STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 2 กลิ่นที่ไม่เหมือนเดิม (รีไรท์)

-A A +A

STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 2 กลิ่นที่ไม่เหมือนเดิม (รีไรท์)

เราถูกลักพาตัวมางั้นเหรอ กลางวันแสก ๆ เนี่ยนะแถมยังในโรงเรียนอีกด้วย ซึฮากิพยายามขยับข้อมือที่ถูกเชือกมัดไว้

กลิ่นและสัมผัสของดินที่มีความชื้นเล็กน้อย เสียงฝีเท้าคนเกือบสิบคนกำลังย่ำลงบนใบไม้แห้งสลับกับใบไม้ที่หล่นเพราะโดนตัด เพียงแค่ฟังเสียงซึฮากิก็สามารถแยกแยะวัสดุต่าง ๆ ได้เหมือนกับตาเห็น

โรงเรียนตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงซึ่งไม่มีป่าแบบนี้แน่นอน แสงอาทิตย์ร้อนกว่าปกติถ้าเทียบกับตอนสาย ๆ ที่กำลังนั่งเรียน ตอนนี้คงจะเที่ยงไม่ก็บ่ายดังนั้นระยะเวลาที่หลับไปก็ไม่น่าเกินสี่ชั่วโมง ขณะที่ซึฮากิคิดวิเคราะห์ก็มีชายหนุ่มเดินผ่านไปพอดีโชคดีที่ยังไม่รู้ตัวว่าซึฮากิตื่นแล้ว

ด้วยเวลาหลายชั่วโมงก็คงมากพอที่จะพาไปต่างจังหวัด พอเลย ๆ หยุดคิดเลยพวกนี้ได้แล้ว เราสัญญากับตัวเองแล้วนี่ว่าจะหยุดใช้หัวหนัก ๆ แบบนี้อีก

แม้ซึฮากิจะพยายามขยับมือเสียแรงไม่เท่าไรก็ไม่ได้ผลแต่ไม่ทันได้ตั้งตัวผ้าที่ปิดตาไว้ถูกก็ดึงออก พอได้เงยหน้ามองไปยังชายคนหนึ่งในชุดทหารลายพรางที่ไม่เหมือนของประเทศไทยนักจึงเข้าใจว่าเป็นทหารของประเทศอื่นที่ลักพาตัวมา

เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ สังเกตเห็นกลุ่มนักเรียนนอนระเนระนาดไปทั่วบางคนก็ตื่นแล้วส่วนบางคนก็ยังหมดสติอยู่ ใครก็ตามที่ได้สติพวกทหารก็จะพาไปนั่งรวมกลุ่มกันทำอย่างกับฝึกทหาร

การคำนวณของเราผิดพลาดหรือเพราะไม่ได้ใช้หัวนานหรือเปล่านะ? เวลานี้น่าจะประมาณสิบสี่นาฬิกานั่นหมายความว่าพวกเขามีเวลามากกว่าห้าชั่วโมงในการพาพวกเราไปที่ที่ไกลพอที่จะไม่มีคนตามหาได้ทันที และจุดประสงค์ของพวกมันคืออะไรกันแน่ เขายังคงกวาดสายตามองดูทุกอย่างรอบตัวอยู่ตลอดจนน่าสงสัย

ไม่นานหลังจากที่ทุกคนตื่นเหล่าทหารกว่าสิบนายก็ได้กระจายไปแกะเทปที่ปิดปากไว้จนครบทุกคน นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มโวยวายด้วยความขาดสติ ตะโกนขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงแต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สงบสติอารมณ์ได้

“เงียบเดี๋ยวนี้ !” เสียงที่ตะโกนขึ้นมาจากทหารตรงหน้าทำเอาพวกนักเรียนทุกคนเงียบกริบในทันที

“ฉันจะเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟังเอง” ทหารคนเมื่อกี้พูดขึ้นมาโดยที่มือทั้งสองของเขาไขว้ไว้ข้างหลังตลอดเวลาดูองอาจสมกับเป็นชายชาตรี

“อา พวกเราเป็นทหารของอาณาจักรเซีย หน้าที่ของหน่วยเราคือการฝึกทหารหน้าใหม่จากต่างแดนให้พร้อมสำหรับสงครามที่จะเกิดขึ้นในอีกสี่ปีข้างหน้านี้” เขายังคงเอามือไขว้หลังไว้และเดินไปซ้ายทีขวาทีอย่างช้า ๆ พร้อมทั้งกวาดสายตามองไปยังนักเรียนทุก ๆ คนข่มขวัญหนุ่มสาวที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

แค่โดนลักพาตัวยังสับสนไม่พอยังมีการพูดเรื่องทหารอาณาจักรเซียอะไรก็ไม่รู้

“ฉันไม่สนว่าพวกนายจะมาจากไหนหรือเป็นอะไรมาก่อนแต่ตอนนี้พวกนายคือทหารของอาณาจักรเซีย และที่นี่คือบ้านใหม่ของพวกนาย...เตรียมตัวเตรียมใจรับการฝึกไว้ให้ดี ๆ ล่ะ ที่สำคัญทางเราจะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นถึงพวกนายจะถูกฝึกจนตายก็ตาม” เมื่อเสียงอันหนักแน่นจบลงกลายเป็นเสียงคุยเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุดของกลุ่มวัยรุ่นผู้มาจากต่างแดน

“นี่ก็คงจะเป็นแค่รายการแกล้งคนใช่ไหมพวก?” หนึ่งในนักเรียนได้พูดขึ้นมา เฉกเช่นเดียวกับนักเรียนส่วนใหญ่ที่คิดเหมือนกันทำให้พวกเขาหายใจได้สะดวกยิ้มแย้มคุยกันสนุกปาก แต่เมื่อซึฮากิมองไปที่เหล่าทหารทุกคนสีหน้าพวกเขาดูจริงจังและเริ่มไม่พอใจอีกทั้งยังมีอาวุธที่เหน็บไว้ข้างกาย

“ฉันบอกให้เงียบ !” เสียงตะคอกดังลั่นทำให้ทุกคนกลับมาเงียบกันอีกครั้ง

“ดูเหมือนว่าพวกนายจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้นะ จากนี้เราจะแก้มัดให้ทุกคนแต่ใครก็ตามที่คิดหนีหรือขัดคำสั่งพวกเราละก็...จะต้องถูกทำโทษโดยขึ้นอยู่กับความผิดนั้น ๆ”

เมื่อพูดจบเหล่าทหารที่กระจายอยู่รอบ ๆ ก็เดินเข้ามาแก้เชือกที่มัดมือและขาออกทั้งหมด รอยเชือกที่รัดจนแน่นทำให้มีรอยเหลืออยู่รู้สักคัน ๆ เจ็บแสบแต่ก็ยิ้มออกมาได้เพราะโล่งใจคิดว่าเป็นรายการแกล้งคน

“ก่อนที่การฝึกแรกจะเริ่ม ใครมีคำถามอะไรไหม?” เขายืนกอดอกไว้ในขณะที่พูดออกมาด้วยเสียงโทนต่ำหนักแน่นสมกับเป็นชายชาติทหาร

ถึงหูจะฟังเขาอยู่แต่สายของผมกวาดไปเห็นที่แห่งหนึ่ง เสาสีขาวที่วางตั้งเด่นเป็นสง่าไม่เหมาะกับป่าลึกเช่นนี้เสียจริงใครกันเป็นคนมาสร้างมันไว้?

ตั้งใจสิคิดแค่เรื่องตรงหน้าก็พอ อะไรที่มันไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปคิดถึงมัน

“คุณครับ ที่ตรงนั้นมันคืออะไร? แล้วที่นี่คือที่ไหนกันแน่?” เสียงของซากิถามทหารคนนั้นและชี้ไปที่แท่งเสาสีขาว

“ตรงนั้นเป็นแท่นอัญเชิญแล้วไม่ได้ฟังเลยใช่ไหม ฉันว่าฉันบอกไปแล้วนะว่าที่นี่คืออาณาจักรเซีย ถ้าจะให้ละเอียดก็ในป่าทางตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักร” เขาจ้องมาที่ซากิแต่เด็กหนุ่มผู้นี้กล้าสบตาไม่เกรงกลัวสักนิด

“แล้วแท่นอัญเชิญเอาไว้ทำอะไรครับ?” ซากิเม้มปากยิ้มถามต่อทันที

“แท่นอัญเชิญก็ตามชื่อ มันเอาไว้ใช้เรียกพวกนายมายังไงล่ะ” นายทหารชักสีหน้าหงุดหงิดแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

แท่นอัญเชิญงั้นเหรอ? หรือจะเป็นที่ให้เฮลิคอปเตอร์ลงอะไรประมาณนั้นหรือเปล่านะ?สีหน้าเหล่าหนุ่มสาวเต็มไปด้วยความสงสัยกลอกตาไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดระแวง

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ฉันไม่อยากจะมาเล่นหรือทำตามคำสั่งของพวกแกหรอก” นัตโตะตะโกนมาแต่ไกลและชี้นิ้วใส่หน้าพวกทหารที่ล้อมรอบตัวอยู่

“พวกแกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร” ไม่ทันพูดจบนัตโตะก็ถูกต่อยเข้ามาที่ท้องโดยทหารคนหนึ่งเพียงแค่ครั้งเดียวมันก็ทำให้ชายผู้ที่ไม่เคยก้มหัวให้ใครลงไปกองกับพื้น

“ฉันบอกไปแล้วใช่ไหมว่าไม่สนเรื่องของพวกนายก่อนจะมาที่นี่ ตอนนี้พวกนายเป็นแค่ทหารฝึกหัดต้องทำตามคำสั่งพวกเราอย่างเคร่งครัด” ทหารคนเดิมพูดในขณะที่เดินเข้ามาหานัตโตะ

คุกเข่าข้างเดียวลงไปในระดับสายตาเดียวกันจ้องเข้าไปในดวงตาที่กำลังเจ็บปวดจนน้ำตาคลอแต่นัตโตะก็หลบตาเพราะเขินอาย สุดท้ายทหารคนนั้นก็ลุกขึ้นและเดินกลับมาที่เดิมสายตาพวกนักเรียนเริ่มที่จะหวาดกลัวเพราะนัตโตะที่เป็นคนมีอำนาจมากกลับถูกกระทำเช่นนี้

“การฝึกแรกของวันนี้ก็คือ…วิ่งเพื่อข้าว” เสียงพวกนักเรียนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งต่างคนก็ซุบซิบกันไปเรื่อย

“นี่เป็นแค่การเตรียมตัวเท่านั้น พวกนายจะต้องวิ่งไปตามทางที่เรากำหนดไปให้ถึงถนน ซึ่งที่นั่นจะมีรถม้ารออยู่สำหรับสิบคนสุดท้ายที่ไปถึงจะให้อดข้าวหนึ่งวัน...เริ่มได้ !”

นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงสับสนมึนงงกับสถานการณ์นี้ทำให้พวกที่มีสติดีกว่านำหน้าไปแล้ว โดยทางที่ต้องวิ่งไปนั้นเป็นทางเดินป่าจึงมีความยากลำบากอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ยากเกินไปความสามารถทั้งต้นไม้กิ่งก้านถูกตัดออกไปให้เดินสะดวก

ยังไงซะพวกเรากว่าครึ่งสมรรถภาพทางด้านร่างกายไม่สูงนัก มันไม่จำเป็นเลยต้องรีบแค่รักษาความเร็วไว้ก็พอ ซึฮากิออกตัววิ่งไปอย่างช้า ๆ ระมัดระวังและมองพวกต้นไม้กิ่งไม้หรือสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่ตลอด

มันไม่เหมือนกับวิ่งเข้าเส้นชัยแต่กลับเหมือนการเดินป่าที่แข่งกับเวลาซะมากกว่า ตั้งแต่เริ่มวิ่งมาก็น่าจะได้สักหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นทางออกสักที ถึงแม้ตอนแรกจะมีคนวิ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน แต่ตอนนี้กลับไม่มี ความเร็วของคนส่วนใหญ่ตกลงเพราะความเหนื่อยล้าเราควรจะลดความเร็วลงด้วยดีไหม? เพราะยังไม่รู้ระยะทางที่ต้องไปการออมแรงไว้ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึฮากิยังคงวิ่งไปอย่างช้า ๆ ด้วยความใจเย็น

เสียงฝีเท้าใครสักคนที่ไม่ค่อยมั่นคงเมื่อหันมองจึงได้รู้ว่านั่นคือพีชฉายามันสมองของโรงเรียน ด้วยคะแนนสอบระดับประเทศที่ทำได้เป็นอันดับหนึ่งแต่สภาพร่างกายยังคงเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มจนเห็นเสื้อสีฟ้าด้านในแต่เธอก็ไม่สนใจ

เธอสะดุดรากไม้ใหญ่จนล้มลงหน้าเกือบกระแทกกับพื้นทำให้ซึฮากิหยุดวิ่งและย้อนกลับมาดูอาการของพีชทันที

“เธอควรพักนะ” พีชเงยหน้ามองแม้จะอยากตอบกลับแต่ต้องพักหายใจครู่หนึ่งเสียก่อน

“ถ้าฉันพักแล้ว…”

“ฉันอาจจะไปไม่ทันก็ได้นะ” เธอหลบสายตาไปทันทีเมื่อได้สบตากับซึฮากิ

ไม่ได้ ๆ บอกไม่ได้เด็ดขาดว่าที่เรารีบฝืนวิ่งมาเพื่อตามหาซึฮากิ ถ้าบอกไปเขาจะคิดว่าเป็นพวกโรคจิตกันพอดี เธอสะบัดหน้าหลบสายตาจากซึฮากิใช้มือกำหน้าอกหายใจด้วยความเหนื่อยหอบ

“งั้น…” ซึฮากิดึงตัวเธอขึ้นมายืนอีกครั้ง

“ขึ้นมา” เขาทำสิ่งที่เธอไม่คาดหวังด้วยการหันแผ่นหลังหนา ๆ ให้มองเห็นกล้ามเนื้อด้านในเพราะเหงื่อไหลโซก

“ดะได้” ถึงจะดูลังเลแต่ก็ไม่ปฏิเสธโดยที่เธอไม่อาจละสายตาไปจากกล้ามเนื้อบนเรือนร่างซ่อนรูปของซึฮากิ

ให้ตายสินี่เราเขินเหรอ ไม่สิมันเพราะได้ขี่ผู้ชายต่างหากล่ะไม่ได้เป็นเพราะซึฮากิหรอก แต่การได้อยู่กับเขามันก็ทำให้จิตใจที่กำลังวุ่นวายสงบลงได้ เพราะความกังวลใจของเธอจึงไม่รู้ตัวหน้าอกกำลังทับของซึฮากิอยู่ถ้ารู้ตัวจะเขินอายขนาดไหนกันนะ?

อืม เธอตัวไม่หนักอย่างที่คิดแฮะถ้าแบบนี้ก็แบกไปได้สบาย ๆ เลยล่ะ เขาวิ่งต่อไปด้วยความเร็วคงที่เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ความเร็วคงที่ของเขาค่อย ๆ ตกลงทำให้เพื่อนร่วมห้องคนอื่น ๆ แซงหน้าไปทีละคน

“ดูนั่นสิซึฮากิ เราถึงแล้วล่ะ” พวกเขามองเห็นแสงสว่างปลายทางได้ชัดเจนแต่ซึฮากิก็ดันไปสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง

นั้นมันดูเหมือนกับ…กระต่ายไม่สิหรือนก ซึฮากิยังคงเดินไปไม่หยุดเพื่อไปให้ทัน เวลาจึงไม่มีเวลามาสำรวจของแปลกใหม่ได้

เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก่อนออกจากป่าแค่มองตรงไปก็จะเห็นรถม้าและเพื่อน ๆ คนอื่นแต่ซึฮากิกลับหยุดเสียก่อน

“ทำไมถึงหยุดล่ะซึฮากิ?” เขาวางพีชที่บาดเจ็บขาพลิกลงกับพื้น

“เอาเสื้อของฉันคลุมไปอีกชั้นก็แล้วกัน เธอไปก่อนเลยเดี๋ยวฉันจะไปดูอะไรสักหน่อย” เขาถอดเสื้อที่มีเพียงตัวเดียวยื่นให้กับพีชเพื่อให้เธอปกปิดเสื้อชั้นในก่อนจะหันหลังและวิ่งสวนทางกลับไปยังป่าอีกครั้ง

พอถอดเสื้อแล้วมันก็เย็นขึ้นมาจริง ๆ แฮะ รู้อย่างนี้ถอดตั้งแต่แรกก็ดีหรอก หวังว่าเธอไม่เหม็นเหงื่อเรานะแค่อยากจะให้ปิดชุดชั้นในเฉย ๆ ตามมารยาทอย่างที่คุณแม่สอนไว้

“แล้วเธอจะไปไหนล่ะ?” พีชถามด้วยความสงสัยถึงแม้ซึฮากิจะวิ่งต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งที่เธอพูด เสื้อตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหงื่อแต่พอใส่ทับอีกชั้นมันก็ช่วยปกปิดสีเสื้อชั้นในได้บ้างแม้ตรงหน้าจะเป็นทางออกแต่เธอพยายามจะตามซึฮากิไป

“อย่าทำอะไรโง่ ๆ สิ รีบไปซะ” คำพูดเหล่านั้นทำให้พีชถึงกับตกใจเล็กน้อยถึงแม้เธอจะดูชั่งใจแต่สุดท้ายก็ยอมเดินออกจากป่าไปตามที่ซึฮากิบอก

เขาเป็นอะไรไปนะ? หรือเราทำอะไรผิดไปแต่อย่างน้อยตอนนี้เราก็กำลังใส่เสื้อของซึฮากิที่พึ่งถอดออกมาเมื่อกี้เลยซะด้วย ความลับของความฉลาดอยู่ที่น้ำหอมหรือเปล่าหรือจะเป็นอะไรกันแน่ทั้ง ๆ ที่เราพยายามมองหามานานแล้วก็ตาม เธอเผลอดมเสื้อของซึฮากิโดยไม่รู้ตัว

เมื่อกี้น่าจะเป็นคนสุดท้ายที่ไม่ต้องโดนทำโทษถ้าเราไปด้วยก็อาจจะนับคนที่เหยียบพื้นอยู่ก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ให้เธอรอดไปมันคงดีกว่าส่วนเราจะอดข้าวหรือทำโทษอะไรก็ไม่เห็นจะมีปัญหา แถมเจ้าตัวเมื่อกี้มันไปไหนแล้วนะ?ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมันก็คลาดสายตาไปเสียแล้วจึงถอดใจเดินออกจากป่า

“มาอีกหนึ่ง...ว่าแต่ทำไมนายถึงเปลือยท่อนบนล่ะเนี่ย?” ทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ถามแต่เขาก็ไม่ตอบสักคำ

เวลาผ่านไปจนคนสุดท้ายมาถึงเป็นผู้หญิงผมสั้นรู้สึกหน้าคุ้น ๆ หน้าเหมือนคนที่เดินชนซึฮากิวันก่อน

“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนก็มาพร้อมกันแล้ว กลุ่มที่อยู่ทางด้านหน้าคือพวกสิบคนสุดท้ายที่มาถึง” นายทหารคนเดิมที่เหมือนหัวหน้าเดินมาที่รถม้าใกล้ ๆ ถนนรุกรังขรุขระแต่รถม้าก็สามารถสัญจรไปมาได้ปกติแต่หากเดินเท้าเปล่าคงเจ็บน่าดู

"เรามีรถม้าไม่พอสำหรับพวกนายทุกคน ดังนั้นพวกสิบคนสุดท้ายจะต้องเดินตามรถม้าแทน"

เมื่อพูดจบพวกทหารก็พาไปขึ้นรถม้าทันที ซึฮากิซึ่งเป็นหนึ่งในสิบคนสุดท้ายก็ได้ถูกนำไปอยู่ระหว่างรถม้าสองคันเพื่อกันการหลบหนี

เมื่อรถม้าเคลื่อนขบวนมันก็ผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วแม้ซึฮากิจะยังเดินได้สบาย ๆ แต่คนอื่นนั้นไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด ยิ่งกับคนที่วิ่งมาถึงช้าเพราะร่างกายไม่ค่อยออกกำลังกายยังต้องมาเดินต่ออีกเป็นชั่วโมงเป็นการฝืนตัวเองจนบางคนก็หมดสติไปทั้งอย่างนั้น แต่ถึงกระนั้นรถม้าก็ไม่มีที่ให้ขึ้นอยู่ซึฮากิจึงช่วยแบกคนอื่น ๆ ไปด้วย

หน้าคุ้น ๆ แฮะไอ้เราก็ไม่ค่อยสนใจคนอื่นเท่าไรเลยจำไม่ค่อยได้ เขาแบกผู้หญิงที่หมดสติมาด้วยคนหนึ่งจนกระทั่งมาถึงที่หมายปลายทาง พวกฟราน ซากิ ซันนี่ ชาญ และพีชต่างก็ได้นั่งรถม้าแม้แต่ถั่วเน่าที่โดนอัดไปก่อนเริ่มก็ยังมีแรงวิ่งชนะคนอื่นไปได้

สภาพอันน่าเวทนาของหนุ่มสาวเก้าคนโดยเฉพาะคนที่แบกเพื่อนมาด้วย เมื่อได้หยุดพวกเขาต่างก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นไม่สนความเปรอะเปื้อนใด ๆ ทั้งสิ้น

“ทุกคนมารวมกันตรงนี้ !” ไม่ทันได้พักก็ถูกเรียกอีกตามเคย

“นี่เสื้อนาย ขอบคุณมากเลยนะ” พีชยื่นเสื้อคืนให้และยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ไปไหน

“อา...เราจะแบ่งกลุ่มกันอยู่เดี๋ยวฉันจะสุ่มมาคนหนึ่งก่อนเพื่อให้เป็นหัวหน้าทีม และจะให้หัวหน้าทีมเลือกสมาชิกโดยผลัดกันเลือกทีละคน คงจะเข้าใจใช่ไหม?”

หลังจากสุ่มเลือกตัวแทนเสร็จเรียบร้อยพวกเขาก็ออกไปยืนหน้าแถวกวาดสายตามองเพื่อน ๆ ที่รู้จักเพื่อดึงเข้ากลุ่มตัวเองโดยเฉพาะฟรานหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้เป็นหัวหน้ากลุ่มเธอเอาแต่มองซึฮากิด้วยสายตาแห่งความคาดหวังใครเห็นก็รู้ได้ทันที

“ทีนี้ก็คุยกันไปก่อน ระหว่างที่เราเตรียมข้าวเย็นอยู่”

นั่นล่ะไงเธอเลือกเราก่อนใครเลย อย่างน้อยการผลัดกันเลือกทีละคนช่วยให้พวกหัวกะทิกระจายไปคนละกลุ่ม

“ไง ! ฉันชื่อเซน พวกนายคงรู้จักฉันจากละครอยู่แล้วสินะเพราะฉันน่ะมันโซฮอตโซคูลสุด ๆ ไปเลย” ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดเงียบขรึมก็มีชายหนุ่มผมสีทองอร่ามกับใบหน้าอันหล่อเหลาราวกับเทพบุตรเอ่ยขึ้น

ใบหน้าอันเป็นเอกลักษณ์อาจเทียบเคียงหรือสมบูรณ์กว่าซากิเสียด้วยซ้ำ เซนอดีตดารานักแสดงที่ได้อยู่ในวงการบันเทิงตั้งแต่ยังเด็กแต่หนังหรือละครก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จเท่าไรนัก ให้ตายสิเผลอคิดเยอะอีกแล้วหยุดเลยเจ้าสมองนี่

น้ำเสียงอันหนักแน่นดังกังวานมาพร้อมด้วยการฉีกยิ้มกว้างอย่างกับเด็กได้ขนมจนคนอื่นรู้สึกเขินแทนแต่เจ้าตัวยังคงนำเสนอตัวเองไม่หยุดเหมือนกับไปสัมภาษณ์รายการอะไรสักอย่าง

“เซนเหรอ ใช่ดาราที่แสดงเรื่อง แกรี่กับหลานรัก หรือเปล่า? ตอนเรียนก็คิด ๆ อยู่ว่าทำไมหน้าคุ้น ๆ” ถึงตอนแรกฟรานเธอจะมองแล้วมองอีกคิดไม่ตกจนได้ยินชื่อจึงจำได้ทันที

“ใช่แล้ว ฉันนี่แหละเซนผู้ที่อยู่ในวงการมานับสิบปี ทุกเรื่องที่ฉันแสดงต่างก็โด่งดังเป็นพลุแตกเลยล่ะ” เซนตอบกลับทันทีพร้อมด้วยเสียงหัวเราะชอบใจอวดสรรพคุณตัวเองดิบดีแต่ผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขา กลับพยายามกลั้นขำอยู่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาจนได้

“หนังของนายเนี่ยนะดัง นายคงจะไม่รู้ใช่ไหมว่าคนอื่นเขาคิดยังไง? การแสดงแปลก ๆ ที่ชอบยิ้มมุมปากแถมบางครั้งก็แข็งเกินสิ่งเดียวที่มีก็คือหน้าตาเท่านั้น” เธอหัวเราะเยาะเย้ยต่อหน้าเซนไม่เกรงใจแทบจะลงไปกลิ้งกับพื้นแล้วด้วยซ้ำ

“เฮ้ย !” เซนเริ่มขึ้นเสียงและตะคอกใส่แสดงถึงความโกรธ

“ทำไมถึงได้…รู้เกี่ยวกับตัวฉันเยอะขนาดนี้ ตอนฉันดูหนังตัวเองก็รู้อยู่แล้วมันว่าไม่ค่อยดีแต่พอถามผู้จัดการก็บอกว่าดีแล้ว พอถามแม่ก็บอกว่าสุดยอดไปเลย เธอเป็นคนดีจริง ๆ ที่กล้าบอกฉันตรง ๆ” น้ำเสียงที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วดังฟ้าแลบจากโกรธสู่ความรู้สึกขอบคุณจนทำให้เซนนั้นหลั่งน้ำตาออกมาขณะเอื้อมมือไปกุมมือของหญิงสาวผู้นั้น

“เอามือออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ หลอกแต๊ะอั๋งหรือเปล่าเนี่ย?” เซนโดนฝ่าเท้าถีบกระเด็นแต่ก็ไม่ได้โกรธเลยสักนิด

สายตาเอือมระอาจ้องมองหนุ่มผมทองก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง “อะไรของเขา”

ฟรานตบมือเรียกความสนใจทุกคนก่อนพูด “เอาเป็นว่าอย่างน้อยพวกเราควรรู้จักชื่อกันก่อนนะ ฉัน ฟราน เลสเทีย ชื่อออกจะแปลก ๆ หน่อยนะ แต่เดี๋ยวก็ชินเองแหละ” เธอลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวเองก่อนใคร

“ฉัน นริกา ปรพง ชื่อเล่น นาริ” สาวผมสั้นสุดเท่ที่พึ่งจะหัวเราะเยาะเซนและยันหน้าด้วยฝ่าเท้าไปเมื่อกี้กล่าวต่อ

“แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร?” นาริหันมองไปที่สาวผมสั้นที่นั่งเงียบ ๆ ไม่สนใจใครไม่แม้แต่จะมองตาเอาแต่มองไปรอบ ๆ สังเกตสิ่งรอบตลอดเวลา เมื่อนาริถามชื่อเธอก็สะดุ้งเล็กน้อยและพยายามมองหน้าเท่าที่ทำได้แต่ก็เหมือนเกรงใจสายตาของคนอื่นเกินไปทำให้ไม่กล้ามองนาน

“คะคานะ...คานะ อาริโกะ” แม้แต่เสียงยังกระตุกพูดไม่เต็มปากแต่ถึงกระนั้นเซนก็ส่งนิ้วโป้งให้กำลังใจ

“งั้นผมขอแนะนำตัวบ้างนะครับ นายสมศักดิ์ ศรีสัตย์ ชื่อเล่น แซม เป็นนักเรียนที่พึ่งจะย้ายมาใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อน ยินดีที่ได้รู้จักครับผม”

ลักษณะการพูดจาเต็มไปด้วยความมั่นใจและความสุภาพถึงแม้ภายนอกจะดูเป็นเด็กเรียนเพราะแว่นตานั่นแต่อัธยาศัยกลับดีกว่าที่คิด

“ตอนนี้ก็เหลือแค่กิจังแล้วนะ แนะนำตัวให้คนอื่นรู้จักหน่อยสิ” ฟรานหันหน้ามามองที่ซึฮากิด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคย

“ซึฮากิ ฮลาฟกาด” ประโยคสั้น ๆ ที่เหมือนจะรีบ ๆ พูดไปให้มันจบ แต่นั่นมันทำให้คนอื่นเกรงใจเข้าไปใหญ่

“ไม่ต้องตกใจกิจังชอบพูดแบบนั้นอยู่แล้ว ปกติเขาก็เป็นคนใจดีนะ” ฟรานใช้ท่าทางอันสดใสและน้ำเสียงแห่งความจริงใจช่วยดึงทุกคนกลับมารวมใจกัน

“เราเตรียมข้าวเย็นเสร็จแล้ว ! ให้แต่ละทีมตั้งแถวกันมาเพื่อรับอาหารไปกิน แต่พวกสิบคนที่โดนทำโทษให้แยกออกไป จากนั้นเราจะได้จัดห้องให้”

อดกินข้าวหนึ่งวัน สำหรับเรามันก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนอื่น ๆ นี่สิ จะไหวไหมเนี่ย? ทั้งที่เหนื่อยกันมาแท้ ๆ

“อา...ก่อนอื่นทีมของพวกนายต้องมีชื่อสั้น ๆ เรียกง่ายและชื่อนี้จะไว้ใช้เรียกทีมของพวกนายตลอดการฝึกของค่าย ยังไม่ต้องรีบฉันให้เวลาพวกนายคิดแต่ตอนนี้จะจัดห้องให้ก่อน”

แต่ละทีมจะมีสองห้องคือแยกชายหญิงกันแม้จะอยู่ในป่าแต่ห้องพักก็ดูดีใช้ได้ที่สำคัญมีห้องน้ำในตัวด้วย คำสั่งสุดท้ายก่อนได้พักผ่อนก็คือให้เตรียมตัวมาฝึกตอนตีห้า

“นี่นาย ชื่อซึฮากิใช่ไหมครับ?” แซมเดินเข้ามาถามในขณะที่กำลังจะเข้าห้อง สีหน้าของเขาดูจริงจังมาก

“ฉันมีเรื่องที่อยากถามอยู่…นายไม่มีชื่อเรียกที่มันสั้นกว่านี้เหรอ? ชื่อสามพยางค์มันดูเรียกยากน่ะ”

ที่แท้ก็แค่เรื่องชื่อนี่เอง ไอ้เราก็ตกใจหมด

“อืม…ก็มีนะ ชื่อที่ฟรานใช้เรียกฉัน กิจัง” แซมเดินมาหยุดตรงหน้าขวางทางเข้าและเอามือทั้งสองข้างมาจับไหล่ทั้งสองข้างเสียงดังเหมือนอย่างกับตบหน้า เขาจ้องมาที่ตาของซึฮากิ

“กิจัง งั้นต่อจากนี้ผมก็จะเรียกนายว่ากิจังได้ใช่ไหม?” แซมส่งสายตาอ้อนวอนให้กับซึฮากิ

“ได้สิ แล้วแต่นายเลย”

จะเรียกยังไงก็ช่างเพราะมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก

หลังจากได้เห็นของที่พวกทหารจัดเตรียมไว้ให้ก็พากันเข้าไปอาบน้ำ ถอดเสื้อผ้าโชว์เรือนร่างของกันและกันเหมือนเป็นการเปิดอกคุย

“ไง ! ซึฮากิหุ่นนายนี่ก็บึกบึนใช้ได้อยู่นะแต่ไม่เท่าของฉันหรอก ดูสิกล้ามเนื้ออันสวยงามที่ฉันปั้นมากับมือเลยนะ” เซนยิ้มจนเห็นฟันเหมือนได้ไปเที่ยวพักค้างคืนกับเพื่อน ๆ

และแล้ววันแห่งความสับสนวุ่นวายก็ได้สงบลงด้วยความมืดในยามราตรีที่ทุกคนต้องพักผ่อน เสียงสะอื้นเพราะความโศกเศร้า เสียงถอนหายใจของผู้ที่ถอดใจ เสียงเดาะปากของผู้ที่กำลังครุ่นคิด เสียงหัวเราะของผู้ที่ไม่สนใจหรือจะเป็นเสียงทุบข้าวของเพราะความโกรธ

ถ้าไม่นับเสียงเหล่านั้นก็คงมีแต่เสียงแมลงดังเป็นระยะ ๆ เงาของต้นไม้ทอดลงมายังห้องของซึฮากิราวกับเป็นปีศาจยักษ์ใหญ่พร้อมขย้ำทุกคนที่ขวางมัน

“อ้าว ซึฮากิยังไม่หลับอีกเหรอ?” เซนยืนเหม่อมองไปยังที่มาของเงาปีศาจเพลิดเพลินไปกับการเฝ้ามองแสงจันทร์อ่อน ๆ กระทบกับต้นไม้สูงใหญ่รอบข้าง

“ก็แค่นอนไม่ค่อยหลับ” เสียงอันเย็นชาที่ตอบรับแต่เซนก็ไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจแต่อย่างใด

“ฉันรู้สึกว่า...เราจะเจอเรื่องแย่ ๆ อีกเยอะแน่นอน” ถึงแม้เซนจะยิ้มอยู่ตลอดเวลาที่คุยด้วยแต่คราวนี้รอยยิ้มนั้นต่างออกไปมันดูห่อเหี่ยวเหมือนกำลังกังวลเรื่องอะไรบางอย่างอยู่

ไม่นานนักเซนก็กลับเข้าที่นอนพร้อมกับทิ้งคำพูดแปลก ๆ ไว้ให้

เรากำลังจะเจอกับเรื่องแย่ ๆ งั้นเหรอ? แล้วตอนนี้ยังไม่แย่พออีกหรือยังไงนะแต่ช่างเถอะนอนดีกว่า

 

 

 

สารบัญ / นำทาง

ความคิดเห็น

รูปภาพของ tor

หมั่นไส้พวกทหารมาก

มาวันแรกก็ลงโทษกันเลย ถ้าหนีออกไปได้ ต้องจัดมันหนักๆ ต่อให้ในความเป็นจริง มันอาจจะน่าสงสานหรืออะไรก็ตาม เพราะแบบนี้มันไม่ใช่คนที่อยากขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเลย

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2024 keangun. All Right Reserved.