๘ ความเชื่อ - ๖
ความเชื่อ - ๖
ข่าวการเสียชีวิตของคนรู้จักทำให้อาจองตัดสินใจออกนอกบ้านแม้จะค่ำแล้วก็ตาม เด็กหนุ่มเลือกชุดสีดำอย่างง่ายๆ ขึ้นมาหนึ่งชุด มันเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวกับกางเกงยีนส์สีดำทรงสกินนี่ที่อวดรูปร่างเพรียวของเด็กหนุ่มให้ชัดมากขึ้น
หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็เดินออกจากบ้านและตรงไปที่ถนนในขณะที่โทรศัพท์คุยกับพ่อไปพร้อมๆ กัน
อาจองไล่นึกถึงเรื่องราวในวัยเด็กที่เขาเคยวิ่งตามชายที่เขาเรียกว่าพี่ชูต้อยๆ ในขณะที่รถแท๊กซี่พาเขาออกสู่ถนน เขาใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีก็มาถึงวัดที่ตั้งศพ
เด็กหนุ่มยืนมองประตูใหญ่ตั้งทะมึนอยู่ในความมืด แม้มีแสงไฟอยู่หลายจุด แต่มันก็แทบไม่ได้ช่วยขับไล่ความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วลานวัดให้ลดน้อยลงได้ เสียงสวดมนต์ที่มีลักษณะลากยานแว่วออกมาจากมุมหนึ่งของวัด มันชวนให้ยะเยือกหนักเข้าไปอีก
อาจองกวาดตาฝ่าความมืดไปโดยรอบก่อนจะตัดสินใจเดินตรงเข้าไปจนใกล้ศาลาที่สว่างที่สุด เมื่อถึงระยะที่มองเห็นป้ายใหญ่สีขาวที่ตั้งอยู่หน้าศาลา เขาก็รู้ว่ามาถึงที่แล้ว
ร.ต.ชูเกียรติ เหมหาญ์ ร.น.
อาจองยืนนิ่งอยู่ห่างๆ ในความมืดในขณะที่รอพระสวดมนต์ เป็นช่วงเดียวกับที่เพื่อนสนิทส่งข้อความมาถามเรื่องรองเท้าวิ่ง เขาจึงต้องครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้คุยแบบเป็นเรื่องเป็นราวเสียงสวดก็หยุดลงเสียก่อน เขาจึงต้องพักเรื่องรองเท้าไว้และเดินเลาะฝูงชนไปที่ศาลา ตอนนั้นเองที่อาจองเห็นลุงเชิด ชายผู้เป็นพ่อของชูเกียรติกำลังใช้มือตีโลงศพเบาๆ เขาจึงรีบเดินเข้าไปหา
“หวัดดีครับลุงเชิด ผมเพิ่งรู้ข่าวจากลุงภพ”
“อืม! พี่เอ็งเขาไปดีแล้วล่ะ ไปไหว้พี่เขาซะซิ อาจ”
“ครับ เอ่อ...เมื่อกี๊ลุงเคาะโลงเหรอครับ? มันคืออะไรครับ?”
“ก็ทักเรียกบ้าง คุยบ้าง คุยไปเรื่อยน่ะ”
“ลุงเชิดคิดว่าพี่ชูจะได้ยินเหรอครับ?”
“ได้ยินซิ เขายังอยู่แถวนี้แหละ เอ็งเชื่อมั้ยล่ะ?”
“ไม่รู้ซิครับ” เด็กหนุ่มไม่มั่นใจว่าควรจะตอบในสิ่งที่ตนคิดเหรือไม่ เขาไม่เคยคิดว่าผีจะวนเวียนอยู่ใกล้ตัว แต่การตอบแบบนั้นอาจจะทำให้ลุงเชิดเศร้าใจมากไปกว่าเดิม เขาจึงเลี่ยงที่จะตอบ “ผมไปไหว้ศพดีกว่า”
“ไปคุยกับเขาซิ เขาคงดีใจที่เอ็งมาคุยด้วย”
อาจองถูกฝ่ามือใหญ่ของลุงเชิดผลักดันให้เดินตรงไปที่โลงสีขาวที่ฉลุอย่างสวยงามด้วยลวดลายสีทอง เขามองโลงนั้นพลางกลั้นหายใจเป็นช่วงๆ กลิ่นของอะไรหลายอย่างลอยตลบอยู่โดยรอบและมันไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไร
เด็กหนุ่มวางมือที่โลงเบาๆ ตามคำแนะนำของลุง ภาพชายที่ชื่อชูเกียรติในชุดกะลาสีสีกากีปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ภาพนั้นคือภาพสุดท้ายที่อาจองจำได้
“พี่ชู ผมเสียใจนะพี่ พี่จากไปเร็วขนาดนี้ ผม...”
เด็กหนุ่มหยุดครู่หนึ่ง เขาอยากจะพูดให้คนที่ล่วงลับไปแล้วรู้ถึงความรู้สึกลึกๆ ที่เก็บอยู่ในใจ แต่มันคงไม่ดีแน่หากพูดต่อหน้าคนอื่น แม้มันจะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่จะได้พูดใกล้ชิดแบบสองต่อสองแบบนี้ หลังจากนี้ไปชายที่ชื่อพี่ชูก็จะมีอยู่แค่ในความทรงจำของคนที่รู้จักเท่านั้น เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง
อาจองเลื่อนสายตาขึ้นจ้องเขม็งราวกับมันสามารถทะลุเข้าไปถึงชายที่นอนอยู่ในโลงไม้ได้
“...พี่ยังไม่ได้คืนเลโก้ชุดใหญ่ของผมเลย คืนนี้ผมจะไปเอาคืนนะ”
อาจองคุยกับลุงเชิดเพื่อขออนุญาตไปรื้อห้องของราชนาวีหนุ่ม ลุงเชิดยื่นกุญแจบ้านให้ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา
“ห้องมันอยู่ด้านหลัง รกหน่อยนะ ลุงยังไม่ได้เข้าไปจัด ได้แต่ปิดมันไว้อย่างนั้น...” ชายร่างใหญ่เอ่ยกับเด็กหนุ่มอย่างอ่อนล้า “...ถ้าเอ็งเจออะไรที่ชอบที่ถูกใจ เอ็งก็หยิบไปนะ ดีกว่าตั้งทิ้งไว้เฉยๆ พี่เอ็งเขาไม่ว่าหรอก”
“ขอบคุณครับ” อาจองตอบและยิ้มให้ลุงเชิดที่หมุนตัวเดินจากไป
การจากไปของลูกชายคนเล็กที่อยู่ด้วยกันมาตลอดคงจะทำให้ลุงเชิดเหงาพอสมควร แต่พี่ชูในช่วงวัยรุ่นก็สร้างปัญหาให้ลุงเชิดอยู่แทบทุกวัน อาจองจึงไม่มั่นใจว่าตอนนี้ลุงเชิดรู้สึกอย่างไร
“แกจะไปบ้านพี่เหรอ? ไอ้ตัวเล็ก”
เสียงกวนประสาทที่คุ้นหูของชายคนหนึ่งดังขึ้น อาจองแทบไม่ต้องใช้เวลามากมายในการทบทวนเขาก็จำได้ เขาคือกอบเกียรติ ลูกชายคนโตผู้เอาถ่านของลุงเชิด ลูกชายที่ดีและขยันขันแข็งมากกว่าลูกชายคนเล็กอย่างที่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกันให้ระคายเคือง
เขาดีทุกอย่าง ติดแค่ว่าเขาชอบใช้ปากหาเรื่องอาจอง
“ระวังเจอไอ้ชูนะ มันชอบนั่งอยู่ในห้องคนดียวมืดๆ”
“ไร้สาระน่าพี่กอบ! พี่ชูไม่อยู่แล้ว...”
“แกไม่รู้เหรอว่าการที่เราเดินไปเคาะโลงคุยกับศพน่ะ...” กอบเกียรติเอ่ยแทรกด้วยเสียงจริงจังและจ้องใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนเล่นน้องชายผู้ไม่เอาไหน “...มันแสดงว่าเราเชื่อว่าคนตายยังไม่ไปไหนนะโว้ย พ่อพี่ยังเคยบอกเลยว่าเห็นไอ้ชูมันยังเดินไปมาในบ้าน”
“อย่ามาอำ! ที่ผมไปคุยกับโลง ผมแค่ทำตามที่ลุงเชิดขอร้องเท่านั้นแหละพี่” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยใบหน้าขุ่นเคือง แต่กอบเกียรติกลับยิ้มร่าที่ถูกโต้ เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจจบศึก “ผมกลับล่ะ จะไปธุระต่อ หวัดดีครับ”
แม้กอบเกียรติจะชอบหาเรื่องอยู่เสมอ แต่อาจองก็ยังคิดว่าเขาดีเกินไป ด้วยเหตุนี้อาจองจึงไม่เคยคุยกับกอบเกียรติได้นานเกินห้านาที ผิดกับน้องชายที่ล่วงลับไปแล้ว รายนั้นเป็นเด็กหนุ่มเกเรและเข้าใกล้คำว่าเท่มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด อาจองจึงชอบและติดตามต้อยๆ ตั้งแต่ยังเด็ก
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 361
แสดงความคิดเห็น