STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 3 เริ่มการฝึกของจริง (รีไรท์)

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 3 เริ่มการฝึกของจริง (รีไรท์)

29 พฤษภาคม พ.ศ. 2575

เสียงนกหวีดดังลั่นไปทั่วอาคาร นักเรียนพากันตื่นอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดที่พวกเขาเตรียมไว้

ซึฮากิที่ตื่นมาเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้วเนื่องจากนิสัยแต่เดิมของเขามักจะตื่นเช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและเมื่อได้ยินเสียงนกหวีดแซมก็ตื่นตามยกเว้นแต่เซนที่ยังนอนสบายใจอยู่

ไฟฟ้าและระบบประปาถ้ามีทั้งสองที่นี่ก็อาจจะอยู่ใกล้เมือง ๆ กว่าที่คิดถ้าเป็นไปได้ต้องหาโอกาสออกไปข้างนอกเพื่อเก็บข้อมูล นั่งเหม่อคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่บนที่นอนที่พับเก็บเรียบร้อยแล้ว

“คุณเซนครับ ๆ” แซมเขย่าตัวเซนพร้อมกับส่งเสียงเรียกต่อเนื่องจนในที่สุดเขาก็ตื่นเสียที ท่าทางสะลึมสะลือก้าวเดินออกจากห้องเข้าไปในห้องผู้หญิงแทน

“แม่ตื่นได้แล้วเดี๋ยวจะสายเอานะ” เสียงอันเชื่องช้ามึนงงส่วนตาก็เหมือนจะปิดอยู่แล้วแต่ก็ยังเปิดประตูเข้าไปได้

“กรี๊ด !” เสียงกรีดร้องลั่นดังไปทั่วอาคารที่พัก

“แม่บ้านเอ็งสิไอ้โรคจิต !” เสียงของที่นาริตะโกนขึ้นมาและพุ่งเข้าถีบยอดหน้าเซนจนกระเด็นตกระเบียงทางเดินร่วงลงตรงพุ่มไม้ข้างอาคารพอดี เหล่าเพื่อนร่วมชั้นและทหารหลายคนต่างพากันออกมาดูที่เกิดเหตุส่วนทางนาริก็ปิดประตูหนีทันที

“โอย ๆ ๆ ทำไมปวดหัวอย่างนี้ หน้าก็รู้สึกชา ๆ ยังไงไม่รู้สิ” เซนปีนกลับขึ้นมาและเดินกลับเข้าห้องตัวเองไม่ได้คิดอะไร ดวงตาเปิดกว้างตื่นเพราะฝ่าเท้าของนาริ

“คุณเซนครับ เมื่อคืนสมองคุณคงไม่ได้โดนอะไรกระแทกมาใช่ไหมครับ” แซมถามขึ้นมาขณะที่เซนกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางหัวเราะเยาะหยอกล้อ

ถึงเขาจะดูไม่ปกติแต่ไม่คิดเลยว่าจะขนาดนี้นะ แซมหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนจะแต่งตัวต่อไป

“ก็ไม่นะ” เซนตอบกลับหน้าตาเฉย

เสียงนกหวีดที่สองดังขึ้นหลังจากครั้งแรกประมาณสิบนาที

“อีกห้านาทีฉันจะเป่าครั้งที่สามถ้าตอนนั้นใครยังไม่อยู่ที่จุดรวมตัวละก็โดนดีแน่ ๆ” พวกนักเรียนต่างก็รีบออกจากห้องและไปที่จุดรวมตัวอย่างร้อนรนมันยังมืดอยู่เสียด้วยซ้ำแต่ก็ต้องทำตามไม่เช่นนั้นจะโดนทำโทษ

และเสียงนกหวีดครั้งที่สามก็ดังขึ้นพวกทหารหลายนายเข้าไปค้นตามห้องเพื่อดูคนที่ยังไม่มาโชคดีที่ทุกคนมากันหมดแล้ว ซึ่งเสื้อผ้าที่ใส่จะเป็นชุดที่เหมือนกับชุดลำลองทั่วไปเสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น สีเขียวทั้งหมดอย่างกับทหารเกณฑ์

“ต่อจากนี้เราจะไปกินข้าวเช้ากันเพราะฉะนั้นพวกที่ถูกบทลงโทษเมื่อวานให้แยกตัวออกไป ข้าง ๆ ถ้าฉันนับแล้วไม่เหมือนเดิมล่ะก็ พวกนายทุกคนจะติดร่างแหไปด้วย” สิ้นเสียงจากทหารเสียงฝีเท้าก็เริ่มดังขึ้นพวกนักเรียนที่ถูกลงโทษต่างก็แยกตัวออกมาครบพอดีจึงไม่มีปัญหา

“มื้อนี้อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่พวกฉันจะทำอาหารให้กิน ต่อไปจะมีเวรทำอาหารไม่ต้องห่วงเรื่องวัตถุดิบเพราะทางเรามีเตรียมไว้ให้แล้ว” นักเรียนและทหารนั่งกินข้าวกันสบายใจจนอิ่มท้องมีเพียงผู้โชคร้ายนั่งอดทนพร้อมกับเสียงท้องร้องไม่หยุด

“ในวันนี้จะมีการฝึกหกรูปแบบโดยพวกฉันจะคอยควบคุมการเปลี่ยนทีมและการฝึกทุกอย่าง...เริ่มได้ !” นักเรียนทั้งหกทีมต่างก็แยกกันไปซึ่งจะมีทหารที่คอยนำทางให้อยู่ ทางที่ทีมซึฮากิมานั้นค่อนข้างโล่งเหมือนกับลานอะไรสักอย่างหนึ่ง

“เอ่อ…พวกเธอเป็นอะไรไปเอาแต่เมินฉันตลอดเลย?” เซนหันหลังมองเอ่ยถามกับพวกผู้หญิงทั้งสามคน

“ฉะฉันทำอะไรผิดไปใช่ไหมหรือเพราะว่าหล่อเกินไป? ถ้าไม่ยอมพูดกันแบบนี้จะเข้าใจกันไหมเนี่ยพวกเธอ” เซนชักสีหน้าหงุดหงิดอย่างชัดเจนเดินเตะฝุ่นไปเรื่อยขณะที่พวกผู้หญิงเร่งฝีเท้าหนีไปแล้ว

“หยุดได้แล้ว” พวกเขามาหยุดอยู่ที่ลานกว้างใหญ่ที่เป็นเพียงดินแห้ง ๆ ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้า

“ตรงนี้เป็นการฝึกความอดทน โดยวิธีง่าย ๆ ก็คือฉันจะฝังพวกนายทุกคนให้เหลือแค่หัวขึ้นมา”

ช่วงเวลาที่ทหารนายนั้นอธิบายวิธีการจู่ ๆ ก็มีหลุมขนาดใหญ่โผล่มาด้านหลังทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เห็นด้วยซ้ำ

ขุดไว้ตั้งแต่เมื่อไร? หรือจะมีใช้ผ้าคลุมแอบไว้ก่อน

ในวินาทีนั้นฟรานเธอก็ยกมือขึ้น “คุณคะหลุมพวกนี้ขุดกันได้ยังไงเหรอคะ? ทั้งที่เมื่อกี้ไม่เห็นจะมีเลย”

“ก็แค่ใช้เวทมนตร์พื้น ๆ เองนะ” นายทหารหยิบมีดขึ้นมาให้ดูโดยที่พวกเขายังมึนงงไม่เข้าใจอยู่ดีมีเพียงแค่เซนที่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยเข้าใจสิ่งที่ทหารนายนั้นสื่อ

ใช้เวทมนตร์งั้นเหรอ?ซึฮากิพยายามมองด้วยความสงสัยจ้องเข้าไปในดวงตาของนายทหารเพื่อตรวจสอบว่าโกหกหรือไม่

สายตาของเขาไม่ได้โกหก ฉันมั่นใจในเรื่องการมองคนเหมือนกับเมื่อวานที่บังเอิญเจอกับพีชเธอก็โกหกตอนที่ฝืนวิ่งตามมา อาณาจักรเซียที่ไม่เคยได้ยินที่ไหน หลุมที่ไม่สามารถขุดได้ในเวลาอันสั้นแบบนี้อาจจะเป็นโลกอื่นที่มีวิทยาการก้าวหน้ามาก ๆ โลกเวทมนตร์หรือจะเป็นอะไรก็ช่างต้องเห็นด้วยตาของตัวเองเท่านั้นถึงจะเชื่อเรื่องพวกนี้ได้ อาการคิดเยอะของเขากำเริบอีกครั้งแม้จะพยายามหักห้ามไว้ตลอด

“ช่วยทำให้เห็นอีกทีได้ไหมคะ?” ฟรานเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้จ้องตาเป็นมัน

สมแล้วที่เป็นฟรานยังคงหัวไวเหมือนเดิมเลยนะ

“ก็ได้ ๆ ดูให้เต็มตาแล้วกัน” เขาถอนลมหายใจท่าทางรำคาญก่อนจะใช้มีดสั้นชี้ไปที่พื้นดินเสียงพึมพำสั้น ๆ เอ่ยขึ้นพร้อมกับแสงสว่างจากคมมีดเสกพื้นดินให้กลายเป็นหลุม

อืม…เวทมนตร์เหรอ?

“ลุงคะ ใช้เวทมนตร์ทำอย่างอื่นได้อีกไหมคะ?” ฟรานถามแทรกขึ้นมาอีกครั้ง

“ก็ได้ ๆ เซ้าซี้จริง ๆ เลยเธอเนี่ย แล้วใครให้เรียกลุงหา !” ทหารวัยกลางคนหันมาตะคอกใส่ฟราน

“ขอโทษค่ะ” แม้เธอจะยกมือขอโทษแต่น้ำเสียงและท่าทางเหมือนทำเล่น ๆ เสียมากกว่า

การแสดงเวทมนตร์ให้ดูอีกครั้งสร้างสิ่งที่มองเห็นได้ง่าย ๆ อย่างกำแพงดินเพื่อตอกย้ำความข้องใจของพวกเขาจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็น

“นั่นมันอะไรกัน? แค่ชี้ด้วยมีดนั่นก็มีแท่งดินโผล่ออกมาด้วย มันคือเวทมนตร์จริง ๆ เหรอเนี่ย” ท่าทางของนาริที่ตกตะลึงปนไปกับความตื่นเต้นจนตาวาวขึ้นมาทันที

“นี่คงไม่ใช่ฝันใช่ไหมเนี่ย? อย่างกับในเกมเลย” แซมมีท่าทีเหมือนกับนาริไม่มีผิดทั้งรอยยิ้มอันตื่นเต้นพร้อมด้วยแววตาเบิกกว้างจ้องมองมีดสั้นและกำแพงดินนึกถึงเวทมนตร์ในเกมหรือในนิยายที่เคยเห็น

“รู้สึกเราจะนอกเรื่องมามากแล้ว ตอนนี้พวกนายรีบลงไปในหลุมนั่นซะ” พวกเขาทำตามแต่โดยดีและเมื่อลงไปจนครบนายทหารก็ใช้เวทมนตร์สร้างดินกลบทุกหลุมจนเหลือแค่หัวโผล่ขึ้นมา

เพราะดินมันถูกอัดจนแน่นเลยหายใจลำบาก มันคือการฝึกตรงไหนเนี่ย?ซึฮากิค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ พยายามทำให้ดินเป็นช่องเป็นโพรงช่วยให้หายใจง่ายขึ้น

“นี่มันการฝึกอะไรกันเนี่ยไร้สาระเป็นบ้า” เซนแบะปากบ่นไม่หยุดหลังจากที่ต้องแบบนี้มาครึ่งชั่วโมงแต่พวกทหารก็ไม่ได้สนใจ

ดูจากพระอาทิตย์เราน่าจะถูกฝังมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว ตอนเช้าที่แยกแต่ละทีมออกไปหมายความว่ามีที่อื่นที่ต้องไปอีก การฝึกทั้งหกฐานถ้าหากจะให้ฝึกในหนึ่งวันแต่ละฐานก็จะมีเวลาไม่เกินสองชั่วโมง แต่ถ้ามีการฝึกในช่วงกลางคืนด้วยก็อาจจะมากกว่านั้น ซึฮากิคิดไปเพลิน ๆ ระหว่างที่ถูกฝังเพราะไม่มีอะไรจะทำ

“น่าเบื่อ ๆ ๆ ๆ น่าเบื่อจริง ๆ เลยเว้ย !” เซนยังคงตะโกนโวยวายอยู่

“หนวกหูจริง ๆ ไอ้บ้านี่ เมื่อไหร่จะเงียบสักที !” นาริที่ถูกฝังอยู่ข้าง ๆ ก็ทนไม่ไหวตะคอกสวนกลับไป

“ว่าไงนะ !” เซนโต้กลับด้วยสายตาดุร้ายเหมือนสัตว์ป่าสงสัยเพราะอากาศเลยทำให้พวกเขาอารมณ์ร้อนเช่นนี้

“พอแล้ว ๆ ทั้งคู่นั่นแหละ” ฟรานพูดแทรกทำหน้าบึ้ง

หนึ่งร้อยสิบห้าหนึ่งร้อยสิบหก ซึฮากิไม่ได้สนใจใครเอาแต่นับเวลาเล่น ๆ ฆ่าเวลาและเพื่อไม่ให้หัวไปคิดเรื่องอื่นมากเกินไป

“นายคนนั้นน่ะแซมใช่ไหม นายก็ช่วยพูดอะไรหน่อยสิฉันเห็นเงียบมานานแล้วนะ !” ขณะที่แซมกำลังจะตอบก็เหงื่อไหลหยดลงบนแว่นตาทำให้มองได้ยาก นอกจากเหงื่อยังโดนพวกดินฝุ่นอีกมากมายจะเช็ดก็ไม่ได้

“แซม ๆ เธอได้ยินหรือเปล่า” ฟรานช่วยเรียกอีกเสียงเพราะคิดว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

“ให้ตายสินายก็ด้วยซึฮากิ เอาแต่นิ่งเงียบอยู่ได้ไม่เบื่อบ้างหรือยังไง? เรามาหาเรื่องคุยกันดีกว่า” เซนหันมาถามซึฮากิซึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน

“จะคุยให้เสียน้ำมากกว่าเดิมอีกเหรอ?” ซึฮากิตอบกลับทันทีเซนถึงกับทำหน้าเซ็ง

เมื่อกี้ถึงไหนแล้วนะ สองร้อยสิบสี่สองร้อยสิบห้า

“เอ่อ แล้วเธอคนนั้นล่ะชื่ออะไรนะฉันจำไม่ได้” เซนมองไปยังหญิงสาวผมสั้นแววตาเลิกลักเหมือนหวาดระแวงทหารพวกนั้นจนเซนเอ่ยทักเธอจึงดึงสติกลับมาได้

“คะคานะ” ถึงเธอจะตอบกลับมาแต่ก็ไม่ยอมมองหน้าเซนเลย

“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นตัวสั่น ๆ หรือว่าไม่สบาย” เซนกล่าวด้วยถ้อยคำนอบน้อมสุภาพไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เหมือนคนอารมณ์ร้อนตะเบ็งเสียงพูด

เธอไม่ตอบอะไรทำเพียงแค่ส่ายหน้าเท่านั้น

“แน่ใจนะ? งั้นฉันไม่รบกวนแล้วกัน” หลังพูดจบเซนก็ดูจะนิ่ง ๆ ไปสักพักแล้วก็กลับมาบ่นต่อ

และเวลาก็ล่วงเลยไปประมาณแปดนาฬิกาทหารที่ถือมีดสั้นได้ใช้เวทมนตร์อีกครั้งทำให้ดินแยกตัวออกจนพวกเราสามารถขึ้นมาได้

จากนั้นก็มีทหารคนหนึ่งพาพวกเขาเดินไปยังฐานต่อไป

“นั่นมันอะไรวะ?” เซนจ้องมองไปยังทหารประจำฐานและกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่พอให้คนเข้าไปอยู่ได้

“ถอดรองเท้าไว้แล้วเข้าไปซะ” เมื่อมาถึงฐานก็โดนบังคับให้เข้าไปอีกทันทีไม่มีเวลาให้พัก กล่องเหล็กสีดำขนาดใหญ่ที่มีช่องระบายอากาศด้านบน

“ฉันว่าในนี้มันร้อนแปลก ๆ นะว่าไหม?” ขณะที่ความเงียบกำลังกลืนกินก็มีเสียงอันสดใสเอ่ยขึ้นมา

“ดูเหงื่อฉันสิฟราน นี่มันไม่ใช่แค่ร้อนธรรมดาแล้ว” นาริตอบรับชักสีหน้าหงุดหงิดแทบจะถอดเสื้อผ้าเพราะความร้อนแล้ว

ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งร้อนระอุราวกับอยู่ในเตาอบ พื้นที่เหยียบก็ร้อนจนไม่อาจวางเท้าเฉย ๆ ได้จำเป็นต้องสลับข้างไปมา

“ร้อนแบบสุด ๆ ไปเลยเว้ย !” เซนยังคงโวยวายอยู่ตลอดแต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับที่เซนพูด

ขนาดเท้าเราที่ค่อนข้างด้านยังร้อนขนาดนี้ แล้วคนอื่น ๆ จะไหวหรือเปล่า? ซึฮากิกวาดสายตามองเพื่อน ๆ รอบตัว

“เอ่อ ผมว่าเราถอดเสื้อผ้าให้สบายตัวแล้วก็เอามาใช้แทนรองเท้า...น่าจะดีนะครับ” ท่ามกลางความแสบร้อนแซมก็ได้เสนอไอเดียสุดบรรเจิดที่ทำให้ทุกคนต่างหยุดชะงักพร้อมกับโหร้องออกมาพร้อมกัน

“ให้ไวเลยพวก” เซนถอดหมดเปลือกเหลือเพียงกางเกงชั้นในถึงแม้จะมีผู้หญิงอยู่ด้วยก็ไม่อายเลยสักนิด

“เดี๋ยวก่อนสิ พวกนายหันหน้าไปทางโน่นเลยนะ” นาริที่กำลังจะถอดเสื้อหันมาชี้นิ้วสั่งแยกเขี้ยวขู่อย่างกับลูกแมว

“ครับ ๆ ผมก็ไม่อยากเห็นเหมือนกันนั่นแหละ” น้ำเสียงเนือย ๆ ของเซนยิ่งเป็นการยั่วโมโหนาริเข้าไปใหญ่

“แกว่าไงนะ ไอ้หัวฝอยทอง” นาริเผลอเหยียดขาถีบเซนจนหน้าคะมำแนบกับเหล็กร้อน ๆ

“ร้อน ๆ ๆ ๆ นี่เล่นบ้าอะไรของเธอเนี่ย? หา !” เซนรีบถอยออกมาจากผนังทันทีด้วยแก้มที่แดงจนบวมไปข้างหนึ่งและด้วยความตกใจก็เลยเดินเซมาทางพวกผู้หญิงเกือบจะล้มแต่ก็โชคดีที่มีบางสิ่งรองรับไว้ได้ทัน

อะไรมันนุ่มนิ่ม ๆ เซนพยายามคว้ามันไว้และเงยหน้าขึ้นมาดู

“เอ่อ...ช่วยออกไปจะได้ไหมคะ?” น้ำเสียงสั่น ๆ กล่าวด้วยความเกรงใจและเขินอายแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรรุนแรงอย่างนาริ

“ไอ้โรคจิต !” คานะไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพราะนาริจะเป็นคนจัดการเองด้วยการปล่อยหมัดฮุกจากข้างล่างเข้าที่คางเต็ม ๆ

“ขะขอโทษครับ” หลังจากตั้งสติได้เซนก็ก้มหัวขอโทษโดยทันที

“ยังไม่หันไปอีก !” นาริตะคอกใส่เซนก่อนที่เซนจะหันหลังให้เหมือนเดิม

เวลาผ่านไปอุณหภูมิเริ่มลดลงจนกระทั่งนายทหารที่มาเปิดประตูให้เมื่อได้ออกมาสัมผัสกับอากาศสดชื่นสูดลมหายใจกันเต็มปอดทุกคนต่างก็ยิ้มดีใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์

“ถ้าไม่ได้ไอเดียของนายก็คงเท้าพองกันหมดแน่ ๆ” นาริพูดกับแซมด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรแตกต่างกับเซนคนละขั้ว

“ต้องขอบคุณจริง ๆ นะ” ฟรานส่งยิ้มอันสดใสราวกับเทพธิดาลงมาประทานพรทำเอาแซมหน้าแดงทำตัวไม่ถูก

“ยินดีช่วยครับผม” แซมยืนตัวตรงเปล่งเสียงอันหนักแน่นตอบรับคำขอบคุณของทุกคน

ไม่นานนักนายทหารก็พาพวกเขาไปยังฐานต่อไปซึ่งเป็นสะพานแขวนข้ามคลองอันกว้างใหญ่

“เดินไป” พวกเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าทางข้ามและก้าวเท้าเดินต่อไปเมื่อได้รับคำสั่งโดยไม่รู้เลยว่าต้องไปเจอกับอะไรอีก

“ขอให้โชคดีนะ” ขณะที่ทุกคนกำลังจะเดินข้ามสะพานนายทหารก็ถีบเซนตกลงไปในคลองตามมาด้วยเสียงกรีดร้องเหมือนผู้หญิง

แต่ละคนต่างก็ยืนเกร็งและตัวสั่นเพราะความกลัวแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรจนพวกเธอยอมกระโดดลงไปเอง ถึงจะเป็นหน้าผาแต่ก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร ราว ๆ เกือบยี่สิบเมตรได้เมื่อตกลงบนผิวน้ำมันก็ช่วยรองรับแรงกระแทกไว้

“ทำไมมีฉันคนเดียวที่โดนถีบล่ะ แล้วทำไมถึงต้องโดนมือโดนเท้าอยู่ตลอดเลยเนี่ย” เซนยังคงโวยวายต่อทันทีที่ลงมา

อืม ประมาณห้าเมตร ถ้าแค่ลอยคออยู่เฉย ๆ ก็ไม่น่าเป็นปัญหาเท่าไหร่ ซึฮากิที่ดำลงไปจนถึงก้นบ่อเพื่อสำรวจลักษณะของคลองและสิ่งมีชีวิตก่อนจะกลับขึ้นมาบนผิวน้ำ

“เดี๋ยว ! คานะล่ะ คานะ !” ฟรานที่สังเกตได้ว่ามีคนหายไปซึ่งนั้นก็คือคานะ พวกเขาช่วยกันตะโกนเรียกแล้วแต่ไม่ได้ผล

ท่ามกลางความวุ่นวายแต่ละคนหน้าเริ่มซีดพยายามช่วยกันควานหาแต่ก็มีซึฮากิที่ดำน้ำลงไปช่วยเธอขึ้นมา

“เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” นาริรีบเข้ามาช่วยพยุงตัวทันทีด้วยความร้อนรน

“เธอถูกสาหร่ายแปลก ๆ พันขาอยู่น่ะ” ซึฮากิพยุงตัวคานะไว้ด้วยตัวเองแม้คนอื่นจะพยายามเข้ามาช่วยแล้วแต่สายตาของเขากลับปฏิเสธเหมือนบอกเป็นนัย ๆ ว่าไม่จำเป็น

ถึงจะเห็นไม่ชัดแต่พอได้สัมผัสดูก็น่าจะใช่สาหร่ายแต่ว่ามันทั้งใหญ่แล้วก็ยาวกว่าที่เคยรู้จักมากกว่าจะดึงออกก็ลำบากเอาการ นอกจากเวทมนตร์ก็คงจะมีสิ่งแปลก ๆ ที่โลกเดิมไม่มีทั้งสัตว์ พืชพันธุ์หรือแม้แต่คน

“ฉะฉันไม่เป็นไรแล้ว” คานะยังคงดึงสติไว้ได้พยายามสลัดตัวออกจากซึฮากิเพราะความเกรงใจ

“ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นหน่อย ตอนแรกก็โดนฝังจนเลอะดินแล้วไหนจะยังตู้อบนั้นอีกเอาซะเหงื่อคลุกเคล้ากับดินจนเละไปทั้งตัวเลย” เซนเริ่มบ่นอีกครั้งแต่มันกลับเป็นตัวช่วยให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดเกินไป

“คนอย่างนายถึงตัวจะสะอาดแต่จิตใจก็ยังสกปรกอยู่วันยังค่ำแหละ” นาริพูดแซะเซนด้วยความสะใจ

“เหรอ? จิตใจฉันไม่สะอาดตรงไหนมิทราบไหนลองบอกมาหน่อยสิ” เซนตอบกลับด้วยท่าทีประชดประชันและสะบัดหนีตั้งใจกวนประสาทนาริ

“เหอะ คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไปนั่นแหละที่ผิด” นาริสะบัดหน้าหันหลังใส่เหมือนกันท่ามกลางสายตาของเพื่อน ๆ และเงียบใส่กันไม่พูดไม่จาอะไรอีก

“เฮ้ย ! ขึ้นมากันได้แล้ว” เวลาผ่านไปนานจนทหารนายนั้นเหวี่ยงบันไดเชือกลงมาตามหน้าผาทันทีที่ได้ขึ้นบนพวกเขาก็ต้องเดินทางไปฐานต่อไป

ฐานต่อไปพวกเขาได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าผาชันสูงเกือบหนึ่งร้อยเมตรก้อนหินดินกรวดมากมายวางอยู่เต็มทางเดินถ้าไม่มีรองเท้าก็คงจะเดินได้ยากลำบากเป็นแน่

“นี่ก็ใกล้ถึงวันนั้นแล้วด้วย...เก็บไว้ทำของขวัญวันเกิดให้กิจังดีกว่า” ฟรานที่เดินรั้งท้ายสังเกตเห็นหินแวววาวราวกับเพชรนิลจินดาแต่ทำไมคนอื่นถึงไม่สังเกต เธอพยายามมองหาและเก็บมันขึ้นมาถึงจะได้หลายก้อนบ้างก็สะท้อนแสงบ้างก็มีรูปทรงสวยงาม

“ปีนขึ้นไป” นายทหารผู้ควบคุมติดตั้งอุปกรณ์สำหรับปีนเขาให้กับพวกเขาโดยอุปกรณ์พวกนี้สามารถรับน้ำหนักได้ไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลกรัม

ฐานนี้คงจะยากสุดแล้วมั้ง จะให้เด็กมัธยมมาปีนเขาแบบนี้เป็นอะไรที่บ้าสุด ๆ ต่อให้มีอุปกรณ์ช่วยแต่ถ้าคนปีนร่างกายไม่แข็งแรงพอก็เปล่าประโยชน์

พวกเขาให้คานะปีนขึ้นไปเป็นอันดับสองต่อจากเซนและนาริเพราะเธอแรงน้อยที่สุดในกลุ่มถ้าเกิดอะไรขึ้นคนข้างล่างก็พอจะช่วยเหลือได้

ทันใดนั้นก็มีเสียงเชือกขาดแม้จะเป็นเสียงที่เบามากแต่กลับดังจนทุกคนใจสั่น วินาทีที่คานะร่วงหล่นลงมาทำให้ทุกคนหน้าเสียกันไปหมดโชคดีที่ฟรานรับเธอไว้ได้

“รอดไป” พูดไม่ทันขาดคำตะขอของเธอก็หลุดและร่วงลงมาพร้อมกันทั้งสองคน

ถ้าตะขอรับน้ำหนักไม่ไหวก็ต้องจับไว้ด้วยมือของเรานี่แหละ ซึฮากิสามารถคว้าทั้งสองคนไว้และกอดรัดเท่าที่ทำได้เพื่อไม่ให้ตกลงไป

แต่มือข้างเดียวของซึฮากิก็ไม่อาจรับน้ำหนักสามคนไหวเสียงรูดเชือกจนเลือดไหลทั้ง ๆ และไม่นานเชือกก็ขาดอีกเส้นมันทั้งเก่าและเปื่อยจากการใช้งานหลายปีแต่พวกเขาก็ยังเอามาใช้

ร่างของหนุ่มสาวทั้งสามร่วงลงสู่พื้นโดยที่ซึฮากิพยุงตัวพวกเธอไว้หาจังหวะลงให้ปลอดภัยที่สุดแต่เพียงแค่ไม่กี่เมตรก่อนที่จะกระแทกกับพื้น ข้างล่างตรงนั้นก็เกิดระเบิดส่งแรงกระแทกสวนทางทำให้พวกเขารอดจากความตายไปอย่างหวุดหวิด

ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เราก็รอดแล้ว ซึฮากิลุกขึ้นยืนมองหาที่มาของระเบิดที่มีแต่ควันตลบอบอวลไปทั่วเช่นเดียวกับทหารหนุ่มที่อยู่ใกล้ ๆ ก็รีบวิ่งมาดูด้วยสีหน้าที่ตกใจจนซีด

เราตกลงจะไม่ยื่นมือมาช่วยพวกมันแล้วนี่ แล้วใครเป็นคนทำกัน? เห็นทีคงต้องเล่นไม้แข็งแล้วล่ะ ทหารหนุ่มเดินเข้ามาคว้าตัวคานะไปพร้อมกับการชักมีดสั้นออกมาด้วยท่าเตรียมพร้อมปาดคอทันที

“ใครก็ตามที่ใช้เวทระเบิดเมื่อกี้รีบเสนอหน้าออกมาซะ ! ก่อนที่ฉันจะเด็กคนนี้” เขามองไปรอบ ๆ หาใครบางคนโดยที่มีซึฮากิและฟรานยืนดูเฉย ๆ โดยเฉพาะฟรานที่ตัวสั่นระริกไม่กล้าก้าวเท้าด้วยซ้ำ

“งั้นดูเอาไว้ละกัน !” เขาเริ่มลงคมมีดไปที่คอของคานะแม้เธอจะพยายามขัดขืนแต่ก็สู้แรงไม่ได้เลยสักนิด

คงต้องรีบจัดการแล้วสิ ในระหว่างที่เขาเอาแต่มองหาคนอื่น ซึฮากิค่อย ๆ ก้มตัวลงไปหยิบก้อนหินขนาดพอมือและพยายามเข้าไปใกล้ ๆ ตัวทหารจากด้านหลัง

เล็งไปที่ก้านสมองเอาให้หมดสติในครั้งเดียว ระยะห่างสี่เมตรถ้าย่นระยะได้เหลือสักสองเมตรและพุ่งเข้าไปทุบทันทีเขาก็จะไม่มีจังหวะโต้ตอบ ฝั่งเราเป็นหน้าผาถ้าหากจะมองหาใครสักคนมันจะไม่มองมาทางนี้แต่ถ้าหันมาเราก็คงต้องขว้างจากระยะไกล

ทั้ง ๆ ที่ซึฮากิคาดการณ์ไว้อย่างแม่นยำแต่ในวินาทีง้างแขนนายทหารผู้นั้นก็ดันหันมาเห็นพอดีทำให้จุดที่ซึฮากิเล็งไว้พลาดเป้าไปโดนหัวไหล่

“หน็อยแก !” โชคดีที่แรงทุบของซึฮากิทำให้คานะรอดออกไปได้จึงทำให้ทหารนายนั้นมาสนใจตัวซึฮากิแทน

ถึงจะเป็นทหารแต่การใช้มีดยังดูทื่อ ช่องโหว่ก็เต็มไปหมดนี่พวกเขาฝึกกันมายังไงเนี่ย ซึฮากิหลบมีดที่จ้วงแทงซ้ายขวาได้สบาย ๆ และกำลังหาจังหวะโต้กลับ

“เอาสิทำได้แค่นี้หรือยังไง?” ด้วยการเว้นระยะแบบพอดีต่อให้แทงมาเท่าไรก็ไม่มีทางโดนแน่นอน อืมแต่ก็ดันเผลอปากมากอีกแล้ว

“พอกันที [คมเขี้ยวไร้รูป] ” แววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายหลังจากที่โดนซึฮากิปั่นหัวก็ยืนนิ่งไปครู่หนึ่งพึมพำกับตัวเอง

เสียงคมมีดที่มองไม่เห็นปาดร่างของซึฮากิตั้งแต่หัวไหล่ไปยันสีข้างขวาราวกับถูกดาบยาวฟันทั้ง ๆ ที่มีดสั้นอยู่ห่างขนาดนั้นแท้ ๆ

นี่มันเวทมนตร์ ด้วยขนาดของแผลทำให้เลือดไหลออกมาจำนวนมากไม่นานนักซึฮากิก็ล้มลง

ใครกำลังเดินมามองแทบไม่เห็นเลย ฟรานกลับมาหลังจากพาคานะไปหลบที่อื่นแต่แทนที่เธอจะเกรงกลัวกลับตรงเข้ามาหาซึฮากิส่งเสียงเรียกไม่หยุด

“กิ…จัง กิจังตื่นสิ” เสียงสะอื้นร่ำไห้มาพร้อมกับน้ำตาไหลย้อยลงบนร่างของซึฮากิขณะเดียวกับที่ทหารหนุ่มเล็งมีดไปที่คอของเธอ

หินที่ฟรานเก็บไว้จู่ ๆ ก็ก้อนที่เรืองแสงได้อย่างแปลกประหลาดส่องสว่างเสียจนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ฝันที่รอวันตื่นแต่มันก็ไม่ใช่

31พฤษภาคม พ.ศ. 2575

ตายแล้วเหรอ? ไม่น่าใช่ทั้งประสาทสัมผัสและความรู้สึกยังปกติอยู่ เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็สังเกตเห็นหญิงสาวผู้ที่นอนหลับอยู่ข้างเตียงรวมทั้งกุมมือของเขาไว้ด้วยสภาพตัวมอมแมมเหมือนพึ่งไปคลุกฝุ่นมา

ก่อนหมดสติจำได้ว่าโดนเวทมนตร์อะไรสักอย่างเหมือนดาบฟัน ฟรานเหมือนสัมผัสได้ว่าซึฮากิตื่นแล้วเธอจึงเงยหน้ามองและโผเข้ากอดอย่างนุ่มนวลกลัวซึฮากิจะเจ็บ

“ดูเหมือนจะไม่เป็นไรแล้วนะรอแค่แผลสมานเท่านั้น ระหว่างนี้ก็ห้ามขยับร่างกายมากนักแล้วกัน” น้ำเสียงอันอ่อนโยนจากทหารนายหนึ่งที่เป็นแพทย์สนามกล่าวด้วยความเป็นห่วงไม่เหมือนกับพรรคพวกของเขาเลยสักนิด

เมื่อทหารนายนั้นโบกมือสั่งให้ฟรานออกไปเธอก็ไม่พูดจาอะไรยอมทำตามแต่โดยดี

“มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างที่ผมหมดสติไป?” เขานิ่งไปสักพักก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้ ๆ

“ทำไมไม่ลองถามเธอคนเมื่อกี้ดูล่ะ” จริตการดัดเสียงเล็กน้อยนั่นทำให้ซึฮากิรู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายทั่ว ๆ ไปหรือเพราะเป็นเช่นนั้นเขาก็พูดจาไพเราะอ่อนโยนต่างกับคนอื่น

ให้ถามกับฟรานงั้นเหรอ? จะว่าไปก่อนหมดสติก็เหมือนจะเห็นฟรานเดินมาหา

ขณะที่ซึฮากิพยายามลุกจากเตียงก็มีเสียงห้ามปรามจากทหารนายนั้น “ไม่ได้ ๆ ระหว่างนี้ฉันจะคอยดูแลเธอตลอดเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็บอกฉันได้เลย”

สายตาของเราไม่เคยพลาด เขาพูดเพราะเป็นห่วงของจริงทั้ง ๆ ทหารคนอื่นเอาแต่ทำร้ายข่มขู่กดดันแท้ ๆ

“วันนี้นอนพักผ่อนก่อนเถอะจะทำอะไรค่อยว่ากันใหม่พรุ่งนี้”

ซึฮากิยอมทำตามเพราะรู้ขีดจำกัดของตัวเองดี ยิ่งได้พักผ่อนสบาย ๆ ก็ยิ่งดีต่อการฟื้นฟู

“สวัสดีจ้ะ” ทหารใจดีคนเดิมมาพร้อมกับอาหารเช้าและอุปกรณ์สำหรับล้างเขาจัดการทำความสะอาดและพันแผลใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

“เธอคงต้องพักผ่อนอีกหลายวันแหละ” ไม่ทันได้พูดคุยด้วยเขาก็เดินออกไปเสียก่อน

“เดี๋ยวก่อนครับ” ซึฮากิรีบตะโกนเสียงดังทำให้เขากลับเข้ามาอีกครั้ง

“มีหนังสืออะไรให้อ่านไหมครับ? เอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่บนเตียงมันน่าเบื่อ”

“งั้น เดี๋ยวฉันเอามาให้นะ” ทหารนายนั้นยิ้มตอบรับไม่มีการปฏิเสธ

คนอื่น ๆ กำลังทำอะไรอยู่นะ?นอนเหม่อมองไปเรื่อย ๆ

“นี่จ๊ะ หนังสือ” เขายกกล่องที่เต็มไปด้วยกองหนังสือเป็นตั้ง ๆ หลายสิบเล่ม แต่สิ่งที่ได้เห็นก็คือภาษาที่ไม่รู้จัก ตัวหนังสือที่อ่านไม่ได้ ก่อนที่จะได้บอกอะไรเขาก็เดินออกไปเสียแล้ว

มีแต่ภาษาที่เราไม่รู้จักทั้งนั้น คงต้องอาศัยดูแต่ภาพและก็แกะอักษรออกมา ตลอดเวลาเขาอันทำความเข้าใจและจดบันทึกไว้เพื่อให้เข้าใจภาษาของที่นี่

1 มิถุนายน พ.ศ. 2575

บันทึกของแอล?ซึฮากิที่ค้นและอ่านไปเรื่อย ๆ ก็ต้องหยุดผงะเมื่อเขาพบหนังสือที่สามารถอ่านชื่อมันได้

เจอแล้วภาษาที่เราสามารถอ่านได้ ถึงแม้จะมีแค่เล่มเดียวแต่มันก็น่าตื่นเต้นสุด ๆ

หนังสือที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะดูแล้วไม่น่ามีใครเปิดมันมาหลายปี หนังเล่มเดียวที่อ่านได้ทำให้ซึฮากิอ่านมันวันละหลาย ๆ รอบ

3 มิถุนายน พ.ศ.2575

“ขอบคุณหลาย ๆ อย่างเลยนะครับ” ซึฮากิก้มหัวลงด้วยความนอบน้อมและเดินออกจากเต็นท์นั้นไปสู่แสงสว่างและการฝึกที่ไม่ได้เจอมาหลายวัน

 

[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย]

วิธีการลอยตัวในน้ำถ้าคนที่ทำได้ก็จะรู้สึกว่ามันง่ายแต่กลับกันถ้าคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็จะรู้สึกว่ามันยาก อันเนื่องมาจากความคิดในจิตใจยังไม่กล้าพอและก็มีเคสตัวอย่างมาจากเพื่อนของผู้เขียนเองแต่ก่อนอื่นไปดูขั้นตอนการลอยตัวดีกว่า

1. นอนหงายหลังแผ่ไปกับน้ำ กางแขนออก

2. สูดหายใจเข้าเก็บไว้สัก 5 วินาทีก่อนค่อยปล่อยออก เวลาปล่อยลมออกต้องปล่อยให้ไว

3. รักษาสมดุลของตัวและการหายใจไว้ โดยจุดศูนย์ถ่วงจะอยู่ประมาณช่วงท้องน้อย

ในกรณีของคนที่กลัวหรือว่ายน้ำไม่เป็นอย่างเพื่อนของผู้เขียนมักจะพลาดตอนนอนขึ้นบนผิวน้ำซึ่งถ้าทำแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ มันจะทำให้จมและยิ่งกับคนว่ายน้ำไม่เป็นก็มักจะไม่กล้ายกขาขึ้นจากพื้น ถ้ามีเพื่อนก็ให้เพื่อนคอยช่วยพอทำได้สักครั้งหนึ่งก็จะเข้าใจรูปแบบเอง

 

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ Solar Shine

ช่วงแรก ๆ จะน่าเบื่อหน่อยนะ

รูปภาพของ tor

ไม่เป็นไรครับ ค่อยเป็นค่อยไป

แสดงความคิดเห็น

 
 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.