “หนูฝึกเล่นเปียโนที่บ้านทุกวันเลย ย่าแอนนาเป็นคนสอน”
อาสึนะมองท่าทางของมาย เมื่อก่อนเธอก็อยากเล่นดนตรีเวทมนต์เหมือนกัน เมื่อเธอมองท่าทางของเด็กน้อยตรงหน้าเธอก็อดนึกถึงตนเองในอดีตไม่ได้“ห้องพี่ก็มีเปียโน เหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นหลังจากพวกเราอาบน้ำเสร็จพวกเราไปเล่นดนตรีเวทมนตร์ด้วยกันเถอะ”
มายพยักหน้า ท่าทางที่ดูสนิทสนมของเด็กทั้งสอง ทำให้ไอรู้สึกดีใจอย่างประหลาด หญิงสาวมองไปยังข้างนอกที่มีน้องชายของตนเองกำลังทำบางสิ่งอยู่ เมื่อเธอเห็นว่าน้องชายของเธอทำอะไรหญิงสาวก็อดตลกๆใจไม่ได้
ไบรท์หลับตาและสูดหายใจช้า ๆ เขาพยายามสัมผัสกับพลังประหลาดที่ประเดประดังเข้าสู่ร่างกาย ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเด็กน้อยก็ทราบโดยสัญชาตญาณ เมื่อตอนนี้พลังธาตุในร่างกายของเขาได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหมือนครั้งแรกที่เขาสามารถใช้พลังไฟได้ ความรู้สึกถึงพลังเวทย์ลมนั้นได้ประเด็ประดังเข้าสู่แกนเวทมนตร์ของเขา หลับตาดูเขาก็พบว่าตอนนี้การเวทของตนเองนอกจากธาตุไฟแล้วยังมีธาตุลมปรากฏอยู่ ถึงพลังธาตุลมนั้นจะมีไม่มากนัก แต่ว่าหากมีเพียงเท่านี้เขาก็สามารถใช้พลังธาตุลมได้
เขาพยายามสูดหายใจและสัมผัสพลังงานธรรมชาติ ก่อนที่จะตัดสินใจแบมือและรวบรวมพลังลมไว้ในฝ่ามือ ตอนแรกความพยายามที่เขากำลังทำนั้นไม่ได้เป็นผล แต่เมื่อลองไปสัก 20 30 รอบดึกไบรท์ก็พบว่าตอนนี้สายลมเบาบางกำลังก่อตัวขึ้นที่ฝ่ามือของเขา
“รู้สึกว่าการฝึกพลังธาตุแต่ละครั้งจะให้ผลสัมฤทธิ์ต่างกันครั้งแรกที่เราฝึกรวบรวมเปลวไฟไหม้ในฝ่ามือ เราก็จะรวบรวมเป็นไฟได้ใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน ถามว่าครั้งนี้เรารวบรวมสายลมบนอากาศใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที ถ้าข้อสันนิษฐานของเราถูกต้องคนที่ฝึกพลังธาตุธาตุใดธาตุหนึ่งแล้ว เมื่อร่างกายมีพลังถ้าตื่นก็จะสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว’
สิ้นข้อสันนิษฐาน เขาก็หลับตาอีกครั้งพร้อมกับพยายามจินตนาการเปลี่ยนรูปสายลมที่อยู่บนฝ่ามือ เด็กหนุ่มเปลี่ยนรูปสายลมที่อยู่บนฝ่ามือให้เป็นรูปร่างต่างๆ มีดขนาดเล็ก ซ่อมขนาดเล็กช้อนขนาดเล็กและ หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมพลังเวทย์ให้ไปอยู่ที่เท้า หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็ฝึกก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว
ระยะผ่านไปเขาก็รู้สึกว่าตอนนี้ตนเองสามารถใช้พลังธาตุลมได้คล่องแคล่วขึ้น เขาเงยหน้ามองฟ้าที่ตอนนี้เต็มไปด้วยดวงดาว ก่อนที่ไบรท์จะรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าของร่างกายเริ่มประเดประดังเข้ามา
‘มันก็นานแล้วนะที่เราฝึกพลังเวทย์ วันนี้พอดีกว่ายังไงเราก็ค้นพบแล้วว่าร่างกายเรามีพลังถึง 2 ธาตุ การฝึกให้มากกว่านี้มันก็ไม่มีประโยชน์’
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 273
แสดงความคิดเห็น