สวยร้ายสายลับ 2
“เฮ้ย!”
ไม่รู้นายแหล่เข้าหาท่าไหน ร่างของเขาจึงกระดอนถอยหลังเหมือนถูกม้าดีด กระแทกกับบานประตู กระเด็นออกนอกห้อง
น่าแปลก ผ่องพรรณยังหลับเฉย
นายแหล่หมดอารมณ์แล้ว แต่เขายังลุกไม่ได้ เพราะผู้ยืนค้ำหัวของเขาอยู่นั้น เป็นสาวใหญ่แปลกหน้า หน้าตาถมึงทึงเย็นชา...
ประนอม หัวหน้าแม่บ้านบริษัทรักษาความสะอาดนั่นเอง
นายแหล่กำลังอ้าปากตวาดอย่างหงุดหงิด เพียงแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมาเท่านั้น เพราะสาวใหญ่จอมโหดตวัดเท้ากระแทกเข้าปลายคาง นายแหล่สลบเหมือด
สาวใหญ่เข้าไปในห้องพัก พยายามปลุกให้ผ่องพรรณตื่น แต่เธอยังหลับสนิท ไม่ยอมตื่นขึ้นมารับรู้ใดๆทั้งสิ้น
“โธ่เอ๋ย สาวน้อย” นางประนอมพึมพำ สายตาที่มองผ่องพรรณอ่อนโยน ราวแม่มองลูก “กรุงเทพฯอาจไม่เหมาะกับเธอกระมัง”
ประนอมอุ้มผ่องพรรณขึ้นแท็กซี่ ระหว่างนั่งอยู่ในรถก็ควักมือถือออกมากดติดต่อ พูดเพียงไม่กี่คำ หัวหน้าแม่บ้านแห่งบริษัทรักษาความสะอาดก็บอกคนขับแท็กซี่ให้มุ่งหน้าไปยังบ้านพงศ์โสภาสิริ
สามทุ่มตรง...
แท็กซี่แล่นมาจอดหน้าประตูรั้วบ้านพงศ์โสภาสิริ ผู้ยืนกดรีโมตให้ประตูไฟฟ้าเลื่อนออกเพื่อให้รถแล่นเข้าไปคือ เมษายน์ นั่นเอง
ประนอมลงจากรถ
เมษายน์ก้าวเข้ามาหา
“ทำไมรวดเร็วจังคะ พี่นอม? ไหนคะ เด็กที่พี่นอมว่า?”
“อยู่ในรถค่ะ คุณ มันยังหลับอยู่เลย คุณช่วยปลุกทีเถอะ”
เมษายน์ยื่นหน้ามองสาวในชุดสีฟ้าสดที่ตอนนี้นอนยาวเหยียดบนเบาะหลัง ปลายเท้าแพลมออกจากประตูข้างที่ประนอมเปิดออก
ไม่หลับเปล่า ยังส่งเสียงกรนมีความสุขเหลือเกิน แค่แรกเห็น เมษายน์ก็รู้สึกถูกชะตา
“ท่าทางซื่อๆอย่างพี่นอมว่าจริงๆ”
“มันเพิ่งมาจากร้อยเอ็ด ไอ้คนขับแท็กซี่บ้านเดียวกันพาไปฝาก ตั้งแต่ตอนแรกที่เห็นหน้า พี่ก็สังหรณ์ใจอยู่แล้ว ตอนคุณโทร.หา พี่กำลังตัดสินใจตามไปถึงห้องเช่าตามที่อยู่ในใบสมัคร ถ้าช้ากว่านี้ปึกคงแย่แน่ๆ”
ประนอมเล่ารายละเอียด
เมษายน์จับปลายเท้าของผ่องพรรณเขย่า “ปึก ปึก ตื่นก่อนเถอะ”
“คร็อกกก...ฟี่”
โชเฟอร์แท็กซี่คันที่ประนอมเรียกมาส่งลงมายืนเกาหัว “ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงนอนในท่าอุบาทว์แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต”
“คงต้องอุ้มเอาไปนอน”
เมษายน์พึมพำ
“เดี๋ยวผมช่วยปลุก”
โชเฟอร์แท็กซี่เอ่ย พร้อมขยับเข้าแทนที่เมษายน์ และใช้วิธีเดียวกับหญิงสาวคือจับข้อเท้าของผ่องพรรณ
เหมือนปฏิกิริยาต่อต้านทางเคมี ผู้หญิงจับไม่เป็นไร แต่ผู้ชายแตะต้อง สู้ทันที
พลั่ก!
“จ๊ากกกก!”
ฝ่าเท้าของสาวบ้านเดินกระแทกเข้าเต็มยอดอกของโชเฟอร์แท็กซี่ ผงะหงายหลังก้นจ้ำเบ้าทันตาเห็น เมษายน์กับประนอมถึงกับกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว แต่คนขับแท็กซี่ไม่ขำด้วยอย่างเด็ดขาด พอลุกขึ้นได้ก็บดกรามกรอด
“คุณช่วยลากมันลงจากรถผมเดี๋ยวนี้ ก่อนผมจะหักคอมัน!”
///////////////////////////////////
ณ ศูนย์บัญชาการหน่วยงานเฉพาะกิจ 919 (ฉก. 919) ตำรวจภูธรภาค 1
ผู้นั่งหัวโต๊ะ คือ พล.ต.ต. เสวี คำรณ ผู้บังคับการ ฉก.919
ถัดมาเป็น พ.ต.ท.ชายชาติ รองผู้บังคับการ ร.ต.อ. เทพ นราดุล และนายตำรวจสัญญาบัตรรวม 4 นายทั้งหมดเป็นทีมงานเดียวกัน
แสงสว่างภายในห้องประชุมเฉพาะกิจสลัว เพราะเครื่องฉายสไลด์กำลังทำงาน
ภาพบนผนังที่ฉายจากเครื่องเป็นภาพของฝรั่งอเมริกันวัยกลางคน แต่งกายด้วยชุดสบายๆ กางเกงขาสั้น เสื้อเชิ้ตลายดอก สวมแว่นตาดำ นั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำโรงแรมหรูแห่งหนึ่งของเมืองพัทยา มีหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยสองคนขนาบข้าง
“คนคนนี้คือ มิสเตอร์เควิน สมิธ เศรษฐีอเมริกันนักสะสมของเก่าจากทั่วโลก เรากำลังจับตาดูเขาอยู่ แต่การจะทำอะไรกับเขา ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย...” ผู้บังคับการฉก.919 กล่าว
“เขากำลังมาเยือนมูลนิธิสงเคราะห์เด็กและสตรี ‘เควินโฮป’ ซึ่งเขาเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทย และคาดว่าจะเป็นแขกของคนสำคัญที่ตำรวจหน่วยวิหคเวลาต้องเข้ามาดูแล ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเราสามารถประสานกันได้ เราจะหาทางส่งตัวประกบใกล้ชิดตัวเขาให้มากที่สุด”
ผู้บังคับการ เสวีกดรีโมตเลื่อนแผ่นสไลด์...
ภาพบนผนังเปลี่ยนเป็นหนุ่มผิวดำ วัยเบญจเพส หน้าตาดูผิวเผินเหมือนไมค์ ภิรมย์พร แต่สูงใหญ่และผิวดำมืดกว่าหลายเท่า แต่งกายด้วยชุดสีแดง ผูกหูกระต่าย เหมือนบาร์เทนเดอร์
“ไมค์ โจ๊กเกอร์ คือผู้ที่ผมคัดเลือกให้เข้ามาทำหน้าที่”
ผู้บังคับการเสวีกล่าว
“เขาเป็นใครครับ ท่าน?” ทีมงานถาม
“คนหนุ่มวัย 25 แต่หน้าแก่เกินสามสิบ เป็นมนุษย์ร้อยเล่ห์ที่กรมตำรวจเวียงจันทร์กำลังต้องการตัว เพราะข้ามโขงไปหลอกฟันสาวลาวไม่ต่ำกว่าสิบรายในระยะเวลาแค่ไม่ถึงเดือน เขาพูดได้หลายภาษา ไทย อังกฤษ เวียดนาม ฝรั่งเศส แต่ที่ถนัดที่สุด ภาษาลาว”
ผู้บังคับการเว้นวรรค ปล่อยให้ลูกน้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“เขากะล่อนลื่นไหลเหมาะที่จะรับบท นายหน้าค้าวัตถุโบราณสายเลือดไทยอเมริกัน ซึ่งจะเป็นผู้ชักจูงใจให้มิสเตอร์เควิน สมิธ ติดกับดักของเรา”
“เขาไว้ใจได้แค่ไหนครับ?”
“แปดสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะเขามีแม่เป็นคนไทย อันที่จริงบ้านเกิดของเขาอยู่ยโสธร ผมจึงบอกว่าภาษาที่เขาถนัดที่สุดคือลาว อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ผมเผื่อเอาไว้ เพราะหมอนี่มันขี้หลี งานอาจพังเพราะเรื่องหลีหญิงนี่แหละ”
“ปัจจุบันเขาอยู่ที่ไหนครับท่าน?”
“คาเฟ่แถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่”
“???”
“พวกคุณไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก คนคนนี้ผมได้พิสูจน์มาแล้ว เขาเหมาะกับงานนี้ที่สุด”
“หมายความว่าไมค์ โจ๊กเกอร์เป็นชื่อแต่งตั้ง...”
“ใช่ ชื่อจริงของเขาคือ นายบุญเลิศ แหล่ทั่วคิง หรือ บักหำ!”
“จะไหวหรือครับท่าน?”
“โชคดีที่ผมรู้จักไมค์ โจ๊กเกอร์มานานพอสมควร แต่ไม่เคยคิดว่าจะเอาเขามาร่วมงานด้วย โดยส่วนตัวคิดว่าเขาน่าจะทำได้ โชคไม่ค่อยดีนักที่ผมเพิ่งได้รับข่าวกรองล่าสุดว่าเควิน สมิธจะเข้ามาเมืองไทย เราจึงมีเวลาเทรนด์ไมค์ โจ๊กเกอร์ไม่นานนัก”
“นี่หมายความว่าผลงานของทีมเฉพาะกิจของเราต้องฝากไว้กับบักหำไมค์หรือครับท่าน?”
“ก็...ทำนองนั้น เราอาจแย่ถ้าเขาพลาด แต่เขาจะไม่มีโอกาสแย่ เพราะถ้าพลาด เขาตายสถานเดียว!”
“ท่านครับ”
ผู้กองหนุ่มคนหนึ่งยกมือขึ้น
ผู้บังคับการ วางสายตาอยู่ที่ใบหน้าของลูกน้อง
“มีอะไรสงสัยหรือผู้กอง?”
“ผมไม่อยากจะคิดว่า นายไมค์ โจ๊กเกอร์เนี่ย เป็นตลกคาฟ่นะครับ”
“ผู้กองเข้าใจไม่ผิดเลย” ผู้การเสวีพูดน้ำเสียงเรียบๆ “เขาเป็นหัวหน้าตลกคณะโจ๊กเกอร์ แล้วหน้าที่ของผู้กองก็คือเป็นบัดดี้กับคนคนนี้”
“หา!”
“นี่คือคำสั่ง!”
“คือ...”
“เลือกเอาเองละกันว่าคุณอยากถูกย้ายไปช่วยงานเอกสารในกรุหรือว่า...”
“รับทราบครับผม!”
เสียงรับสั่งแข็งขันทันที เพราะการถูกย้ายไปทำงานเอกสาร เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายที่สุดหรับผู้กองนิสัยพะบู๊ผู้นี้
“ดีมาก”
ผู้การเสวียิ้มอย่างพึงพอใจ
//////////////////////////////////////
อีกด้านหนึ่ง...
ม่านควันบุหรี่ถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากหนาเตอะของชายหนุ่มผิวดำในชุดแดง หน้าเคาน์เตอร์ของแคชเชียร์สาวแต่งกายจงใจอวดเนื้อหนังโนมพรรณซึ่งกำลังนับเงินบรรจุในซองเลื่อนส่งให้เขา
ไอ้หนุ่มผิวสีตะครุบซอง หากสายตายังมองหญิงสาวอย่างวิงวอน
“ให้โอกาสพี่สักครั้งได้ไหม สมศรี” ไอ้หนุ่มผิวหมึกพูดภาษาไทยชัดเปรี๊ยะ “แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
“ไม่ได้!” หญิงสาวปฏิเสธ ใบหน้าเชิด
“ถือว่าขอร้องเถอะ คนอย่างพี่ไม่เคยขอร้องใครมาก่อนเลยในชีวิต หรือจะให้พี่คุกเข่าโขกหัวกับพื้นสักสามทีก็ได้”
หญิงสาวทำหน้ายักษ์ ลักษณะเหมือนเหม็นเบื่อมึงเต็มแก่ หากยังฝืนพูดรักษาน้ำใจ
“พี่ไปซะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ”
“สมศรีใจร้ายกับพี่เหลือเกิน” ดูเหมือนไอ้หนุ่มผิวสีจะยอมพ่ายแพ้ ขยับลุกขึ้นพร้อมยัดซองเงินใส่กระเป๋ากางเกง ประโยคหลังไม่วายตัดพ้อ
“ขอเปลี่ยนเป็นแบงก์ร้อยก็ไม่ได้ พี่ก็อายลูกน้องเป็นเหมือนกันนะ จ่ายค่าตัวพวกมันแต่ละทีคนละหลายใบ แต่เป็นใบละยี่สิบ”
“ได้ค่าตัวน่ะ ดีเท่าไหร่แล้ว”
หญิงสาวบ่นตามหลัง
ยามนี้ สถานการณ์ของคนทำงานกลางคืนไม่สู้ดีนัก เพราะสถานบันเทิงต่างๆต้องปิดให้บริการภายในระยะเวลากำหนด รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจที่นับวันยิ่งแย่ ไม่นับความไม่แน่นอนของการเมือง ทำให้นักเที่ยวราตรีน้อยลงจนน่าใจหาย
เมื่อนักเที่ยวน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบถึงชีวิตของคนกลางคืนทุกระดับชั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตลกคณะโจ๊กเกอร์ก็ไม่อยู่ในข่ายยกเว้น ทุกวันนี้ต้องรับค่าตัวการแสดงรอบละ 1,800 บาทถ้วน ทั้งที่มีสมาชิกในคณะตั้งสิบกว่าคน
บุญเลิศ แหล่ทั่วคิงแวบเข้าห้องน้ำ เพื่อนับเงินสำหรับ ‘อม’ อมสักแปดร้อยแล้วไปบอกลูกน้องว่า ผู้จัดการคาเฟ่จ่ายแค่พันเดียว คนเป็นลูกน้องต้องเข้าใจและยอมรับสภาพได้แน่
บุญเลิศหรือไมค์หัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง ทว่าพอก้าวเข้าไปในแสงสว่างนวลของบริเวณห้องน้ำ หัวหน้าคณะตลกจอมกะล่อนก็ต้องชะงักเท้า หน้าเสียแต่ไม่ซีด เพราะสีผิวของเขาดำสนิทซะขนาดนั้น คนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่ใช่บรรดาเจ้าหนี้หรือลูกน้อง หากเป็นหญิงสาววัยไม่ถึงสิบแปด หน้าตาน่ารัก
“พี่ไมค์ เงิน” หญิงสาวแบมือมาข้างหน้า “ค่าบัตรเติมเงินมือถือ ค่าห้อง และค่าเทอม รวมสองพันพอดี”
“สองพัน!”
ไมค์คราง รู้สึกเหมือนนรกมาตั้งอยู่ข้างหน้า แต่จะโทษใครได้อีก ในเมื่อเขาริคบเด็กนักศึกษา นักศึกษาเดี๋ยวนี้เรียนหนังสือผ่านบีบีและแคมฟร็อกซ์
“พี่ให้สัญญาหนูและเบี้ยวมาสองครั้ง หนูจะไม่ยอมโง่อีกแล้ว” ท่าทางของนักศึกษาสาวเอาจริง ไมค์เองก็รู้ตัวว่าไม่มีทางเลี่ยงได้แน่ จึงจำต้องยิ้มรักษาฟอร์ม หยิบซองเงินหนายื่นให้สาววัยรุ่น
“ความจริง หวานไม่น่าลำบากมาด้วยตัวเองเลย พี่ตั้งใจเอาเงินไปให้ใช้อยู่แล้ว” ไมค์พูดน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้เรารีบออกไปจากนี่ก่อนเถอะ พี่อยากอาบน้ำ อยากเล่นปูไต่กับหวานจะแย่อยู่แล้ว”
“ฮึ!” นักศึกษาสาวค้อน “ปูไต่อะไรกัน เห็นตั่บๆๆๆ ทุกที”
“แหะๆๆ”
“พี่ไม่มีงานที่อื่นอีกหรือคะ?” สาววัยรุ่นถามเสียงอ่อนลง
“ไม่เล่นแล้ว” เขาพูดอย่างหยิ่งๆ “คาเฟ่ที่เหลือให้ค่าตัวไม่สมกับชื่อเสียงของพี่”
“พี่จะไปไหน? มันไม่ใช่ทางออก”
หวานหรือน้ำหวานขืนตัว เมื่อถูกไมค์โอบเดินไปในทิศทางที่ไม่ใช่ทางออก ไมค์ โจ๊กเกอร์หัวเราะแห้งๆ จำต้องเดินไปยังประตูทางออกซึ่งเขารู้ดีว่า มันไม่ต่างอะไรกับประตูนรกที่เปิดอ้ารอเขาอยู่
ไม่ผิดอย่างสังหรณ์ พอพ้นประตูคาเฟ่ ก็พบกับชายฉกรรจ์จำนวน 11 คน แต่ละคนหน้าตาเหมือนเพิ่งโกรธกับเมียหรือทะเลาะกับแม่ยายมาทั้งสิ้น
“พี่ไมค์!” หนึ่งในจำนวนนั้นเรียก น้ำเสียงเล็ดลอดไรฟัน
ไมค์หัวเราะกลบเกลื่อน “นี่มายืนเก๊กหล่อรออะไร พวกเอ็งก็รู้นี่ว่าวันนี้ผู้จัดการไม่อยู่ ไม่มีการจ่ายค่าตัวใดๆทั้งสิ้น”
“หรือครับ?”
“ใช่” เขาทำหน้าขึงขัง “ข้าเข้าใจพวกเอ็งนะว่าต้องกินต้องใช้เหมือนกัน แต่ทำไงได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของข้าเลย สาบานได้”
“หรือครับ?”
“ฮื่อ คนอย่างข้าเคยโกหกพวกเอ็งเรอะ?”
“ไม่เคยครับ”
ไมค์ยิ้มร่าพึงพอใจที่ลูกน้องพูดเข้าใจง่าย แต่แล้วคนเป็นรองหัวหน้าคณะก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนคำราม “ครั้งเดียว...ไม่เคย แต่มึงโกหกปลิ้นปล้อนตอหลดตอแหลทุกครั้ง ไอ้ดำ!”
ไมค์หุบยิ้มแทบไม่ทัน เมื่อฝ่ายลูกน้องกรูเข้ามาหา...
“และครั้งนี้พวกกูไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว เงินค่าตัวที่มึงอมเอาไว้ทุกรอบทุกวัน เก็บเอาไว้ทำศพมึงเองเถอะ ฆ่ามันโว้ย!”
ผัวะ!
“อู้ว์!”
ร่างของไมค์ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ยกมือไหว้ปะหลกๆ “พลีส คือ...กรุณาฟังผมชี้แจงก่อน”
“ไม่ฟังเว้ย!”
ฉาด!
“อุ๊บ!”
ผัวะ! ตั่บ!
ตื๊บๆๆๆ!
ในระหว่างไมค์ถูกกระทืบ น้องน้ำหวานยืนกอดอกมองดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สติสัมปชัญญะของไมค์ โจ๊กเกอร์จวนเจียนดับวูบ แต่ยังพอมองเห็นรองหัวหน้าคณะเข้าไปโอบน้องน้ำหวานพาเดินห่างออกไป โดยมีอดีตลูกน้องของเขาเดินตามเป็นพรวน
แปลกันชัดว่า บัดนี้คณะโจ๊กเกอร์ถูกยึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว ถูกยึดทั้งคณะและผู้หญิง!
สำนึกสุดท้ายของไมค์ โจ๊กเกอร์รู้ว่าถูกบุคคลสำคัญคนหนึ่งหิ้วปีกไปขึ้นรถ
ไอ้หนุ่มผู้มีพ่อเป็นนิโกรอเมริกันมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อถูกผู้หวังดีเอาน้ำเย็นค่อยๆราดลงบนใบหน้า เขาพับร่างลุกขึ้น ทำหน้ายักษ์ท่าทางเหมือนโกรธจริงๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
หนุ่มนิโกรเลือดยโสธรปาดใบหน้ารีดเอาหยาดน้ำออก สายตาจึงมองเห็นชายหนุ่มวัยเดียวกับเขา และหุ่นไล่เลี่ย หน้าตาเหมือนฉัตรชัย เปล่งพาณิชย์สมัยหนุ่มยังกะแกะ ซึ่งเขาเกลียดเหลือเกินคนหล่อ มาดเข้มอย่างนี้
เขาคือ ร.ต.อ.เทพ นราดุล นายตำรวจแห่งหน่วยฉก.919 ผู้กองเทพเป็นผู้เทรนด์เพื่อให้ไอ้หนุ่มยโสธรเป็น...มิสเตอร์ไมค์ โจ๊กเกอร์อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสิ่งที่ผู้กองต้องติวเข้มให้ไอ้หนุ่มผิวดำเข้าใจเป็นพิเศษก็คือ เรื่องมารยาททางสังคม
“ผู้กองไม่มีสิทธิ์ทำร้ายจิตใจผมแบบนี้นะ”
นายตำรวจหนุ่มนอกเครื่องแบบยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่ง
“ฉันไม่ฆ่านายดีเท่าไหร่แล้ว ไมค์...นายก็รู้ว่าอีกประมาณวันหรือสองวันเท่านั้น นายต้องทำงานแล้ว ฉันให้เวลานายสะสางเรื่องในคณะของนายตั้งแต่วันที่นายรับปากจะทำงานให้ นายก็ยังไม่กระตือรือร้นจนฉันต้องลงมือเสียเอง”
ไมค์ตาค้าง ย้อนถามเสียงสูง “นี่อย่าบอกนะว่า ผู้กองเป็นคนบอกให้ไอ้พวกนั้นเล่นงานผม?”
ผู้กองเทพหัวเราะในลำคอ
“นายยังฉลาดเหมือนเดิม”
ไมค์โกรธมาก ถึงกับทะลึ่งลุกขึ้นพร้อมดึงคอเสื้อของนายตำรวจนอกเครื่องแบบ จ้องหน้าใกล้ชิดจนได้กลิ่นปาก
“ผู้กองจำเอาไว้อย่างนะ คนอย่างผมไม่ชอบการถูกบีบคั้นมาก”
คนเป็นตำรวจยังยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ก็ลองดู ทันทีที่นายปฏิเสธหรือเกิดความคิดหักหลัง นายอาจต้องเสียใครบางคน ซึ่งชาตินี้นายมีโอกาสเสียได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
ดวงตาของไอ้หนุ่มนิโกรเลือดยโสธรลุกวาว มือที่กำคอเสื้อของผู้กองเทพคลายลงโดยอัตโนมัติ “ผมไม่มีทางเลือกใช่มั้ย?”
“นายจะมาฟูมฟายทำห่ะอะไรวะไมค์? นายโชคดีต่างหากที่ได้ทำงานให้กับบ้านเมือง ถ้านายไม่เจอท่านผู้การเสวี ป่านนี้แม่ของนายถูกเจ้าหนี้ทั้งหลายแหล่ของนายเล่นงานแล้ว นายควรขอบคุณพวกเราที่เข้ามาช่วยยื้อชีวิตของนายกับแม่เอาไว้มากกว่า”
ไมค์สงบลง
“ผมพร้อมแล้ว จะให้ทำงานเมื่อไหร่?”
นายตำรวจหนุ่มเอื้อมมือตบบ่าของไมค์ “ได้ยินคำนี้ทำให้ฉันรักนายขึ้นเป็นกองว่ะ ไมค์ ตอนนี้นายแค่...อาบน้ำปะแป้งรอคำสั่งเท่านั้น”
/////////////////////////////
เวลาเดียวกัน
ที่นี่คือคฤหาสน์ริมแม่น้ำชีของเสี่ยลือฤทธิ์ ตั้งตระกูล หรือเสี่ยปื๊ด ผู้กว้างขวางแห่งเขตอีสาน ในศาลาไม้ริมน้ำ ชายวัยกลางคนนั่งรอเจ้าของบ้านอยู่อย่างกระสับกระส่ายเกือบชั่วโมง ที่หลังสะพายเป้ใบใหญ่
ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถยนต์เอสยูวีสีดำติดกระจกกันกระสุนก็คลานอย่างเงียบกริบผ่านประตูอัลลอยเข้ามาภายใน
เจ้าของร่างอ้วนเหมือนหมูตอนเหลือบมองไปทางศาลาริมน้ำ เพราะได้รับรายงานจากสมุนระหว่างเดินทางมาว่ามีคนมารอพบ เขาสั่งมือปืนที่เป็นคนขับรถด้วย
“ลื้อไปตามไอ้จ่าสิบหมื่นไปพบอั๊วที่ห้องนั่งเล่น”
“ครับเสี่ย”
ไม่กี่นาทีต่อมา อดีตจ่าสิบตำรวจ ‘สิบหมื่น’ ก็ก้าวตามมือปืนร่างใหญ่เข้ามาหาเสี่ยลือฤทธิ์ในห้องนั่งเล่น
“สวัสดีครับเสี่ย”
“นั่งก่อนเว้ย จ่า อั๊วขอโทษที่ต้องให้ลื้อรอนาน อั๊วมัวทำธุระสำคัญอยู่” เสี่ยลือฤทธิ์ทักทายเป็นกันเอง “นึกว่าลื้อจะไม่กลับมาทำงานให้อั๊วอีกแล้ว”
จ่าสิบหมื่นยกมือไหว้เสี่ยร่างหมูตอนอีกครั้ง สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดก่อนหน้านั้นผ่อนคลายลง“ชีวิตของผมขึ้นอยู่กับเสี่ยแล้ว”
“มีปัญหากับนายเก่าของลื้อหรือวะ?”
“ไม่ใช่ครับ แต่ขัดแย้งกลับสมุนมือขวาของนาย ก็เลยคิดว่าผมคงไม่เหมาะจะอยู่กับนายอีก”
“ฮะๆๆ เอาเถอะ ลื้อเป็นคนที่อั๊วสร้างมากับมือ เรื่องความเห็นไม่ลงรอยระหว่างเราในอดีตอั๊วไม่เคยติดใจ”
“เสี่ยใจกว้างเสมอครับ”
“ฮะๆๆ”
“เพราะเสี่ยเป็นคนใจกว้าง ผมจึงเตรียมของขวัญมาให้เสี่ยด้วยครับ”
“ของขวัญ?”
“ครับ”
ของในเป้ถูกเอาออกมาโชว์ตรงหน้าผู้กว้างขวางแห่งลุ่มน้ำชี อดีตตำรวจนอกแถวสังเกตเห็นม่านตาของเสี่ยปื๊ดเบิ่งกว้างขึ้น “นี่มัน...”
“หลวงพ่อคำเกลี้ยง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของคนบ้านเดิด มีคนเอามาให้ผม คนแรกที่ผมนึกถึงก็คือเสี่ย”
“อั๊วได้ยินข่าวความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าองค์พระข้างในจะเหลืองอร่ามสวยงามแบบนี้”
“ครับ ไม่มีใครรู้เลยว่าองค์พระข้างในเป็นทอง แม้แต่ชาวบ้านเองก็ไม่มีใครระแคะระคายมาก่อน จนกระทั่งเศียรขาด”
“เยี่ยม ลื้อมาได้จังหวะพอดีว่ะไอ้สิบหมื่น แถมยังมีของดีมาด้วย”
“ผมขอส่วนแบ่ง หกต่อสี่”
“ว่าไงนะ?”
“เสี่ยฟังไม่ผิดหรอกครับ”
“ฮะๆๆ ไอ้จ่า ลื้อยังแน่เหมือนเดิม เอ๊า...ลื้อว่ายังไงก็ตามนั้น”
“ขอบคุณมากครับเสี่ย ไม่ผิดหวังจริงๆที่ผมมาหาเสี่ยเป็นคนแรก”
“ขอบใจลื้อเหมือนกันที่คิดถึงอั๊วคนแรก ความจริงลื้อมาเนี่ยถือว่าโชคดีมาก”
“ยังไงครับ?”
“อั๊วได้ข่าวในวงในว่า บุคคลสำคัญเป็นพ่อค้าโบราณวัตถุระดับโลกจะมาเยือนเมืองไทย อั๊วตั้งใจไปพบคนคนนั้นโดยตรง เพื่อที่ในอนาคตจะได้ไม่ต้องผ่านนายหน้าคนกลางที่ไหน อั๊วจะให้ลื้อเดินทางไปด้วย”
“ผมยินดีรับใช้เสี่ยครับ”
“ฮะๆๆ ถ้างั้นลื้อไปพักผ่อนก่อน เดี๋ยวอั๊วสั่งคนให้จัดเตรียมห้อง”
“ขอบคุณครับเสี่ย”
/////////////////////////////
เช้าวันใหม่ พลันที่ผ่องพรรณลืมตาตื่นก็พบกับบรรยากาศของห้องที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ห้องเท่าหนูดิ้นตายที่ญาติคนร้อยเอ็ดบ้านเดียวกันเช่าให้อยู่ ก่อนจะงุนงงสงสัยมากไปกว่านี้ ประตูห้องของเธอก็ถูกคนข้างนอกเปิดออก แสงสว่างสาดเข้ามา ผู้ยืนอยู่ตรงประตูเป็นหญิงสาวร่างสมส่วน หน้าตาสวยน่ารัก กำลังยิ้มให้เธอ
“น้องปึก ยินดีต้อนรับสู่บ้านพงศ์โสภาสิริ” เมษายน์ทักทาย “พี่ชื่อเม...รีบทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยนะจ้ะ เดี๋ยวพี่จะพาไปแนะนำตัวให้เจ้านายใหม่ของเธอรู้จักและเริ่มต้นทำงาน”
“?!?”
“อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลย”
หญิงสาวคนสวยสั่งแล้วผละจากไป ผ่องพรรณกวาดสายตาสำรวจห้อง แน่ใจว่าเป็นสถานที่แห่งใหม่ไม่ใช่ห้องเก่า เมื่อก้มสำรวจตัวเอง ปรากฏว่ายังอยู่ในชุดสีฟ้าสดเหมือนเดิม หนำซ้ำตอนนี้เริ่มจะมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว
สาวบ้านเดิดทบทวนความจำ แล้วก็พอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนได้รางเลือน และนึกถึงใบหน้าของผู้ช่วยเหลือพามาที่นี่ไม่ได้เลย
ผ่องพรรณสลัดความสับสนวุ่นวายทิ้งพร้อมกับขยับร่างลุกขึ้น ริมฝีปากของเธอเผยอยิ้มเมื่อเหลือบเห็นห้องน้ำในตัว
สาวคนซื่อแห่งบ้านเดิดรีบจัดการเรื่องส่วนตัวจนเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่นาที จากนั้นจึงก้าวออกมาจากห้องด้วยชุดดั้งเดิม...ผ้านุ่ง เสื้อยืด ผ่องพรรณยิ้มอายๆ เมื่อพบว่าหญิงสาวคนสวย พูดจาเพราะ ยืนมองอยู่ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“เธอแต่งตัวแบบนี้ทำงานถนัดหรือเปล่า ปึก?”
“ถนัดค่ะ พี่”
“ดี นับจากนี้เป็นต้นไปเธอเป็นแม่บ้านบ้านนี้นะ”
“แม่บ้าน?” ผ่องพรรณทวนคำเพียงนิดเดียว ก่อนพยักหน้า “ได้ค่ะ แต่หนูสงสัย...”
“เมื่อคืน พี่นอม หัวหน้าพนักงานทำความสะอาดบริษัทที่เธออยู่ตามไปหาเธอถึงห้อง พบคนขับแท็กซี่กำลังจะทำมิดีมิร้ายจึงช่วยออกมา บังเอิญคุณแม่ของพี่กำลังขาดคนทำงานบ้าน จึงรับเธอเอาไว้ให้ทำงานประจำที่นี่”
เมษายน์เล่าอย่างรวบรัด
“ไม่น่าเชื่อเลย” ผ่องพรรณคราง
“เธอสงสัยอะไร?”
“อ้ายแหล่เป็นคนชั่ว...เอื้อยนอมเป็นคนดี...”
“ปึก เธอจำเอาไว้เลย รู้หน้าไม่รู้ใจ อยู่กรุงเทพฯต้องทันคน ไม่งั้นเธอจะกลายเป็นเหยื่อของความชั่วร้าย”
ผ่องพรรณยกมือไหว้เมษายน์
“หนูต้องขอบคุณพี่เมมาก”
“ไม่เป็นไร...คุณพ่อคุณแม่ของพี่เป็นคนใจดี แค่เธอตั้งใจทำงานเท่านั้น” เมษายน์ตัดบทด้วยการหมุนร่างก้าวนำสาวบ้านนอก “พี่จะพาไปหาท่านทั้งสอง”
“พี่เมคะ...”
สาวบ้านเดิดยังห่วงความตั้งใจของตัวเอง
เมษายน์ชะงัก หันมามอง
“มีอะไรหรือเปล่า?”
“หนูอยากรู้ว่า หนูมาอยู่บ้านนี้ หนูมีโอกาสเจอฝรั่งบ้างหรือเปล่า?”
เรียวคิ้วของเมษายน์เลิกสูง ดวงตากลมสวยวาวประกายสงสัย
“เธออยากเจอฝรั่งงั้นรึ?”
ผ่องพรรณยิ้มอายจนตาหยี แล้วก็โพล่งความจริงออกมา ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะบอกใครเลย“คือหนูมากรุงเทพฯเที่ยวนี้ กะหาผัวฝรั่งโดยเฉพาะเลยค่ะ”
คำพูดซื่อๆของผ่องพรรณ ทำให้เมษายน์คิดหนักเหมือนกัน เพราะลองถ้าคนมีเป้าหมายอย่างนั้น คงทำงานอยู่ที่นี่ไม่ยืด แต่ในช่วงกำลังต้องการคนช่วยทำงานบ้านอย่างเร่งด่วนแบบนี้ จำเป็นต้องยื้อแรงงานสาวบ้านนอกคนนี้เอาไว้...อยู่สักอาทิตย์ก็ยังดี
“ถ้าปึกอยากเจอ” เมษายน์ตัดบท “พี่มีเพื่อนฝรั่งหลายคน ว่างๆจะพามาแนะนำให้รู้จัก ว่าแต่ปึกพูดภาษาอังกฤษได้หรือบ้างหรือเปล่า?”
“ได้นิดโหน่ย”
คำพูดของสาวบ้านเดิด ทำให้เมษายน์อดหัวเราะไม่ได้
สาวปึกทำหน้าเหรอหรา
“หนูพูดผิดหรือคะ?”
“เปล่า ไม่ผิดหรอก” เมษายน์กลั้นหัวเราะ “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จะพาไปหาคุณพ่อคุณแม่”
ผ่องพรรณรู้สึกถูกชะตากับสองสามีภรรยาวัยกลางคน ผู้เป็นบุพการีของหญิงสาวคนสวย เมษายน์เองเมื่อเห็นท่าทีของบุพการีและสาวใช้คนใหม่ก็สบายใจไปด้วย บางทีผ่องพรรณอาจทำงานอยู่ที่นี่ยาวกว่าที่คิดเอาไว้
“ลูกเม ลูกไม่ต้องช่วยแม่หรอกนะ” คุณประไพพรรณบอกลูกสาว “เดี๋ยวแม่ทำกับปึกได้ แม่อยากให้ลูกใช้เวลาวันหยุดหนึ่งวันของลูกพักผ่อนให้เต็มที่”
เมษายน์เองก็คิดเช่นนั้น
“ขอบคุณค่ะ คุณแม่”
“ปึก ตามฉันมานี่”
คุณประไพพรรณสั่ง
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
/////////////////////////////
บ้านหลังนี้อยู่ในสวนลึกเข้าไปในซอยแห่งหนึ่ง แดดในช่วงเที่ยงเผาบ้านไม้สองชั้นก่ออิฐถือปูนจนแทบไหม้ โดยเฉพาะห้องชั้นสองที่บุญเลิศ แหล่ทั่วคิงนอนพักอยู่ แต่อากาศอันอบอ้าวไม่ได้ทำให้ไอ้หนุ่มผิวสีตื่น เพราะนี่เป็นช่วงเวลาพักผ่อนปกติของเขา
บ่ายโมงหนุ่มผิวสีแค่โงหัวขึ้นมาดื่มน้ำ ก่อนจะนอนหลับต่อ…
ระหว่างนั้น อดีตหัวหน้าคณะตลกโจ๊กเกอร์ไม่รู้เลยว่า มีแขกผู้แต่งกายเหมือนพนักงานส่งพิชซ่าเข้ามาเยือน ซึ่งการเข้ามาถึงตัวของไมค์ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ เพราะเจ้าของบ้านแม้มีผู้ไม่ชอบหน้าเยอะ แต่ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องเตรียมการเพื่อรับมือกับศัตรู
พนักงานส่งพิชซ่า ใช้กุญแจไขประตู เดินถือกล่องพิชซ่านำมาวางไว้ในห้องนั่งเล่นของบ้าน แล้วเดินไปขี่มอเตอร์ไซค์ขับออกไปอย่างใจเย็น
บ่ายสี่โมงเย็น ไอ้หนุ่มผิวสีจึงตื่นเต็มตา เขาสลัดเสื้อผ้าทิ้งด้วยความเคยชิน ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือเพียงชั้นในตัวเดียว แต่เมื่อลงมายังชั้นล่างเพื่อจะเข้าห้องน้ำ ก็ถึงกับตาเหลือก รีบใช้มือปิดหน้าตัวเองเอาไว้
“มาทำบ้าอะไรในบ้านผม ผู้กอง?”
ผู้กองเทพแยกเขี้ยว “ฉันไม่ได้ตั้งใจมาเห็นความอุบาทว์ของนายหรอกเว้ย แต่ฉันได้รับคำสั่งให้มาคอยดูแลนาย...เป็นอย่างดี”
“เกินไปมั้ง ผู้กอง” ไอ้หนุ่มผิวสีไม่นึกสนุกอีกต่อไป มองหน้าคนเป็นตำรวจอย่างยียวน “ไม่จำเป็นต้องดูแลผมอย่างใกล้ชิดขนาดนี้ก็ได้ มันเสียวววรู้ป่ะ? อย่าให้รู้เชียวนะว่าตัวเองแอบชอบเค้าอยู่”
ผู้กองหน้าหล่อระงับอารมณ์
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะ ไอ้ดำ!”
“แหะๆ ล้อเล่นหน่อยเดียว ของขึ้นซะแระ ระวังนะครับ ทำหน้าตาเครียดๆแบบนี้เป็นประจำจะส่งผลถึงสมรรถภาพทางเพศโดยไม่รู้ตัว”
ไมค์ยกหัวไหล่ แล้วเดินผ่านหน้าคนเป็นตำรวจหายเข้าไปในห้องน้ำ ได้ยินเสียงฮำเพลงดังเล็ดลอดออกมา ราวกับคนอย่างเขาไม่เคยรู้จักความทุกข์เอาเสียเลย
ผู้กองเทพแยกเขี้ยว นึกเซ็งตั้งแต่วันแรกที่ได้รับคำสั่งให้มาเป็นบัดดี้กับตลกกะล่อนผู้นี้แล้ว แต่ไม่มีทางเลือกเป็นอื่น
นายตำรวจหนุ่มเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่น เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ก่อนสายตาสะดุดเข้ากับกล่องพิชซ่า นายตำรวจหนุ่มก้าวเข้าไป ไม่ทันจะได้พูดอะไร ตลกผิวสีก็ออกจากห้องน้ำเดินตามเข้ามา
“เฮ้ ผู้กอง ซื้อพิชซ่ามาฝากผมเรอะ?”
คนเป็นตำรวจขมวดคิ้ว เพราะเขาไม่ได้ซื้อมา
ตลกผิวสีขยับเข้าไปจับ
“เดี๋ยวสิวะ ไมค์”
ผู้กองเทพร้อง
มือของไอ้หนุ่มผิวสีสัมผัสอยู่ที่กล่องพิชซ่า แต่ยังไม่ทันได้เปิด เขาเหลือบมองหน้านายตำรวจหนุ่ม
“อะไรกันผู้กอง โวยวายยังกะแต๋วแตก”
“ไม่ใช่เว้ย”
“แหม...” ไมค์ทำหน้ายียวน “ล้อเล่นแค่เนี้ยะก็ต้องโกรธด้วย”
“หยุดเดี๋ยวนี้ ไอ้ไมค์!”
ไอ้หนุ่มผิวสีทำหน้างง “ของขึ้นอีกแล้วเรอะ ผู้กอง ว้า...หงุดหงิดง่ายจัง”
“นายถอยห่างๆจากกล่องพิชซ่าเดี๋ยวนี้เลย!”
“โห มุกใช่ป่ะ?...มุกตื้นๆ ผมรู้ทันหรอกนะจะบอกให้ พอผมถอย ผู้กองตะครุบหมับ จริงไหมล่ะ?”
ผู้กองเทพห้ามไม่ทันแล้ว
ฉับพลัน
พลั่ก!
“เฮ้ยยย! ถีบผมทำไม?!”
ร่างของไมค์กระเด็น จังหวะนั้น
บึ้ม!
สิ้นเสียงระเบิด ร่างของผู้กองเทพนอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ชิ้นส่วนของโต๊ะและข้าวของใกล้เคียงถูกแรงระเบิดระเกะระกะ
ไมค์ที่ถูกตีนของผู้กองกระเด็นไปอีกด้านหนึ่ง รอดพ้นจากสะเก็ดระเบิดฉิวเฉียด รีบลุกขึ้นใบหน้าตื่นตระหนก พอเหลือบไปเห็นร่างของนายตำรวจหนุ่มก็ผวาเข้าไปหาทันที
“ผู้กอง อย่าเพิ่งตายนะ” ไมค์พยายามช่วยประคองร่างของคนเจ็บให้ลุกขึ้น ปากก็เพ้อพร่ำไม่หยุด “ผมไม่ติดใจเรื่องที่ผู้กองเข้ามายุ่งกับชีวิตของผม ผมขออโหสิกรรมทั้งหมด เกิดชาติหน้าฉันใด เราอย่าได้พบได้เจอกันอีกเลย”
คนเป็นตำรวจแยกเขี้ยว “ไอ้ไมค์ ฉันยังไม่ตายนะเว้ย และไม่ตายง่ายๆด้วย นายช่วยโทรศัพท์ให้ฉันที”
“ดะ..ได้ครับ” ไมค์รับคำละล่ำละลัก “เบอร์อะไรครับผู้กอง?”
“ศูนย์สอง สองสี่ห้า...” ผู้กองเทพข่มความเจ็บปวดบอกเบอร์โทรศัพท์ให้ไมค์ช่วยโทร. แต่ไมค์ยังมีปัญหา ร้องเสียงดัง
“เฮ้ย ผู้กอง นั่นมันเบอร์ม่านรูดเยสโฮเตล ผมพาเด็กไปกินตับออกบ่อย เอ๊ะ! ว่าแต่ผู้กองรู้เบอร์ได้ไง?”
คนเจ็บหน้าม้าน กัดฟันลุกขึ้น ดูเหมือนอาการเจ็บปวดหายเป็นปลิดทิ้งพร้อมแค่นเสียงเคืองๆ “เอาโทรศัพท์มานี่เลย ฉันโทร.เอง”
ไมค์ โจ๊กเกอร์มองหน้าคนเป็นตำรวจอย่างงงงัน
“ผมทำอะไรผิดอีกเนี่ย?”
“เปล่า นายไม่ผิด แต่ถ้าขืนนายพูดมากอีก ฉันวิสามัญนายทันที!”
“ก็ได้ ผู้กอง” ตลกหนุ่มผิวสีเสียงอ่อย “ผู้กองบอกเจ้านายของผู้กองด้วยนะว่า…เห็นทีงานนี้ผมขอถอนตัว ผมถอนตัวจริงๆ”
“ถอนตัวได้”
“จริงหรือครับผู้กอง?”
“จริง แต่ต้องตายก่อนนะ”
“ผู้กองขู่ผมใช่มั้ยเนี่ย?”
“ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายหรือไงวะไอ้ดำ?”
“เอ้อ...”
ไมค์หน้าซีดอีก ย้อนถาม “งั้นผู้กองช่วยบอกให้ผมใจชื้นหน่อยสิว่า งานนี้ผมมีสิทธิ์รอดกี่เปอร์เซ็นต์”
“แปดสิบ”
ตลกผิวสียิ้มออก “รอดแปดสิบเปอร์เซ็นต์หรือครับ?”
“เปล่า” นายตำรวจหนุ่มถอดเสื้อออก เห็นเสื้อเกราะอยู่ชั้นใน แล้วตอบเสียงเรียบ “ตายแปดสิบเปอร์เซ็นต์ต่างหาก!”
////////////////////////////////////
ผ่องพรรณทำงานให้คุณผู้หญิงของเธอเกือบทั้งวัน แต่ไม่ถือว่าหนักหนาสาหัสอะไร เมื่อเทียบกับการเป็นพนักงานในบริษัทรับจ้างทำความสะอาด ที่นี่สบายกว่ามาก ตอนเย็น เมษายน์พาไปเดินห้างสรรพสินค้า
“เหนื่อยไหมปึก?” เมษายน์ถามระหว่างนั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน
“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ” สาวบ้านเดิดตอบตามจริง “อยู่บ้านนอกหนูทำงานหนักมากกว่านี้หลายสิบเท่า”
“ปึก อย่าหาว่าโง้นงี้เลยนะ” เมษายน์ชวนคุย “นึกยังไงถึงอยากมากรุงเทพฯ กรุงเทพฯไม่ใช่เมืองในฝันอย่างที่คิดหรอก”
สีหน้าของผ่องพรรณหม่นลง “ความจริงหนูตั้งใจมาหาผัวฝรั่งค่ะ ไม่ได้มาหางานทำ”
เมษายน์มองสาวบ้านนอกอย่างสมเพช
“ปึก นี่พูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่?”
“จริงสิคะ” ผ่องพรรณยืนยัน “หนูต้องหาเงินเอาไปไถ่นา ก็เห็นวิธีเดียวนี่แหละค่ะ”
“ที่บ้านมีหนี้มากแค่ไหนน่ะปึก?” เมษายน์ถาม
“ครึ่งล้านค่ะ”
“หา!”
“จริงๆค่ะ ยอดจริงๆไม่ถึงนั้นหรอกค่ะ แต่ไอ้เสี่ยนายทุนมันต้องการจะเอาที่นาหนูไปน่ะค่ะ”
“เกือบล้าน” เมษายน์จุ๊ปาก “ไม่น้อยเลยนะปึก ฉันทำงานมาหลายปียังไม่มีเงินเก็บเลย”
“ค่ะ” ผ่องพรรณรับคำเสียงอ่อย “มาก แต่หนูต้องทำได้ค่ะ ถ้ามีผัวฝรั่งคงโชคดี”
“ปึกคิดว่าคนได้แฟนฝรั่งจะโชคดีทุกคนหรือ?”
“ค่ะ เป็นบุญวาสนาของคนคนนั้นเลยทีเดียว”
“ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ปึก” เมษายน์พูด “ชีวิตจริงๆมันไม่ได้งดงามอย่างภาพภายนอกที่เราเห็น แล้วปึกคิดว่าฝรั่งรวยทุกคนหรือ?”
“ค่ะ” ปึกยืนยัน “รวยทุกคน”
“ไม่จริงหรอกปึก ฝรั่งก็มีทั้งจนและรวย แต่เดี๋ยวนี้จะจนเสียมากกว่า เพียงแต่ค่าเงินของเขามากกว่าเราเท่านั้นเอง”
ผ่องพรรณนิ่ง เพราะคำพูดของเมษายน์ค้านกับความจริงด้านเดียวที่เธอเคยรับรู้
สาวเมืองเกินร้อยยังขรึมจนกระทั่งถึงห้างและซื้อข้าวของเรียบร้อย นั่งรถแท็กซี่ย้อนกลับบ้าน...สาวบ้านเดิดยังไม่ลืมเรื่องที่เมษายน์พูด
“จริงหรือคะ พี่เมที่ว่าฝรั่งมีทั้งรวยและจน?”
“ก็จริงนะสิ” เมษายน์ยืนยัน “พี่รู้ดี แต่พี่ไม่เคยมีแฟนฝรั่งหรอก เคยไปศึกษาต่อต่างประเทศระยะหนึ่งน่ะ”
“ที่โน่นเป็นไงบ้างคะ?”
“ก็ไม่ต่างจากบ้านเรา คือส่วนใหญ่ต้องทำงานถึงจะมีกิน”
“ว้า...ถ้าเกิดหนูเจอแฟนฝรั่งจนๆล่ะ ไม่แย่หรอกรึ?”
สาวบ้านเดิดชักมีความคิด
“ไม่แน่หรอก ปึก อย่าฝากชีวิตไว้กับโชคชะตาและวาสนาเพียงอย่างเดียว”
“แต่มันต้องลองไม่ใช่หรือคะ พี่เม?”
ผ่องพรรณถามอย่างเด็กสาวช่างคิด และหัวใจใสซื่อเต็มไปด้วยความเพ้อฝัน แต่คำพูดประโยคหลังของเธอ ฟังดูเหมือนกับว่าชีวิตของเธอมีเงาทะมึนบางอย่างบังคับอยู่
“ถ้าหนูไม่ได้ผัวฝรั่ง อย่าว่าแต่นาเลยค่ะ แม้แต่บ้านจะซุกหัวนอนก็คงไม่มี”
“เอาละปึก เรื่องนี้เราคงต้องคุยกันยาว ฉันอาจจะหาทางช่วย ไม่ใช่เรื่องเงินหรอกนะ ฉันไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น แต่จะหาวิธีการอื่น ฉันเชื่อว่าครอบครัวปึกน่าจะถูกโกงมากกว่านะ”
“ใช่ค่ะพี่เม หนูก็คิดเหมือนกัน”
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อนนะ แต่ปึกควรจะโทร.บอกที่บ้านก่อนนะว่ามีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว”
“ค่ะพี่เม” ผ่องพรรณพูดเสียงรื่นเริงขึ้น “บ้านหนูไม่มีมือถือหรอกค่ะพี่เม อาศัยบ้านข้างๆ”
“เอามือถือของพี่โทร.ก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูเห็นตู้โทรศัพท์ตั้งอยู่ปากซอยเข้าบ้าน ว่างๆหนูจะโทร.บอกพ่อแม่”
“ตามใจนะ”
“พี่เม พรุ่งนี้หนูจะได้เจอพี่อีกหรือเปล่า?” ผ่องพรรณเปลี่ยนเรื่อง “หนูเห็นคุณผู้หญิงบอกว่าพี่เมต้องไปเป็นตำรวจ”
“ใช่”
“เท่จังค่ะ ตำรวจหญิง”
“เดี๋ยวนี้ เท่าเทียมกันหมดแล้ว ปึก พี่ถึงอยากให้ปึกมีชีวิตอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง ถ้าจะได้ดี ก็ต้องด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ใช่รอพึ่งคนอื่น”
คำพูดอย่างหญิงสาวผู้มีการศึกษาของเมษายน์ยังขังอยู่ในหัวของหญิงสาวบ้านนอก ผู้มีความทะเยอทะยานเป็นเจ้าเรือน มีความฝันเป็นแรงบันดาลใจ และมีบ้านพักสำหรับคนใช้เป็นเรือนนอน ต้องเก็บมาขบคิดในคืนนั้น
หญิงสาวชาวบ้านเดิดที่กลับมาบ้านเกิดพร้อมกับผู้ชายต่างชาติร่างสูงใหญ่ ส่วนมากเป็นผู้ชายสูงวัย บางคนนั่งเฉยๆหัวยังสั่น บางคนเดินหัวล้ำหน้าไปก่อน และส่วนใหญ่...ดูมีเงิน
หญิงสาวเหล่านั้น ทำให้พ่อแม่มีบ้านหลัง‘ใหญ่โคตร’ มีรถปิกอัพขับ ญาติพี่น้องได้สรวลเสเฮฮาด้วยเหล้ายาปลาปิ้ง และผู้หญิงเหล่านั้น ก็เป็นที่น่าเกรงขามของชาวบ้านส่วนใหญ่ ทั้งที่ส่วนใหญ่อีกนั่นแหละ มีอดีตที่ขมขื่น เคยผ่านการดูถูกเหยียดหยามมาแล้วทั้งสิ้น
สิ่งที่เคยรู้... ภาพที่เคยเห็น... และถูกปลูกฝังจากบุพการีและญาติพี่น้องบางคน ย่อมทำให้สาวบ้านนอกอย่างเธอเคลิบเคลิ้มกู่ไม่กลับได้เหมือนกัน แต่คำพูดของเมษายน์กลับทำให้เธอ...สะดุด เพราะมันเป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง เธอไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย ผ่องพรรณเคยได้ยินมาบ้างจากปากของผู้หญิงในหมู่บ้านบางคน
“อยู่เมืองนอกนะรึ ลำบากหรือไม่ลำบากลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน ขนาดส้มตำ ตำกินไม่หมดยังห่อเก็บไว้ในตู้เย็น ไม่บูดไม่ทิ้ง...กว่าเงินจะมาถึงมือแต่ละเหรียญ เลือดตาแทบกระเด็น”
แต่ผ่องพรรณไม่เคยเอาใจใส่กับคำพูดดังกล่าว เนื่องจากตัวเธอไม่ได้อยากมีสามีฝรั่งตั้งแต่แรก ถ้าหากไม่เกิดเรื่องกับทางบ้าน
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 576
แสดงความคิดเห็น