สวยร้ายสายลับ 1
บ้านเดิด เสลภูมิ ร้อยเอ็ด
ดวงตะวันกำลังหล่นลงรู แต่ยังคงทิ้งรัศมีอันเร่าร้อนเอาไว้ไม่จางหายง่ายๆ หากมีลมรำเพยผ่านท้องทุ่งราบที่เรียกกันติดหูว่า ทุ่งกุลา ก็ยังพอให้ได้เย็นใจอยู่บ้าง
เดือนหกเข้าไปแล้ว ยังแล้ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์จนปวดเศียรเวียนเกล้าว่า ฝนตกชุก 80 เปอร์เซ็นต์ทางอีสาน แต่บ้านเดิดไหงยังแล้งถึงเพียงนี้
เสียงลำตกๆหล่นๆแว่วมาแต่ไกล ไม่ได้เสนาะหูอะไรหรอก แค่คนร้องมันชอบของมัน อีกอย่างคนบ้านเดิดก็รู้ๆกันอยู่ว่า อีสาวร่างสูงผิวคล้ำใบหน้าคมคายเจ้าของอีเผือกแก่นั่นน่ะ มันคนประเภทล้นบาท หรือถ้าจะขาดอยู่ก็สักเสี้ยวสลึงจึงจะถึงบาท
“ปึกโว้ย อีปึก!”
ใครคนหนึ่งวิ่งอกตั้งกระหืดกระหอบมาดักหน้าอีควายเผือกที่ยืนแบกร่างสูงโปร่งของสาวผิวคล้ำบนแผ่นหลัง
“ลุง ใครเป็นอะไร?”
“เร็วเข้า ไอ้พวกนั้นมาอีกแล้ว”
พวกนั้น?!
ถึงไม่ต้องบอกซ้ำ อีปึกก็เข้าใจความหมาย เธอกระโดดลงจากหลังอีเผือก โยนเชือกให้ชายสูงวัยเพื่อนบ้าน
“ฝากด้วยนะลุง”
“เอ้อ...รีบไปเหอะ”
อีปึกหรือผ่องพรรณ วงศ์นา สาววัย 19 ผู้เกิดในครอบครัวชาวนายากไร้แห่งบ้านเดิด อาศัยฝีเท้าอดีตนักกีฬาร้อยเมตรของโรงเรียน ครู่เดียวก็ถึงบ้านสภาพซอมซ่อ เสียงร้องโอดโอยครวญครางอยู่นั่น ทำให้สาวปึกถึงกับผวาเข้าไปด้วยอาการตื่นตระหนก
“อีพ่อ! อีแม่!”
พ่อฟัก แม่คิงของเธอถูกคนทำร้าย พ่อเลือดกบปาก ฟันสองซี่สุดท้ายร่วงหล่น แม่ก็สาหัสไม่ต่างกัน จากสภาพงอมพระรามนั้นน่าสงสัยว่าคงถึงขั้นช้ำใน!
“บอกหนูมา หนูจะไปแก้แค้น!”
เธอโกรธจนตัวสั่น
นายฟักมีสติดีกว่า ข่มอาการเจ็บปวด หลุดปากเตือนสติลูกสาว
“ไม่มีประโยชน์หรอกว่ะนังหนูเอ๊ย”
“พวกมันทำร้ายพ่อกับแม่นะจ้ะ”
“เราเป็นหนี้เขาน่ะ โดนแค่นี้ถือว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ”
“คนเป็นหนี้ก็มีศักดิ์ศรีนะพ่อ”
“เออใช่ ศักดิ์ศรีน่ะมี แต่มันแค่เท่ กินไม่ได้หรอกว่ะ”
ทันใดนั้น เสียงของใครคนหนึ่งก็หัวเราะแทรกเข้ามา
“ฮะๆๆ ลุงฟักพูดจามีเหตุผล”
“บักเขียด!”
ผ่องพรรณหรือปึกหันขวับ ตาลุกวาว ไอ้จิ๊กโก๋ร่างผอม มือตีนของนายทุนเงินกู้หน้าโหดก้าวอาดๆเข้ามาพร้อมกับสมุนร่างบึ้กหน้าพะยี่ห้อสถุล
“แม่นแล้ว!”
“ไอ้หน้าไหนทำร้ายพ่อแม่กู?”
“กูนี่แหละ มีปัญหามั้ยวะ?”
“มีสิวะ”
เธอเต้นแหยง
ไอ้เขียดพยักพเยิดหน้าให้ไอ้สองสถุล ไอ้สองคนนั้นก็กรากเข้าไปหาผ่องพรรณ และก่อนที่เธอจะทันได้ตั้งหลัก พวกมันก็ประกบขนาบข้างเรียบร้อย ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
“ฮะๆๆ” ไอ้เขียดยักไหล่ “กูนึกว่าจะเก่งนักเก่งหนา เห็นท้าตีท้าต่อยไปทั่ว”
“ปล่อยกู”
“กูปล่อยแน่ แต่ขออ่านแถลงการณ์ก่อน”
ไอ้เขียดควักโพยออกมา
“นายฟัก นางคิง เป็นหนี้เสี่ยปื๊ดห้าแสนห้าหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน ถ้าไม่ชำระภายในสามวัน เสี่ยบอก...จัดหนัก”
“ไอ้บ้า! พ่อกูเป็นหนี้จริง แต่ไม่มากขนาดนั้น”
“มึงจะดูสัญญามั้ยอีปึก?”
“นังหนู...” นางคิงหลุดปากเสียงเครือ “พอเถอะ”
“แม่”
“เราเป็นหนี้เสี่ยเค้าจริงๆ”
“แต่ว่า...”
“หมดหนทางแล้วลูกเอ๊ย”
“ไม่นะ หนูไม่ยอมนะแม่”
คนพวกนั้นจากไปแล้ว สาวผู้ร่าเริงเหมือนไม่เคยทุกข์ร้อนอะไรแห่งบ้านเดิดนั่งน้ำตาซึม
ที่นามรดกของครอบครัววงศ์นาแค่ 10 ไร่ คงต้องกลายเป็นของนายทุน แล้วก็ไม่แน่ว่าจะหมดหนี้หมดสินจริงๆ
หนี้ก้อนใหญ่นั้นเกิดจากพี่ชายคนโต เขาหาเงินก้อนหนึ่งเอาไปลงทุนทำธุรกิจบางอย่างในกรุงเทพฯ 5 ปีเข้าไปแล้วยังไม่เคยเห็นเงาหัว เธอเองยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ถ้าจะออกไปทำงานในเมืองก็ห่วงพ่อกับแม่ ยังตัดใจไปไม่ได้ จึงได้แต่หวังว่าสักวัน พี่ชายจะกลับมาไถ่นาคืน
“ปึกเอ๊ย ทำใจเสียเถอะ”
พ่อกับแม่ปลอบโยน แต่จะให้เธอทำใจได้อย่างไร เงินกว่าครึ่งล้านหมดปัญญาหา ถ้าไม่ถูกล็อตเตอรี่ หรือไม่ก็...
ผ่องพรรณแวบขึ้นมาในหัว
“ปึกเอ๊ย เอ็งนี่หุ่นดีเป็นบ้าเลยว่ะ ผิวก็คล้ำดีด้วย น่าเอาผัวฝรั่งว่ะ”
“จริงด้วย นังปึกนี่เหมาะจะเป็นคุณนายฝรั่งจริงๆ”
“เอามั้ย เดี๋ยวข้าหาผัวให้”
ผัวฝรั่ง!
สาวสิบเก้าผุดลุกขึ้น ปาดน้ำตา สีหน้าดูหมายมาด
“ปึก เอ็งจะไปไหน?”
“เดี๋ยวหนูมาจ้ะ”
เธอร้องบอกพ่อแม่แล้ววิ่งหายลับไปกับโค้งถนน ท่ามกลางบรรยากาศโพล้เพล้ วิ่งพ้นออกจากบ้านไม่นานนัก เมฆสีดำก่อตัว และได้ยินเสียงคำรามครืน
ฝนตั้งเค้า!
หัวใจของสาวปึกยิ่งเจ็บปวด เพราะฝนเป็นสัญลักษณ์ของฤดูกาลทำนา แต่เธอกำลังจะหมดที่นา หมดสิทธิ์ในผืนดินที่เคยทำกินมาหลายสิบปี
ฝนเริ่มลงเม็ด หญิงสาววิ่งเร็วจี๋มุ่งหน้าไปยังวัดบ้านเดิด พอฝนเทกระหน่ำลงมายังกะฟ้ารั่ว เธอก็ไปนั่งหอบอยู่ในศาลาวัดแล้ว
ครืนนนน... !
เปรี๊ยะ... เปรี้ยง!
แว่บบบบ... เปรี๊ยะ!
ซ่า.... !
ฝนตกหนัก ฟ้าคะนอง ปกติอีสาวบ้านนาผู้นี้คงยิ้มหัว แต่เวลานี้ใจหมองหม่นเศร้าจนอยากร่ำไห้ออกมาท่ามกลางฟ้าฝน
เปรี้ยง!
“ว้าย!”
ผ่องพรรณสะดุ้งเฮือก ผวาไปหมอบอยู่หน้าพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ‘หลวงพ่อคำเกลี้ยง’ องค์พระนั้นเป็นปูนหล่อปิดทองจนเหลืองอร่าม ย่อมแสดงว่าหลวงพ่อคำเกลี้ยงศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่น้อย
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น สบกับพระพักตร์ของหลวงพ่อ หยาดน้ำใสๆหลั่งรินออกมาตามร่องแก้มด้วยความคับแค้นหัวใจ
ฉับพลันก็ตั้งจิตอธิฐาน หลุดปากขอพรจากหลวงพ่อคำเกลี้ยง
“หลวงพ่อเจ้าขา หนูตัดสินใจเด็ดขาดแล้วเจ้าค่ะว่าหนูจะไปหาผัวฝรั่ง ได้ยินมาหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์นัก สาวบ้านเดิดได้ผัวฝรั่งเกือบหมดหมู่บ้านก็เพราะบารมีของหลวงพ่อ ด้วยอำนาจบารมีของหลวงพ่อ ขอให้หนูสมหวังด้วยเถิด สาธุ!”
แว่บบบบ... เปรี๊ยะ!
“ว้าย!”
ผ่องพรรณสะดุ้งเฮือกสุดตัวอีกครั้งหนึ่ง กับเสียงของสายฟ้าที่กระหน่ำลงต้นไม้ที่ไหนสักแห่ง
หลังฝนขาดเม็ด ม่านมืดปกคลุม อึ่งอ่างร้องร่าเริง การร้องของอึ่งอ่างเหมือนเรียกหาความตายมากกว่า เพราะมันจะถูกจับยัดใส่ข้องของชาวบ้าน กลายเป็นอาหารอันโอชะในเช้าวันรุ่งขึ้น
สาวผิวคล้ำเดินมาถึงบ้าน เนื้อตัวเปียกปอน แต่หัวใจของเธอแกร่งกล้าขึ้น น้ำตานั้นได้หลั่งออกไปพร้อมกับสายฝนแล้วละ
นายฟักกับนางคิงกำลังพากันออกไปตามหาลูกสาว ครั้นเห็นเธอกลับมาถึงบ้านก็โล่งอก ยามนี้ต่างเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผ่องพรรณ แต่ไม่ทันจะได้ปลอบโยน หญิงสาวเป็นฝ่ายโพล่งขึ้นก่อน
“หนูจะไปกรุงเทพฯ”
“อิหยังนะ?” บุพการีหลุดปากเป็นเสียงเดียวกัน
“หนูอยากไปหาเงินมาไถ่นา”
“หาเงิน!”
“จ้ะ” ผ่องพรรณพยักหน้า “มันคงเป็นวิธีเดียว”
“เอ็งจะไปทำอะไรที่กรุงเทพฯ?”
“เอ้อ...” ใบหน้าของหญิงสาวเข้มขึ้น เพราะเรื่องแบบนี้เป็นสาวเป็นแส้พูดออกมาคงไม่ดีนัก แต่เธอก็เป็นคนประเภทโกหกไม่เป็นด้วย จึงตอบความจริง “หาผัวจ้ะ หาผัวฝรั่ง!”
“อีปึก!”
พ่อกับแม่สะดุ้งเฮือก อ้าปากค้าง
“จริงๆนะพ่อ แม่” หญิงสาวกลัวบุพการีไม่เชื่อ ลุกขึ้นยืนหมุนตัว “หนูโตแล้วนะจ้ะ”
“เอ้อ! แต่มันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้มั้ยวะ?”
นางคิงถามเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้ ผ่องพรรณน่ะเป็นคนดี คนซื่อ จนชาวบ้านพูดถึงด้วยความเอ็นดูว่ามันเป็นคนล้นบาท
“ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วละจ้ะแม่ แม่ไม่เห็นหรือจ๊ะว่าคนบ้านเราได้ผัวฝรั่งรวยไปตามๆกัน แม่เองก็เคยเปรยๆให้หนูหาผัวฝรั่งไม่ใช่หรือจ๊ะ?”
“มันก็จริง” นางคิงพยักหน้าหงึกหงัก “แต่หาผัวฝรั่งมันหาได้ง่ายๆอยู่เมื่อไหร่กันเล่า”
“ไม่ยากหรอกจ้ะ อ้ายแหล่เคยให้ที่อยู่หนูไว้”
นายแหล่ คนที่ผ่องพรรณหมายถึงนั้น เป็นญาติห่างๆอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ไปขับแท็กซี่ที่กรุงเทพฯนานแล้ว นานๆถึงจะแวะเวียนมาเยี่ยมสักที
“แต่ข้ารู้สึกว่าบักแหล่มันหลุกหลิกยังไงไม่รู้ว่ะ” นายฟักแสดงความเห็นบ้าง “ข้าเกรงว่ามันจะหลอกพาเอ็งเอาไปขายตัวซะมากกว่า”
“โอ้ยพ่ออย่าห่วงเลยจ้ะเรื่องนี้ หนูไม่ใช่คนสวย ไม่ใช่สเปคคนไทยด้วย ไม่มีใครสนใจหนูหรอก”
“มันก็ไม่แน่”
“แต่หนูตัดสินใจเด็ดขาดแล้วจ้ะ ยังไงก็ต้องไป แต่ก่อนจะไปคงต้องไปเจรจากับเสี่ยปื๊ด ขอยืดเวลาใช้หนี้ออกไปอีกสักปี”
“เอาเถอะ ไหนๆเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้วนี่ อีกอย่างเห็นความตั้งใจของเอ็ง ข้าไม่อยากขัด”
“หนูให้สัญญาจ้ะพ่อ แม่ หนูจะไม่ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังอย่างเด็ดขาด”
“ฮื่อ ข้าเชื่อ ไอ้ความกตัญญูนี่แหละ จะทำให้เอ็งโชคดี”
ผ่องพรรณไม่ได้ออกไปหาจับอึ่งอ่าง นานค่อนคืนกว่าจะข่มตาให้หลับลงได้
/////////////////////////////////////////////
ครืนนน!
ครืนนน!
ซ่า...!
ห่าฝนกระหน่ำลงมาอีก เหมือนจะจมทุ่งกุลาเสียภายในคืนนี้ หรืออีกนัยหนึ่ง ราวกับจะไว้อาลัยกับผืนนา 10 ไร่ของครอบครัววงศ์นา
อึ่งอ่างเงียบเสียง เพราะถูกชาวบ้านจับไปหมดแล้ว เหลือแต่กบเขียดตัวเล็กๆที่ไม่มีใครต้องการ
แว่บบบ... !
เปรี้ยงงง!
สายฟ้าคึกคะนอง วาบเปรี๊ยะเปรี้ยงตลอดเวลา
รถยนต์คันหนึ่งแล่นฝ่าสายฝน แสงไฟหน้ารถที่สาดออกมานั้น มองเห็นสายฝนไหลลงจากท้องฟ้าไม่ขาดสาย
รถแล่นไปจอดที่หน้าศาลาของวัดแล้วดับเครื่องจอดสนิท ขณะฟ้าแลบมองเห็นร่างของชายสองคนวิ่งออกจากรถเข้าไปในศาลา ไม่เกิน 20 นาทีก็ย้อนกลับมาที่รถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ถัดจากนั้น ฟ้าคะนอง สายลมกระโชกรุนแรงอยู่อีกนานกว่าจะสงบลง
/////////////////////////////////////////////
เช้าแล้ว...
เสียงประกาศดังลั่นมาจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าประกาศอะไร ผ่องพรรณลุกนั่ง ขยี้ตา แม้ว่าปกติเธอจะค่อนข้างนอนขี้เซา แต่ในยามนี้ไม่ใช่ภาวะปกติ เธอจึงไม่อิดออด รีบขยับร่างลุกขึ้น
ทันใดนั้น นางคิงผู้เป็นแม่ก็พรวดพราดเข้ามาในห้อง
“แย่แล้วนังหนู”
“มีอะไรหรือจ๊ะแม่?”
“พวกชาวบ้านพากันมุ่งหน้ามาบ้านเรา”
คิ้วของผ่องพรรณขมวดเข้าหากัน
“อ้าว มันเรื่องอะไรกันล่ะจ๊ะ?”
“เมื่อคืนหลวงพ่อคำเกลี้ยงถูกลักตัดเศียร”
นางคิงบอก
ผ่องพรรณสะดุ้งโหยง
“ว่าไงนะจ๊ะ”
ฉับพลัน เสียงเอะอะโหวกเหวกดังขึ้นที่หน้าบ้าน
“อีปึก มึงรีบออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
ผ่องพรรณไม่สู้เข้าใจต่อเหตุการณ์ แต่สังหรณ์ไม่สู้ดีเท่าไรนัก ถึงกระนั้น เธอก็กล้าหาญด้วยยึดเอาความบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง
“เดี๋ยวหนูจะออกไปพบชาวบ้าน”
“เอ้อ...”
หญิงสาวก้าวผลุบออกจากห้อง พอลงเรือน ก็เห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่ยืนอออยู่หน้าบ้าน ตอนแรกไม่เข้าใจ พอเห็นไอ้เขียดกับสมุนแหยมหน้าออกมา เธอก็เริ่มจะอ่านเกมออก
“มึงบอกมาอีปึก มึงตัดเศียรหลวงพ่อคำเกลี้ยงไปให้ใคร?”
“แม่นแล้วอีปึก อีคนใจบาปหยาบช้า!”
มีลูกคู่ขานรับคำ ผ่องพรรณก็เหมือนกับถูกตราหน้าว่าเป็นโจรโดยไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์
เพราะอารมณ์ของชาวบ้านยามนี้ โกรธแค้นจนไม่รับฟังเหตุผลใดๆ ไอ้เขียดขยับออกมายืนเด่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงยียวน
“เมื่อคืนมีคนเห็นเอ็งวิ่งไปที่ศาลาประดิษฐานหลวงพ่อคำเกลี้ยง หลังจากนั้นก็มีรถปิกอัพขับตามเข้าไป พอรุ่งเช้าหลวงพ่อคำเกลี้ยงก็เหลือแต่องค์พระ เศียรหายไป”
ผ่องพรรณบดกราม เมื่อคืนเธอไปที่นั่นจริงๆ ไปขอพรจากหลวงพ่อ ส่วนเรื่องการตัดเศียรหลวงพ่อคำเกลี้ยงไม่เคยมีอยู่แม้ในความคิด คนที่คิดเรื่องแบบนี้ได้ ไม่ควรเรียกว่าเป็นคนด้วยซ้ำ
“ว่าไงวะ?” ไอ้เขียดกระชากเสียงถาม “พูดอะไรสักอย่างสิวะอีปึก”
“กูไม่มีอะไรจะพูด”
“แปลว่าปฏิเสธ ทั้งๆที่มีพยานหลักฐานพร้อมนะหรือวะ?”
“กู...”
“ฟังข้าก่อนได้ไหม?”
นางคิงรีบออกหน้าแทนลูกสาว “ทำไมจู่ๆถึงมาปรักปรำว่าเป็นฝีมือของนังหนูลูกสาวข้าล่ะ มันเป็นเด็กบ้านเดิด คนบ้านเดิดเคารพนับถือหลวงพ่อคำเกลี้ยงทุกคน โดยเฉพาะอีปึก เมื่อค่ำวานมันไปที่ศาลาหลวงพ่อคำเกลี้ยงจริง แต่มันไปขอพรหลวงพ่อ เอ้อ...มันจะไปหาผัวฝรั่ง มันจะไปตัดเศียรหลวงพ่อทำไมล่ะ คิดดูให้ดีๆสิ”
ชาวบ้านชักเขว แต่ไอ้เขียดไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น เพราะมันได้รับคำสั่งจากเสี่ยปื๊ดมาว่า ต้องให้ชาวบ้านเข้าใจผิดให้ได้เพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง
“มันก็จริง แต่ไอ้เรื่องร้อนเงินนี่ไม่เข้าใครออกใคร เสี่ยปื๊ดขีดเส้นตายให้ลุงกะป้าใช้หนี้คืนทั้งหมด เพราะงั้น...ผมจะไปรู้หรือว่าป้ากะอีปึกคิดอะไรกันอยู่”
“ไอ้เขียด” ผ่องพรรณแค้นจนแทบกระอักเลือด
“ว่าไงวะจะยอมรับหรือเปล่าว่าเอ็งเป็นคนตัดเศียรพระ?”
“กูไม่ยอม”
“ถ้าไม่ยอมก็ต้องไล่มันออกจากบ้านเดิด”
“ใช่แล้ว!”
เสียงของคนหมู่มาก ทรงพลังอย่างร้ายกาจ ไม่ว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นการเข้าใจผิดหรือถูกก็ตาม
“ออกไป! ออกไป!”
ไอ้เขียดเป็นต้นเสียง หลังจากนั้นพลังมวลชนก็พร้อมใจกันส่งเสียงขับไล่เซ็งแซ่ ทำเอานางคิงถึงกับปล่อยโฮ นายฟักยกมือไหว้อ้อนวอน แต่ไม่มีใครยอมรับฟัง
จนกระทั่ง...
“หลวงตามา หลีกทางให้พระหน่อยเร้ว!”
พระชราเดินกระย่องกระแย่งฝ่าวงล้อมของชาวบ้าน คงมีคนเวทนาผ่องพรรณกับครอบครัว จึงไปตามท่านมาช่วย
ไอ้เขียดจุ๊ปากอย่างขัดอารมณ์ เพราะขืนพระเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย คงผิดแผนหมด เนื่องจากพระไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น งานนี้มันจึงยอมให้หลวงตาเจ้าอาวาสเข้ามายุ่มย่ามไม่ได้
“พวกเรากำลังทำหน้าที่ชาวพุทธอยู่นะครับหลวงตา” ไอ้เขียดสำแดงโวหาร
“อาตมาขอบิณฑบาตเถอะโยม โยมปึกไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก อาตมาช่วยเป็นพยานได้”
“หลวงตา!”
“พระไม่มุสาหรอกโยม”
“แต่พวกเรามีประจักษ์พยาน ยังไงซะ คนทำผิดต้องได้รับโทษ”
“ใช่แล้ว โยมพูดถูก ใครทำผิดต้องได้รับโทษ”
“งั้นหลวงตานิมนต์กลับวัดเลยครับ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง”
ทันใดนั้น ผ่องพรรณก็ก้าวออกมายืนข้างหน้านางคิง แล้วทรุดร่างนั่งลงพนมมือไหว้หลวงตา
“หลวงตาช่วยเป็นพยานให้หนูด้วย หนูไม่ขอพูดว่าหนูไม่รู้เรื่องนี้ แต่หนูขอให้สัญญาว่าหนูจะตามเศียรหลวงพ่อคำเกลี้ยงกลับคืนมาให้ชาวบ้านเดิดให้จงได้”
“อีปึก!”
นางคิงแทบหงายหลังอีกคราหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของผ่องพรรณ
///////////////////////////////////
ชีวิตของผ่องพรรณราวกับถูกลิขิตเอาไว้แล้ว...
วันต่อมา เธอจึงตัดสินใจไปตายดาบหน้าที่กรุงเทพฯ หลังติดต่อกับนายแหล่ญาติห่างๆได้แล้ว ที่ต้องรีบตัดสินใจก็เพราะได้เจรจาต่อรองกับชาวบ้านต่อหน้าหลวงตาว่าเธอจะหาวิธีตามเอาเศียรหลวงพ่อคำเกลี้ยงกลับบ้านเดิด ทั้งๆที่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรด้วยซ้ำ แต่การมากรุงเทพฯ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้พ่อกับแม่สามารถอยู่บ้านเดิดต่อไป บ
ผ่องพรรณเป็นคนง่ายๆ และค่อนข้างลุยๆ การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองที่เห็นในทีวีว่าสวยงามนักหนานั้น แม้หนักหนาสาหัส แต่เธอก็บ่ยั่น
เพียง 2 วันให้หลัง สาวบ้านเดิดก็ได้งานทำ และสามารถเริ่มงานได้ทันที
วันนี้เธอมาทำงานตามปกติด้วยชุดฟอร์มสีฟ้าสดใส และ 8 ชั่วโมงผ่านไปกับการขัดๆกวาดๆถูๆ เลิกงาน ผ่องพรรณหมดสภาพ ยืนหน้าซีดเซียวรอนายแหล่มารับ และแล้วแท็กซี่ของนายแหล่คลานมาจอด
นายแหล่ เป็นชายวัยกลางคน ผมสองสี ร่างท้วมฉุ ตาหลุกหลิก
“รอนานหรือเปล่าน้องสาวหล่า?”
“หนูเพิ่งเลิกงานจ้ะ อ้ายแหล่”
ผ่องพรรณตอบไม่จริงนัก
“ขอโทษที่ต้องให้รอนาน รถติดน่ะ”
นายแหล่เอ่ย สีหน้าอันยับย่นด้วยริ้วรอยแห่งวัย ดูเป็นผู้ใหญ่น่านับถือ ถ้าหากไม่ติดที่ดวงตาหลุกหลิกเป็นนิสัยแก้ไม่หายของเขาเอง
และแล้วแท็กซี่แก่ คนขับชรา กับหญิงสาวแห่งบ้านเดิดก็แล่นไปปะปนอยู่กับรถยนต์นานาชนิดบนท้องถนน
ตอนที่แท็กซี่เก่าๆของนายแหล่เลี้ยวเข้ามาในซอย ผ่องพรรณต้องยกมือปาดเหงื่อที่ผุดพรายจนเต็มใบหน้าสวยๆของเธอ ชาวชุมชนที่เห็นภาพหญิงสาวตัวดำเป็นเหนี่ยง ออกแรงสุดขีดเพื่อทำให้รถคลานไปข้างหน้า ต่างอดขำไม่ได้
รถของนายแหล่เครื่องดับตั้งแต่ร้อยเมตรก่อนเข้าซอย ทำให้ผ่องพรรณต้องลงไปออกแรงดันจนกล้ามข้อเท้าขึ้นเป็นมัดๆ โชคดีที่เธอเป็นสาวชาวนา เคยปล้ำกับอีเผือกมาก่อน จึงไม่มีปัญหา
“เกือบถึงแล้ว น้องสาวหล่า” นายแหล่ร้องบอกเหมือนสงสารหญิงสาวเหลือเกิน แต่สายตาที่มองจากกระจกส่องหลังมีเลศนัยชอบกล “เหนื่อยไหมน้องสาวหล่า?”
“ไม่เหนื่อยเลยจ้ะ อ้ายแหล่” สาวปึกตอบพร้อมก้มหน้าก้มตาหอบแฮกๆ ปานนั้นก็ยังไม่วายคุย “หนูเคยทำงานหนักมากกว่านี้หลายเท่า”
“ดีๆ เร็วขึ้นอีกหน่อย อีกสามร้อยเมตรเท่านั้น”
“สามร้อยเมตร ฮึ่ม สามร้อยเมตร”
สาวบ้านเดิดกัดฟัน
นายแหล่ยิ้มที่มุมปาก นึกกระหยิ่มอยู่ในใจ คืนนี้แหละปึกเอ๋ย ตับ...ตับ...ตับ...ตับ!
“ตับๆๆๆ!”
นายแหล่ครางเพลง
ในที่สุดรถแท็กซี่เก่าก็คลานต้วมเตี้ยมไปหยุดกึกอยู่หน้าตรอกอันเป็นทางเข้าบ้านเช่าของเธอ
ผ่องพรรณยืดตัวขึ้นพร้อมกับร้องโอดโอย
“ปวดคิง!”
คิงหมายถึงร่างกาย
นายแหล่ออกจากรถ หัวเราะหึหึในลำคอ
“ขอโทษนะน้องสาวหล่า”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ” ผ่องพรรณกางมือและส่ายไปมาเป็นสัญญาณว่าเรื่องเล็ก “อ้ายแหล่ช่วยหนูตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาถึงกรุงเทพฯกรุงไท หนูได้ตอบแทนบ้างก็ดีแล้วจ้ะ”
“เอ็งเป็นเด็กดี น้องสาวหล่า”
นายแหล่ชม
“ข้าเชื่อว่าคนอย่างเอ็ง สักวันต้องได้เจอของดีแน่ ฮ่า ฮ่า เด็กดีอย่างเอ็ง ไม่มาจมปลักอยู่กับงานกระจอกงอกง่อยแน่ว่ะ แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ปึก ตอนนี้ข้าว่าเอ็งไปอาบน้ำ หุงข้าวกินเสียก่อนเถอะ ท่าทางเอ็งดูซีดเหลือเกิน อ้อ...กินข้าวแล้วล็อกห้องนอนซะ อย่าลืมนะว่าแถวนี้มันอันตราย ไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น”
นายแหล่ทำเป็นเตือนอย่างห่วงใย แต่ความจริง ห้องที่ผ่องพรรณพักอยู่ มีกลอนแน่นหนาเสียที่ไหน
หญิงสาวพยักหน้า
“ดีเหมือนกันจ้ะ อ้ายแหล่ล่ะจ๊ะ?”
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก คืนนี้ข้านอนในรถ”
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะ”
“ไปเถอะ”
นายแหล่ยืนแลบลิ้นเลียปาก สายตาที่มองตามหลังสาวปึกวาววามขึ้นมาทันที
//////////////////////////////////
“สารวัตรคะ เมไม่มีวันรับงานในวันหยุดพักร้อนของเมอย่างเด็ดขาด…”
หญิงสาวร่างกะทัดรัด รูปร่างหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราแบบคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ พูดโทรศัพท์มือถือ น้ำเสียงฟังดูหงุดหงิดเห็นได้ชัด เธออยู่ในชุดสบายๆ กางเกงเล เสื้อยืดสีสันสดใส ดูยังไงๆก็ไม่มีคราบของนายตำรวจหญิงยศพันตำรวจตรีแห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หน่วยวิหคเวหา ซึ่งมีหน้าที่หลักๆคือรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ ทั้งของประเทศไทยเอง และบุคคลสำคัญต่างประเทศ
“ฟังให้ดีนะคุณเม...” น้ำเสียงแบบนี้ เมษายน์รู้ดีว่าไม่สามารถอุทธรณ์ใดๆได้อีก “คุณยังมีเวลาพักผ่อนพรุ่งนี้อีกเต็มวัน ส่วนมะรืนนี้ ผมหวังว่าจะได้เห็นคุณเป็นคนแรก”
“ค่ะ สารวัตร”
หญิงสาวรับคำเสียงอ่อนลง
“ผมไม่รบกวนล่ะนะ คุณเม” เสียงของพ.ต.อ.พิสิฐ รองผู้บังคับการหน่วยวิหคเวหา ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของเธอ
พ.ต.ต.หญิง เมษายน์ พงศ์โสภาสิริ เก็บมือถือ สีหน้าไม่ได้มีท่าทีว่าเบื่อหน่ายกับภารกิจของตนเอง ซึ่งไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาแต่อย่างใด เธอยังกระฉับกระเฉง กระตือรือร้นที่จะได้ทำงานเสมอ โดยเฉพาะประเภทที่มีความท้าทายรออยู่ ด้วยวัย 24 ปี จบนิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัย เป็นตำรวจหญิงรุ่นแรกของกองกำกับการหน่วยวิหคเวหา
หญิงสาวเกิดในตระกูลนักธุรกิจ บิดาและมารดาของเธอเป็นนักธุรกิจอิมพอร์ต-เอ็กซ์พอร์ต บุพการีไม่ค่อยสนับสนุนนักกับการเป็นตำรวจของเธอ
แต่ความเป็นลูกสาวคนเดียว ถูกเลี้ยงดูแบบคุณหนูมาโดยตลอด เธอจึงสามารถเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบได้อย่างเต็มที่
เดิมที เมษายน์ตั้งใจอยู่กับตัวเองให้เต็มที่สักวันสองวันแล้วค่อยไปหาคุณพ่อคุณแม่ แต่ตอนนี้คงต้องรีบไป เพราะมะรืนนี้ เวลาความเป็นตำรวจจะดึงเอาเวลาส่วนตัวของเธอไปจนหมด
หญิงสาวเก็บของใส่กระเป๋า ก้าวออกจากห้อง ลงลิฟต์จากชั้นที่ยี่สิบของคอนโดมิเนียมหรูมาขึ้นรถไฟฟ้ามุ่งหน้ากลับบ้าน
////////////////////////////////////////
บ้านพงศ์โสภาสิริ...
ประมุขของบ้านเป็นชายวัยห้าสิบ คุณวัฒนา พงศ์โสภาสิริ เจ้าของธุรกิจอิมพอร์ต-เอ็กซ์พอร์ตในนามบริษัท พีเอสเอสอิมพอร์ต-เอ็กซ์พอร์ต จำกัด คุณประไพพรรณผู้เป็นภรรยา อายุไม่ต่างกันนัก แต่คุณประไพพรรณดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงหลายปี
ตอนที่เมษายน์โผล่หน้าเข้าไปในห้องลำลองอยู่นั้น คุณประไพพรรณกำลังปรึกษาสามีถึงเรื่อง การจัดเตรียมบ้านเพื่อรับรองแขกคนสำคัญชาวต่างชาติ ซึ่งจะมาพักอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาลู่ทางการลงทุนใหม่
ถ้าหากสาวใช้คนเก่าไม่ลาออก ก็คงไม่มีปัญหาอะไร ทุกวันนี้หาคนมาทำงานบ้านได้ยากมาก โดยเฉพาะประเภทไว้ใจได้ด้วย ยิ่งหาได้ยาก ถ้าจะมีก็เป็นแรงงานเขมร พม่า หรือลาว แต่ก็ยุ่งยากและไม่อุ่นใจเอาเสียเลย
“คุณพ่อ คุณแม่”
เสียงสดใสร่าเริงเหมือนนกของหญิงสาวแทรกขึ้น ทำให้สองสามีภรรยาหันขวับไปยังร่างเจ้าของเสียงราวนัดหมาย
“ยัยหนู” คุณประไพพรรณกอดลูกสาวสลับกับคุณวัฒนา ดวงตาฉายประกายความสุข “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้ยินเสียงเลย?”
“ก็ตั้งแต่คุณแม่บ่นคิดถึงแม่บ้านคนก่อนนั่นแหละ” หญิงสาวตอบพลางวางกระเป๋ากับโซฟาตัวยาวและทรุดร่างนั่งลงข้างมารดา “แม่บ้านลากลับไปเยี่ยมบ้านหรือคะ คุณแม่?”
“เปล่า ลาออก” คนเป็นแม่ตอบ “ออกในตอนที่บ้านเรากำลังจะมีแขกคนสำคัญเสียด้วย”
“แขกหรือคะ คุณแม่?” เรียวคิ้วของหญิงสาวเลิกสูง “ใครเอ่ย?”
“เพื่อนของพ่อเอง” คุณวัฒนาว่า “มิสเตอร์เควิน สมิธ”
เมษายน์ไม่เคยรู้จักมาก่อน เพราะเพื่อนนักธุรกิจคนสำคัญของบิดามีมาหน้าหลายตา ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ
“แล้วนี่ลูกเมจะมาอยู่กับแม่สักกี่วันล่ะ?” คุณประไพพรรณถามคำถามสำคัญ เพราะรู้ซึ้งถึงภารกิจของลูกสาวดี
“วันเดียวค่ะ” หญิงสาวตอบกลั้วเสียงหัวเราะรื่นเริง ดวงตากลมใสกระจ่างเหมือนตาเนื้อสมัน “เมคิดถึงคุณพ่อคุณแม่มักๆ”
คนเป็นแม่ทำหน้าบึ้ง
“ไม่ต้องมาอ้อนเลย อะไรกัน หยุดทั้งทีแค่วันเดียว”
“เผอิญมะรืนนี้มีภารกิจสำคัญน่ะค่ะ สารวัตรพิสิฐเพิ่งโทร.บอก”
“ว้า แม่กะให้ลูกเมช่วยดูแลบ้านช่องให้หน่อย”
“เดี๋ยวเมหาคนมาช่วย” หญิงสาวว่า “เมรู้จักกับพี่คนหนึ่ง แกพักอยู่ห้องใกล้ๆเม แกเป็นหัวหน้าแม่บ้านบริษัทรับจ้างทำความสะอาด”
คุณวัฒนาเห็นด้วย
“ให้ลูกเมหาเด็กมาช่วยก็ดีนะคุณ”
คุณประไพพรรณพยักหน้ากับสามี หากเอ่ยกับคนเป็นลูกสาวว่า “แต่แม่อยากได้เด็กที่ไว้ใจได้มาอยู่แบบถาวร”
“เดี๋ยวเมจะลองถามพี่ประนอมดูก่อน” เมษายน์หยิบมือถือออกมากดโทร.หาคนที่เธอหมายถึงเดี๋ยวนั้น พูดเพียงไม่กี่คำก็ยิ้มร่า “พี่ประนอมบอกว่ามีเด็กคนหนึ่งเพิ่งมาจากร้อยเอ็ด ขยันดี ที่สำคัญซื่อ...จนบื้อ”
“ดีๆ แม่ต้องการอย่างนั้นแหละ”
///////////////////////////////
เวลาเดียวกัน ‘เด็ก’ ที่เมษายน์บอกว่า...ซื่อจน...บื้อ กำลังส่งเสียงครนคร็อกฟี่ๆ โดยยังอยู่ในชุดสีฟ้าสดชุดเดิมนั่นแหละ ยังดีที่ไม่หลับคาชามข้าว ภายในห้องเช่า ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรสักอย่าง เสื่อผืนเดียว หมอนยังต้องอาศัยกระเป๋าเสื้อผ้าแทน
เด็กสาวจากอำเภอเสลภูมิ ร้อยเอ็ด ยามนี้...นอนอยู่ในท่าแบบไม่ระวังตัวทั้งสิ้น หารู้ไม่ว่าอันตรายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา…
บรรยากาศในห้องเช่าราคาถูก ที่มีคนสารพัดชนิดเช่าพักอาศัย อย่าไปคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตเลย เพราะมันไม่มีให้คำนึง ไม่มีใครสนใจใคร ต่างคนต่างอยู่ เกินครึ่งในจำนวนห้องเช่าทั้งหมด บรรดาผีขนุนเช่าอยู่ ยามดึกก็อาศัยห้องนั่นแหละแทนโรงแรมพาแขกมาค้างด้วย
ไม่แปลกที่ได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงประตู และเสียงเหมือนยักษ์จับเขย่าห้องเช่าทั้งหลัง
มันกระเทือนถึงกันจนเป็นเรื่องปกติ
จึงไม่แปลกแม้แต่น้อย เมื่อนายแหล่ใช้ไขควงงัดเปิดห้องพักของผ่องพรรณ เพราะนายแหล่บอกกับคนรู้จักว่า หญิงสาวในห้องเป็นเด็กของเขาเอง นายแหล่ใช้เวลาไม่นานก็เข้าไปอยู่ในห้องของผ่องพรรณได้สำเร็จ พอกดไฟสว่างวาบก็มองเห็นสภาพของหญิงสาว นายแหล่ถึงกับอ้าปากค้าง...
พระเจ้าจอร์จ! เธอนอนมือกางเท้ากาง น้ำลายเยิ้ม ผมเผ้ากระเซิง ตอนแรกเขาตกใจเหมือนกัน แต่พอดูดีๆ นายแหล่ถึงกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก...
ถึงขี้เหร่ แต่เร้าใจสุดๆ!
โชเฟอร์แท็กซี่ผู้มาจากเมืองเกินร้อยกลืนแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ดวงตาฉายแววหื่นขึ้นมาเชียว
“เป็นเมียของบักแหล่เถอะ อีปึก!”
นายแหล่ย่างสามขุมเข้าหาร่างของหญิงสาว ค่อยๆทรุดลงแทบปลายเท้าของเธอ เอื้อมมือลูบขาอ่อนของเธอเป็นอันดับแรก
แต่มือของนายแหล่ไม่ทันได้สัมผัสเนื้อสาวในกางเกงขายาวสีฟ้าสดด้วยซ้ำ ฉับพลัน ปลายเท้าของสาวปึกก็ยันเปรี้ยงเข้าลิ้นปี่!
ร่างของนายแหล่กระเด็นผาง ก้นกบกระแทกพื้น
“โอ๊ย! อีห่ะ!”
นายแหล่ยันร่างลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เพราะใช่ว่ายังหนุ่มแน่นอยู่เมื่อไหร่ กระดูกพรุนไปทั้งตัวแล้วยังไม่เจียม
“ชอบความรุนแรงนี่หว่า อีนี่” พี่ชายผู้แสนดีกระแทกเสียงสำเนียงกรุงเทพฯชัดเปรี๊ยะ สีหน้าถมึงทึง ตาลุกวาว “ฮะๆๆ ซาดิสม์แบบนี้ กูชอบเหมือนกัน”
นายแหล่เห็นผ่องพรรณยังหลับอยู่ ก็ยิ่งย่ามใจว่า หญิงสาวนอนขี้เซาชะมัดยาดแบบนี้เขาคงทำอะไรต่อมิอะไรได้อย่างสะดวกโยธิน แค่ระวังตีนของเธอให้มากกว่าเดิม
จังหวะนั้น ผ่องพรรณพลิกร่างตะแคง นายแหล่แลบลิ้นเลียริมฝีปาก แล้วย่องเข้าทางด้านหลัง พอได้จังหวะ...เอาล่ะวะ...นายแหล่โถมเข้าหาอีกครั้ง
ผัวะ!
“โอ้ย!”
ผ่องพรรณเหวี่ยงแขนกระแทกเข้ากกหูนายแหล่ ญาติผู้พี่ถึงกับคำรามอย่างเหลืออด “กูสุดทนแล้วโว้ย อีปึก!”
ฉับพลันนั้น
พลั่ก!
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 657
แสดงความคิดเห็น