ภูพิง-อิงธารา บทที่ 6
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้วอิงธาราก็ผละจากระเบียงลงนั่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง หนังสือพิมพ์เก่าเก็บฉบับนั้นวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ นี่คงเป็นความต้องการของเจ้าของบ้านที่ต้องการให้เธอรับรู้สิ่งที่เขาเผชิญจากการสูญเสียซึ่งปองพลเป็นผู้ก่อ มือบางหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาเปิด ภายในเป็นรายละเอียดของข่าว ซึ่งก็ตรงกับคำบอกเล่าของภูพิงไม่ผิดเพี้ยน ปองพลในยามนั้นเป็นผู้ประสบความสำเร็จที่ควรเอาแบบอย่าง ทั้งด้านครอบครัว และธุรกิจ เขาจึงเป็นที่นับหน้าถือตาจากคนในจังหวัด พูดง่ายๆ ก็คือเป็นคนดังในสมัยนั้นนั่นเอง ยามนั้นอิงธาราซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของเขาจึงภาคภูมิใจเมื่อบรรดาครูอาจารย์ต่างก็ยกเรื่องราวความสำเร็จและการรู้จักวางตัวของพ่อเธอมาพูดในชั้นเรียนอยู่บ่อยครั้ง
อุบัติเหตุที่ปองพลขับรถชนคนตายนั้น เป็นวันเดียวกันกับคุณอัมพรเสียชีวิต ด้วยวัยของอิงธาราในยามนั้นทำให้เด็กหญิงไม่ได้ติดตามข่าวเลย เธอได้ยินจากคำบอกเล่าของป้ามะลิถึงเหตุผลที่พ่อไม่ได้มางานศพของแม่ว่าพ่อขับรถชนคนตาย จากนั้นพ่อก็ไม่มีเวลาให้เธอ เพราะมัวแต่วุ่นวายอยู่กับคดีความเป็นเดือนๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ปกติอีกครั้ง อิงธาราไม่รู้ว่าปองพลทำอย่างไรจึงกลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นอีก หญิงสาวเองก็ลืมไปแล้วว่าพ่อของเธอเคยก่อคดีอะไรไว้ จนกระทั่งในวันนี้
หญิงสาวลดหนังสือพิมพ์ลงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู แม่บ้านคนเดิมก้าวเข้ามาพร้อมถาดอาหาร เนื่องจากในห้องมีเพียงโต๊ะเครื่องแป้งเธอจึงนำถาดมาวางก่อนจะจากไป อิงธารามองอาหารหน้าตาชวนรับประทานที่มีไม่กี่อย่าง ก่อนจะหยิบกระดาศที่วางในถาดขึ้นมาอ่าน แล้วก็ผุดรอยยิ้มหยัน ข้อความในกระดาศเป็นรายละเอียดตารางรับประทานอาหารของเธอ ซึ่งเริ่มตั้งแต่มื้อเช้าเวลาเจ็ดโมง มื้อเที่ยงซึ่งเป็นเวลาเที่ยงตามปกติ ส่วนมื้อเย็นเริ่มหนึ่งทุ่ม ทุกมื้ออหารอิงธาราจะต้องลงไปรับประทานยังห้องอาหารข้างล่างเท่านั้น ยกเว้นมื้อนี้ แรกทีเดียวอิงธาราตั้งใจจะไม่แตะต้องอาหาร แต่กลิ่นหอมของอาหารตรงหน้าช่างยั่วน้ำลาย กอรปกับที่เธอไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน หญิงสาวจึงจำใจหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปาก เพียงไม่นานอาหารตรงหน้าก็เกลี้ยงทุกจาน
เวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกินอิงธารานั่งกอดเข่าอย่างสิ้นหวังอยู่บนเตียง กระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมยังคงวางอยู่หน้าตู้ นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุดแล้ว ของส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ และเอกสารส่วนตัวทั้งหมดล้วนถูกภูพิงริบไปจนหมด ครั้นจะออกไปถามให้รู้เรื่องเธอก็ไม่กล้า เพราะแววตาแสดงถึงความชิงชังของเขายามมองเธอนั้นยังคงติดตาอยู่ อีกอย่างหญิงสาวก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปตามหาเขาได้ที่ไหน จึงตั้งใจไม่ลงไปกินอาหารเย็น โดยหวังว่าเขาจะส่งใครสักคนขึ้นมาตาม แต่จนเวลาล่วงไปจนดึกดื่น กระเพาะของเธอก็ประท้วงอย่างหนัก และกะว่าจะอาศัยดื่มน้ำในห้องน้ำเพื่อประทังความหิว แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าน้ำไม่ไหล
"ทำไมมันถึงได้ซวยซ้ำซวยซากอย่างนี้นะ" หญิงสาวอดสบถออกมาไม่ได้
อิงธาราปิดไฟแล้วซุกตัวใต้ผ้าห่ม ตั้งใจจะนอนให้หลับ แต่ก็ต้านทานความหิวไม่ไหวจึงผุดลุกขึ้นนั่ง พยายามนึกภาพแผนที่ชั้นล่างว่าในส่วนของห้องอาหารนั้นอยู่ตรงจุดไหน ถ้าจำไม่ผิดหญิงสาวคิดว่าน่าจะอยู่ข้างบันไดทางขึ้น ซึ่งอยู่ห่างจากลิฟท์ไม่มากนัก คิดได้ดังนั้นอิงธาราจึงตัดสินใจลงไปห้องอาหาร อย่างน้อยคงมีน้ำให้เธอดื่มแก้กระหายบ้าง
ร่างบางเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบา โชคดีที่บางจุดในตัวบ้านยังคงเปิดไฟทิ้งไว้ ทำให้ยังพอมองเห็นทางเดินอยู่บ้าง เธอจรดฝีเท้าตรงไปยังบันไดแทนการลงลิฟท์ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจากเจ้าของบ้าน แสงสว่างระหว่างชั้นทำให้การเดินลงบันไดไม่ยากเท่าที่ควร
ไม่นานหญิงสาวก็มะงมมะงาหราลงมาถึงข้างล่างอย่างปลอดภัย แสงสลัวจากภายนอกส่องลอดเข้ามาทำให้ยังพอมองเห็นว่าอะไรอยู่ตรงไหนได้บ้าง เมื่อมั่นใจว่าตัวเองเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่อยู่ข้างล่างนี้ หญิงสาวจึงย่องอย่างแผ่วเบาตรงไปยังห้องอาหารที่อยู่ใกล้ลิฟท์
เมื่อพาตัวเองมายังห้องอาหาร อิงธาราก็หับประตูปิด แล้วกดเปิดสวิตช์ไฟที่อยู่ข้างประตู แสงสว่างทำให้มองเห็นอะไรได้ชัดขึ้น หญิงสาวถึงกับผุดรอยยิ้มเมื่อห้องดังกล่าวเป็นแพนทรีสำหรับเตรียมอาหาร นั่นหมายความว่าเธอจะหาของกินได้ไม่ยาก ทั้งยังไม่ต้องใช้เวลาอยู่ในนี้นานนัก ภายในห้องโอ่โถงแห่งนี้มีโต๊ะสำหรับหกที่นั่งตั้งอยู่กลางห้อง บนโต๊ะมีขนมขบเคี้ยวสองสามอย่างวางเป็นระเบียบ น้ำดื่มวางซ้อนอยู่ข้างตู้เย็นหลังใหญ่ แต่ที่ทำให้หญิงสาวถึงกับสะดุ้งลนลาน ก็เห็นจะเป็นชุดอาหารว่างและนมแก้วใหญ่ที่วางบนโต๊ะอยู่ชุดหนึ่ง หญิงสาวมั่นใจว่ามันจะต้องเป็นของเจ้าของบ้านแน่ๆ เธอจึงตัดสินใจหยิบขนมบนโต๊ะและน้ำดื่มเพื่อออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
พอได้ของที่ต้องการหญิงสาวก็ตรงไปยังประตู เธอไม่ลืมที่จะปิดไฟก่อนเปิดประตูอย่างแผ่วเบาเพื่อจะได้พบความมืดที่คาดไว้ กลับกลายเป็นแสงสว่างจากไฟกลางห้อง และชายเจ้าของบ้านที่ยืนกอดอกรอเธออยู่ หญิงสาวก้มหน้ายอมรับโชคชะตาโดยดุษณี ไม่รู้ว่าของหลุดมือไปตั้งแต่เมื่อไหร่ บรรยากาศชวนอึดอัดเหลือเกิน เสียงเดินลากเท้าอย่างจงใจใกล้เข้ามาของเจ้าของบ้านยิ่งสร้างความหวาดหวั่นให้กับเธอไม่น้อย
"เธอมาทำอะไรที่นี่" น้ำเสียงเฉียบของชายหนุ่มดังอยู่ใกล้ๆ พอเงยหน้าขึ้นหญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขายืนอยู่ใกล้เพียงมือเอื้อมถึงเท่านั้น
"..." หญิงสาวจนด้วยคำตอบจึงเลือกที่จะก้มหน้า อาการสั่นน้อยๆ อย่างหวาดกลัวไม่ได้หลุดรอดจากสายตาจับผิด เห็นดังนั้นภูพิงจึงอยากจะแกล้งแม่สาวตรงหน้านี้สักหน่อย
"ไม่ได้ยินรึไง" ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มยังเข้าประชิดตัว แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับถอยกรูดเข้าไปในห้องอาหารโดยมีเขาย่างสามขุมเข้าหาอย่างไม่ลดละ
"จะมาขโมยอะไร" ข้อกล่าวหาของเจ้าของบ้านทำให้อิงธาราเงยหน้ามองชายหนุ่มแล้วปฏิเสธเสียงแข็ง
"ฉันไม่ได้มาขโมย แค่จะมาหาน้ำดื่ม" เธอว่า สะดุ้งเมื่อสะดุจเข้ากับเก้าอี้ทำให้เสียหลักจนต้องนั่งลง แสงไฟในห้องสว่างขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เดินมาลงนั่งยังฝั่งตรงข้าม
"ตอนเย็นก็ไม่ได้ลงมากินข้าว แม่บ้านลืมบอกตารางเวลาให้เธอรึไง" น้ำเสียงต่อว่าของเขาไม่ได้ทำให้อิงธารารู้สึกผิด แต่ประโยคต่อมาทำเอาหญิงสาวรีบปฏิเสธแทบไม่ทัน
"คงจะต้องลงโทษให้หลาบจำ
"ไม่ใช่...แม่บ้านบอก แต่ฉันยังไม่หิวจึงไม่ได้ลงมา" ใบหน้าเรียบนิ่งทำให้อิงธาราไม่สามารถเดาพื้นอารมณ์ของคนตรงหน้าได้ จึงก้มหน้าเพื่อเลี่ยงสายตาคู่นั้นเสีย
ความเงียบเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า อิงธารานั่งบีบมือแน่นเพื่อลดความกังวล หูก็เงี่ยฟังว่าเจ้าของบ้านจะพูดอะไรขึ้นมาอีก แต่จนแล้วจนรอด อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรเพื่อทำลายความเงียบที่ชวนอึดอัดนี้สักที หญิงสาวจึงแอบช้อนตาขึ้นมอง ก็ทันได้เห็นมือหนาเลื่อนจานอาหารว่างพร้อมนมแก้วโตมาตรงหน้า
"เอ้ากินซะ" จากนั้นก็นั่งกอดอกมองเธอนิ่ง อิงธาราเองก็ไม่กล้าขยับตัว จึงได้แต่มองเขานิ่งเช่นกัน
"เธอกลัวฉันวางยาเธอรึไง ไม่ต้องกลัวไปหรอก ฉันยังไม่มีความคิดนั้น แต่ถ้าไม่กินฉันก็จะทิ้ง" หญิงสาวกำลังจะบอกให้เขาเอาไปทิ้งได้เลย เพราะเธอก็ไม่ได้หิวขนาดนั้น แต่ท้องเจ้ากรรมดันส่งเสียงครวญครางน่าอายออกมา
รอยยิ้มรู้ทันของเขาทำให้อิงธาราคว้าช้อนตักสิ่งที่อยู่ในจานเข้าปากอย่างโมโห ตกท้ายด้วยนมแก้วโตของเขาจนหมดเกลี้ยง หญิงสาวกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ แล้วตั้งท่าจะลุกเพื่อกลับห้อง แต่น้ำเสียงเย็นๆ ของเจ้าของห้องทำให้เธอชะงัก
"เดี๋ยว!...จะรีบไปไหน ฉันยังไม่อนุญาต ที่บ้านไม่สอนมารยาทบนโต๊ะอาหารเลยรึไง นึกอยากจะไปก็ไป นี่คงติดนิสัยคุณหนูมาล่ะซิ่ บอกไว้ก่อนนะว่าเธอมาอยู่ที่นี่ในฐานะคนงาน"
"ก็ไหนว่าไม่มีงานให้ฉันทำยังไงล่ะ" หญิงสาวอดที่จะสวนไม่ได้จริงๆ มีอย่างที่ไหนกัน ที่เธอจะปล่อยให้คนบ้าอำนาจอย่างนายภูพิงมาว่าเธอฝ่ายเดียว แค่เธอทนมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว
"ตอนแรกกะว่าจะไม่ให้เธอทำงาน แต่เห็นพฤติกรรมแย่ๆ ที่ไม่ทำตามกฎของบ้าน ฉันเลยเปลี่ยนใจ ต่อจากนี้เธอจะต้องดูแลงานในบ้านทั้งหมด เริ่มตั้งแต่จัดเตรียมอาหารเช้ากลางวันเย็นให้ฉัน ทำความสะอาดบ้าน ดูแลเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของฉันทั้งหมด" เขายังสาธยายไม่จบอิงธาราก็แหวออกมาอย่างเหลืออด
"แล้วถ้าฉันไม่ทำ..."
"เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อรอง แต่ถ้าเธอไม่อยากทำงานในบ้าน ฉันมีอีกงานให้เธอทำ และคิดว่าน่าจะเป็นงานถนัดของเธอ...เป็นนางบำเรอไง...ใช้ร่างกายมอบความสุขให้กับฉัน บางทีหนี้ระหว่างเราอาจจะจบลงเร็วก็ได้ ถ้าฉันเบื่อเธอไว เธอก็จะได้กลับบ้านไวด้วย...ว่าไงล่ะ สนใจไหม" รอยยิ้มของเขาไม่ได้ทำให้คนฟังอย่างอิงธารารื่นรมย์ แต่กลับทำให้เธอรังเกียจคนตรงหน้าจับใจ
"นายมันปีสาจชัดๆ" เธอกล่าวหา เขาเพียงยักไหล่อย่างยียวน
ขอบใจ แต่ฉันมันยิ่งกว่าปีสาจอีก สรุปว่าเธอสนใจงานไหนดีล่ะ" เขาเย้า แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไม่สนุกด้วย
อิงธาราเลือกที่จะเงียบแทนการต่อต้าน และตั้งใจจะขึ้นห้องนอนเพื่อยุติบทสนทนาบ้าๆ นี้เสีย แต่เสียงเรียกเฉียบขาดของเจ้าของบ้านรั้งเธอไว้อีก ขณะที่เธอตั้งท่าจะลุกจากที่
"เอ๊ะ! เธอเนี่ยไม่รู้จักมารยาทเลยรึไง จำได้ว่าฉันบอกไปแล้วนะ หรือว่าในหัวของเธอมีแต่ขี้เลื่อยถึงจำอะไรไม่ได้" คำพูดต่อว่าของเขามันทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจ นึกอยากจะผรุสวาทแรงๆ แต่เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์จะต่อรอง จึงพยายามสงบจิตสงบใจ
"แล้วนายจะอนุญาตให้ฉันขึ้นไปนอนได้รึยัง" อิงธาราตัดสินใจถามเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าจะปล่อยเธอไปง่ายๆ ชายหนุ่มไม่ตอบแต่กลับลุกจากที่นั่งเดินอ้อมมายืนซ้อนหลังเธอ แขนทั้งสองวางเท้าโต๊ะทำให้หญิงสาวตกอยู่ในวงแขนเขาอย่างไม่ตั้งใจ
"มีสิ่งที่เธอควรรู้ ใครฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎของบ้านหลังนี้จะต้องถูกลงโทษ" น้ำเสียงเนิบช้าทำให้ขนในกายของหญิงสาวลุกชัน
"แล้ววันนี้เธอก็ฝ่าฝืนกฎ" มืออีกข้างเลื่อนมาวางบนต้นแขนของหญิงสาวอย่างจงใจ มุมปากผุดยิ้มชั่วร้ายจนอิงธารารู้สึกสะท้าน
"ฉะ...ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ" เธอละล่ำละลักปฏิเสธ พร้อมกับพยายามลุก แต่ก็ถูกมืออีกข้างกดไหล่ไว้ แรงผู้หญิงไหนเลยจะสู้แรงมหาศาลของเขาได้ เธอจึงจำต้องนั่งนิ่งอยู่กับที่
"นะ...นายจะทำอะไร" เธอสัมผัสถึงภัยคุกคามจากชายหนุ่ม ในใจอยากจะวิ่งหนีแต่ก็หมดหนทาง
"ถามได้ ก็กำลังจะบอกบทลงโทษยังไงล่ะ เธออยากรู้ไหมว่าบทลงโทษของคนที่ชอบฝ่าฝืนกฎคืออะไร" น้ำเสียงคุกคามของเขาก็ไม่เท่ากับปลายนิ้วที่กำลังลากบนกลีบปากของเธออย่างอ้อยอิ่ง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 403
แสดงความคิดเห็น