STARCIN ภาคที่ 1 HIN ตอนที่ 1 ความเคยชิน (รีไรท์)
21 สิงหาคม พ.ศ. 2416
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของเด็กตัวน้อย ๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าไปตามท้องถนนลูกรังในช่วงยามวิกาลไร้ซึ่งผู้คนและการสัญจร อีกทั้งฟ้าก็มืดสนิทมีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องลงมาพอให้เห็นเส้นทางรอบข้างก็มีแค่ต้นไม้สูงใหญ่ดูวังเวง
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ หาที่พึ่งพิงแต่ก็ว่างเปล่า ทุกครั้งที่ลมพัดผ่านตัวประกอบกับอากาศตอนกลางคืนที่หนาวเย็นทำให้ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที พื้นถนนขรุขระเต็มไปด้วยหินก้อนเล็ก ๆ ทุกครั้งที่ก้าวเท้าแล้วเหยียบลงพื้นจะต้องค่อย ๆ วางเท้าไม่เช่นนั้นมันจะเจ็บจี๊ดไปถึงสมอง ฝ่าเท้าของเด็กตัวน้อยทั้งเล็กและอ่อนนุ่มกลับต้องมาเหยียบย่ำสิ่งเหล่านี้ราวกับพระเจ้ากลั่นแกล้ง
ร่างกายที่ผอมโซเห็นเป็นหนังหุ้มกระดูกไม่ต่างอะไรกับศพเดินได้ ชุดที่ใส่ก็ขาดลุ่ยจนไม่อาจให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ได้แต่กอดตัวเองด้วยอ้อมแขนเพื่อให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาบ้างแต่ถึงกระนั้นความหนาวก็ยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ด้วยอากาศหนาวเย็นทำให้แผลสดตามตัวตึงและแห้ง ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวมันมักจะมาพร้อมกับความเจ็บแสบทรมานแต่ก็ไม่อาจรอความตายอยู่เฉย ๆ ได้
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องแหบแห้งอันริบหรี่เมื่อยกฝ่าเท้าขึ้นมาก็จะเห็นเหล็กแหลมทิ่มแทงอยู่ ถึงแม้จะทิ่มไม่ลึกมากแต่มันก็เจ็บมากพอสำหรับเด็กตัวแค่นี้ ด้วยแสงจันทร์ที่พอจะให้เห็นราง ๆ ว่ามันคือเศษลวดที่มักจะเอาไปใช้ทำอาวุธไม่ก็กำแพงอีกทั้งยังเป็นสนิมทั้งอัน
เขายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ยิ่งเวลาผ่านไปความเหนื่อยล้าเริ่มทวีคูณบวกกับความหิวกระหายจนทำให้เขาเดินช้าลงกว่าเดิมและยังคงช้าลงเรื่อย ๆ เวลาผ่านไปไม่นานนักเสียงฝีเท้าก็หายไปมีแต่เสียงสุดท้ายที่ร่างกายทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหน้าแนบติดกับกองดินเปรอะเปื้อน
“ขอสาปแช่งพวกแก…ไอ้พวกเฮงซวย…ขอให้ครอบครัวของพวกแก…เป็นเหมือนกับฉัน…ไม่ว่าจะกี่ร้อยปี…พวกแกจะต้อง…ทุกข์ทรมานเหมือน…กับ…” เสียงแหบแห้งที่เหมือนจะพึมพำแต่ก็ยังคงได้ยินชัด เสียงหอบหายใจพูดติด ๆ ขัด ๆ แต่ก็ยังคงฝืนจนคำสุดท้ายและเสียงทั้งหมดก็ได้เงียบหายไปเหลือแต่เสียงลมและเสียงใบไม้ทิ้งไว้แค่ร่างกายที่นอนนิ่งอยู่ท่ามกลางป่าอันมืดมิดแห่งนี้
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2575
โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนในนโยบายระบบการศึกษาแบบใหม่สำหรับระดับมัธยมศึกษา โดยที่การเรียนในช่วงเช้าจะเป็นภาควิชาบังคับหรือเก้าวิชาสามัญ ส่วนในช่วงบ่ายนั้นจะเป็นการเลือกเรียนตามใจชอบของผู้เรียน ด้วยความที่ว่าเป็นนโยบายใหม่จึงต้องมีการทดลองก่อนหนึ่งโรงเรียนซึ่งก็คือโรงเรียนแห่งนี้
กฎเกณฑ์ข้อบังคับไม่เหมือนกับที่อื่นและที่สำคัญคือผู้ที่เข้าเรียนช่วงทดลองจะไม่มีค่าเทอมทำให้ผู้ด้อยโอกาสสามารถเข้ามาเรียนได้และยังมีพวกลูกคนใหญ่คนโตที่ส่งลูก ๆ มาเรียนเพื่อทดลองนโยบายใหม่อีกด้วย ตอนนี้ทดลองมาแล้วถึงสามปีซึ่งก็ประสบผลสำเร็จและกำลังจะประกาศใช้ระบบนี้กับทุกโรงเรียนในระดับมัธยม
เสียงสัญญาณออดดังขึ้นเวลาประมาณสิบสี่นาฬิกา เหล่าเด็กนักเรียนต่างพากันเดินไปเรียนวิชาต่อไปมีทั้งที่เดินกันเป็นแก๊ง เป็นคู่รักหรือจะแค่สองสามคนซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีกลุ่มเพื่อนเป็นของตัวเองกันหมดแต่ก็มีพ่อหนุ่มหน้าตาเฉยชาไม่สนโลกอยู่คนหนึ่ง เขาชอบไปไหนมาไหนคนเดียวและชื่อของเขาก็คือ ซึฮากิ ฮลาฟกาด เขานั้นไม่มีพ่อแม่หรือญาติเลยแม้แต่คนเดียวซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นพวกที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครนัก
ขณะที่กำลังเดินอยู่จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงผมสั้นหน้าตาดูสดใสเดินสวนทางกันมาชนเข้ากับซึฮากิ ทำให้น้ำผลไม้ที่เธอถืออยู่นั้นหกใส่เสื้อของเขาบริเวณด้านหน้าเกือบทั้งหมด
“ขะขอโทษจริง ๆ ค่ะ พอดีว่าเหม่อนิดหน่อยเดี๋ยวฉันจะรีบเช็ดให้” เธอตกใจเอามาก ๆ ทำตัวไม่ถูกแต่ก็ยกมือไหว้ซ้ำ ๆ กันหลายครั้งขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ก่อนที่เธอจะหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเพื่อที่จะเช็ดน้ำผลไม้ที่เปื้อนอยู่ซึฮากิก็ดันมือเธอกลับไป
“ไม่จำเป็นหรอก” ซึฮากิพูดแทรกทันทีด้วยแววตาและสีหน้าไม่สนใจไยดี
ถึงจะเอาผ้ามาเช็ดก็ไม่ออกหรอกเพราะมันเลอะไปถึงข้างในแล้ว ยังไงซะก็ต้องไปล้างตัวอยู่ดีจะมาเช็ดให้เสียเวลาทำไม
“ตะแต่ว่า” เธอรู้สึกไม่สบายใจและยังคงดึงดันที่จะเช็ดให้แต่ซึฮากิก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจ เธอได้แต่มองตามหลังซึฮากิและเก็บกวาดพื้นที่เลอะแทน
เมื่อเดินไปถึงที่ห้องน้ำเขาก็ตรงดิ่งไปที่ห้องชิดมุม ถอดเสื้อและล้างคราบน้ำผลไม้ทั้งกางเกงไปจนถึงรองเท้าก็เปียกแฉะไปหมด เมื่อล้างจนคิดว่าหมดแล้วเขาก็ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยและรีบออกจากห้องน้ำเพื่อไปเข้าเรียนวิชาต่อไปก่อนที่จะสาย
แต่ในขณะที่กำลังก้าวเท้าออกจากห้องน้ำก็ได้มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมั่วสุมกันอยู่ทั่วบริเวณห้องน้ำและหนึ่งในนั้นก็เอาเท้ายันกำแพงทางออกของห้องน้ำไว้ จ้องมองมาที่ซึฮากิ เขานั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูกชายคนเล็กของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า นัตโตะ
นัตโตะกับซึฮากิไม่ถูกกันตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เปิดเรียนแต่ก็ดันบังเอิญได้อยู่ห้องเดียวกันตลอดทุกปีราวกับเป็นชะตากรรมที่พระเจ้าลิขิตให้
ทั้งซึฮากิและนัตโตะต่างก็มีนิสัยคล้าย ๆ กันไม่ว่าจะเรื่องคำพูดคำจาหรือความนึกคิดที่อยากทำอะไรก็ทำเลยแต่ต่างกันที่ซึฮากิไม่ค่อยยุ่งกับใครก็เลยไม่ค่อยมีปัญหากลับกันนัตโตะที่อยู่กับเพื่อนฝูงเวลามีใครพูดจาไม่ดีหรือทำอะไรที่ตัวเองไม่ชอบก็จะเริ่มด้วยปากเสียง หยอกล้อ แซะ ตำหนิไปจนถึงการด่าทอก่อนจะลงไม้ลงมือ
และเรื่องราวความขัดแย้งของทั้งสองก็มาเกิดเพราะซึฮากิไปพูดจาดูถูกใส่นัตโตะก่อนหลังจากเห็นการกระทำอันป่าเถื่อนของพวกนัตโตะ ขณะที่เขากำลังหาเรื่องเพื่อนร่วมห้องอยู่หลังห้องน้ำซึฮากิที่แค่เดินผ่านก็เลยพลั้งปากพูดว่าขยะออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้นนัตโตะก็ทนไม่ไหวพุ่งเข้าต่อยซึฮากิทันที เขาไม่แม้แต่จะขยับขาหนีแต่กลับยืนรับหมัดนั่นแต่โดยดีและขณะที่หมัดกำลังจะเข้าถึงหน้าซึฮากิก็หันไปตามทิศทางของหมัดทำให้แรงของหมัดเบาลงจนไม่อาจสร้างบาดแผลให้ได้ จากนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันทีแกล้งหมดสติเพื่อให้พวกนัตโตะเลิกรังควาน แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะแทนที่จะเลิกยุ่งดันกรูกันเข้ามารุมกระทืบก่อนจะพอใจจนแยกย้ายกันไป
สัปดาห์แรกก็โดนซะแล้วสิ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ ทั้งตัวก็เต็มไปด้วยรอยเท้ามากมายแต่น้ำเสียงและสีหน้าของเขากลับดูเฉื่อยชาเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาเดินตรงไปหาเพื่อนร่วมห้องผู้โชคร้ายคนนั้นและอุ้มเขาพาไปที่ห้องพยาบาลพร้อมทั้งทำแผลให้ทั้งสอง พ่อหนุ่มโชคร้ายคนนั้นยังคงนอนสลบอยู่แต่ซึฮากิกลับเดินไปเรียนหน้าตาเฉยทั้ง ๆ ที่เนื้อตัวมอมแมมถึงจะพยายามเช็ดรอยเท้าออกไปแล้วก็เถอะ เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องแม้ทุกคนจะเห็นกันหมดแต่ก็ไม่มีใครเข้ามาถามหรือพูดคุยด้วยเลยแม้แต่คนเดียวเพราะพวกเขารู้ว่ามันเกิดอะไร
หลังจากที่ซึฮากิโดนไปเช่นนั้นแต่ก็ไม่มีท่าทีกลัวเลยแม้แต่น้อยและยังพูดจากวนประสาทพร้อมทั้งตั้งชื่อเรียกอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับนัตโตะว่าถั่วเน่าอีกด้วย
ให้ตายสิวันนี้ก็คงจะโดนอีกแล้ว
“ว่ายังไงคุณชายถั่วเน่า” แค่คำพูดสั้น ๆ ออกมาจากปากซึฮากิทำให้นัตโตะสีหน้าเปลี่ยนทันทีดูได้จากคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“พูดว่ายังไงนะ ! ไอ้กิกี้” นัตโตะกัดฟันพูดมองค้อนเข้าไปในดวงตาของซึฮากิ
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าพูดอะไรไม่เข้าหูก็จะโดน แต่มันหยุดปากไม่ได้น่ะซิ ไอ้ปากที่ชอบพาความซวยมาหาเนี่ย
นัตโตะต่อยไปที่หน้าของซึฮากิทันทีแต่ซึฮากิก็หันหน้าหลบเหมือนกับที่เคยทำมาก่อน หลังจากที่นัตโตะปล่อยหมัดมาแล้วซึฮากิก็ใช้จังหวะนี้ผลักนัตโตะและวิ่งผ่านไปเพื่อออกจากห้องน้ำแต่พอออกมาได้ก็โดนพวกของนัตโตะล้อมไว้แล้ว
หนีหรือยังไงดีนะ? โดนสักหน่อยแล้วกันพวกมันจะได้สบายใจหยุดกวนเราไปพักหนึ่ง
“เจาจัดการมันเลย !” เสียงจากนัตโตะตะโกนมาจากด้านหลัง เบื้องหน้าของซึฮากิมีพวกของนัตโตะคนหนึ่งที่สัดส่วนพอ ๆ กับนักกล้ามก้าวเท้าออกมาหาพร้อมการกำหมัดและดัดนิ้วเสียงดังเสร็จแล้วก็เริ่มง้างหมัดขวาในระหว่างนั้นก็มีพรรคพวกคนอื่นกรูกันเข้ามาจับตัวไว้แน่น
ซึฮากิโดนต่อยเข้าที่แก้มซ้ายเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงกับทำให้เลือดกำเดาไหลทันทีและทรุดตัวลงโดยที่เข่ายังยันกับพื้นอยู่ เจาไม่รอช้าคว้าคอเสื้อของซึฮากิดึงตัวเขาขึ้นมาและต่อยซ้ำอีกหลายที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ !” หญิงสาวคนหนึ่งตะเบ็งเสียงตะโกนจนคอแทบแตก
เธอมีชื่อว่า ฟราน เป็นคนที่คิดว่าน่าจะสนิทที่สุดในโรงเรียนของซึฮากิ ทุกคนต่างหันหลังมองไปที่ฟรานไม่พูดอะไรสักคำเดินตรงเข้ามาท่ามกลางกลุ่มนักเลงโดยที่ไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ไม่นานนักก็มีพวกเพื่อน ๆ ของฟรานที่ตามมาทีหลังท่าทางเป็นห่วงฟรานเสียมากกว่าซึฮากิที่โดนกระทำ
“พวกนายทำอะไรกันน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ” หญิงสาวเสียงใสแต่กลับมีความหนักแน่นคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อน ๆ
ชื่อของเธอก็คือสุรเนตรหรือที่รู้จักกันว่าซันนี่ซึ่งเป็นประธานนักเรียนคนปัจจุบันและยังเป็นลูกสาวคนที่สองของผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้อีกด้วยและแน่นอนว่าถ้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทเธอจะต้องเข้าไปห้ามปรามทันที
“ไปเว้ย !” นัตโตะสั่งพรรคพวกของเขาทุกคนและเดินผ่านซึฮากิ กับคนอื่น ๆ ไปทั้งอย่างนั้นราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
มีคนมาเห็นเยอะคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ ว่าทั้งดาวและเดือนโรงเรียนจะอยู่ด้วยกันไหนจะนักกีฬาตัวท็อป สมองของโรงเรียน แถมมีประธานนักเรียนอีก เป็นกลุ่มคุณภาพจริง ๆ เลย นัตโตะก็ได้เดินผ่านพวกฟรานออกไปซึ่งมีซันนี่ที่คอยมองตามหลังเผื่อจะเล่นตุกติกอะไรอีก
“กิจัง” เธอพยายามเรียกในขณะที่ใช้มือเขย่าตัวผมที่นอนไม่ได้สติอยู่ จริง ๆ ก็แกล้งสลบรอพวกมันไปแล้วก็มีผู้ชายหนึ่งในเพื่อนของฟรานเดินตรงเข้ามาหาผม
เขามีชื่อว่าชาญวัฒน์หรือที่เรียกกันว่าชาญเขาเป็นทั้งนักกีฬาและนักกรีฑาของโรงเรียนมีความสามารถที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล วอลเลย์บอล วิ่ง กระโดดไกล ขว้างจักรและยังมีอย่างอื่นอีกมากมายแต่คงสงสัยใช่ไหมว่าเอาเวลาที่ไหนไปซ้อมถึงมีความสามารถหลากหลายเช่นนี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาแบ่งเวลาซ้อมอย่างละครึ่งชั่วโมงแต่มันก็คงไม่พอสำหรับการแข่งที่รออยู่และสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จก็คือโรงเรียนแห่งนี้สนับสนุนอย่างเต็มที่ ซึ่งชาญแทบจะไม่ได้เรียนในห้องเรียนเลย ถ้าเป็นร่างกายคนทั่วไปคงจะรับภาระหนักมากแน่ ๆ แต่เขาชินกับมันทำให้ได้ร่างกายที่โคตรจะอึดถึกทนมาก ๆ สามารถซ้อมได้โดยไม่ต้องพักเลย
“ฟรานช่วยพยุงอีกฝั่งหน่อย” ชาญย่อตัวลงและแบกตัวผมไปยังห้องพยาบาล
ความสงบสุขคงจะไม่มีอีกแล้วมั้งเนี่ย คนที่ไม่ควรมาเห็นที่สุดก็ดันมาเห็นอีกถ้าพวกเธอไปบอกครูมีหวังได้เกิดเรื่องวุ่นวายแน่ ๆ ตาย ๆ จบสิ้นแล้วชีวิตในโรงเรียนอุตส่าห์ทนมาหลายปีจะจบอยู่แล้วแท้ ๆ ความพยายามทั้งหมดคงจะสลายหายไป ไม่ ๆ ถ้าเราบอกว่าเป็นแค่การเข้าใจผิดล่ะ จะบ้าตายอยู่แล้วทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย ซึฮากิครุ่นคิดอยู่ในใจตลอดทางไปห้องพยาบาล
“ตัวหนักใช่เล่นเลยนะเนี่ย” ชาญถอนหายใจสั้น ๆ วางผมลงบนเตียง
“ฟรานเอาผ้ากับน้ำสะอาดมา เดี๋ยวฉันจะทำแผลให้ซึฮากิเอง” ฟรานเดินไปตรงหัวมุมห้องซึ่งมีอ่างล้างมือและใช้กะละมังที่วางอยู่ใกล้ ๆ นั้นมาใส่น้ำก่อนจะไปหยิบกล่องพยาบาล
“เอาละ เรามาเริ่มจากล้างแผลถลอกกันก่อน ฟรานเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตรงแผลให้สะอาดก่อนนะ” เธอหยิบผ้าที่เตรียมมาชุบน้ำตามคำสั่งของชาญพลางมองใบหน้าอันเฉยชาของซึฮากิ
“เท่านี้ก็เรียบร้อย ที่เหลือก็ปล่อยเขานอนไปนั่นแหละ” ขณะชาญและฟรานกำลังจะออกไปซึฮากิดึงแขนฟรานไว้เสียก่อน
“ฟรานเรื่องที่เกิดขึ้นมันก็แค่การเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่หรอก” เธอหันมามองและนั่งลงอีกครั้งพร้อมกับกุมมือของซึฮากิไว้ ความอบอุ่นจากมือของฟรานที่ทำให้ซึฮากิรู้สึกผ่อนคลายลงได้ถึงจะเล็กน้อยก็ตาม
“กิจังไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะเดี๋ยวพวกเราจะจัดการให้เอง” เธอวางมือของซึฮากิไว้ที่เดิมส่งยิ้มอ่อนที่เต็มไปด้วยความห่วงใยก่อนจะจากลา
เธอพูดเหมือนกับรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่แต่มันก็เท่านั้น พวกเธอทำอะไรมันไม่ได้หรอกอย่างมากก็แค่ตักเตือนแทนที่จะปล่อยผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ พวกเธอจะทำให้มันแย่ลงอีกแต่ช่างเถอะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนเสียงออดสุดท้ายดังขึ้นเหล่านักเรียนต่างก็เริ่มทยอยกลับบ้านกัน พอได้ยินเสียงซึฮากิก็เลยลุกขึ้นจากเตียงวางเจลประคบเย็นไว้ที่โต๊ะข้าง ๆ แล้วเดินกลับบ้าน ที่ที่เขาอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเลยไม่จำเป็นต้องนั่งรถรับส่งจะได้ประหยัดเงินไปในตัว
“สวัสดีครับคุณอายะ” เมื่อกลับมาถึงเขาก็ยกมือทักทายเจ้าของบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าแม้จะไม่ได้ยิ้มทักทายแต่เธอก็รับรู้ถึงความจริงในจากซึฮากิได้
“กิ ! หน้าเธอไปโดนอะไรมา ไหนจะหัวเข่านั่นอีก” เธอตกใจทันทีเมื่อเห็นสภาพของซึฮากิจับไหล่ทั้งสองข้างพยายามถามเขาในขณะที่มองไปรอบ ๆ ตัวเพื่อหาบาดแผลจุดอื่น
“แค่เรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะครับ” แม้ดวงตากลมโตของเขาจะเฉยชาเหมือนกับปลาตายแต่มันกลับแฝงไปด้วยความทุกข์ใจ สับสน สองจิตสองใจ
“นี้เรียกว่านิดหน่อยเหรอ” เธอพูดแทรกขึ้นมาทันทีในขณะที่ซึฮากิยังพูดไม่จบ เธอจ้องตาเขม็งเหมือนจะโมโหมากแต่ก็ถอนหายใจเหมือนกับรู้เหตุผลของซึฮากิอยู่แล้ว
“นั่นพี่กินี่” เอหนึ่งในเด็กกำพร้าที่พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ คุณอายะจึงได้รับมาดูแลเพราะเขาไม่มีญาติคนอื่นเลย ตัวเราค่อนข้างสนิทกับพวกเด็ก ๆ แล้วก็เป็นพี่เลี้ยงคนหนึ่งที่คอยดูแลพวกเขา
เอวิ่งตรงเข้ามาพยายามดึงมือผมให้ไปเล่นด้วยกัน
ขอบใจมากเลยเอน้องรัก ซึฮากิคิดในใจและมองไปที่เอ
ได้เสมอพี่ชาย เอคิดในใจขณะที่ทั้งคู่จ้องตากันเหมือนโทรจิตกันได้ รอยยิ้มแห่งความชั่วร้ายที่ไม่ได้เผยให้เห็นแต่ก็พอจะสัมผัสได้
“พวกเรากำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่ พี่กิก็มาเล่นด้วยกันสิ” เอลากผมไปหาเด็กคนอื่น ๆ ซึ่งผมก็ตามไปโดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด อย่างน้อยก็หลบมาจากคุณอายะได้
พวกเราเล่นซ่อนแอบกันอยู่สักพักก็ได้เวลาข้าวเย็น นอกจากเงินของคุณอายะก็ยังมีอาหารจากการบริจาคแล้วก็ข้าวก้นบาตรจากวัดใกล้ ๆ
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ไม่ใช่ของรัฐจึงไม่มีงบมากพออีกทั้งยังมีเด็กกำพร้าอยู่ถึงสิบเจ็ดคนซึ่งส่วนใหญ่อายุจะอยู่ประมาณห้าถึงสิบขวบ หลังจากทานอาหารกันจนอิ่มเอมพวกเด็ก ๆ ก็แยกย้ายกันไปนอนเหลือผมที่คอยทำความสะอาดล้างจานก่อนที่จะไปทำการบ้านถึงจะได้พักผ่อน
28 พฤษภาคม พ.ศ. 2575
เช้าวันต่อมาผมต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อมาช่วยคุณอายะทำอาหารมื้อเช้าและยังมีลูกสาวของคุณอายะมาช่วยอีกคน เธอทำงานรับข้าราชการเป็นคุณครูสอนภาษาซึ่งเธอก็มาช่วยดูแลเหมือนกันบางครั้งก็สอนหนังสือพวกเด็ก ๆ
“ถ้าไม่อยากบอกฉันก็จะไม่ถามแต่...เธอก็ควรรู้ขีดจำกัดของตัวเองบ้างนะ” ขณะที่พวกเรากำลังทำอาหารคุณอายะก็พูดขึ้นมาโดยไม่มองหน้าเลยสักนิดดูเหมือนเธอจะยังโกรธอยู่
ตั้งแต่สัปดาห์แรกเธอก็สังเกตเห็นรอยช้ำหลายแห่งแต่เธอก็รู้ดีว่าซึฮากิเป็นคนอย่างไรจึงพยายามที่จะไม่ไปยุ่ง เธอให้พื้นที่ในการใช้ชีวิตของซึฮากิเต็มที่อาจจะเพราะเป็นคนที่โตที่สุดในบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือเพราะนิสัยของเขากันแน่
“ครับ” ผมตอบกลับด้วยคำสั้น ๆ และไปเตรียมชามสำหรับใส่ข้าวต้ม หลังจากที่พวกเรากินมื้อเช้าเสร็จแล้วผมก็เดินมาโรงเรียนเหมือนเดิม
“ว่าไง ซึฮากิ” ซันนี่ที่กำลังจะเดินเข้าโรงเรียนหันมาเห็นเลยโบกมือทักทายผม เพื่อเป็นมารยาทจึงโบกมือทักทายกลับเช่นกัน
ขณะที่กำลังจะเดินเข้าโรงเรียนผมก็รู้สึกถึงสายตาแปลก ๆ จากข้างหลังก่อนจะหันดูจึงได้เจอกับเพื่อนร่วมกลุ่มอีกคน “สะสวัสดี...กิ”
พีชหญิงสาวผมสั้นพร้อมด้วยแว่นตาคู่ใจผู้เป็นสมองของโรงเรียน เธอตกใจสะดุ้งเล็กน้อยตอนที่ผมหันไปมอง ตาของเธอก็ล่อกแล่กไปมาพอทักทายเสร็จก็รีบวิ่งนำผมไปหาซันนี่ทันที
พวกผมสามคนเดินเข้าโรงเรียนพร้อมกันระหว่างทางที่เดินอยู่บนฟุตบาทผมก็เหลือบสายตาไปรอบข้างซึ่งเป็นสนามกีฬา ที่นั่นก็มีพวกที่เล่นฟุตบอลกันอยู่ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีชาญอยู่ด้วยมักจะชอบเล่นฟุตบอลกันตอนเช้า เมื่อเดินเข้ามาถึงตัวอาคารแล้วผมมักจะไปนอนที่โต๊ะใต้ถุนตึกจึงแยกกับพวกซันนี่ตรงนั้น ส่วนพวกเธอสองคนก็คงจะไปกินข้าวเช้าที่โรงอาหาร
“กิ…จัง ๆ” ผมได้ยินเสียงใครบางคนเรียกจากที่ก้มหน้าหลับอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองหาที่มาของเสียงแม้ตาจะยังพร่ามัวอยู่เล็กน้อยแต่ก็บอกได้ว่าเธอเป็นใคร
“แผลดีขึ้นหรือยังจ๊ะ” น้ำเสียงอันอ่อนนุ่มเต็มไปด้วยความห่วงใยชำเลืองมองหน้าชายหนุ่มหน้าตายผู้นี้
เพื่อนของเธออีกคนมีชื่อว่า ซากิ หนุ่มหล่อสุดฮอตประจำโรงเรียนนี้ที่ใคร ๆ ต่างก็ฝันอยากเป็น ทั้งใบหน้า รูปร่างล้วนสมบูรณ์แบบราวกับเทพบุตรจุติลงมาอีกทั้งฐานะทางบ้านยังมั่นคงพร้อมสนับสนุนทุกความต้องการ
“อืม ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวมันก็หาย” พอผมกล่าวเช่นนั้นเธอก็ลดความเป็นห่วงจึงได้เห็นรอยยิ้มอ่อนอันงดงามบนใบหน้านั้น
“รีบไปกันเถอะฟราน เดี๋ยวสาย” ซากิจับแขนฟรานและพาเธอไปที่โรงอาหาร
“ไว้เจอกันนะกิจัง” เธอพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะไป
ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันซะจริง ๆ เลย เขาได้แต่มองแผ่นหลังของทั้งคู่ที่เดินเคียงคู่กันไปใครเห็นก็คิดว่าเป็นคู่รักแต่ผมก็พอเข้าใจได้เพราะทางบ้านของฟรานมีวัฒนธรรมต่างออกไป การจับเนื้อต้องตัวถือเป็นเรื่องปกติหรือแม้แต่การทักทายด้วยการกอดเบา ๆ ก็มี
เสียงออดแรกของวันดังขึ้น พวกนักเรียนต่างก็เดินกันวุ่นวายผมก็เลยไม่อยากไปแทรกนักจึงรอช่วงสาย ๆ สักนิดก่อนจะเข้าห้องเรียน
“นักเรียนเคารพ สวัสดีค่ะคุณครู”
“สวัสดีครับคุณครู”
ยังดีที่ผมเข้าห้องทันก่อนที่ครูจะมาถึง หัวหน้าห้องนี้คือซันและไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตาที่กลุ่มเพื่อนของฟรานอยู่ห้องเดียวกันหมดทั้ง ๆ ทางโรงเรียนจะสุ่มห้องทุก ๆ ปี
“ก่อนที่เราจะเรียนครูขอทบทวนเรื่องพื้นฐานให้ก่อนนะ การกำเนิดเอกภพนั้นมีทฤษฎีที่มีการยอมรับมากที่สุดคือ บิกแบง...” วิชาแรกของวันนี้คือดาราศาสตร์อาจารย์เองก็พูดไปเรื่อย ๆ มือก็ต้องจดตามไปด้วยเช่นกัน
“เอาละทีนี้เราก็จะมาเรียนเรื่องถัดไปกันต่อ”
เรียนไปเรียนมาชักเริ่มง่วงแล้วสิ คงเป็นเพราะตื่นแต่เช้าแน่เลย ในขณะที่ผมสัปหงกอยู่เสียงของครูก็ค่อย ๆ เบาลง ดวงตาก็เริ่มเบลอลงเรื่อย ๆ แต่แล้วก็มีแสงสีขาวสว่างขึ้นที่กลางห้องเรียนและมันก็เริ่มสว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนแสบตาไม่สามารถมองได้ ผมได้แต่หลับตาไว้ แต่สุดท้ายก็เผลอหลับไปจริง ๆ
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าที่ที่ผมอยู่ไม่ใช่ในห้องเรียนแต่กลับนอนอยู่บนพื้นดินโดยที่ถูกมัดมือ มัดขา มีเทปกาวปิดปากแม้กระทั่งตาก็ถูกผ้าปิดไว้ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ จนคิดว่าอาจจะเป็นฝันแต่ก็ไม่ใช่เพราะประสาทสัมผัสทุกอย่างยังปกติ ทั้งคัน ทั้งหยาบและกลิ่นของดินทุกอย่างมันคือของจริง เห็นได้ชัดว่าผมไม่ได้อยู่ที่ห้องเรียนแน่นอน
[เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : บิกแบง หรือ BigBang คือ ทฤษฎีการกำเนิดเอกภพที่ว่าด้วยการระเบิดครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเอกภพโดยเริ่มจากอนุภาคพื้นฐานจนเป็นกาแล็กซีในปัจจุบัน]
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 1188
ความคิดเห็น
คำผิดครับ
สนิ่ม = สนิม
แสงแหบ = เสียงแหบ
ในการบรรยาย ถ้าเลี่ยงได้ ไม่ควรใช้บุรุษที่หนึ่ง เช่นคำว่า ผม มาใช้รวมกันกับคำว่า เขา ซึ่งเป็นบุรุษที่สามครับ อาจทำให้คนอ่านงงได้
คือถ้าใช้บุรุษที่สาม ก็ควรใช้บุรุษที่สามไปทั้งเรื่องเลยดีที่สุดครับ
เช่น
แทนที่จะบรรยายว่า ชานวางผมลงที่เตียง
ก็บรรยายว่า ชานวางเขาลงที่เตียง
หรือ
ชานวางซึฮากิลงที่เตียง
ชานวางเด็กหนุ่มลงที่เตียง ประมาณนี้ครับ
หรือถ้าอยากใช้เป็นการบรรยายแบบบุรุษที่หนึ่ง ก็ให้ใช้เป็นบุรุษที่หนึ่งไปตลอดเลย
เช่น
ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ผมก็เดินออกมากะว่าจะเดินกลับห้องไปเรียน
ทันใดนั้น ผมก็หันไปเจอนักเลงกลุ่มหนึ่งยืนขวางทางออกห้องน้ำอยู่
'ซวยอีกแล้วแฮะ' ผมคิดในใจ แต่ผมก็ยังไม่หยุดเดิน เพราะผมรู้ดีว่ายังไงก็คงหลบพวกมันไปไม่ได้ อีกทั้งหนึ่งในนักเลงพวกนั้น ยังเป็นคนที่ผมรู้จักดีอีกต่างหาก มันคือไอ้ถั่วเน่านั่นเอง
อะไรประมาณนี้ครับ
บอกไว้ก่อน ตอนแรก ๆ จะเละหน่อยเพราะมันเขียนไว้นานแล้วไม่ได้กลับมารีไรท์ใหม่ อัพทุกวันอาทิตย์ อาทิตย์ละ 1 ตอน
แสดงความคิดเห็น