ผี – ซ่อน – ศพ 2 CHAPTER 4th : ศพที่หนึ่ง
H - I - D – E II
ผี – ซ่อน – ศพ 2
CHAPTER 4th : ศพที่หนึ่ง
CHAPTER 4th : ศพที่หนึ่ง
หลังจากที่เทปบันทึกภาพรายการในช่วงเดินสายล่าผีออกอากาศไปได้ไม่ถึงสองวัน กระแสมากมายต่างเข้ามาไม่ขาดสายถึงความหลอนของโรงเรียนสตรีวิทสาร อีกทั้งได้แขกรับเชิญชื่อดังอย่างมีมี่เข้ามาร่วมรายการด้วยจึงทำให้เรตติ้งของรายการพุ่งสูงขึ้นแซงรายการผีช่องเพื่อนบ้านไปไกล ความคิดเห็นมากมายทั้งด้านดีและด้านลบผ่านสู่สายตาทีมงานช่อง Mysterious Channel ก็อดทำให้พวกเขาดีใจไม่ได้ และแน่นอนว่าเมื่อกระแสดี ผู้สนับสนุนต่างหลั่งไหลเข้ามาขอเป็นสปอนเซอร์อย่างท่วมท้นจนบริษัทต้องเป็นคนเลือกเอง ทีมงานของจุ้นได้ลงป้ายไวนิลของบริษัทว่าเป็นทีมงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขา เรียกได้ว่าทั้งทีมกอบโกยความสำเร็จได้เป็นอย่างมาก
“เอ้า! ชน!!” เสียงของผู้กำกับรายการมากความสามารถกล่าวเปิดงานก่อนจะยกแก้วที่ผสมน้ำเมาสีเข้มขึ้นเหนือหัวก่อนจะยื่นไปข้างหน้าเพื่อเป็นสัญญาณ คนอื่น ๆ รีบยกแก้วขึ้นมาก่อนจะชนอย่างเป็นมารยาท
“ต้องขอบคุณทุกคนมากที่ทำให้รายการของเราเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้ แล้วก็ขอบคุณน้องฝนด้วยที่ทำหน้าที่ประสานงานได้เป็นอย่างดีจนถึงวันสุดท้ายของการทำงาน” จุ้นพูดต่อก่อนจะหันไปยิ้มให้กับนักศึกษาสาวอย่างเอ็นดู
ใช่แล้ว วันนี้เป็นการฝึกงานวันสุดท้ายในตำแหน่งพนักงานประสานรายการโทรทัศน์ของฝน หญิงสาวยิ้มตอบ เธอไม่ได้ยื่นใบสมัครไว้ที่ไหนเลยตั้งแต่ฝึกงานมาเพราะตั้งใจจะที่จะขอสมัครงานที่นี่ต่อ และจุ้นเองก็เห็นว่าฝนทำหน้าที่นั้นได้อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง เขาจึงให้ฝ่ายบุคคลช่วยพิจารณาฝนเพราะว่าเขาเองก็อยากจะได้เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
ท่ามกลางความสนุกสนานของทีมงานโทรทัศน์ ฝนได้แต่นั่งมองออกไปยังท้องฟ้าสีเข้มขมุกขมัว หน้าฝนเองยังไม่หมดไป ท้องฟ้าสว่างไสวโชติช่วงเป็นระยะตามปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างที่มันควรจะเป็น อีกไม่นานหยดน้ำจากฟ้าคงต้องพร้อมใจกันเทลงมาเป็นแน่ หล่อนมองดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะพบว่ามันคือเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว
“พรุ่งนี้วันหยุด งั้นวันนี้ฝนขอตัวกลับก่อนนะคะพี่ ๆ ถ้าทางสถานีเรียกฝนไปสัมภาษณ์ ยังไงพี่ ๆ รบกวนบอกฝนด้วยนะคะ” เธอกล่าวอย่างมีมารยาท
“จะกลับแล้วเหรอ ยังไม่เที่ยงคืนเลยนะ เป็นซินเดอเรลล่าหรือยังไง?” ปาร์คแซวก่อนจะขำออกมาเบา ๆ ตามประสาคนปากไม่ดี เบสต์กระทุ้งศอกไปทีเพื่อให้เจ้าตัวหยุดทำพฤติกรรมแบบนั้นเสียที
“กลับพร้อมพี่ก็ได้นะ พี่เอารถมา เดี๋ยวไปส่ง” สาวร่างเล็กที่นั่งข้าง ๆ เธอพูดขึ้นก่อนจะขอตัวหนุ่ม ๆ และมีนากลับก่อน ฝนยกมือไหว้ทีมงานทั้งหมดก่อนที่จะเดินตามเจนออกไปที่ลานจอดรถ
สองสาวเดินออกมาจากร้านก่อนจะตรงไปยังลานจอดรถซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก บ้านของฝนและเจนอยู่ไม่ไกลกันเท่าไร ถ้าจะผ่านบ้านเจนจะต้องผ่านบ้านของฝนก่อน เธอจึงอาสาเป็นคนขับรถให้เพราะไม่อย่างให้รุ่นน้องต้องมาเสี่ยงอันตรายกับแท็กซี่ในเวลากลางคืน รถค่อย ๆ ทยานออกไปก่อนจะเข้าสู่ถนนหลัก ในเวลานี้รถยังคงขวักไขว่อยู่บ้างตามประสาเมืองหลวงแห่งความศิวิไลซ์ แต่สำหรับฝน ถ้าเลือกได้ เธอก็อยากจะใช้ชีวิตที่ต่างจังหวัดเสียมากกว่า หลีกเลี่ยงรถติด มลพิษทางอากาศและการแข่งขันทุกอย่างแม้กระทั่งต้องช่วงชิงตำแหน่งเก้าอี้ภายในรถประจำทาง ทุกอย่างมันคือความเร่งรีบ แต่ถึงกระนั้นเธอปฏิเสธไม่ได้ว่างานที่กรุงเทพค่อนข้างจะหาง่ายกว่า เงินเดือนดีกว่า แต่ถ้าลองบวกลบกลบหนี้แล้วก็คงไม่ต่างกันเท่าไร
เสียงเพลงยุค 90’s คลอเบา ๆ ในรถของเจน เธอจำได้ว่าเป็นเพลงของวงที่เธอชอบฟังสมัยเด็ก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าพอกลับมาอีกครั้ง มันยังไพเราะอยู่เช่นเดิมอย่างที่เคยฟัง เจนเป็นคนที่ขับรถไม่เร็วมากนัก จึงทำให้ฝนรู้สึกปลอดภัยเวลาที่ต้องเดินทางไปไหนมาไหนกับเธอ
“แปป ๆ ก็ผ่านไปสี่เดือนแล้ว เร็วเหมือนกันเนอะ” เจนพูดขึ้นในขณะที่สายตายังคงมองถนนด้วยความตั้งใจ
“ใช่ค่ะ ไวมาก ฝนคิดว่าเพราะงานสนุก พวกพี่ใจดีด้วย เลยทำให้เวลาการฝึกงานที่นี่เดินไปไว” ฝนยิ้มในขณะที่มือกำลังพิมข้อความหาที่บ้านเพื่อให้ลงมาเปิดประตูให้
“พี่มีเรื่องจะถามหน่อย” อยู่ ๆ เจนก็เปลี่ยนคำถาม เล่นเอาหญิงสาวตั้งตัวไม่ทัน เมื่อรถติดไฟแดง เจนจึงละสายตาจากถนนก่อนจะหันมามองเธออย่างจริงจัง
“คะ?”
“ฝนว่าติณกับมีมี่ เห็นผีจริง ๆ หรือเปล่า?”
เจนติดใจเรื่องคืนนั้นมาตลอด หลังจากที่เธอกลับมาจากโรงเรียนสตรีวิทสารก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้ว แต่เรื่องนี้ยังคงคาใจเธอมาตลอด เธอพยายามย้อนภาพตามกล้องวงจรปิดจากจุดที่สองคนนั้นอ้างว่ามีผีหรือวิญญาณโผล่ออกมา แต่ก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นเลย จะว่าทำเพื่อรายการก็ไม่น่าจะใช่ เพราะทุกอย่างที่สองคนนั้นเล่าให้ฟังมันดูสมจริงราวกับว่าทั้งคู่ประสบพบเจอมัน ติณบอกกับทีมงานว่าเห็นขาของใครบางคนเดินหายไปจากมุมมืดของตึกคหกรรม ส่วนมีมี่ก็โวยวายบอกว่าเห็นหน้าของผู้หญิงโผล่พ้นกอหญ้าขึ้นมามองหน้าเธอ เจนไม่ใช่คนที่ไม่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ หรือสิ่งที่มองไม่เห็น กลับกันเธอชอบเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้เสียมากกว่า แต่ทำงานมาที่นี่ก็หลายเดือนแล้ว ยังไม่เห็นจะเจออะไรที่น่ากลัวอย่างที่พวกแขกรับเชิญเจอเลย มันทำให้เธอคิดว่าสองคนนั้นเห็นผีจริง ๆ หรือว่าผีในจินตนาการกันแน่
“ฝนเองก็พยายามคิดมาตลอดค่ะ แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้ว พวกนั้นอาจจะเห็นจริง ๆ”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ?” เจนย้อนถามไป
“ก็ตอนนั้น....”
ปรื้นนนนนน!!!!!
จู่ ๆ รถด้านหลังก็บีบแตรเสียงดังจนทั้งสองคนถึงกับตกใจจนเจนเผลอสะดุ้ง หล่อนรีบหันหน้ากลับมาดูก่อนจะพบว่าไฟจราจรนั้นเป็นสีเขียวแล้ว เธอจึงรีบขับออกไปจากตรงนั้น ปล่อยให้ความสงสัยยังคงอยู่ในตัวของเธอ รถค่อย ๆ ขับออกไปจนกระทั่งเข้าสู่ถนนอีกเส้น ไม่กี่กิโลก็จะถึงหน้าหมู่บ้านของฝนแล้ว ตรงจุดนี้ไฟทางของถนนจะขาดไปช่วงหนึ่งประมาณสี่ถึงห้ากิโลเมตร จึงทำให้บริเวณนี้มืดสนิท มีเพียงแค่แสงไฟหน้ารถเท่านั้นที่พยายามส่องสว่างเพื่อให้คนขับได้เห็นเส้นทางตรงหน้าได้บ้าง แต่โชคยังดีที่ยังมีรถที่ใช้เส้นทางนี้อยู่บ้าง จู่ ๆ รถที่ขับสวนกับเธอก็เปิดไฟสูงใส่จนเจนและฝนหลับตาปี๋
“อะไรของเขา!” เจนบ่น อยู่ ๆ ก็เปิดไฟใส่ ไม่มีมารยาทเลย
บรรยากาศในรถเริ่มเงียบเชียบ เพลงที่เปิดจากยูเอสบีเริ่มติดขัดจนเป็นเป็นเสียงยานครางราวกับเทปเสีย ทั้งสองหันมามองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เจนจึงอาสาถอดยูเอสบีออก และแล้วรถคันที่สองก็ขับผ่านเธอ และก็เป็นเช่นเคย รถที่สวนมาเปิดไฟสูงอีกครั้งจนครั้งนี้เจนถึงกับบีบแตรออกไปอย่างหัวเสีย
“ไม่มีมารยาทเลย ถ้าเกิดเสียหลักขับรถชนอะไรมาจะว่ายังไง!” เจนเริ่มบ่นออกมา เธอพยายามให้มีเสียงดังเพื่อกลับความกลัวที่เริ่มเข้ามาเกาะกินในใจของเธอ ส่วนฝนนั้น เธอเหงื่อแตกพลั่กทั้งที่ในรถก็เปิดแอร์เย็นฉ่ำ
“ทำไมวันนี้ บ้านของพวกเรามันดูไกลจังเนอะ” ยังไม่ทันที่คนขับจะได้ตอบคำถามอะไรไป จู่ ๆ รถที่ขับตามมาก็เปิดไฟสูงขึ้นอีก หากแต่ครั้งนี้ไฟนั้นเปิดแบบกระพริบเป็นจังหวะอย่างน่าแปลกประหลาด
“เขาจะให้เราจอดรถหรือเปล่าคะ หรือว่าเขาต้องการอะไร?” ฝนเสียงสั่น เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
เจนไม่ได้พูดอะไร หล่อนรีบขับรถให้พ้นถนนนั้นออกมาก่อนจะพบปั๊มน้ำมันที่ส่องสว่างและมีคนอยู่พลุกพล่าน เธอตัดสินใจจอดรถ และเป็นตามที่เธอคิด รถคันนั้นเองก็จอดเช่นกัน
“ไม่อันตรายหรอพี่เจน?” ฝนถาม
“ไม่หรอก ตรงนี้มีคน มีปั๊มน้ำมัน แสงสว่างเยอะขนาดนี้ ถ้าคิดจะปล้นหรือทำร้ายเราก็โง่มากแล้วล่ะ” เจนพยายามข่มความกลัวก่อนจะเดินลงไปจากรถ ซึ่งฝนเองก็รีบเดินตามลงไปเพราะกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับรุ่นพี่ของหล่อน เจ้าของรถอีกคันเดินลงมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด เขาเป็นแค่พนักงานธนาคารอเวนลงพุงที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยด้วยซ้ำ
“มีอะไรหรือเปล่าคะพี่ หนูเห็นว่าพี่กระพริบไฟสูงใส่พวกเราตลอดทางเลย?” เจนยิงประเด็น เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าดูจะตื่นกลัวมากกว่าพวกเธอเสียอีก
“ในรถคุณ...ผมเห็น...เห็นเหมือนผู้หญิงผมยาวอยู่ด้านหลัง ตอนแรกผะ...ผม คิดว่ามันเป็นเงาแต่พอเปิดไฟสูงใส่ มันเหมือนกับว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังจะปีนไปหาพวกคุณ ผมเลยตกใจคิดว่าพวกคุณกำลังโดยทำร้าย เลยเปิดไฟกระพริบบอกให้คุณรู้” เขาตอบไปตามความจริง ทั้งฝนและเจนหันมามองหน้ากันก่อนที่ใบหน้าจะซีดเผือดราวกับไก่ต้ม
มีผู้หญิงอยู่ในรถของพวกเธออย่างนั้นเหรอ!!?
นาฬิกาจากจอโน๊ตบุ๊คแสดงเวลาตีสอง เป็นเวลาปกติที่ติณยังคงใช้ชีวิตอยู่ในโลกโซเชียลค้นหาสูตรเกมออนไลน์ตามแบบที่เขาชอบ คนโสดแบบเขาก็คงจะมีแต่เกมออนไลน์เท่านั้นที่อยู่เป็นเพื่อนเขาได้ในเวลานี้ เด็กหนุ่มนักศึกษาพักอยู่ที่คอนโดใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ถึงจะไม่ใช่คนที่หน้าตาดีหรือมีวาทศิลป์ในการจีบหญิง เขาก็ยังมีฐานะที่ร่ำรวยด้วยการเป็นสตรีมเมอร์มาหักล้างปมของเขา ภายในคอนโดนั้นมีแต่รูปของนักร้องสาวเสียงดี มีมี่ มิฬาดา ที่เขาชอบเท่านั้น เขาเคยลงทุนซื้อบัตรจับมือไอดอลสาวหลังเวทีมาแล้ว เพียงแต่เธอจำเขาไม่ได้ก็เท่านั้น เมื่อรู้ว่ามีมี่จะมาเป็นแขกรับเชิญ เขาก็ไม่พลาดที่จะสมัครเข้ามาร่วมเดินสายล่าผีเพื่อหวังที่จะได้เจอมีมี่แบบใกล้ชิดอีกครั้ง
กริ๊ง....
เสียงกดกริ่งหน้าห้องดังขึ้นในขณะที่เขากำลังจะชนะในตาสุดท้าย ขัดจังหวะการเล่นเกมที่กำลังจะได้ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม
ป้อมจะแตกอยู่แล้วเชียว!
เสียงกริ่งดังขึ้นอีกครั้ง เขาแอบพ่นลมหายใจเล็กน้อยอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเดินดุ่ม ๆ ไปหน้าห้อง สายตาสาดส่องลอดผ่านตาแมวเข้าไปเพื่อดูว่ามีใครมารบกวนเขาในยามวิกาลแบบนี้ แต่แล้วเขาก็พบเพียงความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
“ใครมากดกริ่งเล่นวะ เดี๋ยวกูจะตบกบาลให้!” เขาบ่นอุบก่อนจะเดินกลับไปยังคอมพิวเตอร์ของตน
กริ๊ง!!!
เสียงกริ่งดังขึ้นจากหน้าห้องอีกครั้งท่ามกลางความเงียบของยามราตรี เด็กหนุ่มหัวร้อนตัดสินใจผลักประตูออกไป แต่ก็เช่นเคย เขาไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่าอีกครั้ง ติณตัดสินใจชะโงกหน้าออกไปจากห้องก่อนจะพบว่ามีร่างของใครบางคนที่วิ่งหายไปมุมทางเดินตรงหน้า
“เดี๋ยวได้เจอกู!” ติณสบถก่อนจะรีบวิ่งตามคนปริศนานั้นออกไป เขาคว้าร่มที่วางพิงประตูไว้หมายจะจัดการให้น่วมและพาส่งยามรักษาความปลอดภัยโทษฐานที่มารบกวนคนอื่นในยามวิกาลเช่นนี้
ติณกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจนถึงที่หมาย ไม่มีใครหรือสิ่งมีชีวิตใดอยู่ตรงนั้น มีเพียงช่องทิ้งขยะของคอนโดกับประตูทางหนีไฟที่เหมือนจะปิดไม่สนิทคิ้วหนาเริ่มย่นอีกครั้งอย่างคนหัวเสียก่อนจะรีบผลักประตูนั้นเข้าไป ทันทีที่ประตูถูกปลัก แสบหนึ่งเขาแอบเห็นเงาดำไหว ๆ อยู่ด้านล่าง นั่นแปลว่ามันกำลังจะหนีลงไปยังชั้นลานจอดรถ ชายหนุ่มคิดดังนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าให้ไวกว่าเดิมเพื่อจะตามจับพวกก่อกวนให้ทัน
ตอนนี้เขาวิ่งมาได้หนึ่งชั้น เงานั้นยังคงเคลื่อนที่ลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาเลี้ยวลงไปอีกชั้น ไฟบริเวณนี้กระพริบติด ๆ ดับ ๆ อย่างกับในหนังสยองขวัญที่เขาเคยดู ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มสังเกตถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น เขาหยุดดูจากหัวมุมของบันใดหนีไฟ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือว่าตาฝาดกันแน่ เพราะสิ่งที่เขาเห็นจากตรงนี้มันช่างน่ากลัวเกินกว่าที่เขาจะบรรยายออกมาได้
ภายในมุมมืดของบันใดหนีไฟ เขาเห็นอะไรบางอย่างขยับไปมาอยู่ตรงนั้น ‘บางอย่าง’ ที่เขาเห็นเคลื่อนไหวช้า ๆ เสียงกรอบแกรบดังเข้าภายในโสตประสาทของชายหนุ่ม เขากลืนน้ำลายก่อนที่จะค่อย ๆ เดินลงไปอย่างพวกใจดีสู้เสือ ในใจตอนนั้นก็ขอให้เป็นคนที่มาก่อกวนเขาและเผลอสะดุดตกบันใดก็ได้ ความคิดแง่บวกค่อย ๆ ผุดขึ้นมาราวกับพวกปลอบใจตัวเอง เขากลืนน้ำลายก่อนจะทำทีลงไป หากแต่ว่าบางอย่างที่เขาสงสัยอยู่นั้นได้เฉลยตัวตนออกมาแล้ว
มันคือหนูที่วิ่งออกมาจากถุงขยะที่คนในคอนโดแอบเอามาทิ้งไว้ตรงทางหนีไฟ ....
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาพยายามสะบัดความคิดนั้นก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่ากำลังไล่ตามจับพวกก่อกวนอยู่ เมื่อคิดได้ ติณจึงทำทีจะวิ่งตามลงไปอีกครั้ง
ตึก ... ตึก....
เสียงเหมือนฝีเท้าของใครบางคนกำลังก้าวขึ้นบันใดมาอย่างช้า ๆ สายตานั้นพยายามชะโงกลงไปยังต้นเสียงผ่านช่องว่างระหว่างราวบันใด เขาเพ่งมองด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ ในตอนนั้นเองที่เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นหยุดชะงัก เกิดความเงียบงันขึ้นบริเวณนั้น ทั้งที่ขาพยายามจะก้าวกลับไป แต่สมองยังคงสั่งให้หยุดอยู่ตรงนั้นเพื่อมองดูสิ่งที่กำลังจะก้าวขึ้นบันใดมา และในตอนนั้นเองที่เขามองเห็นบางอย่างจากเจ้าของเสียงที่น่าขนลุกนั่น
มือที่ขาวซีดราวกับศพกำลังเกาะราวบันใดชั้นล่างเอาไว้!
“เฮ้ย!” เขาเผลออุทานลั่นก่อนจะรีบหันหลังเพื่อตั้งท่าจะหนี
จังหวะที่เขาหมุนตัวเพื่อเตรียมจะวิ่งกลับไปที่ห้อง สายตาของเขาก็เจอเข้ากับร่างของผู้หญิงในชุดสีขาวสกปรกคนหนึ่งที่ยืนประชิดเขา!!
ไม่รู้ว่าร่างนั้นมาตั้งแต่เมื่อไร และผมที่ยาวปรกหน้าทำให้เขาไม่รู้เลยว่าเธอเป็นใคร แต่ความตกใจนั้นมีมากกว่า และสัญชาตญาณของเขาเองก็สั่งให้ถอยหลัง ขาวข้างหนึ่งก้าวถอยหลังตามคำสั่งของสมองจนเขาลืมไปว่าตรงที่เขาอยู่นี้คือบันใดหนีไฟ และแน่นอนว่ามันส่งผลให้ร่างของเขาพลิกตกลงไปในทันที
แผ่นหลังของติณกระแทกเข้ากับพื้นของบันใด ไม่ใช่การกลิ้งตกลงมาธรรมดาทั่วไป หากแต่เขาตกลงมาตรง ๆ ทันทีที่หลังกระแทก ศีรษะของเขาเองก็ถูกแรงเหวี่ยงจากแรงโน้มถ่วงนั้นกระแทกเขากับสันบันใดอย่างแรง เสียงกรอบแกรบจากการหักกระดูกดังไปทั่วพร้อมกับร่างของเขาที่กลิ้งตลบลงมาสองสามทีก่อนที่ศีรษะจะฟาดเข้ากับผนังกำแพงสีครีมเป็นอย่างสุดท้าย เลือดจากด้านหลังศีรษะนั้นกระจายเปื้อนผนัง บางส่วนก็กระเซ็นตามขั้นบันใด ตอนนั้นร่างกายของเขาไม่สามารถตอบสนองอะไรใดแล้ว ความเจ็บปวดแล่นไปตามตัวจนเขาชาไปหมด แว่นสายตาที่เขาใส่มากระเด็นอยู่ไม่ห่างจากตัวของเขา สายตานั้นพร่ามัวจนเห็นเพียงภาพเบลอ ๆ ที่อยู่ตรงหน้า
“ชะ...ช่วย...ช่วยด้วย...” เขาแม้แต่จะไม่มีแรงในการเปล่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ร่างปริศนานั้นเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับจับมือของเขาไปยังร่มที่หล่นอยู่ตรงนั้น เขาไม่เห็นอะไรนอกจากรอยยิ้มอันแสนน่ากลัวของหล่อน มือของเขาถูกบังคับให้จับด้ามร่มเอาไว้โดยที่ฝ่ามือนั้นถูก ‘เธอ’ ค่อย ๆ จับมือที่บังคับร่มนั้นไปจ่อยังคอหอยของเขา ปลายแหลมจากร่มห่างจากคอเพียงไม่กี่เซนติเมตร
เขาแอบกลืนน้ำลายลงไปพอดีกับที่ปลายแหลมของร่มทิ่มเข้าไปสุดแรงจนทะลุจากคอไปยังกำแพงด้านหลัง เลือดสีแดงเข้มสาดกระเซ็นจนได้กลิ่นคาวคละคุ้งไปทั่วบริเวณ ปากของติณอ้าค้างราวกับคนที่พยายามจะไขว่คว้าหาอากาศหายใจให้ได้มากที่สุด ตาของเขาเหลือกอย่างคนที่เจ็บปวดมาก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ แน่นิ่งไปในสภาพที่ดวงตายังเปิดกว้าง เธอแสยะยิ้มให้ศพตรงหน้าก่อนจะค่อย ๆ เดินหายไปในความมืดของบันใดหนีไฟ
และนั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นบนโลกใบนี้...
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 488
แสดงความคิดเห็น