ภูพิง-อิงธารา บทที่ 5
บ้านสี่ชั้นหลังใหญ่สไตน์มอเดิร์นตั้งโดดเดี่ยวอยู่บนเนื้อที่กว่าห้าสิบไร่ อิงธาราคิดว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นด้านหลังของเกาะ ส่วนหน้าของตัวบ้านหันหาทะเล ล้อมรอบด้วยแมกไม้ท้องถิ่นจำพวกมะพร้าว และปาล์มเสียเป็นส่วนใหญ่ กว่าครึ่งชั่วโมงที่อิงธาราและสารถีหนุ่มต้องโดยสารรถตู้ซึ่งเจ้าของบ้านให้คนขับรถอีกคนมารอรับที่ท่า
เรือเพื่อมายังที่พำนัก หญิงสาวสังเกตว่า หลังจากผ่านจุดชุมชนที่อยู่ส่วนหน้าของเกาะแล้ว ระหว่างทางเล็กๆ ที่ตัดผ่านไปยังส่วนท้ายของเกาะมีแต่สวนและป่าทึบ ไม่มีที่อยู่อาศัยเลยแม้แต่หลังเดียว
ประตูอัลลอยด์เลื่อนเปิดโดยมีชายเฝ้าประตูร่างยักษ์ยืนทำความเคารพอย่างแข็งขัน บรรยากาศหลังประตูบานใหญ่ช่างต่างจากภายนอกลิบลับ กลิ่นไอของผู้มีอันจะกินอวลในอากาศ จากที่คิดว่าบนเกาะจะธุระกันดาล เธอกลับสัมผัสถึงความสุขสบายเฉกเช่นเศรษฐีในเมืองใหญ่ นี่เจ้านายของเธอคงเป็นผู้มีอันจะกิน อิงธาราพลูลมอย่างโล่งอก อย่างน้อยชีวิตการทำงานของเธอก็คงไม่เลวร้ายอย่างที่คาดไว้
รถตู้เคลื่อนไปจอดยังโรงจอดรถซึ่งอยู่ข้างตัวบ้าน สารถีหนุ่มที่โดยสารมาพร้อมเธอพาหญิงสาวเดินผ่านประตูเชื่อมระหว่างโรงรถเข้าสู่ตัวบ้าน อิงธาราอดที่จะสำรวจสภาพรอบตัวตามนิสัยไม่ได้ เมื่อผ่านประตูมาก็จะเป็นโถงรับแขก โซฟาขนาดใหญ่ตั้งอยู่มุมห้อง เฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งล้วนเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศ หญิงสาวมั่นใจว่าแทบทุกชิ้นเป็นของแบรนด์หรู เพราะหลังๆ เธอมักจะเห็นวีร์นัชชาสั่งเฟอร์นิเจอร์มาที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง จึงคุ้นเคยเป็นอย่างดี ชายหนุ่มให้เธอนั่งรอยังโซฟาตัวใหย่ในห้องรับแขก ไม่นานแม่บ้านก็ยกน้ำมาบริการ อิงธาราทั้งง่วงทั้งเพลีย เมื่อดื่มน้ำแก้กระหายแล้ว เธอก็เอนหลังนั่งรออย่างผ่อนคลาย ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศและในโถงนี้ก็ปราศจากสิ่งรบกวนอิงธาราจึงผลอยหลับอย่างง่ายดาย
อิงธารารู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง หญิงสาวปรือตามองรอบๆ อย่างงุนงงแล้วก็ต้องหยุดสายตายังชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ฝั่งตรงข้าม เธอกระเด้งตัวลุกนั่งหลังตรง ยกมือลูบหน้าเพื่อไล่อาการง่วงงุน ฝ่ายนั้นลดหนังสือในมือลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ อิงธาราถึงกับต้องยกมือขยี้ตาอีกครั้ง เมื่อชายตรงหน้าเป็นคนเดียวกันกับสารถีที่รอรับเธอยังชานชาลาในตัวอำเภอนั่นเอง ผมเผ้าใต้หมวกสารที่ไม่เป็นระเบียบเมื่อแรกเจอกัน บัดนี้กลับเป็นทรง เผยให้เห็นเครื่องหน้าหล่อเหลาสะดุจตา แต่ที่อิงธารารุ้สึกไม่ชอบใจคงไม่พ้นหนวดเคราของเจ้าตัว ซึ่งมันทำให้ดวงหน้าของชายหนุ่มดูดุดันมากขึ้น
"หลับสบายไหม" น้ำเสียงสุภาพแต่แฝงความเยาะหยันจนหญิงสาวรู้สึกได้เปิดบทสนทนา
"ไม่ทราบว่าฉันจะได้พบกับคุณภูพิงได้เมื่อไหร่" เธอไม่ตอบแต่กลับตั้งคำถามแทน มุมปากของอีกฝ่ายขยับยิ้ม
"ใจร้อนจังเลยนะ ทางที่ดีเธอควรจะอาบน้ำพักผ่อนก่อนจะดีกว่า" เขาแนะ แต่อิงธาราไม่อยากเสียเวลา เธอสัมผัสถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างกัน จึงต้องการความมั่นใจว่าตัวเองจะได้ทำงานจริงๆ
"ฉันอยากทราบเงื่อนไขในการทำงาน ถ้าฉันไม่โอเคก็จะได้ปฏิเสธแล้วกลับบ้าน" เธอพูดอย่างใจคิด และยืนยันว่าเธอจะนั่งรอเจ้าของบ้านอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน
"งั้นเธอก็สมปรารถนาแล้ว เพราะฉันคือเจ้าของบ้าน" คำพูดง่ายๆ ของชายตรงหน้าทำให้อิงธาราหลุดยิ้มไม่เชื่อถือออกมา
"ถ้านายคือคุณภูพิง แล้วไหนนักเรียนที่จะให้ฉันดูแล" เธอพูดยิ้มๆ แสดงความไม่เชื่อถือผ่านแววตา ตั้งใจให้เขามองเห็นเสียเลย
"ไม่มีนักเรียน...และมันก็ไม่เคยมีตั้งแต่ต้น" คำตอบของเขาทำให้อิงธารางุนงง
"หมายความว่ายังไง"
"ก็หมายความว่าที่นี่ไม่มีนักเรียนให้เธอดูแล" คำตอบของเขายิ่งทำให้อิงธารางงหนัก
"ฉันไม่เข้าใจ ทางที่ดีนายให้เจ้าของบ้านมาคุยกับฉันดีกว่า" เธอว่า ชายหนุ่มไม่ตอบแต่เลื่อนบัตรประจำตัวประชาชนส่งให้
"ถ้าเธอไม่เชื่อจะให้ปีเตอร์ช่วยยืนยันก็ได้" อิงธาราควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้ววีดีโอคอลหาคนที่จะสามารถยืนยันความจริงได้ทันที หลังจากที่ตรวจสอบข้อมูลบนบัตรประจำตัวประชาชนของอีกฝ่ายแล้ว ไม่นานใบหน้าของปีเตอร์ก็ปรากฏบนหน้าจอ เธอแพลนกล้องไปยังชายหนุ่ม เขาอมยิ้มก่อนจะทำให้อิงธาราอ้าปากด้วยความตกใจ
"หวัดดีปีเตอร์ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วนายก็ไม่ต้องติดต่อมา เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง" น้ำเสียงแสดงถึงอำนาจของนายเหนือหัวก็ยังไม่เท่ากับคำตอบรับอ่อนน้อมของปลายสาย
"ครับนาย" เสียงตอบอ่อนน้อมของปีเตอร์ดึงเอาสติที่กำลังหลุดลอยของอิงธารากลับเข้าที่
"เดี๋ยวอย่าเพิ่ง คุณปีเตอร์ ฉันไม่เข้าใจ ไหนบอกว่า..." ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะซักถามปีเตอร์ก็ตัดการสนทนาทันที เธอพยายามติดต่อกลับหาปีเตอร์ แต่ฝ่ายนั้นตัดการติดต่อโดยปิดใช้บริการเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวไปเสียแล้ว
"นี่มันอะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ" หญิงสาวลดโทรศัพท์ลงอย่างหมดหวัง
"ใจเย็นๆ เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้เธอฟังเอง สรุปว่าจะไม่พักผ่อนใช่ไหม ถ้าเธอต้องการฉันจะให้แม่บ้านพาไปยังห้องพักของเธอ" ชายหนุ่มเสนอ แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
"เชิญอธิบายมาเลย"อิงธารากระแทกเสียงพลางกอดอกนั่งฟังชายหนุ่ม กะว่ารอฟังสิ่งที่เขาพร่ามจบแล้วก็จะขอให้เขาไปส่ง เธอคิดว่าคงเป็นการเล่นสนุกๆ ของลูกเศรษฐีที่ไร้แก่นสาร นึกเสียดายหน้าตาผิวพรรณของเขา หล่อเหลาขนาดนี้ไม่น่าสติไม่ดีเลย
"ฉันชื่อภูพิง พชรวกร..."
"ฉันรู้แล้ว" หญิงสาวอดตัดบทไม่ได้
"บอกแล้วให้ใจเย็นๆ ฉันคิดว่าต่อจากนี้เธอจะไม่มีโอกาสเสียมารยาทกับฉันอีก ดังนั้นการเสียมารยาทของเธอในครั้งนี้ฉันจะให้อภัย" แววเย็นชาจากเจ้าของดวงตาสีสนิมทำให้อิงธาราไม่กล้าล้อเล่นกับเขาอีก แต่จะแสดงว่าเธอกำลังหวาดกลัวก็คิดว่าเขาจะได้ใจ จึงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ แทน
"พ่อ แม่และน้องสาวของฉันถูกพ่อขี้เมาของเธอขับรถชนจนเสียชีวิตทั้งหมด แล้วโยนเศษเงินไม่กี่บาทเป็นการเยียวยาครอบครัวของฉัน จากนั้นก็ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อปิดคดี แล้วทำความดีเพื่อลบล้างความผิดโดยการบริจาคเงินตามงานกุศลนิดหน่อย เพื่อแลกกับการมีหน้ามีตาในสังคมอีกครั้ง" ขณะที่ชายหนุ่มอธิบายเขาก็เลื่อนหนังสือพิมพ์เก่าเก็บมาตรงหน้าหญิงสาว อิงธาราตั้งใจจะปฏิเสธ แต่พอเห็นรูปปองพลเด่นหราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวหญิงสาวก็ได้แต่กลืนคำถามลงคอไป
"ต้องขอโทษที่กุเรื่องงานมาบังหน้า แต่ฉันก็ไม่คิดว่าแผนตื้นๆ จะได้ผล อันที่จริงฉันต้องการเชิญตัวเธอมาเป็นแขกของที่นี่สักพัก เหตุผลก็เพื่อสร้างความวุ่นวายให้กับครอบครัวของเธอ แค่อยากให้นายปองพลกระวนกระวายนิดหน่อยถ้าส่งผลถึงธุรกิจได้จะยิ่งดีมาก และถ้าลูกสาวทั้งคนหายไปแล้ว นายปองพลยังคงนิ่งเฉย ฉันก็จะเริ่มจัดการเขาด้วยแผนต่อไป" น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยของชายตรงหน้ายามบอกเล่าถึงแผนของเขา สร้างความหวาดหวั่นให้เธอไม่น้อย แววเคียดแค้นจากตาคู่นั้นทำให้เธอมั่นใจว่าสิ่งที่เขากำลังพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
"คุณต้องการแก้แค้นพ่อของฉัน" เธอว่า เขาแค่ยิ้มบางๆ
"แล้วทำไมต้องลงทุนสร้างเรื่องให้ฉันมาที่นี่ อีกอย่างเรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ คนก็ตายไปแล้วทำไมถึงต้องแค้นนานขนาดนี้" อิงธาราพูดด้วยอาการฉุนเฉียว เพราะเธอไม่เห็นเหตุที่จะต้องโยงเธอเข้ากับเรื่องนี้ อีกอย่างหญิงสาวก็ไม่คิดว่าการที่ชายหนุ่มพาเธอมาจะส่งผลต่อความรู้สึกของพ่อมากนัก แต่ชายตรงหน้าไม่ล่วงรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของเธอ เมื่อได้ฟังคำพูดแสดงความไม่รับผิดชอบของอิงธาราก็ยิ่งทำให้เขาทวีความเกลียดชังคนตระกูลนี้เป็นอันมาก คำพูดต่อมาจึงไม่ปกปิดความชิงชังที่มีต่อเธอ
"อันที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอธิบาย เพราะคนเห็นแก่ตัวอย่างพวกเธอคงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่าเธอจะต้องอยู่ที่นี่ในฐานะลูกหนี้" เขาหยุดพร้อมใช้สายตามองสำรวจจนหญิงสาวรู้สึกวางตัวไม่ถูก
"ไม่ใช่หนี้เงินทอง แต่เป็นหนี้ชีวิตที่ฉันกำลังจะทวงคืนจากครอบครัวของเธอ" ประกายกร้าวจากตาคู่คมยามมองหญิงสาว ทำให้เธอสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว แต่ก็ยังต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมอีกครั้ง
"ตะ...แต่ทำไมต้องพาฉันมาด้วย ถะ...อยากจะแก้แค้นก็มีวิธีอื่นเยอะแยะ" เธอทั้งหวาดกลัวและอยากรู้ถึงเหตุผลที่เขาพาเธอมาที่นี่ หญิงสาวนึกไม่ออกว่าเขาจะได้ประโยชน์จากเธอตรงไหน แต่ประโยคต่อมาของชายหนุ่มก็ทำให้เลือดในกายของเธอเย็นเฉียบ
"สิ่งที่ผู้เป็นพ่อหวาดกลัวมากที่สุดคือเรื่องฉาวโฉ่ของลูกสาว และมันก็ส่งผลกระทบต่อหน้าตาและครอบครัวของเธอเป็นอย่างมาก และยิ่งเป็นลูกสาวที่ประคบประหงมจากสายตาของสังคมด้วยแล้ว เมื่อตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ก็จะได้รับความสนใจเป็นอันมาก เธอคิดเหมือนฉันไหม" ประโยคหลังเขาแสยะยิ้มอย่างพึงใจ
"ตะ...แต่ฉันไม่ได้เป็นลูกสาวที่ใครๆ รู้จัก" เธอแย้ง ฝ่ายนั้นยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะกล่าวประโยคที่ตัดความหวังของเธอไปจนหมด
"ไม่จำเป็น เดี๋ยวฉันจะทำให้สังคมรู้จักเธอในฐานะลูกสาวอีกคนของนายปองพลเอง" เมื่อได้ฟังหญิงสาวก็โพล่งออกไปอย่างเหลืออด
"คะ...คุณมันโรคจิต"
"อย่าเพิ่งตัดสินฉันไวขนาดนั้น ไว้ให้ฉันเริ่มแผนก่อน เธอค่อยบอกฉันก็ยังไม่สาย" เสียงหัวเราะกดต่ำสร้างความตระหนกให้กับอิงธารา
"เอาล่ะ เมื่อฉันอธิบายเงื่อนไขของการทำงานเรียบร้อยแล้ว หวังว่าเธอจะปฏิบัติตาม" เขากล่าวพร้อมแสยะยิ้ม
อิงธาราหวาดกลัวและสับสน เธออยากจะก่นด่าความไม่รอบคอบที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างนี้ แต่หญิงสาวรู้ดีว่าทางรอดของเธอเหลือไม่มากแล้ว จึงตัดสินใจลุกแล้วทุ่มกำลังทั้งหมดออกวิ่ง เป้าหมายคือออกไปจากที่นี่ ก่อนหน้านั้นหญิงสาวสังเกตว่าคนในบ้านมีไม่มาก ต่างก็ง่วนอยู่กับงานของตัวเอง คงไม่ยากที่เธอจะพาตัวเองออกไปได้ อีกอย่างจากตัวบ้านไปประตูใหญ่ก็ไม่ไกลมากนัก ภูพิงมองตามแผ่นหลังบอบบางของเหยื่อที่พุ่งตรงไปยังประตูใหญ่ เขายิ้มมุมปากพร้อมกับหยัดกายลุกยืนเต็มความสูง หวังว่าเธอจะผ่านเจ้าร่างยักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูไปได้ ก่อนจะหันไปทางแม่บ้านที่เดินเข้ามาพอดี
"ถ้าคุณผู้หยิงเหนื่อยจากการวิ่งเล่นแล้ว พาเธอไปยังห้องที่เตรียมไว้ได้เลย และเมื่อจัดการทุกอย่างในบ้านเสร็จเรียบร้อยก็เข้าเมืองได้ ถ้าฉันต้องการจะติดต่อไปเอง" แม่บ้านค้อมกายรับ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงเดินขึ้นชั้นบนไป แม่บ้านจึงไปยืนรอรับหญิงสาวที่กำลังเดินคอตกกลับมา ด้านหลังมียามร่างยักษ์ถือปืนเดินตามมาส่งถึงที่
"เชิญคุณไปพักผ่อนที่ห้องก่อนค่ะ" น้ำเสียงสุภาพของแม่บ้านไม่ได้ทำให้อิงธาราผ่อนคลาย แต่เธอทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว จึงได้แต่เดินตามหลังหล่อนไปยังห้องของตัวเองเวียบๆ ในหัวก็ครุ่นคิดถึงทางรอด
แม่บ้านพาหญิงสาวขึ้นลิฟท์มายังชั้นสาม ซึ่งมีด้วยกันสองฝั่ง ฝั่งห้องของอิงธารานั้นอยู่ทางฝั่งตะวันตกสามารถมองเห็นชายหาดหลังระเบียงได้พอดิบพอดี หลังจากที่ส่งเธอมายังห้องพักแล้วก็ปล่อยให้หญิงสาวอยู่เพียงลำพัง อิงธาราไม่มีอะไรทำจึงสำรวจห้องพัก ภายในห้องมีเพียงตู้เสื้อผ้าขนาดย่อม โต๊ะเครื่องแป้ง และเตียงนอนขนาดสามฟุตพร้อมสับด้วยเครื่องนอน โชคดีที่ห้องของเธอมีห้องน้ำในตัว ภายในห้องน้ำมีฝักบัวอาบน้ำ บนอ่างล้างหน้าพร้อมพรั่งด้วยผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น เธอผละจากห้องน้ำแล้วตรงมายังระเบียงที่รูดม่านรับแสงแดดยามเย็น หญิงสาวเลื่อนประตูกระจกแล้วก้าวออกมา ระเบียงแคบกั้นด้วยลูกกรงเหล็กครึ่งตัว หันหน้าออกสู่ทะเล เบื้องล่างยังมองเห็นสวนหย่อมและแปลงไม้ดอก ลมทะเลยามเที่ยงโอบล้อมรอบตัว หวลนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงครึ่งวันชีวิตของเธอกลับพลิกผันรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด
จากที่มั่นใจว่าตัวเองคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพหดหู่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน แต่กลับพาตัวเองมาอยู่ในมือของบุคคลที่มีความแค้นต่อพ่อของตัวเอง จะโทษใครได้นอกจากตัวเธอเองที่ไม่รู้จักไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ครั้นจะบอกเขาถึงความเป็นอยู่ภายในบ้านเขาก็คงไม่เชื่อในคำพูดของเธอ นึกถึงสิ่งที่ชายผู้นั้นต้องการแก้แค้นพ่อของเธอก็ทำให้อิงธาราสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เธอไม่ใช่เด็กอมมือที่จะไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เขาพูด เรื่องฉาวโฉ่ที่เขาว่า คือเรื่องเสียหายระหว่างหญิงชาย และยิ่งถูกเปิดเผยสู่สาธารณชน ก็อาจจะทำลายหน้าตาชื่อเสียงของครอบครัว และสิ่งที่อิงธารารู้ดีไปกว่านั้นคือต่อจากนี้เธอจะไม่มีที่ยืนอีกแล้ว ไม่ใช่จากการพิพากษาของสังคม แต่เป็นการพิพากษาจากครอบครัวของเธอเอง หญิงสาวยกมือลูบหน้าอย่างสิ้นหวัง สัมผัสถึงความเปียกชื้นจากฝ่ามือ นี่เธอกำลังร้องไห้...ร้องไห้ให้กับโชคฉตา
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 350
แสดงความคิดเห็น