ภูพิง-อิงธารา บทที่ 4
อิงธาราเก็บของที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นจากโต๊ะทำงานของเธอลงในกระเป๋าผ้าใบใหญ่ หลังจากที่มุกราตรีแวะไปรับที่หน้าปากซอยก่อนจะแยกไปห้องทำงาน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการมาที่โรงเรียนของอิงธารา อันที่จริงมันเป็นวันสุดท้ายของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้มากกว่า เพราะมุกราตรีประกาศปิดกิจการไปก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่รู้ว่าจะคืนสู่สภาพเดิมเมื่อไหร่ กอรปกับประสบการณ์การบริหารจัดการของมุกราตรีที่ไม่มากพอที่จะต่อสู้กับอุปสรรคนานา หญิงสาวจึงต้องปิดกิจการ โอนหนี้สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของครอบครัว แล้วตัดสินใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
เสียงเอะอะของนักเรียนตัวน้อยที่เคยได้ยินในทุกเช้าทดแทนด้วยเสียงนกกาเหว่าขับขาน ทำให้อิงธารารู้สึกเหงา แต่คนที่น่าจะอาการหนักกว่าเธอก็คงไม่พ้นมุกราตรีผู้เป็นเจ้าของ อิงธาราเงยหน้ามองเจ้าของร่างอวบที่กำลังเดินตัดสนามตรงมาทางเธอที่ยืนรออยู่ เรียวคิ้วของเจ้าตัวขมวดอย่างคนใช้ความคิด เพียงไม่นานก็มายืนตรงหน้าหญิงสาว
"น้ำอิง อะนี่ ฉันคิดว่าเธอคงจะต้องใช้" มุกราตรียื่นใบโฆษณาสมัครงานมาตรงหน้า อิงธาราเอื้อมมือรับแล้วเปิดอ่านคร่าวๆ
มันเป็นแผ่นพับรับสมัครครูประจำเพื่อไปทำการเรียนการสอนให้กับนักเรียนที่บ้านอิงธาราไล่ดูรายละเอียดคร่าวๆ ก็รู้สึกพึงพอใจไม่น้อย เงินเดือนที่ได้ก็ถือว่าดีทีเดียว แถมยังฟรีอาหารและที่พักอีกด้วย ติดอยู่อย่างเดียวคือครอบครัวดังกล่าวอยู่ใกลจากจังหวัดของเธอ ถ้าจะไปต้องนั่งรถประจำทางลงใต้ไปเจ็ดแปดชั่วโมงโน่นแนะ
"ทุกอย่างโอเคเลย แต่ไกลชะมัด" อิงธาราเปรย
"งานดี เงินดี ถ้าจะไกลไปหน่อยก็ถือว่าคุ้มนะแก คิดดูน้า ช่วงนี้งานหาได้ง่ายๆ เสียที่ไหน ยิ่งโรคระบาดอย่างนี้ด้วยแล้ว มีแต่คนอยากจะเซฟเงินในกระเป๋ากันทั้งนั้นแหละ ก็แค่สอนเด็กคนเดียวเอง เด็กวัยอนุบาลด้วยละมั้ง" อิงธาราพยักหน้าเมื่อกวาดตาอ่านในเงื่อนไขบนแผ่นพับ รูปหนูน้อยแก้มยุ้ยผู้ประสงค์ต้องการครูส่งยิ้มหวานทำให้ผู้มองอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
"เอาน่า เป็นการเลี่ยงพี่นายไปในตัวด้วย" มุกราตรีเห็นเพื่อนลังเลจึงเตือนสติ
"มันก็จริงของแกนะ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละ เหตุการณ์ที่เจอพี่นายเมื่อเช้าทำให้ฉันระแวง กลัวว่าสักวันพี่วีร์จะมาเห็นเข้า แล้วฉันกับป้ามะลิจะลำบาก" อิงธาราเผยถึงสิ่งที่ทำให้เธอกังวลให้มุกราตรีฟัง
"นั่นไงเล่า ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือแกต้องไปทำงานที่อื่น แล้วตัวเลือกนี้ก็ไม่เลว" มุกราตรีว่า
"ไว้ก่อนแล้วกัน" อิงธารายัดแผ่นพับลงในกระเป๋าผ้าใบโตของเธอ แล้วยกขึ้นคล้องไหล่
"อย่างนั้นก็ได้ ป๊ะ... กลับบ้าน เดี๋ยวฉันไปส่ง" มุกราตรีเดินนำออกจากที่ตรงนั้น
"ไม่เป็นไรแก ฉันว่าจะแวะไปซื้อของเข้าบ้านสักหน่อย" อิงธาราปฏิเสธ
"เอางั้นเหรอ ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไหม" มุกราตรีอาสา
"อย่าเลย อีกไม่กี่วันแกก็จะไม่อยู่แล้ว เอาเวลาไปอยู่กับป๊าม้าดีกว่าน่า" อิงธาราให้เหตุผล อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย จึงโบกมือก่อนจะตรงไปยังรถคันหรูที่จอดรออยู่แล้วขับออกไป
อิงธาราเดินไปตามริมทางเท้า เช้าขนาดนี้ห้างร้านยังไม่เปิดทำการ หญิงสาวจึงแวะเข้าไปนั่งในร้านกาแฟเพื่อค่าเวลา เธอสั่งเครื่องดื่มและขนมมารองท้อง ล้วงแผ่นพับจากกระเป๋าใบเขื่องออกมาอ่านรายละเอียดอีกครั้ง หญิงสาวคงต้องตัดสินใจพาตัวเองออกจากชีวิตพวกเขาสักที ไม่ใช่เพราะใคร แต่เพื่อตัวของเธอเอง คงต้องคิดใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียสักวันสองวันก่อนจะติดต่อไปสอบถามรายละเอียด
แต่อิงธาราไม่ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจเลย เมื่อหญิงสาวหอบข้าวของพะลุงพะลังกลับบ้านมาในตอนบ่ายแล้วพบว่าวีร์นัชชามารอเธออยู่ก่อนแล้วโดยมีป้ามะลิยืนทำสีหน้าลำบากใจอยู่ข้างๆ หญิงสาวได้แต่ส่งยิ้มทักทายพี่สาวต่างมารดา พลางส่งข้าวของพะลุงพะลังให้พี่เลี้ยงสูงวัย
"วานป้าเอาไปเก็บทีนะคะ" ป้ามะลิกุลีกุจอมารับจากมืออิงธาราก่อนจะผลุบหายเข้าไปในครัว ปล่อยให้สองพี่น้องอยู่ตามลำพัง
"พี่วีร์มีธุระอะไรกับน้ำอิงคะ" อิงธาราเข้าเรื่องทันที วีร์นัชชาหุบยิ้มพลางบุ้ยใบ้ให้อิงธารานั่งลง หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย แล้วรอฟังธุระของเธอ
"เอาตรงๆ เลยนะน้ำอิง เมื่อเช้าฉันเห็นเธออยู่กับพี่นายแล้วไม่สบายใจ" วีร์นัชชาเริ่มเรื่องอย่างตรงไปตรงมา จนหยิงสาวตั้งตัวไม่ทัน
"พี่วีร์สบายใจได้ค่ะ พี่นายกับน้ำอิงเราไม่มีอะไรกันแล้ว" หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง หลังจากที่ควบคุมความตระหนก นึกไม่ถึงว่าวีร์นัชชาจะมาพูดถึงเรื่องที่เธอหวาดกลัวได้เร็วขนาดนี้
"ไม่...มันไม่สำคัญว่าเธอกับพี่นายจะมีอะไรกันหรือไม่" วีร์นัชชาสวนกลับอย่างมีอารมณ์
"แล้วอะไรที่สำคัญล่ะคะ ก็ในเมื่อน้ำอิงยืนยันกับพี่วีร์และน้าว่านไปแล้ว และเมื่อเช้าน้ำอิงก็แค่ทักทายพี่นายไปตามมารยาท ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย" อิงธาราเองก็รู้สึกหงุดหงิดไม่แพ้กัน จึงไม่จำเป็นต้องสงวนท่าที
"มันอาจจะไม่เสียหายในตอนนี้ แต่คนเราเจอกันทุกวัน ฉันไม่ไว้ใจ" วีร์นัชชาว่าอย่างฉุนเฉียว
"ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ขึ้นกับน้ำอิงแล้วล่ะค่ะ เพราะถ้าน้ำอิงบอกว่าไม่ก็คือไม่ พี่วีร์คงต้องไประวังพี่นายเอาเองแล้วล่ะ" อิงธาราก็เริ่มหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน มีอย่างที่ไหน พอแสดงความจริงใจแล้วยังไม่เชื่อกันอีก
"ฉันไว้ใจสามีฉัน แต่กับแกฉันไม่ไว้ใจ" เมื่ออารมณ์โกรธเข้าครอบงำสรรพนามที่เรียกขานจึงเปลี่ยนไปด้วย
"แล้วพี่วีร์จะเอายังไง น้ำอิงเองก็ยืนยันกับพี่วีร์ไปแล้ว ถ้าเพื่อความสบายใจละก็ พี่วีร์กับพี่นายต้องไปอยู่ที่อื่นแล้วล่ะ" อิงธาราจ้องอีกฝ่ายเขม็ง แต่ประกายแฝงเลศนัยยามวีร์นัชชามองมานั้นทำให้อิงธารารู้สึกถึงลางร้าย
"ไม่....ไม่ใช่ฉันกับพี่นายที่จะต้องไป แต่เป็นแกต่างหากที่จะต้องไปน้ำอิง เป็นแก" ประกายชิงชังของวีร์นัชชาทำให้อิงธารารู้สึกเหน็บหนาว นี่หรือคือคนในครอบครัว นี่หรือคือญาติพี่น้อง
"ไม่มีเหตุผล ทำไมน้ำอิงต้องไปด้วย" หญิงสาวโต้กลับเสียงสั่น เธอไม่ได้หวาดกลัว แต่รู้สึกน้อยใจมากกว่า
"ถ้าเป็นคำสั่งของฉันแกคงไม่ใส่ใจเท่าไหร่ แต่ขอโทษทีนี่เป็นคำสั่งของคุณพ่อ หรือว่าแกจะดู นี่ไงท่านเขียนถึงแกด้วย" จบคำกระดาษแผ่นหนึ่งก็ลอยลงบนตักของอิงธารา หญิงสาวยกขึ้นมาอ่านด้วยมืออันสั่นเทา ลายมือที่คุ้นเคยปรากฏตรงหน้า น้ำตาเอ่อเมื่ออ่านข้อความมาถึงคำสุดท้าย เนื้อความในกระดาษตรงตามคำพูดของวีร์นัชชาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
"ในฐานะที่ฉันเป็นพี่ขอเตือนแกด้วยความหวังดีนะ แกไม่ต้องเสียเวลาวิ่งโร่ไปขอความเห็นใจจากท่านหรอก เสียเวลาเปล่า ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าท่านจะฟังใครระหว่างฉันซึ่งเป็นลูกสาวของคนที่ท่านรักมาก กับแกลูกสาวที่คุณพ่อไม่เคยชายตาแลเลยหลังจากป้าอ้ำตายไป หรือจะให้ฉันย้ำว่าคุณพ่อน่ะท่านไม่ได้ใยดีในตัวป้าอ้ำเลยสักนิด...."
"พอได้แล้ว" อิงธาราตวาดอย่างเหลืออด ยกมือปาดน้ำตาลวกๆ แล้วเงยหน้าสบตาพี่สาวต่างมารดาอย่างตัดสินใจแล้ว
"พี่วีร์ไม่ต้องย้ำหรอก น้ำอิงรู้ตัวดีว่าน้ำอิงเป็นใคร และก็รู้ว่าสักวันน้ำอิงก็ต้องไปจากที่นี่...เอาล่ะ...ถ้ามันเป็นความต้องการของพี่วีร์กับคุณพ่อน้ำอิงก็จะไป" อิงธาราตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่กลับมาที่นี่อีก
"ฉันให้เวลาแกถึงวันพรุ่งนี้ เพราะฉันไม่อยากเห็นแกกับพี่นายอีก" วีร์นัชชายื่นคำขาด อย่างน้อยควรให้อิงธารารีบออกไปจะดีกว่า โชคดีที่หญิงสาวทันได้เห็นแววอาลัยอาวรณ์ยามกฤตดนัยทอดมองอิงธารา เธอจึงรีบตัดไฟแต่ต้นลมเสียเนิ่นๆ
"พี่วีร์สบายใจได้ค่ะ เพราะน้ำอิงจะไปตั้งแต่คืนนี้เลย" อิงธาราประกาศอย่างตัดสินใจแล้ว แววพึงพอใจฉายชัดจากดวงตาคู่สวยของผู้เป็นพี่ ทำให้อิงธาราอดสะท้อนใจไม่ได้
"ดี หวังว่าพรุ่งนี้ฉันจะไม่เจอแกที่นี่" วีร์นัชชาพูดทิ้งท้ายก่อนจะก้าวฉับๆออกจากบ้านไป
"ใจร้าย ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนี้" อิงธาราพยายามแล้วที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล ไม่ใช่เธออ่อนแอ แต่เพราะเธอทำอะไรไม่ได้ต่างหาก น้ำตาของความอัดอั้นรินไหลอาบสองแก้ม ป้ามะลิโผเข้ากอดพลางร้องไห้ไปพลาง
"โถ! คุณหนูของป้า อย่าร้องค่ะอย่าร้อง" แกลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมอิงธาราที่ร้องไห้จนตัวโยน
เสียงร้องไห้ของคนทั้งสองดังไปไม่ถึงคนในบ้านใหญ่ ปองพลกำลังนั่งให้อาหารนกอย่างเพลิดเพลิน มีวาสนากำลังเอนหลังอ่านนิตยสารแฟชั่นโดยมีคนใช้บีบนวดอยู่ใกล้ๆ วีร์นัชชาก้าวเข้ามาเห็นภาพพ่อแม่ก็ยิ้มอย่างมีความสุข นี่มันครอบครัวของเธอ ครอบครัวที่ไม่มียายน้ำอิงส่วนเกินมาอยู่ให้รกหูรกตา พอคิดว่าต่อจากนี้จะไม่มีอิงธาราอยู่ร่วมบ้านก็ทำให้วีร์นัชชาอารมณ์ดีขึ้นมา หญิงสาวเดินเลี่ยงขึ้นชั้นบน กะว่าจะแจ้งข่าวดีให้คุณแม่ทราบในคืนนี้ ส่วนคุณพ่อก็ปล่อยให้เป็นธุระของคุณแม่ไปก็แล้วกัน
อิงธาราก้าวลงจากรถประจำทางเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ครั้งนี้เธอตัดสินใจพาตัวเองออกจากบ้านมาไกล มันไกลจนทำให้เธอหวาดหวั่น อากาศยามรุ่งสางเย็นสบายและเงียบสงบ แต่หญิงสาวกลับไม่มีกระจิตกระใจที่จะใส่ใจสิ่งรอบตัว เพราะสภาพจิตใจของเธอในยามนี้ค่อนข้างย่ำแย่ ตอนนี้หญิงสาวมาอยู่ยังตัวอำเพอของจังหวัดหนึ่งในประเทศ คนไม่พลุกพล่านอย่างในที่ที่เธอเคยอยู่
อิงธารากวาดตามองหาคนที่ปีเตอร์แจ้งว่าจะมารอรับ พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับชายร่างสูงที่ลุกจากม้านั่งยาวเดินมาทางเธอ ความไม่แน่ใจฉายชัดจากเจ้าของดวงตาสีสนิม ใบหน้ารกครึ้มใต้หมวกสานปีกกว้างทำให้หญิงสาวไม่สามารถเห็นรายละเอียดของเจ้าตัวได้เท่าที่ควร เสื้อยืดสีซีดกับกางเกงยีนส์เก่ามีรอยประชุนใต้หัวเข่าทั้งสองข้าง ทำให้เธอคิดว่าเขาน่าจะเป็นชาวบ้านแถบนี้ คงไม่ใช่คนขับรถที่เจ้านายคนใหม่จะส่งมารับเธอเป็นแน่ ดังนั้นอิงธาราจึงไม่ได้ใส่ใจเมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้แถมยังทำท่าจะหลีกทางให้เขาเสียด้วย
"คุณอิงธาราใช่ไหมครับ" สำเนียงอย่างคนท้องถิ่นทักทาย หญิงสาวพยักหน้ารับ
"ใช่จ๊ะ นายเป็นคนที่มารับฉันใช่ไหม" อิงธาราถามด้วยความไม่แน่ใจ แต่เท่าที่เขารู้จักชื่อเธอนั้นคงเป็นคนขับรถไม่ผิดแน่ ฝ่ายนั้นพยักหน้า กวาดตามองหาสัมภาระของหญิงสาว
"ฉันมีแค่กระเป๋าใบเดียว" เธอว่าเมื่อสังเกตเห็นท่าทางของเขา
"ส่งมาครับ เดี๋ยวผมถือให้" เธอส่งกระเป๋าใบย่อมให้เขา ก่อนจะเดินตามเขาไปยังรถกระบะเก่าโทรมที่จอดรออยู่ไม่ไกล
อิงธาราเข้ามานั่งตัวเกร็งในรถที่วิ่งโคลงเคลงไปตามถนน จากตัวเมืองที่มีตึกรามบ้านช่อง กลายเป็นป่าสลับกับทะเลเธอทอดตามองบรรยากาศนอกรถ หวลนึกถึงนาทีที่ตัดสินใจมาที่นี่ เพราะหลังจากวีร์นัชชาไล่เธอออกจากบ้านแล้วอิงธาราก็มืดแปดด้าน หญิงสาวนึกหาที่ไปไม่ออก ป้ามะลิเองก็เป็นกังวล เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ว่าจะไปหาที่อยู่ได้จากไหนกัน แล้วอิงธาราก็นึกถึงแผ่นพับที่มุกราตรีเอามาให้ เธอกดโทรไปยังเบอร์ในแผ่นพับ แจ้งความประสงค์ว่าจะไปทำงาน คุณปีเตอร์ที่เป็นเจ้าของเบอร์เลยส่งรายละเอียดที่อยู่ให้อิงธาราทางไลน์ หญิงสาวจึงเก็บกระเป๋าไปตายเอาดาบหน้า โดยไม่เฉลียวใจถึงสิ่งที่รอเธออยู่สักนิด
จะว่าไปอิงธาราเองก็ใจเร็วด่วนได้ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะเป็นไปตามที่ตัวเองคิดเสมอ พอได้มีเวลาใคร่ครวญหญิงสาวก็เห็นช่องโหว่อยู่มากมาย แต่จะตัดสินใจกลับลำก็ไม่ทันเสียแล้ว จึงได้แต่คิดหาทางหนีทีไล่
รถจอดสนิทที่ท่าเรือ ส่วนตัว มีเรือลำหนึ่งทอดสมอรออยู่ ชายร่างใหญ่เดินดุ่มมากระชากประตูฝั่งทางเธอให้เปิดออก อิงธารารู้สึกหวาดกลัว สอดส่ายสายตาเพื่อขอความช่วยเหลือก็แทบเป็นลมเมื่อบริเวณที่เธออยู่นี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากเธอกับคนขับรถเท่านั้น
"คุณปีเตอร์ไม่เห็นบอกว่าจะต้องนั่งเรือด้วย" หญิงสาวท้วงเมื่อเห็นเขายกกระเป๋าของเธอลงจากกระบะหลัง อิงธาราตั้งใจปักหลักอยู่บนรถ ไม่คิดจะก้าวเท้าลงดินถ้าเห็นว่าสารถีหนุ่มมีแนวโน้มว่าจะคุกคามเธอ
"งั้นคุณก็โทรถามคุณปีเตอร์ก่อนก็ได้ครับ" น้ำเสียงสุภาพขัดกับรูปลักษณ์ทำให้อิงธาราคลายความระมัดระวังลง
"ถ้าอย่างนั้นฉันขอโทรถามคุณปีเตอร์ก่อนแล้วกัน" มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเจ้าของชื่อทันที เสียงรอสายดังไม่นานเสียงห้าวพูดด้วยสำเนียงแปล่งๆ ก็ตอบรับกลับมา
สีหน้าโล่งใจของอิงธาราหลังจากที่พูดคุยซักถามคนปลายสายทำให้สารถีที่มาด้วยยกสัมภาระของเธอขึ้นเตรียมตัวออกเดินไปยังเรือที่เทียบฝั่งอยู่ มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มอย่างสมใจเมื่อหญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ แล้วกระโดดลงจากฝั่งผู้โดยสาร เดินตามหลังเขามา โดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มนั้น
อิงธาราลงนั่งตัวเกร็งอีกครั้งเมื่อเรือลำน้อยถอนสมอแล้วบ่ายหน้าไปยังเกาะที่เห็นอยู่ลิบๆ ตามคำชี้ชวนของชายหนุ่มที่ผันตัวเองมาเป็นคนขับเรือ เวิ้งทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาทำให้หญิงสาวอดหวาดระแวงไม่ได้ ชายหนุ่มที่กำลังบังคับเรือก็ไม่ได้ชวนเธอพูดคุยให้คลายกังวลแม้แต่นิด เขาเพียงทำหน้าที่ของตัวเองไปเงียบๆ เธอได้แต่นั่งกอดกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง หันไปทางไหนก็เจอแต่ขอบฟ้าจรดน้ำ นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกโดดเดี่ยว
ร่างบางจับกาบเรือไว้แน่นยามเมื่อเรือปะทะเข้ากับคลื่นลูกโต เธอรู้สึกมวนในท้องจนต้องอาเจียรเอาน้ำย่อยออกมาอยู่บ่อยครั้ง แดดยามสายกระทบพรายฟองเกิดเป็นประกายระยิบระยับ แต่กลับไม่มีกระจิตกระใจที่จะชื่นชมทัศนียภาพตรงหน้าเลย หญิงสาวได้แต่ภาวนาให้ถึงเกาะที่พำนักเร็วๆ ดั่งสวรรค์ได้ยินคำอ้อนวอนของเธอเมื่อเกาะที่เห็นลิบๆ นั้นอยู่ใกล้เข้ามาทุกขณะ เรือเทียบท่าเมื่อสารถีทอดสมอ อิงธาราพลูลมจากปากอย่างโล่งอก พยายามจะไม่อาเจียร แต่ก็ยังทิ้งทวนก่อนขึ้นฝั่งไปอีกยกหนึ่งจนได้
***
ปล. ตอนหน้าอาจรอนานนิดนึงน้า เพราะมีภาระกิจยาวไกลไปถึงเดือนหน้าเลยแหละ
**ไว้เจอกันจ้า
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 439
แสดงความคิดเห็น