STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 11 พบกัน
สถานการณ์ภายในสำนักมนตร์ดำเต็มไปด้วยความทะมึนตึงเครียด ศิษย์กว่าร้อยชีวิตล้มเหลวในการทำภารกิจซึ่งถือเป็นความน่าอับอายของสำนักเลยก็ว่าได้
“สุดท้ายภารกิจกำจัดก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าแต่เราได้เลือดของมันมาแล้ว นั่นถือว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้ออยู่นะ” เจ้าสำนักโยฮันนั่งจิบชาอย่างสบายใจพลางมองออกไปด้านนอกเพื่อเชยชมต้นไม้สีเขียวชอุ่ม
“ใช่เหรอครับ? เราเสียศิษย์ไปหลักร้อยคนเพื่อเลือดเพียงไม่กี่หยดเองเหรอครับ?” ราห์ถอนหายใจกล่าวเพราะยังประเมินความสามารถของซึฮากิไม่สูงพอที่จะลงทุนขนาดนั้น
“เชื่อฉันเถอะน่า ยังไงการต่อกรกับอัจฉริยะก็ต้องใช้อัจฉริยะเหมือนกัน แล้ว…ตกลงมีใครทำอะไรลับหลังไหม?”
“ผมไปตรวจสอบละแวกอื่นมาหมดแล้วซึ่งไม่มีวี่แววพรรคพวกของมันเลย”
“ก็ดีไม่ใช่เหรอ พวกเราจะได้นอนกระดิกเท้าสบาย ๆ บ้าง...”
“พวกเขามาแล้ว” ทันใดนั้นคอนซิวก็เปิดประตูเข้ามาเรียก แต่ไม่ทันได้เตรียมตัวก็ดันมีกลุ่มคนแปลกหน้าเดินฝ่าเข้ามาเสียก่อน
“ขอกล่าวทักทายเจ้าสำนักโยฮัน ทางศูนย์ส่งพวกเรามาช่วยเหลือในการขนส่งแต่ดูเหมือนจะไม่มีแค่นั้นนะครับ” พ่อหนุ่มตัวโตก้มหัวผ่านประตูเข้ามาทักทาย ท่าทางที่เป็นมิตรแตกต่างกับภาพลักษณ์ทำให้คอนซิวต้องฉงนเอียงคอมอง
“แหม ๆ มาเหนื่อย ๆ พักดื่มน้ำให้ชื่นใจกันก่อนมา…”
“จะทำอะไรก็เร็ว ๆ เข้าเถอะน่า แค่สังเกตด้านนอกก็รู้แล้วว่ากำลังมีปัญหา” หญิงสาวผมสั้นคนนั้นพูดแทรกเสียก่อน จากนั้นก็ล้วงเอาของในกระเป๋าขึ้นมาเปิดดูเหมือนกำลังดูเข็มทิศ
“เรื่องเล็กน้อยจริง ๆ ก็แค่มีหนูบางตัวมาขโมยอาหารแค่นั้นเอง”
“หนูสินะ...หนูก็หนู แล้วเราต้องขนส่งอะไรบ้างล่ะ?” หญิงสาวผมสั้นหมุนเข็มตรงกลางกล่องที่ถืออยู่เหมือนกำลังตั้งเวลาให้นาฬิกา
“อืม...มีจ้าวทะเลคนหนึ่ง แล้วก็ฉันอยากวานฝากคนของฉันไปด้วย บังเอิญว่าเราต้องบุกไปทำลายรังของหนูก็เลยอยากไปให้เร็วที่สุด”
“เอลโฟเรียใช่ไหม? ฉันเองก็อยากลองไปดูที่นั่นเหมือนกัน เห็นหัวหน้าชอบพูดชมกล่าวโอ้อวดจนน่าหมั่นไส้ฉันเลยอยากเห็นด้วยตาตัวเองบ้าง”
“ดีเลย ๆ ถือว่าไปทางเดียวกันพอดี ถ้างั้นฉันจะพาไปดูจ้าวทะเล” เจ้าสำนักโยฮันเดินนำทางไปยังโกดังใหญ่ที่มียามคุมเข้มตลอดเวลา พอเปิดประตูเข้าไปก็จะเห็นอ่างยักษ์ที่มีจ้าวทะเลบลูโดนตรึงไว้ด้วยหินต้านเวทมนตร์
“โห่ สภาพยังดูดีใช้ได้เลยนี่ ถ้าแบบนี้หัวหน้าต้องชอบแน่ ๆ”
ตัวแทนจากศูนย์กำลังเข้าตรวจสอบสภาพของจ้าวทะเลโดยมีสายตาสงสัยใคร่รู้จากผู้บริหารมองตลอดเวลา
“ชีพจรปกติ การไหลเวียนเลือดปกติ สติสัมปชัญญะไม่ตอบสนองเนื่องจากยาสลบ ระดับน้ำเค็มที่ต้องใช้ประมาณหนึ่งร้อยหกสิบลูกบาศก์เมตรแต่ถ้ายกอ่างนี้ให้เราจะดีมากเพราะเราจะได้ไม่ต้องสร้างของใหม่แล้วก็ไม่ต้องเติมน้ำให้เสียเวลาด้วย”
“เอาไปเลย พวกฉันไม่ได้ใช้ทำอะไรอยู่แล้ว”
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ” หญิงสาวผมสั้นหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาติดต่อหาผู้ช่วยคนอื่น ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนสวมชุดคนงานเดินหน้าตั้งเข้ามาช่วยกันขนย้ายจ้าวทะเลบลูไปทั้งอ่าง
“ฉันเคลียร์พื้นที่รอบ ๆ หมดแล้ว เราจะเอาเรือเหาะมาจอดใกล้ ๆ จะได้ขนจ้าวทะเลขึ้นไปได้” ชายร่างเล็กสวมแว่นหนาเตอะเดินฝ่าเข้ามากลางวง
“ดีเลย ๆ เดี๋ยวเราจะไปแวะที่เอลโฟเรียกันด้วย ถึงหัวหน้าจะกำชับเรื่องความสัมพันธ์กับซึฮากิแต่ถ้าได้อะไรติดไม้ติดมือไปสักหน่อยก็คงดี”
“ขัดคำสั่งของหัวหน้าจะดีเหรอมารีรี?” ชายหนุ่มตัวเล็กเงยหน้ามองมารีรีด้วยแววตาสงสัยเพื่อยืนยันความตั้งใจนั้น
“ต้องดีอยู่แล้วสิ หัวหน้าดูจะชอบที่นั่นเป็นพิเศษดังนั้นเราอาจจะหาของที่หัวหน้าชอบมาได้ก็ได้นะ” มารีรีเดินวนไปมากระปรี้กระเปร่าและคึกคะนองจนคนอื่นมองว่าบ้า
“พอฟังดูก็น่าไปเหมือนกันนะเนี่ย”
สุดท้ายทั้งสามก็วางแผนจะไปเยือนเอลโฟเรียที่เคยได้ยินข่าวลือมาหนาหู
“แล้วใครจะมากับเราบ้าง? คงไม่ใช่เจ้าสำนักหรอกนะคะ” มารีรีกวาดสายตามองเหล่าผู้บริหารทั้งสี่คนก่อนจะกล่าวต่อ
“ลูซีน่าอยู่ที่โน่น ส่วนโยนก็ตายไปแล้ว…แล้วผู้บริหารพาซี่ไปไหนล่ะ?”
“อ้อ เดี๋ยวฉันไปพามาให้เห็นหน้าละกัน” พูดจบโยฮันก็วิ่งแจ้นหายไปทันที แต่ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็กลับมาพร้อมกับพาซี่ที่โดนแบกอยู่บนบ่า
ทันทีที่เห็นมารีรีก็หัวเราะเยาะเสียงดัง “ยังสมกับเป็นพาซี่จริง ๆ ฉันเอาเขาไปโยนไว้รังหนูดีกว่า”
“ไม่ไป…”
“ไปสิ” มารีรีตอบกลับและคว้าตัวพาซี่ไว้ไม่ปล่อยง่าย ๆ
ราห์กระแอมคอขัดจังหวะ “ยังมีเรื่องด่วนอีกเรื่องซึ่งก็คือเส้นทางการเดินเรือ ถ้าเป็นไปได้เรา…”
“รู้แล้ว ๆ ยังมีทีมอื่นมาอีกและพวกเขาจะเป็นคนจัดการเรื่องทางน้ำเอง พวกเขาเชี่ยวชาญสุด ๆ เลยนะจะบอกให้” มารีรีพูดแทรกไม่เกรงกลัวที่ตนเองกำลังยืนอยู่ต่างถิ่นเลยแม้แต่น้อย
“ทีมที่เชี่ยวชาญทางน้ำ...คงจะเป็นพวกเขาสินะ” โยฮันกล่าว
“ใช่แล้ว ๆ ถึงจะไม่ได้ทำงานจริง ๆ จัง ๆ มานานหลายปีแต่พวกเขาก็ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่ดี”
“อืม...ถ้าเบลแฮมมาแสดงว่าต้องมีสิ่งนั้นมาด้วย งั้นเรามาวางแผนอะไรกันสักหน่อยเถอะ” โยฮันเดินนำไปอยู่ข้างหน้าเพื่อจะได้พูดให้ทุกคนได้ยินง่าย ๆ
“แผนอะไรอีกล่ะเนี่ย?” ระหว่างที่หูฟังมารีรีก็หยิบกล่องขึ้นมาดูอีกครั้ง
“ไว้เรากลับไปรวมตัวกันที่ห้องจะบอกให้ฟัง แล้วก็ให้เบลแฮมมารวมตัวกันที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรกนะ”
มารีรีถอนหายใจเสียงดัง “ก็ได้ ๆ เดี๋ยวจะเรียกให้มาที่นี่ก่อน”
นอกจากเรื่องที่ภารกิจล้มเหลวก็ยังมีคนแปลกหน้าเดินเข้าออกสำนักเป็นว่าเล่น เหล่าศิษย์ที่ไม่ค่อยรู้ความก็มักจะแอบฟังด้วยความใคร่รู้แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้และโดนลงโทษไปตามระเบียบ
แสงตะวันลับขอบฟ้าเป็นจังหวะเดียวกับที่ซึฮากิกลับถึงสำนักเทวาคารประทับพอดี สถานที่ที่เคยสงบร่มเย็นกลับร้อนระอุเหมือนอยู่ในทะเลทราย เมื่อมองเข้าไปยังบ้านของมิโกะก็จะเห็นกลุ่มคนมุงดูอะไรสักอย่างอยู่
“หลานของข้าจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า? ถึงจะเคยเห็นช่วงเวลานี้มาบ้างแต่ก็ไม่เคยเห็นคนไหนรุนแรงแบบนี้มาก่อนเลย” ฟูมิชะเง้อคอมองเข้าไปในห้องที่มีมิโกะกับคิโนริเพียงแค่สองคน
“เชื่อมั่นในตัวหลานสิฟูมิ อาจจะแปลกใหม่แต่ยังไงก็มีท่านยายคอยช่วยอยู่” คำปลอบประโลมจากเหล่าพี่น้องทำให้ฟูมิใจเย็นลงได้แม้ความร้อนตรงหน้ากำลังจะแผดเผาใบหน้าก็ตาม
“ผมขอเข้าไปหน่อยครับ” ซึฮากิค่อย ๆ เดินฝ่าไปถึงหน้าห้องที่ร้อนเหมือนเตาอบ
“เฮ้ย ! เจ้าจะเข้าไปฆ่าตัวตายหรือ? เจ้าออกมารอข้างนอกดีกว่า”
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผม...ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเปิดประตูเข้าไปดูสถานการณ์โดยอาศัยเสริมกำลังเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเป็นอันตราย
คิโนริตัวน้อย ๆ กำลังนอนซมเหมือนคนป่วยทั่ว ๆ ไป เพียงแต่เธอไม่สามารถควบคุมมานาของตนเองได้มันจึงขยายออกและกลายเป็นดวงไฟเล็ก ๆ ลอยไปมาไม่รู้ทิศทาง
“ดูจากปฏิกิริยาของคนอื่นคงจะพึ่งเคยเจอแบบนี้สินะครับ” ซึฮากินั่งลงข้าง ๆ และกุมมือคิโนริไว้เผื่อจะช่วยให้เธอผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้
“อืม เห็นเธอนอนแบบนี้แต่ก็ยังมีสติรับรู้ได้อยู่ เพราะฉะนั้นข้าเลยจะให้ยาสลบเพื่อให้ดวงไฟพวกนี้สลายไปสักที”
“เอาตามนั้นเลยครับ อย่างน้อยก็ช่วยให้สถานการณ์กลับมาปกติก่อน”
“ดี ข้าก็ชักจะเมื่อยไหล่เพราะต้องมาคอยดูอาการแล้ว”
“แค่นี้ก็เมื่อยแล้วเหรอครับ?”
ระหว่างที่มิโกะเตรียมยาสลบ ซึฮากิก็จะรับหน้าที่จัดการอุณหภูมิในห้องแทน เขาใช้ทักษะในการควบคุมมานาขั้นสูงสร้างห้องมานาที่จะมีช่องดูดลมร้อนออกและมีช่องดูดอากาศที่มีความชื้นเข้ามาแทน กระบวนการทั้งหมดจะหมุนวนตลอดเวลาอย่างกับเครื่องจักรทำเอามิโกะตกตะลึงไปเลย
“นี่เจ้าจะทำทุกอย่างได้เลยหรืออย่างไร?” มิโกะยกตัวคิโนริขึ้นมานอนบนตัก ดวงตาสีเหลืองทองคู่นั้นเหลือบมองช้า ๆ พยายามจะสื่อสารด้วยสายตาแทน
“เจ้าแค่ดื่มยาเข้าไปก็จะได้นอนหลับสบาย ๆ แล้ว” เธอใช้มือช่วยยกหัวคิโนริขึ้นขณะที่อีกมือกำลังยื่นถ้วยยาให้ดื่ม
หลังจากดื่มยาสลบไปไม่ถึงห้านาทีคิโนริก็หลับสบายสมใจอยาก ดวงไฟที่เคยบินวนไปทั่วก็สลายไปทำให้อุณหภูมิกลับมาปกติ
“ข้าจะให้คนอื่นมาดูแลชั่วคราว ส่วนเจ้าออกมาคุยกับข้าก่อน”
เมื่อความมืดมิดมาเยือนจึงเห็นแมลงน้อยใหญ่บินตอมตะเกียงกันเป็นว่าเล่น แต่พอมิโกะกับซึฮากิมานั่งอยู่ใต้ตะเกียงพวกแมลงกลับหนีหายไปกันหมด
“จำเป็นต้องออกมาไกลขนาดนี้ด้วยเหรอครับ?” พวกเขานั่งอยู่ใต้ชายคาห้องเก็บของเก่า ๆ ที่เกือบจะโดนป่ากลืนกินไปแล้ว
“จำเป็นสิ ข้าอยากจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวเสียหน่อย อย่างเช่น...คิโนริชอบกินอะไร เข้านอนตอนไหน อาหารเช้าชอบกินอะไร”
“นั่นมันเรื่องส่วนตัวของคนอื่นนะครับ ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวเองเลยไม่ดีกว่าเหรอ?”
มิโกะสร้างดวงไฟเล็ก ๆ โยนมันลงพื้นแล้วเขี่ยดินกลบไว้
“แม้เราจะมีเชื้อสายเดียวกันแต่ก็พึ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ ถ้าข้าถาม...เธอจะตอบด้วยความเกรงใจเป็นมารยาททั่วไป แต่ข้าอยากได้ยินคำตอบที่ตอบด้วยความอยากของตนเอง”
“เริ่มเลยก็ได้นี่ครับ สานสัมพันธ์แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นห่วงเป็นใยจริง ๆ ผมเชื่อว่าความรู้สึกนั้นจะส่งไปถึง” วินาทีที่ดวงไฟใต้พื้นกำลังจะลุกโชนขึ้นมา ซึฮากิก็ได้สร้างโล่มานาครอบมันไว้ก่อน
“ข้ากลัวว่าเจ้าเด็กนั่นจะมองข้าเป็นตัวร้ายที่ไล่แม่ของตนเองออกจากบ้าน แม้จะเป็นเรื่องจริงส่วนหนึ่งที่ข้าไม่ใส่ใจไอนักแต่ข้าก็ยังรักลูกหลานทุกคนไม่เปลี่ยน” ทันใดนั้นดวงไฟอีกลูกก็โผล่ออกมาจากพื้นไม่ไกลจากดวงแรกนัก
“ก็บอกไปตรง ๆ เลยสิครับ แม้ในครั้งแรกที่ได้ยินเธออาจจะอคติไม่เข้าใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอจะค่อย ๆ คิดถึงตามหลักเหตุและผลเอง แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ต้องรอให้อาการและอารมณ์คงที่ก่อน” ซึฮากิใช้เวทมนตร์วายุพัดดวงไฟดวงใหม่ให้ดับไป
“ความร้อนที่พึ่งเย็นลงจะเปราะบางเป็นพิเศษ การเข้าไปแทรกแซงการฟื้นตัวจะยิ่งทำให้คิโนริตีตัวออกหาก สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีแค่คุ้มกันจนกว่าการตื่นของสายเลือดจะเสร็จสิ้น” คราวนี้เธอสร้างดวงไฟหลายดวงโยนเข้าไปในป่าลึกโดยไม่กลัวว่ามันจะลามไปทั่วเลยแม้แต่นิดเดียว
“คุณคิดมากเกินไปแล้ว...ก็จริงอยู่ที่ช่วงอารมณ์ขึ้นลงสุดแบบนั้นทำให้การเข้าไปพูดคุยเรื่องอ่อนไหวมันเสี่ยง ถ้าเลือกเส้นทางที่ถูกมันก็จะเหมือนการกลิ้งบอลหิมะลงเขา แม้จะเป็นการกระทำเล็ก ๆ แต่คิโนริจะชื่นชอบและรับมันไว้ แต่หากเลือกเส้นทางผิดมันก็จะเป็นการเดินลงหน้าผาที่มีหินแหลมตั้งรอซ้ำเติม” ซึฮากิใช้เสริมกำลังไล่จับดวงไฟเหล่านั้นและพากลับมาตรงหน้า
“เหมือนกับการเสี่ยงโชคเลยนี่ เจ้าพอจะแนะนำการพูดของข้าได้ไหม?”
“มันก็ไม่ได้เสี่ยงโชคขนาดนั้นหรอกครับ ดูจากปฏิกิริยาของคิโนริที่มีต่อคุณนั่นก็ยังเป็นในด้านบวกมากกว่า ขอแค่ตอนนี้ไม่พูดเรื่องครอบครัวก็คงไม่เป็นอะไร”
มิโกะหมุนดวงไฟมารวมกันเป็นดวงเดียว จากนั้นเธอก็โยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้าระเบิดเป็นดอกไม้ไฟ
“ข้าจะลองดู แต่ยังมีอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน”
“สำนักมนตร์ดำเหรอครับ?”
มิโกะยิ้มเลศนัยก่อนจะกล่าวต่อ “ดูเหมือนเจ้าจะไปแหย่พวกมันมาหนักเหมือนกันนะ ข้าว่าอีกไม่นานคงได้เปิดศึกกันเต็มรูปแบบแน่ ๆ”
“ก็จริง อย่างน้อยผมก็กำจัดคนของมันไปได้ร้อยกว่าคนถึงแม้มันจะมีอีกหลายร้อยหลายพันก็ตาม และคุณก็คงรู้ใช่ไหมว่าต่อจากนี้ต้องทำยังไง?”
“ทำไมจะไม่รู้ ที่แห่งนี้เป็นเสมือนเขตปลอดภัยที่สำนักมนตร์ดำจะไม่เข้ามายุ่ง เจ้าจะใช้ที่นี่เป็นจุดพักและฝากให้ข้าปกป้องคิโนริสินะ”
“ใช่ครับ แต่คุณแน่ใจใช่ไหมว่าในสำนักไม่มีคนของมันแฝงตัวอยู่”
“คิดจะดูถูกมิโกะผู้นี้อย่างนั้นหรือ ข้าใช้ชีวิตมากว่าสี่ร้อยปีมีทั้งพลังและประสบการณ์ที่ได้พบเจอคนมามากมาย ถ้าแค่สมุนของมันไม่มีทางหลบสายตาของข้าได้หรอก”
“ถ้ามั่นใจถึงขนาดนั้นผมก็วางใจ อีกไม่กี่วันพวกมันจะโต้กลับแน่ ๆ ซึ่งผมจะออกไปเก็บกวาดพวกศิษย์ให้มากที่สุด”
“คิดว่าพวกมันจะปล่อยให้ศิษย์ไปตายเฉย ๆ หรือ?”
“ผมจะไล่เก็บพวกที่ออกมาลาดตระเวนและจะไม่เข้าใกล้สำนักของมันมากเกินไป”
“ถ้าพวกมันส่งผู้บริหารมาเล่า?”
“ผมก็แค่หนีมาที่นี่เพื่อใช้พลังอำนาจของคุณเป็นไม้กันหมา”
“เหอะ ช่างเจ้าเล่ห์เสียจริงแต่พวกมันอาจจะหมดความอดทนและบุกมาที่นี่เลยก็ได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้นคุณก็ต้องเป็นฝ่ายโต้กลับแทน”
“นี่เจ้าจะใช้พวกข้าเป็นเบี้ยเลยหรือ? แม้แต่ลูกหลานข้ายังไม่เคยสั่งให้ข้าทำอะไรเลยสักครั้ง แต่เจ้ากลับบอกให้ข้าจัดการปัญหาที่ตนเองกำลังก่อ” เธอใช้มานาอันเข้มข้นกดดันซึฮากิ
“คุณเองก็คงรู้สึกระแคะระคายสำนักมนตร์ดำมาตลอดใช่ไหม คุณคงสังเกตได้ว่าสำนักมนตร์ดำในตอนนี้แตกต่างกับตอนที่ก่อตั้ง แม้ผมจะไม่รู้อดีตที่ชัดเจนนักแต่ก็ได้อ่านบันทึกของยุคปฏิวัติมาบ้าง” เขาใช้มานาของตนเองดันมานาของมิโกะกลับไป ถ้าคนอื่นมาเห็นก็คงเหมือนคนนั่งคุยกันปกติ แต่ในมุมมองของทั้งสองมันเหมือนกับการท้าดวลที่ต้องการทำให้อีกฝ่ายยอมจำนนอยู่ใต้เท้า
“ถึงพวกมันจะน่าโดนเผาเพียงใดแต่การที่เจ้ามาออกคำสั่งให้ข้าทำตาม มันออกจะดูถูกกันเกินไปหรือเปล่า? ข้าคือเผ่าจิ้งจอกเทวาที่สืบเชื้อสายมายาวนานนับพันปีแต่กำลังโดนเด็กน้อยอายุไม่ถึงร้อยออกคำสั่ง ถ้าบรรพบุรุษของข้าได้รู้คงจะโกรธจนลุกขึ้นมาจากหลุมเป็นแน่”
“ความหยิ่งยโสในศักดิ์ศรีของสิ่งมีชีวิตคือเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณลองลดทิฐิลงสักหน่อยมันอาจจะเป็นประโยชน์กับเราทั้งคู่ไม่ใช่เหรอครับ?”
“เจ้ามันก็แค่เด็กไร้มารยาทที่พอข้าพูดดีด้วยก็เหลิงจนเห็นหางแล้ว”
“นั่นสินะ คุณเป็นพวกหงุดหงิดง่ายซะด้วย แค่การกินอาหารก็ต้องเงียบสงบไม่อย่างนั้นอาหารจะจืดชืด และยังเป็นพวกหัวโบราณที่อคติกับเผ่ามนุษย์แทบจะไม่ต้อนรับเลยด้วยซ้ำ เพราะแบบนั้นคุณถึงไล่แม่ของคิโนริออกใช่ไหมครับ?”
“ยังจะพูดจาไร้สาระอีกหรือ ทุกคำที่เจ้าพูดออกมามันก็เป็นแค่ลมปากที่พัดผ่านและหายไปอย่างไร้คุณค่า ถ้าหากเจ้ายังไม่หยุดกวนประสาทข้าจะตัดแขนเจ้าสักข้างหนึ่งจะได้หลาบจำเสียที”
“คิดว่าผมจะอยู่ให้ตัดเฉย ๆ เหรอครับ ผมจะไม่ยอมถอยจนกว่าคุณจะยอมร่วมมือกับเรา”
แรงปะทะของมานารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่พวกเขาก็ยังไม่ลงไม้ลงมือทำอะไร ขณะที่กำลังเพ่งมานาใส่กันจู่ ๆ ก็มีเวทมนตร์วายุพุ่งเข้าใส่ทั้งสอง พวกเขาจึงต้องแบ่งมานามาป้องกันแทน
“เหอะ สุดท้ายพวกมันก็ไม่สนข้าแล้วสินะ เอาสิ...ข้าจะช่วยเจ้าในส่วนของข้าเอง” เธอใช้มานามากมายที่ประชันกันเปลี่ยนเป็นการขว้างเวทมนตร์เพลิงแทน แม้จะดูเหมือนการขว้างบอลทั่ว ๆ ไป แต่วินาทีที่เธอเหวี่ยงแขนมันก็กลายเป็นเปลวเพลิงพุ่งทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า
“พวกมันเลือกเส้นทางนี้สินะ สงสัยกำลังเสริมที่โผล่มาเหนือน่านฟ้าจะเป็นชนวนสำคัญ” ซึฮากิใช้เวทมนตร์ตรวจจับแทนที่จะระเบิดพลังเหมือนมิโกะจึงพบสัญญาณของศัตรูซึ่งอยู่ห่างออกไปห้าร้อยเมตร
“ยังมีพวกมันอีกสิบห้าคน คุณจะไปเองหรือให้ผมจัดการ”
“นี่มันถิ่นของข้า เพราะฉะนั้นข้าจะจัดการเอง” เธอกระโดดข้ามป่าไปอย่างรวดเร็วโดยใช้การระเบิดที่ฝ่าเท้าในทุกครั้งที่ก้าวขาทำให้เหมือนเธอเดินบนอากาศได้
รอดตัวไป ถ้าวัดกันตรง ๆ ยังไงก็แพ้เรื่องมานาแถมยังมีแผลจากก่อนหน้านี้อีก
ซึฮากินั่งรออยู่ที่เดิมพลางใช้ตรวจจับเฝ้าดูการฆ่าล้างของมิโกะ และเพียงแค่สิบนาทีเธอก็กลับมาพร้อมกับศิษย์สำนักมนตร์ดำหนึ่งคน
“ตอนแรกผมนึกว่าคุณจะเผาทุกคนแล้วซะอีก แบบนี้ค่อยสมกับเป็นผู้มีประสบการณ์หน่อย”
“ทำไมปากของเจ้าถึงเหมือนกำลังประชดประชันสาปแช่งทุกคำพูดเลย แต่ช่างเถอะเพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น” พวกเขาทั้งสองนั่งล้อมชายผู้น่าสงสารที่โดนกลับมาเป็น ๆ มิหนำซ้ำยังโดนถอนฟันหมดปากเพื่อกันไม่ให้ฆ่าตัวตาย
“แล้ว...มันจะพูดตอบเราได้อย่างไร?” มิโกะลากตัวชายคนนั้นไปที่ห้องใต้ดินสำหรับขังโจรไม่ก็คนทำผิด โดยที่นั่นจะมีอุปกรณ์ทรมานเตรียมพร้อมไว้เสมอโดยเฉพาะยาพูดความจริง
“ก็แค่ใช้มานาเสริมกำลังทำให้เป็นฟันชั่วคราว” ระหว่างที่ซึฮากิกำลังสร้างฟันปลอมมิโกะก็จะเป็นคนเตรียมยาความจริงแทน
พวกเขาสองคนช่วยกันสอบสวนศิษย์สำนักมนตร์ดำ แต่เพราะเป็นแค่ศิษย์สามหลักทำให้รู้แค่ข้อมูลภารกิจที่ได้รับมาเท่านั้น พอไม่มีข้อมูลอะไรสำคัญแล้วจึงลงมือสังหารทันที
“ข้าจะไปประกาศให้ทุกคนรับรู้โดยทั่วกัน ว่าตอนนี้สงครามมันได้เริ่มขึ้นแล้ว”
เมื่อคำประกาศของมิโกะกระจายออกไปมันก็ทำให้ประชาชนในอาณาเขตแตกตื่น สิ่งที่เรียกว่าสงครามนั้นห่างหายไปนานจนคนรุ่นใหม่ยังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้น มีเพียงผู้ที่เคยผ่านช่วงชีวิตในสภาวะสงครามมาเท่านั้นถึงจะรับรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันแย่แค่ไหน
“บ้าไปแล้ว ! ทำไมท่านมิโกะถึงไปประกาศสงครามกับสำนักเวรนั่นล่ะ”
“พวกเราตายแน่ ไอ้สำนักนั่นเคยกวาดล้างสำนักข้าง ๆ จนหมดเหลือแค่อาณาเขตของท่านมิโกะ ถ้าตอนนี้มันอยากจะทำจริง ๆ พวกเราคงไม่รอดแล้ว”
ประชาชนส่วนหนึ่งพากันอพยพหนีแต่บางส่วนก็เลือกที่จะไปประท้วงกันอยู่หน้าสำนักเทวาคารประทับแทน ถึงจะหนีออกไปตอนนี้แต่ก็อาจจะถูกพวกสำนักมนตร์ดำล้อมไว้หมดแล้วก็ได้ แล้วก็มีบางส่วนที่หยิบอาวุธขึ้นมาเตรียมปกป้องบ้านเกิดของตนเอง
15 กรกฎาคม พ.ศ.2576
ที่ชายแดนอาณาจักรเซียมีการบุกรุกของกลุ่มคนปริศนาที่ได้สังหารทหารของฝั่งอาณาจักรเซียจนหมดสิ้น
“ตั้งแนวรบไว้อย่าให้มันข้ามมาได้” กองทัพทหารวางกำลังเรียงแถวหลายชั้นเพื่อผลัดกันยิงเวทมนตร์ใส่
ขณะเดียวกันที่อ่าวของเคนมีเซน คานะและซีโร่เตรียมพร้อมขึ้นฝั่งตามคำสั่งของซึฮากิแต่จู่ ๆ ก็มีเรือเร็วแปลกหน้าพุ่งมาหา
“นั่นกำลังเสริมเหรอ?” เซนปีนขึ้นเสาเรือเพื่อส่องกล้องดูจึงเห็นกลุ่มคนสวมชุดขาวอยู่บนเรือลำนั้น
“ไม่คุ้นเลยแฮะ...” พูดไม่ทันขาดคำก็มีกระสุนปืนใหญ่ยิงใส่ท้องเรือเป็นรูเบ้อเริ่ม
“โอเค ไม่ใช่พวกเราแน่นอน” หลังจากนั้นเรือเร็วลำนั้นก็กระหน่ำยิงปืนใส่ไม่ยั้งทำให้เรือของเซนค่อย ๆ จมลง
“อุดรูยังไงดีวะเนี่ย !” เซนวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อหาของมาซ่อมเรือ ระหว่างนั้นคานะกับซีโร่จะช่วยกันป้องกันกระสุนพวกนั้นไว้
อีกด้านหนึ่งที่เอลโฟเรียก็ยังคงรักษามาตรการป้องกันไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ใครจะรู้ว่าศัตรูบุกมาจากด้านบนโดยการใช้เครื่องไอพ่นร่อนลงเหนือเมือง แต่ทันใดนั้นด้านบนเมืองก็มีบาเรียขนาดใหญ่ที่ผลักพวกเขาออกไปด้านนอก
“คิดถูกจริง ๆ ที่เตรียมการป้องกันจากบนฟ้าไว้ด้วย” เหล่าร่างโคลนได้กระจายตัวกันออกไปเพื่อรับมือกับกำลังเสริมของสำนักมนตร์ดำ
ถ้าหากมองขึ้นไปก็จะเห็นเรือเหาะลำใหญ่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์เมืองเอลโฟเรียอยู่ โดยบนนั้นมีมารีรีและสองหนุ่มเป็นคนสั่งการทั้งหมด
“สวยดีนะเนี่ย เป็นผังเมืองที่สวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นเลย” มารีรีถ่ายรูปเก็บไว้เป็นร้อยแผ่นหวังเอากลับไปอวดหัวหน้าของตนเอง
“ดูจากที่ลงตรงเมืองไม่ได้แสดงว่าพวกมันก็เตรียมการมาดีใช่เล่นเลย เดี๋ยวเราจะแยกกันไปคนละฝั่งแล้วบีบพวกมันเข้าไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะยอมแพ้” กูลูมุ่งหน้าไปยังทางออกและกระโดดลงจากเรือเหาะโดยไม่มีเครื่องไอพ่นหรือร่มชูชีพเลยสักอย่าง
“เชื่อเขาเลย” จากนั้นคอนซิวและราห์ก็กระโดดตามลงไปรวมถึงลากพาซี่ลงไปด้วย
วินาทีที่ลงมาจากเรือเหาะก็มีสัตว์อสูรตัวใหญ่บินมารับพวกเขาแทน
“เอาล่ะ มาเริ่มการล่ากันดีกว่า” กูลูยิ้มเลศนัยเหมือนนึกสนุกที่กำลังจะได้ฆ่าล้างศัตรู
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 32
แสดงความคิดเห็น