เรื่องวุ่นวายในป่าพิศวง กับอัญมณีแห่งพงไพร บทที่ 1 มณีแห่งพงไพร
ยังคงมีอาณาจักรแห่งหนึ่งนามว่า “พนัสนคร” ซ่อนตัวอยู่กลางพงไพรปกครองโดยกษัตริย์ที่ทรงธรรมนามว่ากษัตริย์คีรี อาณาจักรแห่งนี้ครอบคลุมผืนป่าอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ณ ใจกลางมหาปราสาทของเมืองเป็นที่ตั้งของมณีสีเขียวมรกตที่ชาวเมืองเรียกว่ามณีแห่งพงไพร มณีนี้เป็นดั่งหัวใจของเมืองมันให้ทั้งความสมดุลและพลังกับผู้ที่ครอบครองมันด้วยพลังอำนาจที่ลี้ลับเกินจะเข้าใจได้ของมณีนี้ทำให้ไม่ว่าใครก็ต่างหมายปองที่จะได้ไปครอบครองแต่กษัตริย์คีรีก็ปกครองมณีและชาวเมืองให้พ้นภัยโดยตลอดมา แต่แล้วกษัตริย์คีรีก็เริ่มชราและล้มป่วยตามกาลเวลา ทางกษัตริย์คีรีจึงวางแผนที่จะมอบตำแหน่งกษัตริย์ให้รัชทายาทสืบต่อไป
“พ่อคงอยู่ได้อีกไม่นาน คงถึงเวลาแล้วที่พ่อจะต้องมอบหมายให้พวกเจ้าปกครองอาณาจักรแห่งนี้ต่อไป” กษัตริย์คีรีพูดขึ้นขณะที่นอนประทับอยู่บนเตียงโดยที่มีรัชทายาททั้งสองนั่งอยู่ด้านล่าง
“ท่านพ่ออย่าพึ่งพูดเช่นนั้นเลย ท่านจะต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนาน”
“อรรณพ ลูกพ่อทุกสิ่งย่อมร่วงโรยตามวันเวลาและดูเหมือนว่าเวลาของพ่อใกล้จะมาถึงแล้ว” กษัตริย์พูดพร้อมกับเอามือลูบไปที่หัวของบุตรชาย
“ท่านพ่อหากไม่มีท่านพวกเราจะอยู่กันต่อเช่นไร” บุตรสาวพูดเสียงสะอื้นบอกบิดา
“วาโย อย่าร้องไห้เสียใจไปเลยลูกจากนี้ไปเจ้าสองคนพี่น้องต้องรักและสามัคคีกันให้มากๆนะ”
หลังจากนั้นทั้งเมืองก็ต้องตกอยู่ในความโศกเศร้า กษัตริย์คีรีสิ้นพระชนม์ลงในค่ำคืนนั้น พิธีศพได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ 7วัน 7คืนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของกษัตริย์คีรีเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาเปิดจดหมายคำสั่งเสียที่ทางกษัตริย์คีรีได้เขียนไว้ก่อนสิ้นพระชนม์
“เชิญท่านแม่ทัพจรัลเข้ามาได้” เสียงเจ้าชายอรรณพพูดบอกเหล่าทหาร
“ถวายบังคมเจ้าชายอรรณพและเจ้าหญิงวาโย” แม่ทัพจรัลคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของรัชทายาททั้งสองในมือถือม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่
“หม่อมฉันขออนุญาตเปิดอ่านข้อความนะขอรับ”แม่ทัพเฒ่าคนสนิทของกษัตริย์คีรีพูดบอกหลังจากนั้นก็อ่านข้อความในม้วนกระดาษความว่า
“ถึงลูกรักทุกคน เมื่อเจ้าได้ทราบข้อความนี้แสดงว่าตอนนั้นในโลกใบนี้ไม่มีพ่ออยู่แล้วพ่อได้คิดทบทวนอยู่นานแล้วว่าถ้าหากพ่อไม่อยู่วันหนึ่งพวกเจ้าคนใดคนนึงต้องขึ้นมาปกครองอาณาจักร พ่อขอมอบตำแหน่งกษัตริย์ให้แก่” ขณะที่แม่ทัพจรัลกำลังอ่านข้อความไปเรื่อยๆนั้นด้านเจ้าชายอรรณพมีสีหน้าที่เรียบเฉยปกติต่างจากเจ้าหญิงวาโยที่ดูจะลุ้นจนแสดงอาการออกมาอย่างเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใครที่ในจดหมายได้ระบุว่าจะได้เป็นกษัตริย์ของพนัสนครคนต่อไป
“ในนามของข้ากษัตริย์คีรีขอแต่งตั้งให้เจ้าชายอรรณพบุตรชายของข้าเป็นกษัตริย์ของพนัสนครคนต่อไป
“ไม่ ไม่จริงท่านอ่านผิดหรือไม่ท่านแม่ทัพ”เจ้าหญิงวาโยกรีดร้องตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจหลังได้ยินคำประกาศที่ทางแม่ทัพได้อ่านออกมาต่อหน้าเหล่าผู้คนทั้งเมือง
“ไม่ผิดขอรับ หม่อมฉันอ่านตามจริงทุกประการ” แม่ทัพสำทับคำเดิม
เจ้าหญิงวาโยยังคงโกรธมากและก็พลันลุกเดินไปจากที่ประชุมทันที ชาวเมืองต่างคิดว่านี่คงจะเป็นเรื่องที่ถูกแล้วที่ทางกษัตริย์คีรีมอบตำแหน่งให้ทางเจ้าชายอรรณพเพราะว่าเจ้าหญิงวาโยนั้นฝักใฝ่ในอำนาจไร้ซึ่งความปราณีหากได้ปกครองนครอาจจะนำพานครไปสู่กาลวิบัติได้ หลังจากแต่งตั้งมอบตำแหน่งกษัตริย์องค์ใหม่เสร็จสิ้น เจ้าชายอรรณพหรือที่ตอนนี้คือกษัตริย์อรรณพก็ได้ปกครองดูแลบ้านเมืองอย่างร่มเย็นเป็นสุขเรื่อยมา กษัตริย์อรรณพได้พบรักกับหญิงสาวชาวป่านางหนึ่งนามว่า สุมาลี แม้ว่าพื้นเพที่มาของนางจะเป็นปริศนาแต่ทั้งคู่ก็ได้ครองรักกันอย่างชื่นมื่น ประชาชนภายในเมืองต่างชื่นชมในตัวพระมเหสีสุมาลีเป็นอย่างมากเนื่องจากความอ่อนโยนและมีเมตตาของนาง ด้านเจ้าหญิงวาโยนั้นถึงแม้จะคอยช่วยเหลืองานของน้องชายอยู่บ้างแต่ในใจลึกๆของนางยังคงหมายปองตำแหน่งกษัตริย์ที่นางคิดว่านางสมควรจะได้เป็นอยู่มิคลาย
“ขออนุญาตครับท่านกษัตริย์อรรณพ”
“เข้ามาสิ ท่านโมรีมีอะไรรึ”
“คือว่าตอนนี้ชนเผ่ากบิลยกพลมาประชิดอยู่ที่ชายป่าด้านตะวันตกแล้วขอรับ”
“ว่ายังไงนะ เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบเห็นทีข้าจะต้องจัดการให้สิ้นซากแล้ว ท่านโมรีเจ้าไปรวบรวมกำลังทหารทั้งหมดที่เรามีรุ่งเช้าเราจะออกเดินทางไปจัดการพวกมันกัน” สิ้นคำของกษัตริย์นายกองโมรีก็รีบไปรวมไพล่พลทหารฝีมือดีเพื่อเตรียมตัวออกไปกำจัดชนเผ่ากบิล ชนเผ่าที่ถือว่าเป็นคู่ปรับอันดับหนึ่งของอาณาจักรพนัสนครมาอย่างช้านาน
“เดินทางปลอดภัยนะท่านพี่” มเหสีสุมาลีกล่าวกับสวามีเธอขึ้นขณะที่กษัตริย์อรรณพกำลังเตรียมจะออกเดินทางนำทัพไปปราบชนเผ่าคู่อริ
“อย่าห่วงไปเลยข้าจะนำชัยชนะและความสงบสุขกลับมาให้จงได้” ทั้งคู่กอดอำลากันแล้วกษัตริย์อรรณพก็ผละไปเพื่อที่จะขึ้นพาหนะคู่ใจ ทั่วทั้งเมืองต่างออกมาส่งกองทัพที่กำลังจะออกไปรบจะมีอยู่แค่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ออกมาร่วมกับคนอื่นด้วยแน่นอนบุคคลนั้นคือเจ้าหญิงวาโยพี่สาวของกษัตริย์อรรณพนั้นเอง
“เจ้าบึ้กมาหาข้าทางนี้” สิ้นเสียงของกษัตริย์หนุ่มที่ตะโกนเรียกพาหนะของเขาขึ้นนั้น พื้นดินก็เหมือนจะสั่นไหวขึ้นมาโดยพลันเมื่อร่างของแรดตัวมโหฬารสูงสองเมตรลำตัวยาวสามเมตรนอทั้งสองนอโค้งแหลมราวกับหอกกำลังวิ่งตรงมาหากษัตริย์หนุ่ม
“โครม” เสียงนอของเจ้าบึ้กกระแทกเข้ากับกำแพงเมืองอย่างจัง
“เฮ้อ จะมีสักทีไหมที่เจ้าจะวิ่งมาตรงตำแหน่งที่ข้ายืนอยู่” กษัตริย์บ่นพึมพำหลังเห็นสัตว์คู่ใจวิ่งเลยไปชนเข้ากับกำแพง ทั้งรูปร่างความแข็งแกรงความฉลาดเจ้าบึกนั้นมีหมดทุกอย่างจะเสียก็เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือสายตาที่ไม่สู้ดีสักเท่าไหร่
“ข้าไปละ ฝากดูแลเมืองด้วยนะน้องหญิง” พูดเสร็จขบวนทหารก็ค่อยๆเคลื่อนพลผ่านกำแพงเมืองไปอย่างช้าๆ จากศึกที่คิดว่าจะไม่ยาวนานแต่พอรบไปรบมากว่าที่กษัตริย์อรรณพจะพิชิตพวกชนเผ่ากบิลได้นั้นเป็นเวลาเกือบสองเดือนเต็มเลยทีเดียว แม้ว่าจะได้รับชัยชนะแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมากสุดท้ายแล้วเหลือทหารกลับมาเพียงสามร้อยนายเท่านั้น จากที่ตอนออกไปรบมีทหารถึงสี่พันนายด้วยกันเมื่อได้รับชันชนะอย่างเด็ดขาดแล้วทางกษัตริย์อรรณพกับกองกำลังที่เหลือก็รีบเดินทางกลับพนัสนครที่ได้ฝากแม่ทัพเฒ่าจรัลและเจ้าหญิงวาโยดูแลเมืองไว้ยามที่ตนออกรบด้วยความคิดถึงหน้านางอันเป็นที่รักกษัตริย์อรรณพแทบจะลืมความเหนื่อยล้าไปในทันทีเมื่อรู้ว่าอีกไม่นานตนเองก็จะได้กลับไปพบกับนางแล้ว
“หม่อมฉันว่าดูเหมือนมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นเลยนะขอรับ” นายกองโมรีทหารคู่ใจพูดกับกษัตริย์ขึ้นหลังจากกองทหารกำลังเคลื่อนพลเข้าเขตเมืองพนัสนคร
“คงเพราะเจ้าจากบ้านจากเมืองไปนาน โมรีถึงทำให้เจ้ามองว่าแปลกตาไป”กษัตริย์ตอบกลับนายกองไป แต่แล้วพอกองทหารได้ก้าวเข้ามาในเขตเมืองสิ่งที่ทางนายกองได้พูดขึ้นก็ดูเหมือนจะเป็นจริงเพราะสภาพบ้านเมืองดูเปลี่ยนแปลงไปมากจากที่ในยามกลางวันชาวเมืองจะออกมาเดินเผ่นพล่านแต่ในตอนนี้แม้เป็นเวลาเที่ยงวันแต่กลับไม่มีชาวเมืองคนไหนออกมาเดินภายในเมืองเลยราวกับว่าเมืองได้กลายเป็นเมืองร้างไปแล้วยังไงยังงั้น กษัตริย์อรรณพได้ลงจากหลังเจ้าบึ้กแล้วเดินไปที่บ้านหลังหนึ่งเพื่อหวังจะสอบถามสิ่งที่เกินขึ้นหากมีใครอยู่ในบ้านหลังนั้น
“มีผู้ใดอยู่ในบ้านบ้างไหม”สิ้นเสียงกษัตริย์หนุ่มประตูบ้านก็ค่อยๆแง้มเปิดออก
“นะนะนั้น ราชาอรรณพท่านกลับมาแล้วหรือขอรับ”เสียงชายแก่ที่อยู่ในบ้านพูดขึ้นมาเบาๆจนฟังแทบไม่ได้ยิน
“ใช่แล้ว เกิดอะไรขึ้นในเมืองรึผู้คนหายไปไหนหมด” กษัตริย์ถามชายชราคนนั้น
“โอ้ ท่านราชาคือว่าตอนนี้” ชายแก่คนนั้นอ้ำอึ้งเหมือนว่ามีความลับที่ไม่กล้าพูดออกมา
“อ้ำอึ้งอะไร บอกข้ามาเร็วเข้าเถิด”
“คือว่าตอนนี้ เจ้าหญิงวาโยได้แต่งตั้งตนเองเป็นกษัตริย์องค์ใหม่แห่งพนัสนคร ในยามที่ท่านไม่อยู่นางกุเรื่องว่าท่านเป็นกบฏแล้วประกาศว่าเมื่อใดที่ท่านกลับมายังพนัสนครให้ทุกคนจับกุมท่านไว้ขอรับ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นทางกษัตริย์อรรณพก็ตกตะลึงกับคำบอกเล่าของชายชรา
“สามหาวนี่เจ้ากล้าโกหกราชาเชียวรึ”ขณะที่ทางกษัตริย์อรรณพยังยืนนิ่งอยู่ นายกองโมรีที่เดินตามมาด้วยก็ตำหนิชายแก่ขึ้น
“หม่อมฉันว่าชายแก่คนนี้สติฟั่นเฟือนทั้งยังชรามากแล้วเรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นความจริงหรอกขอรับ” นายกองพยายามพูดบอกกษัตริย์ไป
“แล้วสุมาลีล่ะ มเหสีข้าปลอดภัยดีหรือไม่” กษัตริย์หนุ่มหันไปถามชายแก่ ดูเหมือนว่าทางกษัตริย์จะเชื่อถ้อยคำที่ชายแก่นั้นได้บอกกับตนมา
“หม่อนฉันไม่ทราบขอรับ ท่านราชารีบหนีออกไปก่อนที่นางจะทราบว่าท่านกลับมาจะดีกว่าขอรับ” ชายชราพูดด้วยคำอ้อนวอนบอกมา
“นายกองสั่งให้ทหารทุกคนเตรียมพร้อมเราจะเร่งเดินเข้าไปดูว่าความจริงมันเป็นเช่นไรกันแน่”
“โอ้ ได้โปรดท่านอย่าเข้าไปเลย” ชายชรายังคงคร่ำครวญอ้อนวอนกษัตริย์แต่บัดนี้กษัตริย์หนุ่มไม่ได้สนใจคำของใครทั้งนั้นแล้วเพราะใจคิดแต่เป็นห่วงนางอันเป็นที่รักว่าจะเป็นเช่นไรหากเรื่องที่ชายชราพูดมานั้นเป็นความจริง ขบวนทัพได้เคลื่อนผ่านบ้านเมืองที่ร่างผู้คนด้วยความเร็วขึ้นไม่นานขบวนกองทัพก็ได้เข้าสู่เขตพระราชวังเป็นที่เรียบร้อย “ปัง” เสียงประตูใหญ่หน้าทางเข้าเขตพระราชวังปิดเข้าหากันเสียงดังสนั่นหลังทหารคนสุดท้ายของขบวนได้เดินผ่านเข้ามาเป็นที่เรียบร้อย แล้วประตูของมหาปราสาทก็ได้เปิดขึ้นร่างของหญิงสาวในเครื่องแบบของกษัตริย์ก็ค่อยๆเดินพ้นประตูออกมา
“ข้ารอเจ้านานเลยอรรณพ” เสียงเล็กแหลมได้เปล่งออกมาทักทายกษัตริย์อรรณพที่ยืนอยู่หน้ากองทหารตรงบริเวณลานกว้างหน้าปราสาทใหญ่
“ท่านพี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” กษัตริย์เอ่ยถามพี่สาวของตน
“หึ เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ ข้าก็ทำในสิ่งที่ข้าควรจะได้ยังไงล่ะ”เจ้าหญิงวาโยหรือที่ตอนนี้ได้แต่งตั้งตนเองเป็นราชินีวาโยบอกน้องชายของตนกลับไป
“แล้วสุมาลีล่ะท่านได้ทำอะไรกับนางหรือไม่”
“สุมาลี เอิ่มสุมาลีคือใครกันข้าไม่รู้จักข้ารู้จักแต่นางแม่มดร้าย”
“หมายความว่ายังไง นี่ท่านพูดอะไรของท่าน”
ทันใดนั้นหญิงสาวคนรักของกษัตริย์อรรณพก็เดินออกมาจากประตูแล้วยืนอยู่ข้างๆกับราชินีวาโยสายตานางดูเย็นชาและไม่มีทีท่าจะมีความยินดีปีดาอะไรเลยเมื่อได้เห็นสวามีที่ไปรบกลับมายืนอยู่เบื้องหน้า
“โอ้ น้องหญิงเจ้าไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”กษัตริย์หนุ่มพูดด้วยความดีใจถามคนรักไป
“ข้ามีสองอย่างให้ท่านเลือก หนึ่งยอมจำนนและมารับใช้องค์ราชินีวาโยหรืออีกทางถ้าท่านขัดขืนข้าจะฆ่าท่านรวมทั้งทหารทั้งหมดของท่านซะ” น้ำเสียงที่เย็นชาและไร้ซึ่งเยื้อใยเอ่ยยื่นข้อเสนอแก่ชายซึ่งเป็นสวามี
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าน้องหญิง นี่ท่านพี่ไปทำอะไรกับนางทำไมนางถึงเป็นเช่นนี้ไป”ด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากนางอันเป็นที่รักทำให้กษัตริย์อรรณพแทบยืนไม่อยู่
“เจ้านี่เข้าใจอะไรยากจังเลยนะน้องพี่ ข้ากับนางวางแผนที่จะครอบครองเมืองนี้ด้วยกันมานานแล้วหญิงสาวที่เจ้ารักแท้จริงแล้วนางคือแม่มดที่ชั่วร้ายจากแดนมืด ทั้งเรื่องที่พวกเจ้าได้พบกัน รวมทั้งเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือพรมลิขิตอะไรทั้งนั้นทุกเรื่องคือเรื่องที่ข้ากับนางตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นเพื่อหลอกคนโง่อย่างเจ้ายังไงล่ะ” ราชินีวาโยพูดมาด้วยน้ำเสียงสะใจ
“ทำไม ท่านทำแบบนี้เพื่ออะไร”
“ทำไมอย่างนั้นหรอ เพื่อความสะใจยังไงล่ะจริงๆถ้าข้าแค่จะเอาอำนาจมาจากคนโง่อย่างเจ้ามันไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอกแต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความรู้สึกข้าความเจ็บปวดในใจที่ข้าได้รับในวันที่ทั้งเจ้าและท่านพ่อต่างรวมหัวกันกลั้นแกล้งข้า ทั้งที่ข้าควรจะได้ตำแหน่งกษัตริย์ของเมืองนี้โดยชอบแต่แล้วท่านพ่อกลับเลือกให้เจ้า ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ทำดีทุกสิ่งทุกอย่างแต่เค้ากลับให้คนโง่อย่างเจ้าได้เป็นกษัตริย์ ความเจ็บปวดจากการโดนคนที่รักหลอกลวงเจ้ารู้ซึ้งหรือยังว่ามันรู้สึกเช่นไร”พูดเสร็จราชินีวาโยก็หัวเราะอย่างพอใจ
“น้องหญิง ที่ผ่านมามันคืออะไรเรารักกันไม่ใช่หรือน้องหญิง” กษัตริย์หนุ่มคุกเข่าคร่ำครวญถามนางที่ตนรัก
“มันก็แค่การแสดง ข้าไม่เคยรักท่านเลยเลิกเพ้อได้แล้ว” เสียงหญิงสาวที่กษัตริย์อรรณพรักสุดหัวใจตอบกลับมาอย่างไม่มีเยื่อใย หัวใจของเค้าแทบแตกสลายเมื่อได้ยินน้ำตาของลูกผู้ชายก็ได้ไหลมาจากสองตาของกษัตริย์หนุ่ม
“ในเมื่อท่านไม่เลือก ข้าเลือกให้เองทหารฆ่าพวกมันทุกคน” ขณะนี้บนกำแพงเมืองได้รายล้อมไปด้วยทหารฝ่ายราชินีวาโย มเหสีสุมาลีหรือตอนนี้คือนางแม่มดสุมาลีได้สั่งให้เหล่าทหารฝ่ายตนยิ่งธนูลงมาใส่กลุ่มทหารของกษัตริย์อรรณพ
“ยิงได้” เสียงของอดีตมเหสีตะโกนสั่งทหารขึ้นสิ้นเสียงของนางลูกธนูก็ได้ล่วงหล่นใส่กลุ่มทหารของกษัตริย์อรรณพ ราวกับห่าฝนไร้ซึ่งที่จะหลบลี้หนีไปได้ ลูกธนูโปรยลงมาอย่างไม่ขาดสายเหล่าทหารผู้ภักดีต่างพากันล้มตายเป็นจำนวนมาก
“ยอมแล้ว ข้ายอมทุกอย่างแล้วได้โปรดไว้ชีวิตพวกเค้าเถอะ”กษัตริย์หนุ่มตะโกนขอร้องสองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าหลังจากทนดูเหล่าทหารของตนล้มตายลงไม่ได้
“ก็ได้ข้าจะไว้ชีวิตพวกทหารของเจ้าก็ได้แต่ในวันพรุ่งนี้เมื่ออรุณรุ่งเจ้าจะต้องไปที่กลางเมืองแล้วบอกกับชาวเมืองทุกคนว่าเจ้าเป็นกบฏ”ราชินีวาโยพูดบอก
“ได้ข้ายอมทำตามทุกอย่างได้โปรดไว้ชีวิตพวกเค้าเถอะ” จะอยู่หรือตายก็ไม่ต่างกันเพราะหัวใจของเค้าได้แตกสลายไปแล้วตอนนี้ขอแค่ให้เหล่าทหารรอดพ้นจากความตายเท่านั้น
“ทหารจับตัวกษัตริย์อรรณพไปขังไว้ในคุกมืด เอ๊ะไม่ใช่สิต้องเรียกว่าอดีตกษัตริย์อรรณพถึงจะถูก หึหึ” ราชินีวาโยเรียกให้ทหารของตนมานำตัวกษัตริย์หนุ่มไปคุมขังเพื่อรอเวลาที่นางจะนำตัวเค้าออกมาประจานต่อหน้าชาวเมืองและประหารเค้าเพื่อให้ชาวเมืองเชื่อว่ากษัตริย์อรรณพนั้นเป็นกบฏของพนัสนครจริงๆและชาวเมืองทุกคนจะได้ยอมรับการมีอำนาจของนางอย่างไร้ข้อกังขา หลังจากทหารได้นำตัวกษัตริย์อรรณพออกไปเรียบร้อยทางราชินีวาโยก็ได้สั่งให้ทหารของตนฆ่าเหล่าทหารของกษัตริย์ที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ให้หมดทุกคนด้วยสาเหตุที่ว่าเหล่าทหารทุกคนต่างทราบเรื่องที่นางแย่งชิงราชสมบัติมาทั้งยังใส่ร้ายทางน้องชายของตนเอง เพื่อกันไม่ให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปนางจึงต้องปิดปากทุกคนแม้ว่านางจะให้คำมั่นว่าจะไว้ชีวิตทหารทุกคนแก่น้องชายแต่นางก็ไม่ได้คิดว่าจะรักษาสัญญาแต่แรกอยู่แล้ว
ณ คุกมืดใต้ดินของพนัสนคร กษัตริย์อรรณพนั่งซึกเศร้าอยู่อย่างหมดสภาพภายในห้องขังที่มีทหารยามเฝ้าคุ้มกันอย่างแน่นหนาในใจเค้าคิดถึงแต่เรื่องที่ผ่านและการแปรเปลี่ยนไปของนางที่ตนรัก แม้นว่าก่อนหน้านี้เค้าจะมอบความรักให้เธอมากซักเท่าไรแต่ดูเหมือนตอนนี้สิ่งที่เค้าทุ่มเทมาทุกอย่างได้ไร้ซึ่งความหมายไปหมดแล้ว เวลาแห่งวันของความโศกเศร้าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่อาจทราบได้ความมืดของราตรีกาบเข้าปกคุลมทำให้ในคุกนี้มืดสนิทมีเพียงเสียงของลมหายใจของทหารที่ยืนเฝ้านั่งอยู่หน้าห้องขังที่ดังมาเป็นระยะเท่านั้น
“ปัง” เสียงเหมือนของแข็งได้ฟาดเข้ากับกำแพงอย่างจัง ตามมาด้วยเสียงล้มลงของทหารทีละคนต่อเนื่องกันแล้วแสงไฟจากคบก็พลันสว่างขึ้น
“รีบไปกันเถอะขอรับ เวลามีไม่มาก”เสียงของชายชราพูดขึ้นขณะพยายามจะเปิดประตูห้องขัง
“ท่านแม่ทัพจรัลท่านมาได้อย่างไรทำไมท่านถึงไม่หนีไป”
“ข้าก็มาช่วยท่านนะสิ เร็วเข้าเถิดไม่ช้าพวกนางต้องรู้ตัวแน่”แม่ทัพเฒ่าจรัลพูดไปปลดล็อกกุญแจและตรวนให้กษัตริย์หนุ่มไปทั้งสองสามารถหลบหนีออกมาจากคุกมืดมาได้แล้วก็มุ่งหน้าเพื่อออกไปนอกเมือง
“หม่อมฉันได้ให้เหล่าทหารที่พักดีพาชาวเมืองส่วนใหญ่ลอบหนีออกไปแล้ว เดี๋ยวเราจะไปรวมกลุ่มกันที่แนวชายป่าจากนั้นค่อยคิดหาทางมากำจัดนางกันอีกนะขอรับ” ในระหว่างที่เดินกันออกมาจากคุกมืดแม่ทัพเฒ่าได้ชี้แจงบอกกับกษัตริย์หนุ่ม
“เดี๋ยวท่านนำไปก่อนเลยนะท่านแม่ทัพ”
“ทะท่าน จะไปไหนไม่ไปกับหม่อมฉันหรอกรึ”
“ข้าขอไปทำในสิ่งที่ควรจะต้องทำก่อนหากปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ใช่แค่พนัสนครแต่ทุกอาณาจักรจะถึงกาลวิบัติแน่”
“แต่ท่าแค่คนเดียวพวกนางคุ้มกันกันอย่างแน่นหนาท่านไม่มีทางทำสำเร็จหรอก กลับไปรวมกำลังไพร่พลและคิดวางแผนให้ดีกันก่อนเถิด”
“ข้าขอบใจท่านมากท่านแม่ทัพสำหรับทุกอย่างแต่เรื่องนี้ข้าขอเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวเอง พรุ่งนี้หากรุ่งเช้าข้ายังไม่กลับออกไปให้ท่านพาทหารและชาวเมืองทุกคนไปยังที่ปลอดภัยและข้อขอแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้นำคนต่อไปแทนข้า”
“แต่ว่า”
“ตามนั้นท่านแม่ทัพไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น” พุดเสร็จกษัตริย์หนุ่มก็ได้ปลอมตัวเป็นทหารฝ่ายราชินีวาโยแล้วเดินพละมุ่งหน้าไปยังมหาปราสาท แม่ทัพจรัลยืนมองดูด้วยความเป็นห่วงจนร่างของกษัตริย์หนุ่มหายลับตามทางไปจึงมุ่งหน้าไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมา
ด้วยความคุ้นเคยกับเส้นทางบวกกับว่าทางฝั่งราชินีวาโยยังไม่ทราบว่าตนได้หลบหนีออกมาจากที่คุมขังแล้วไม่นานกษัตริย์อรรณพก็ได้เข้ามาสู่ภายในปราสาทได้สำเร็จเป้าหมายของเค้านั้นคือมณีแห่งพงไพรแหล่งพลังและอำนาจที่ค่อยปกปักรักษาเมืองมาช้านานแม้รู้ว่าหากนำมณีออกไปจะทำให้เมืองขาดพลังและอำนาจจนอาจจะนำไปสู่จุดจบของอาณาจักรได้แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ราชินีวาโยได้ครอบครองไว้แล้วไปใช้ในทางที่ผิด เมื่อเข้ามาในปราสาทแล้วกษัตริย์อรรณพก็ตรงไปที่ห้องห้องหนึ่งทันทีพอเข้าไปในห้องได้แล้วก็แอบซ่อนตัวอยู่ในห้องนั้นอย่างเงียบๆ ไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาในห้องที่กษัตริย์อรรณพได้ซ่อนตัวอยู่
“เจ้าเป็นใครหน่ะปล่อยข้านะ”
“เงียบไว้ อย่าส่งเสียงดัง” กษัตริย์อรรณพกระซิบบอกคนที่เค้าพึ่งวิ่งไปเอาเชือกล็อกไว้ที่มือและพยายามเอามือปิดปากไว้อยู่
“นี่ท่านหนีออกมาจากคุกมืดได้ยังไง”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกน้องหญิงหรือตอนนี้เจ้าเป็นแม่มดอะไรก็ตามที แค่ข้าล็อกมือเจ้าไว้เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้แล้วซินะถ้าหากเจ้าไม่ได้ถือคทานี่ไว้ในมือ”
“กษัตริย์อรรณพท่านต้องการอะไร ท่านทำแบบนี้ไม่มีทางรอดไปแน่”
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าแสดงหรือว่าลืมข้าไปแล้วจริงๆแต่ข้าต้องให้เจ้าช่วย เจ้าจะต้องพาข้าไปนำมณีแห่งพงไพร”
“เหตุใดข้าจะต้องช่วยท่านด้วย ยังไงท่านก็ไปไหนไม่รอดอยู่แล้ว”
“น้องหญิงคิดจริงๆหรือว่าพี่สาวข้าจะมอบสมบัติมอบอำนาจให้กับเจ้าไม่นานพอเจ้าหมดประโยชน์เค้าก็จะทำกับเจ้าแบบที่เค้าทำกับข้านั้นแหละ”
“เลิกปั้นน้ำเป็นตัวเถอะเจ้าชายพูดไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาหรอกยังไม่มีทางให้ท่านหนีไปจากที่นี่หรอก”
“ตามใจเจ้า ข้าไปคนเดียวก็ได้ข้าว่าเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าที่ข้าพูดไปเรื่องพี่สาวข้ามันเป็นเรื่องจริง นอนอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะน้องหญิง” ว่าแล้วกษัตริย์อรรณพก็เอาผ้าคลุมหัวแล้วก็เดินออกไปนอกห้อง
“เดี๋ยวก่อน ข้าจะช่วยท่านก็ได้”เสียงนางอันเป็นที่รักพูดขึ้นก่อนที่ตัวกษัตริย์จะออกไปพ้นประตู
“ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องช่วยข้า จริงๆแล้วเจ้ายังรักข้าอยู่ใช่ไหมล่ะ”
“อย่านอกประเด็น ว่าแต่ถ้าข้าช่วยท่านข้าจะได้อะไร”
“น้องหญิงเจ้าอยากได้อะไรข้าให้เจ้าได้ทุกอย่างขอเพียงเจ้าช่วยข้านำมณีมาและออกไปจากพนัสนครได้ก็พอ”
“ท่านพูดเองนะกษัตริย์อรรณพ”
“ข้าไม่เคยพูดเล่นกับเจ้าอยู่แล้ว เร็วเข้าเถอะเวลามีไม่มากแล้วน้องหญิง”กษัตริย์อรรณพดูจะมีความรู้สึกดีขึ้นเมื่อมองดูแล้วเหมือนว่านางอันเป็นที่รักของเค้าจะยังพอมีเยื้อใยให้เค้าอยู่บ้าง
“ข้าจะปลอมเป็นทหารเดินตามเจ้า ส่วนเจ้ากะแค่ทำตัวปกติแล้วพาข้าผ่านทหารยามไปให้ได้เท่านั้นที่เหลอข้าจะจัดการเอง”
“หึ อย่าลืมคำสัญญาก็แล้วกัน”หลังจากวางแผนเสร็จเรียบร้อยแม่มดสุมาลีและกษัตริย์อรรณพก็พากันเดินไปยังห้องใจกลางปราสาทที่เก็บมณีแห่งพงไพรไว้
“ข้าขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม”
“ได้สิแต่ข้าต้องเข้าไปด้วย”
“นี่ท่านจะบ้าหรอ ข้าแค่จะเข้าห้องน้ำทำไมต้องตามไปด้วย”
“ก็เผื่อว่าเจ้าจะตุกติกข้าไง จะอายอะไรข้าก็เห็นมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วไม่เห็นมีอะไรน่าอาย”
“นี่ท่านราชา ถ้าข้าคิดจะตุกติกข้าทำไปนานแล้วไม่เดินมากับท่านถึงป่านนี้หรอกไหนท่านบอกว่ารักข้าทำไมไม่เชื่อใจข้า ข้าแค่จะไปเข้าห้องน้ำจริงๆ”
“งั้นก็เร่งเข้าเถิด ข้าจะรอที่หน้าห้องน้ำ”ด้วยความที่กษัตริย์อรรณพเริ่มไว้ใจและคิดว่ามเหสีคนดีคนเดิมกลับมาแล้วจะไว้ใจให้แม่มดสุมาลีเข้าไปในห้องน้ำคนเดียว ผ่านไปหลายนาทีพอสมควรแม่มดสุมาลีก็เดินออกมาและทั้งคู่ก็เดินกันต่อ
“นี่ข้าทำกับท่านขนาดนี้ ท่านยังรักข้าอยู่อีกหรอ”ระหว่างที่เดินอยู่บนบันไดที่จะขึ้นไปชั้นสามของปราสาทหลังมองดูแล้วว่าปลอดคนแม่มดสุมาลีก็เอ่ยถามกษัตริย์อรรณพขึ้น
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไรหรือทำกับข้ายังไงมันก็เปลี่ยนหัวใจของข้าที่มันรักเจ้าไม่ได้หรอก ว่าแต่เจ้าดีกว่าน้องหญิงที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รักข้าจริงๆหรอสิ่งต่างๆที่เจ้ามอบให้ข้ามันเป็นการแสดงจริงๆอย่างนั้นหรือ”เมื่อได้ยินที่ทางกษัตริย์อรรณพพูดมาแม่มดสุมาลีกลับไม่ได้ตอบอะไร กลับเร่งเดินต่อไปเหมือนไม่ได้ยินที่ทางอีกฝ่ายถามมาและแล้วทั่งคู่ก็เดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าห้องเก็บมณี
“ท่านแม่มดสุมาลีมาที่นี่ธุระอันใดรึขอรับ”ทหารนายหนึ่งพูดถามขึ้นหลังเห็นทั้งคู่เดินตรงมายังหน้าห้องเก็บมณี
“ข้าได้รับคำสั่งจากราชินีวาโยให้มาตรวจดูมณี เจ้าเปิดประตูให้ข้าที”โดยไม่ได้สงสัยอะไรเหล่าทหารที่เฝ้าหน้าประตูก็ช่วยกันเปิดประตูห้องเก็บมณี แม่มดสุมาลีเดินนำเข้าไปในห้องเก็บมณีแต่แล้วพอกษัตริย์อรรณพที่ปลอมตัวอยู่นั้นจะเดินตามเข้าไปกลับถูกขวางไว้
“ทหารไม่มีสิทธิ์เข้าไปในห้องนั้น เจ้าจะทำอะไรของเจ้า”ทหารที่เฝ้าประตูตะโกนบอก
“เค้ามากับข้า ข้าต้องให้เค้าช่วยข้าพวกเจ้าปล่อยเค้าให้เข้ามาเดี๋ยวนี้”
“แต่ว่าทหารทั่วไปทุกคนไม่มีสิทธิ์จะเข้าไปในห้องนะขอรับ”ทหารยามยังยืนยันคำเดิม
“นี่เป็นคำสั่งของราชินีวาโย พวกเจ้ากล้าขัดคำสั่งอย่างนั้นรึ”
“มะมะไม่ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบให้เค้าเข้ามาซะสิ นี่พวกเจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลาอยู่นะ”
“รับทราบขอรับ นี่เจ้าเข้าไปได้”กษัตริย์อรรณพเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องทหารยามยังมองตามอย่างฉงนใจ
“วู้ เกือบไม่รอด”กษัตริย์อรรณพร้องออกมาอย่างโล่งใจแล้วเปิดผ้าคลุมที่คลุมหัวไว้ขึ้นจากนั้นก็ออกเดินนำหน้าแม่มดสุมาลีไป
“นี่ท่านมีแผนจะทำยังไงต่อ”
“แผนหรอก็แค่ไปเอามณีและก็ออกไปจากเมืองแผนมีแค่นี้เท่านั้น”
“ข้าไม่ได้หมายถึงแบบนั้นข้าหมายถึงท่านมีแผนยังไงที่จะเข้าไปเอามณีต่างหาก”สิ้นเสียงของแม่มดสุมาลีเสียงคำรามของเสือโคร่งก็ดังก้องขึ้นลั่นห้อง พอเดินพ้นตรอกทางที่ทำเป็นวงกตไว้ซึ่งจะมีแต่เพียงผู้ที่รู้ทางอยู่ก่อนแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถผ่านทางกำแพงวงกตนี้ได้ กษัตริย์อรรณพต้องกุมขมับเพราะด้านหน้าแท่นที่เก็บมณีแห่งพงไพรมีเสือโคร่งตัวมหึมาเดินไปเดินมาเฝ้าอยู่
“ไอ้ยักษ์มันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง น้องหญิงทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อน”
“ก็ท่านไม่ได้ถามนี้ว่าแต่ท่านจะจัดการมันยังไงล่ะ”
“ขอข้าคิดก่อน ข้าว่าข้าน่าจะจัดการมันได้”กษัตริย์อรรณพครุ่นคิดไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่เนื่องด้วยพลังของกษัตริย์อรรณพคือการควบคุมน้ำเช่นกันของราชินีวาโยนั้นคือลม แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่อยู่ในห้องที่ไม่มีน้ำเลยซ้ำยังได้หยิบคทามนต์ของแม่มดมาด้วยทำให้ไม่มีอาวุธที่จะต่อกรกับเสือโคร่งตัวมหึมานั้นเลย
“คิดได้หรือยังเรามีเวลาไม่มากนะ”แม่มดสุมาลีพูดเร่งหลังเห็นทางกษัตริย์อรรณพยืนคิดนิ่งอยู่พักใหญ่แล้ว
“เจ้าหลบไปก่อนน้องหญิง ข้าจะจัดการกับมันเอง”ว่าแล้วกษัตริย์อรรณพก็ให้แม่มดสุมาลีไปหลบอยู่ในที่ปลอดภัยส่วนตนก้าวเดินออกไปเผชิญหน้ากับเสือโคร่งโดยที่ไม่มีอาวุธใดในมือเลย
“เฮ้ ว่าไงเจ้ายักษ์”กษัตริย์อรรณพตะโกนเรียกเสือโคร่งที่อยู่ด้านหน้าของตน
“โอ๊ะโอ ดูสิใครมาอดีตราชาอรรณพ ข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าถูกจับขังอยู่ในคุกมืดไฉนมาโผล่อยู่ที่นี่ได้ล่ะนี่”เสือโคร่งทาสรับใช้ของราชินีวาโยพูดขึ้นหลังเห็นกษัตริย์อรรณพเดินออกมาจากหลังกำแพง เนื่องด้วยพลังแห่งมณีแห่งพงไพรจึงทำให้ทั้งสัตว์และมนุษย์สามารถสื่อสารกันได้
“ข้าก็มาเอาของ ของข้าหน่ะสิ”
“ถ้าเจ้าหมายถึงมณีล่ะก็ฝันไปเถอะ เจ้ามาก็ดีข้าจะกำจัดเจ้าเองถ้าราชินีวาโยรู้ว่าข้าเป็นคนกำจัดเจ้าข้าก็คงได้รางวัลอย่างงามและในเมื่อเจ้าตายข้าก็จะได้ไม่ต้องมาเฝ้าไอ้ห้องบ้าๆนี่อีกต่อไป”
“เข้ามาเลยดีกว่าเจ้ายักษ์อย่าดีแต่พูด”สิ้นคำของกษัตริย์อรรณพเสือโคร่งตัวมหึมาก็วิ่งตรงเข้ามาหาเค้าทันที กษัตริย์อรรณพวิ่งเบี่ยงออกไปอีกทางซึ่งเป็นกำแพงในวงกตที่มีรูแตกเล็กๆพอจะมุดไปได้ เมื่อเสือโคร่งเห็นกษัตริย์วิ่งไปทางนั้นก็วิ่งตามไปหมายจะเอาชีวิตให้ได้พอถึงกำแพงกษัตริย์อรรณพก็สไลด์ตัวลอดผ่านรูกำแพงไปส่วนเสือโคร่งยักษ์ที่วิ่งตามมาด้วยความใหญ่ของตัวมันบวกกับความเร็วที่ควบมาเต็มทีจึงทำให้มันชนเข้ากับกำแพงเต็มที่หัวของมันติดอยู่กับรูของกำแพงเมื่อเห็นเช่นนั้นกษัตริย์อรรณพก็รีบวิ่งอ้อมกำแพงและตรงไปที่มณีทันที ขณะที่หัวของเจ้ายักษ์ยังติดอยู่ที่รูของกำแพงกษัตริย์อรรณพก็ชวยโอกาสนี้วิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อจะไปคว้ามณีแต่ด้วยพละกำลังที่มหาศาลของเจ้ายักษ์ทำให้มันสลัดหลุดจากรูกำแพงได้ในที่สุดมันหันกลับมาเห็นกษัตริย์อรรณพที่กำลังวิ่งเข้าใกล้มณีมันก็รีบวิ่งกระโจนเข้าไปหมายจะหยุดยั้งให้ทันเวลาแต่ช้าไปซะแล้วกษัตริย์อรรณพได้หยิบมณีขึ้นแล้วยื่นหันไปทางเจ้ายักษ์และลำแสงสีเขียวก็พลันปรากฏพุ่งตรงไปใส่ร่างของเจ้ายักษ์ ร่างของมันลอยกระเด็นไปกองอยู่ริมกำแพงที่มันพึ่งเอาหัวออกมาเมื่อครู่นี้
“ข้าได้มันมาแล้วน้องหญิง” กษัตริย์หนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงดีใจบอกกับแม่มดสุมาลีที่ซ่อนตัวดูอยู่ห่างๆ แต่แล้วเสียงที่ตอบกลับมากลับไปไม่ใช่เสียงของแม่มดสุมาลี
“แป๊ะๆ” เสียงปรบมือพร้อมกับหัวเราะดังมาจากทางที่แม่มดสุมาลีซ่อนตัวอยู่แล้วร่างของหญิงสาวในชุดที่ประดับด้วยพลอยสีแดงระยับก็โผล่มาจากหลังที่ซ่อน
“เจ้านี่มันไม่ยอมอะไรง่ายๆเลยนะอรรณพ”
“ทะท่านพี่ ท่านรู้เรื่องนี้แล้วอย่างนั้นรึ”
“ต้องขอบคุณแม่มดผู้ภักดีที่นางเป็นคนบอกข้า” พูดเสร็จแม่มดสุมาลีก็เดินออกมายืนข้างกับราชินีวาโย
“น้องหญิงนี่เจ้า”
“ไม่รู้จักเข็ดหลาบเลยนะ ข้าเป็นคนบอกพี่สาวของท่านเองแหละ”หญิงสาวทั้งคู่ยิ้มเยาะในความสำเร็จที่สามารถหลอกกษัตริย์อรรณพได้อีกครั้ง
“ส่งมณีคืนมาซะอรรณพ แล้วข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าตายอย่างไม่ทรมาน”ราชินีวาโยพูดบอกกับน้องชายของตน
“ท่านพี่ ทำไม่ข้าจะต้องให้ท่านในเมื่อข้ามีมณีอยู่ในมือ เหตุใดเลยจะต้องกลัวท่านด้วย”
“หึ คิดว่ามีมณีแล้วข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้อย่างนั้นรึ ยังไงวันนี้ต้องเป็นจุดจบของเจ้า”พูดเสร็จราชินีวาโยก็ปลดผ้าคลุมออกจากนั้นก็เดินตรงมาหาน้องชายของตน นางแบมือทั้งสองข้างและกางออกจากนั้นสายลมก็พัดมาหมุนวนอยู่บนฝ่ามือทั้งสองข้างของนางลมพัดหมุนไปได้ไม่นานสายลมก็แปรเปลี่ยนเป็นดาบยาวบนมือของราชินีวาโย นางจับดาบแล้วเดินลากมาหากษัตริย์อรรณพหมายจะปลิดชีพให้จงได้ ด้านกษัตริย์อรรณพที่เห็นพี่สาวถือดาบเดินตรงเข้ามาก็ใช้พลังแห้งมณีที่ห้อยอยู่เรียกหอกออกมาเพื่อเตรียมรับมือกับพี่สาวตนราชินีวาโยเดินมาถึงตัวกษัตริย์อรรณพก็ง้างดาบทั้งสองฟาดมาใส่กษัตริย์อรรณพเต็มแรงทางกษัตริย์อรรณพใช้หอกรับไว้ทันจากนั้นราชินีวาโยก็ฟาดฟันดาบเข้าใส่น้องชายไม่ยั้งมือแต่กษัตริย์อรรณพก็สามารถปิดปังใช้ได้ทุกครั้งไป จนถึงทีกษัตริย์อรรณพฟาดกลับไปด้วยหอกราชินีวาโยใช้ดาบขึ้นมารับแต่ด้วยพลังจากมณีทำให้ราชินีวาโยกระเด็นถอยหลังไปกองกับพื้น
“รู้ผลแล้วนะท่านพี่ ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอกท่านอยากได้พนัสนครท่านก็เอาไปข้าไม่ติดใจอะไรแต่ข้าขอมณีนี่ไปก็แล้วกัน” กษัตริย์อรรณพเตรียมจะเดินพละออกไปแต่แล้วขณะที่เค้ากำลังจะก้าวออกไปจากห้องเก็บมณีเสียงราชินีวาโยก็ดังขึ้น
“ถ้าเจ้าเอามณีไปข้าจะฆ่านาง” ภาพที่กษัตริย์อรรณพหันไปเห็นคือราชินีวาโยยืนเอาดาบจ่อไว้ที่คอของแม่มดสุมาลี
“เอาซิ ท่านอยากทำอะไรก็ทำข้าไม่เชื่อพวกท่านอีกแล้ว”กษัตริย์อรรณพไม่ได้สนใจอะไรเตรียมที่จะหันหลังเดินออกไปตามเดิม
“ท่านพี่ช่วยข้าด้วย”เสียงของแม่มดสุมาลีร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาตอนนี้ราชินีวาโยได้ใช้ดาบปาดลึกเข้าไปในคอของแม่มดเลือดไหลนองออกมาตามดาบ
“หยุดเถอะ ข้ายอมแล้วท่านต้องการอะไร”
“เอามณีมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ก็ได้แต่ท่านต้องปล่อยสุมาลีก่อน”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะมาต่อรองหากอยากให้นางรอด”ราชินีวาโยใช้มีดเฉือนลึกเข้าไปในคอของแม่มดสุมาลีอีกเสียงของนางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
“ก็ได้ ก็ได้ปล่อยนางซะที่มณีที่ท่านต้องการ”
“โยนมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”กษัตริย์อรรณพโยนมณีไปหล่นอยู่บนพื้นห่างจากราชินีวาโยประมาณสองเมตร
“ขอบใจเจ้ามาสุมาลีดูเหมือนน้องชายหน้าโง่ของข้าจะรักเจ้ามากจริงๆนะ”ราชินีวาโยปล่อยตัวแม่มดที่ตอนนี้เลือดไหลอาบลงมากองกับพื้น
“ส่วนเจ้าไม่มีมณีแล้วก็หมดปัญญาที่จะต่อกรกับข้าแล้วสินะ ตายซะเถอะ”ราชินีวาโยใช้พลังของนางขว้างดาบออกมาด้วยความแรงหวังจะปักให้ตรงหัวใจของกษัตริย์อรรณพโดยที่ไม่ให้ทันตั้งตัวแต่แทนที่ดาบจะปักใส่ร่างกษัตริย์อรรณพดาบกับหยุดชะงักกลางทางเพราะไปปักเข้ากับร่างของหญิงสาวที่ยืนมาขวางรับดาบแทน
“ไม่ นี่เจ้าทำอะไรของเจ้าน้องหญิง”กษัตริย์อรรณพตะโกนก้องขึ้นหลังเห็นดาบปักเข้าไปยังร่างของนางอันเป็นที่รักของเขา ร่างของแม่มดสุมาลีฟุ๊บลงไปกองกับพื้นนางใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่หยิบมณีแห่งพงไพรโยนกลับไปให้กษัตริย์อรรณพ
“หนีไปซะท่านพี่ข้าจะยื้อนางไว้เอง”
“ไม่น้องหญิง ข้าไม่ไปถ้าจะไปเราก็ต้องไปด้วยกัน”
“ข้าของโทษกับทุกสิ่งที่ผ่านมาที่ข้าได้ทำกับท่านข้าขอใช้ชีวิตของข้าชดใช้ให้กับท่าน”แม่มดสุมลีพูดทั้งน้ำตาบอกกับกษัตริย์อรรณพที่ยืนอยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า
“หึ สะเทือนอารมณ์ดีจริงๆนะงั้นพวกเจ้าก็ตายไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”ราชินีวาโยหยิบดาบอีกเล่มเดินตรงเข้ามาด้วยความโกรธแค้นของนางทำให้มีลมพายุพัดปั่นป่วนไปทั่วห้องเก็บมณี
“รีบไปซะ ท่านต้องช่วยทุกคนให้ได้”
“น้องหญิง”กษัตริย์อรรณพลังเลไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไปจะเข้าไปช่วยคนรักหรือจะหันหน้าหนีไปตามที่นางบอกขณะที่เค้ากำลังคิดและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แม่มดสุมาลีก็ใช้พลังเวทมนต์ของนางพังทลายเพดานของปราสาทให้พังลงมาขวางระหว่างกษัตริย์อรรณพและนางกับราชินีวาโยเพดานและเสาห้องได้โคนถล่มลงมาขวางกั้นกลางเป็นที่เรียบร้อย
“ข้ารักท่าน” แม่มดสุมาลีพยายามพูดบอกกษัตริย์อรรณพแต่ด้วยบาดแผลที่คอและเสียงดังของเพดานที่ยังถล่มลงมาอยู่ทำให้กษัตริย์อรรณพไม่อาจจะได้ยินสิ่งที่เค้าต้องการจะได้ยินจากปากนางอันเป็นที่รักได้ เมื่อได้สติกษัตริย์อรรณพก็ได้ตัดสินใจรีบออกจากห้องเก็บมณีไปในระหว่างทางแม้จะมีทหารของราชินีวาโยมากีดกันแต่ด้วยพลังแห่งมณีทำให้กษัตริย์อรรณพสามารถหลบหนีออกจากพนัสนครไปได้และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวของกษัตริย์อรรณพและมณีแห่งพงไพรอีกเลย!!!!!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 711
แสดงความคิดเห็น