บทที่ 1 : คนเก่งกับนาฬิกาเก่า

คือใจในกาล
คุณกำลังอ่าน: คือใจในกาล

-A A +A

บทที่ 1 : คนเก่งกับนาฬิกาเก่า

            แสงอ่อนเช้าทอดสีเหลืองอมส้มทับภาพพื้นเป็นเงาระยับ ฉาบความเขียวของใบหญ้าให้เรืองด้วยชีวิต แสงเดียวกับที่ส่องต้องพื้นโลก หากเป็นโลกอีกซีกหนึ่งที่ใครๆไม่รู้จัก

            ดรานา!

            แสงอ่อนเช้านั้น ส่องต้องกำแพงทึมๆของวัดเล็กๆแห่งหนึ่งท้ายซอย ส่องให้เห็นทางเข้าไม่มีประตู ไม่มีแม้ป้ายชื่อ ชั่วระยะเดินไม่กี่ก้าวก็สามารถเข้าถึงศาลาและวิหารภายในได้ วัดนี้ไม่ใช่ของศาสนาใด เพราะแผ่นดินนี้ไร้ศาสนา เป็นเพียงแหล่งหาความสงบของคนในหมู่บ้าน และคนมีลัทธิบางกลุ่มเท่านั้น

            ร่างสันทัดร่างหนึ่ง นั่งก้มหน้าอยู่มุมศาลา แดดอ่อนไม่ทันอุ่นไล้หลังเขา อาบมาถึงแผงไฟฟ้าบนฝาเครื่องคอมพิวเตอร์บนตัก เขาเคาะนิ้วกับแป้นพิมพ์เบาๆ ขยับให้แผงไฟฟ้ารับแสงมากขึ้น ศีรษะบัดนี้ต้องลมชื้นๆจากด้านนอกเต็มที่ ผมสั้นสีน้ำตาลปลิวแผ่วๆทุกครั้งเมื่อกระแสเย็นสัมผัส

            เขาไม่ใช่ศิลปิน เป็นเพียงนักเรียนคอมพิวเตอร์ฝีมือดีคนหนึ่ง และบัดนี้ เขา กำลังทำงานที่เหนือความเป็นนักเรียนขึ้นไป

            "อยากได้งานพิเศษหรือ ครูมีคอมของคนในโรงเรียนซ่อมไม่ทันอยู่หลายเครื่อง เธอฝีมือไม่เลว เอาไปซ่อมบ้างไหมล่ะ"

            งานแรกที่วางอยู่บนตักขณะนี้ เป็นคอมพิวเตอร์ของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในโรงเรียนนั่นเอง สามวันแล้วกับการพยายามแก้ไขระบบและล้มเหลวไม่เป็นท่านับครั้งไม่ถ้วน โชคดีที่เป็นคอมพิวเตอร์ไร้สาย จึงสามารถแบกไปไหนมาไหนได้ รวมทั้งที่ศาลาวัดแห่งนี้ด้วย

            ซ่อมจนเข็มนาฬิกาข้างประตูศาลาชี้เลขแปด แดดอ่อนเริ่มอุ่น อากาศเช่นนี้หาไม่ได้นักในฤดูหนาว โดยเฉพาะเดือนกลางๆที่อากาศเย็นจัดเสมอ บางปีมีหิมะ บางปีไม่มี ปีนี้ยังไม่ปรากฏให้เห็น และทำท่าจะไม่มีไปตลอด ความอบอุ่นทำให้ผ่อนคลายจากอารมณ์ตึงเครียดไม่น้อย กระนั้นก็มิอาจขจัดกังวลให้พ้นใจได้ทั้งหมด

            เขาดึงกระเป๋าจากใต้เก้าอี้ ปิดเครื่อง พับมันเก็บลงไปแล้วเดินช้าๆออกจากวัด ผ่านร้านขายเครื่องเขียนร้านหนึ่งตรงข้ามกับทางเข้า ความทรงจำเก่าๆแวบเข้ามา ตอนเขายังเด็กมาก พ่อมักพามาซื้อสีจากร้านนี้บ่อยๆ และบอกเสมอว่า ศิลปะสามารถทำให้ทุกอย่างสวยงามได้ ทว่าบัดนี้ ทุกอย่างของพ่อเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวออกจากบ้าน

            "ทุกที่ในโลกนี้มีแต่ความจริง ชีวิตเราก็ต้องอยู่ในความจริง อย่าสนใจร้านขายฝันพวกนี้อีกเลยนะลูก"

            เด็กชายวัยสิบขวบ จึงได้แต่แหงนมองชื่อร้านตั้งแต่บัดนั้น ใจเขานึกแย้งลึกๆ พ่อเองเป็นคนบอกว่า ร้านนี้ทำทุกอย่างให้สวยงามได้ เช่นนั้นอะไรคือความจริง หากความสวยงามคือความฝัน ความไม่สวยกระมัง

            ห่างจากร้านเครื่องเขียนไม่ไกลนัก เกือบสุดซอยอีกด้าน เป็นบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้เขาคุ้นเคยดี เจ้าของบ้านชื่อซีรา เป็นเพื่อนกับพ่อตั้งแต่สมัยพ่อยังไม่เลิกวาดรูป ลูกชายสองคนของเธอก็สนิทกับเขาด้วย ทั้งสามเรียนโรงเรียนเดียวกัน และเลือกวิชาเรียนตรงกันอย่างต่ำสามวิชาต่อเทอมเสมอ

            เขาเปลี่ยนใจจากการเดินกลับบ้าน เลี้ยวเข้าประตูเล็กๆนั้นแทน ในบ้านเงียบเหมือนไม่มีคนอยู่ นอกจากเดวี หมาสีน้ำตาลด่างตัวใหญ่ตัวเดียวเดินยามอยู่แถวลานแคบๆด้านหน้า พอเห็นว่าใครมา มันก็โถมใส่อย่างคุ้นเคย

            "เฮ้ย! ไม่เอาน่า" เขาร้องลั่น แรงปะทะทำเอาซวนแทบล้ม ไม่ห่วงอะไรมากไปกว่าคอมพิวเตอร์พังๆในกระเป๋าติดแขน เดวีพยายามยื่นหน้าเลีย มันไม่ใช่หมาช่างหมอบ ใครเข้าบ้านหลังนี้รู้ดีทั้งนั้น

            เสียงคน เสียงหมา ดังได้ยินถึงข้างใน ร่างสูงของใครคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ประตู ตายังปรือ ผมสั้นเกือบเกรียนฟูอยู่บนศีรษะชนิดมองปราดเดียวก็ทายได้ว่าเพิ่งลุกจากเตียงมา

            "อรุณสวัสดิ์ยาโด เข้ามาข้างในก่อนเพื่อน" ทักพลางโบกมือไล่หมาไปพลาง เดวีเปลี่ยนความสนใจจากคนมาใหม่ไปยังเจ้าของ แต่ยังไม่ทันกระโจนใส่ อีกฝ่ายก็เบี่ยงหลบ มันจึงยืนกระดิกหางอยู่ข้างๆแทน

            ยาโดถือคอมพิวเตอร์เดินเข้าบ้าน ไซเรียน เพื่อนสนิท ไล่เจ้าด่างออกจากช่องประตูอยู่พักใหญ่ กว่ามันจะยอมไป เขาก็หมดกำลังเข้ามาหอบบนม้านั่งข้างใน

            "หมาบ้าอะไร หนักก็หนัก นิสัยยิ่งกว่าแมวอีก"

            บ่นเสร็จ เขาก็มองเพื่อนอย่างสงสัย ยาโดหยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะใกล้ๆขึ้นพลิก ไม่ยินดียินร้ายกับความเหนื่อยของเขา

            "นี่ มาเรียกฉันตื่นแล้วไม่ทักทายกันบ้างเลยหรือ"

            ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ลดหนังสือพิมพ์ลง ยิ้มน้อยๆ

            "ฉันไม่ได้ตั้งใจมาเรียกแกตื่น เดวีสิ เห็นเป็นกระโจนใส่ทุกที"

            ไซเรียนหัวเราะ ยกมือปาดเหงื่อบนแก้มซ้าย แก้มข้างนั้นมีแผลเป็นพาดตลอดตรงกลาง หากไม่ใช่เพราะมัน หนุ่มสิบแปดผู้นี้คงหน้าตาดีไม่น้อย

            "แกมีคาบเรียนตั้งบ่าย รีบตื่นทำไม"

            แทนคำตอบ ยาโดชี้กระเป๋าคอมพิวเตอร์ เท่านั้นสหายก็ร้องอ้อ

            "ใช่เครื่องของพี่มีนาที่เปิดห้านาทีดับวันนั้นไหม"

            เขาพยักหน้า

            "ฉันกลัวว่าจะไม่ใช่อาการของระบบแล้วล่ะตอนนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็คงต้องคืนให้พี่เขาเอาไปซ่อมที่อื่น"

            ไซเรียนยกมือตบบ่าเพื่อนเบาๆ ทุกคนในสาขาคอมพิวเตอร์รู้แรงทุ่มของยาโดเมื่อทำงานดี แม้เขาเองที่ถนัดด้านทำภาพมากกว่าก็เคยเห็นมาแล้ว

            "ถ้าซ่อมไม่ได้ก็ส่งกลับ ไม่เห็นต้องฝืนเลย ปวดหัวเปล่าๆ"

            คำปลอบใจไม่ได้ผล ยาโดส่ายหน้า ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก ไซเรียนลุกตาม คว้าไหล่ไว้ เขย่าเบาๆ

            "นี่ เรียกฉันตื่นแล้วอยู่ให้คุ้มค่าตื่นหน่อยน่า เราสองคนช่วยกันดูดีกว่า เผื่อใครคิดอะไรออก"

            ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ชะงัก ค่อยๆ หันกลับ ความเครียดบนใบหน้าทำให้ชายแผลเป็นอดถอนใจไม่ได้ ยาโดผิวสีอ่อนกว่าเขา เมื่ออยู่ในสภาพเช่นนี้แล้วมองอย่างไรก็ดูหมองกว่าความเป็นจริงหลายเท่า

            ทั้งสองนั่งช่วยกันซ่อมจนนาฬิกาปลุกในบ้านดังบอกเวลาสิบเอ็ดโมง ไม่มีความคืบหน้า จำต้องแยกกันไปอาบน้ำเตรียมเข้าเรียนตอนบ่าย ยาโดเดินลากขากลับบ้านเหมือนคนหมดกำลัง วิชาต่อไปเรียนรู้เรื่องหรือไม่ เขาไม่อยากคิด

            บ้านปิดเงียบ พ่อคงออกไปรับเขียนป้ายที่ไหนอีกตามเคย เขาก้าวช้าๆขึ้นบันไดสองสามขั้น เปิดประตูสู่พื้นที่เอนกประสงค์ชั้นล่าง โต๊ะเก้าอี้ไว้นั่งเล่นบ้าง กินอาหารบ้าง ยังเป็นระเบียบเช่นทุกวัน ภาพชายทะเลเก่าๆแขวนไว้ข้างฝา ฝุ่นจับเขรอะไม่เปลี่ยนแปลง ใบหน้าหญิงสาวบนหาดทรายซีดจางตามกาลเวลา ฝุ่นดูจะหนากว่าจุดอื่น เมื่อก่อนภาพนี้เป็นสีสันของบ้าน พ่อมักชี้ให้เขามองมัน ยิ้มแล้วบอกว่า ทะเลนำไปสู่โลกนอกที่แผ่นดินดรานาแยกจากมา หากบัดนี้ มันจับฝุ่นอย่างเดียวดาย แม้เพียงเห็นก็ทำให้เศร้าได้ เขาถอนใจ พาตัวเองขึ้นห้องบนชั้นสอง

            เขาโยนของลงบนเตียงแล้วลุกขึ้นจะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หากสายตาเหลือบเลยไปสะดุดกับอะไรบางอย่างเข้าเสียก่อน โต๊ะคอมพิวเตอร์ว่างเปล่าบนหัวเตียงบัดนี้เพิ่มอะไรอย่างหนึ่ง เป็นห่อเล็กๆสวยงามคล้ายห่อของขวัญ ใครเอาอะไรมาให้เขาตอนนี้

            มือจะเอื้อมเปิดตู้ เปลี่ยนเป็นเอื้อมหยิบห่อนั้น การ์ดใบหนึ่งปักติดกับริบบิ้นมาด้วย กลิ่นหมึกหอมโชยกระทบจมูกอ่อนๆ ลายมือบนการ์ดเป็นลายมือบรรจงจากคนคุ้นเคยที่สุด

            'สุขสันต์วันครบสิบแปดปี ขอให้ยาโดของพ่อเป็นคนดีและมีความสุขตลอดไป

            ด้วยรัก จากมิช พ่อของลูก'

            เขาเป็นคนดีของพ่อมาสิบแปดปีแล้วหรือนี่.....

            ยาโดวางการ์ดใบนั้นลงบนเตียง ค่อยๆแกะกระดาษห่อออกทีละชั้น ภายใต้สีสันเผยให้เห็นกล่องกระดาษเรียบๆใบหนึ่ง ไม่มีฉลากหรือเครื่องหมายการค้า อะไรก็ตามหลังฝากระดาษนี้มาจากร้านมือสอง เขาบอกตัวเอง

            แล้วมันก็เผยโฉมในแสงอ่อนจากหน้าต่าง เป็นนาฬิกาข้อมือสีแดงซีดๆเรือนหนึ่ง มีรอยสนิมด่างๆสองสามแห่งตามสายเหล็กและตัวเรือน แต่ยังใหม่พอใช้การได้ เมื่อพลิกดูยี่ห้อกับเลขรุ่น หนุ่มสิบแปดก็ถอนใจอีกครั้ง เขาเคยบอกอยากได้นาฬิการุ่นนี้ แต่กลับได้เป็นเจ้าของเมื่อตลาดลืมมันไปแล้วหลายปี

            มีถ่านเหลืออยู่ก้อนหนึ่งในตู้เก็บของสำหรับนาฬิกาเรือนใหม่ ถ่านก้อนนี้เขาตั้งใจจะทิ้งเมื่อหลายวันก่อน แต่ยังไม่ได้ทำ และคิดถูกแล้วที่ไม่ทำ แม้นาฬิกาใส่ถ่านจะล้าสมัย แต่สิงห์ของมือสองอย่างคนบ้านนี้ก็ยังพึ่งถ่านอยู่เป็นส่วนใหญ่ มิชเคยบอกว่าจะซื้อคอมพิวเตอร์พลังแสงให้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เคยมีเงินพอ จึงได้เพียงนาฬิกามือสองเรือนเดียว

            ร่างสูงก้าวยาวๆไปตามทางเท้าเข้าโรงเรียน เบียดเสียดกับคนที่รีบมาเรียนคาบบ่ายเหมือนกัน บางคนรู้จักก็ร้องทัก บ้างไม่รู้จักก็เพียงขอทาง

            "เฮ้ซารี หอบกระเป๋าอะไรมาด้วยเต็มเลย" เขาร้องทักเด็กสาวผมแดงจัดที่เพิ่งลากกระเป๋าสามใบมาถึง ซารี หรือชื่อเต็มคือ ซาริตี ยิ้มทักแทนการโบกมือ กระเป๋าสองใบบนทั้งแขนทั้งหลัง บวกกับเปียหางม้ายาวแทบระเอว ทำให้ร่างเล็กอยู่แล้วยิ่งดูเล็กลงไปอีก รุงรังวุ่นวายจนเด็กหนุ่มอยากขอช่วยถือให้สักใบ

            "ฉันมีคาบตอนเย็นด้วย" เธอบอกแล้วถามต่อ "ญาโดยังไม่มาอีกหรือ"

            "ยัง" ไซเรียนตอบ "ทุ่มซ่อมคอมทั้งเช้า ฉันบอกให้เอาคืนเขาไปก็ไม่คืน ว่าแต่กระเป๋าเธอน่ะ เห็นแล้วหนักแทน ถือให้ไหม"

            เขาจบประโยคด้วยการยื่นมือออก ซาริตีส่ายหน้า แต่กลับทำกระเป๋าใบหนึ่งร่วง ไซเรียนคว้ามันมาโดยไม่ถาม เดินนำหน้าตาเฉยจนถึงตัวอาคาร

            แล้วทั้งสองก็ต้องพบด้วยความแปลกใจว่า ยาโดมาถึงก่อนแล้ว กำลังนั่งคุยเคร่งเครียดกับเด็กหนุ่มหน้าตาคล้ายไซเรียนอยู่บนระเบียงใกล้ทางเข้าอาคาร เมื่อพบ ต่างโบกมือให้กัน เด็กหนุ่มร้องทักดังลั่นอย่างดีใจ

            "โอ้โฮ! พี่ไซเรียนมาเช้าวันหนึ่งในรอบชาติ!"

            "หุบปากน่าโซโบ" คนถูกกระทบคำรามแล้วหลุดหัวเราะเสียเอง ยาโดท่าทางเครียดๆอยู่ก็พลอยยิ้มไปด้วย ซาริตีปล่อยคิก ร้องเสริมว่า

            "นั่นสิ วันเกิดปีนี้เราซื้อนาฬิกาปลุกให้ดีไหม"

            โซโบยิงฟันให้พี่ชาย ไซเรียนหมั่นไส้เต็มแก่ งอเข่าเหวี่ยงใส่หยอกๆเสียทีหนึ่ง อีกฝ่ายรู้ทัน ขยับหลบ เข่านั้นจึงพลาดถูกอากาศเฉียดขอบระเบียงไป

            "ฉันไม่ได้ตื่นสาย ฉันทำอย่างอื่นอยู่" เจ้าของเข่าร้องแล้วทำเป็นไม่สนใจสองคนที่เหลือ หันไปทางยาโด

            "ไง จะซ่อมต่อหรือจะคืน"

            ว่าที่นักคอมพิวเตอร์หน้าหมองลง ทุกคนก็พลอยมองเขาเงียบไปด้วย โซโบขยับปากจะแกล้งพี่ชายต่อ แต่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เปลี่ยนใจ

            เขานิ่งอยู่นานจนฝ่ายนั้นคร้านจะรอคำตอบ ยกมือแตะไหล่เบาๆ ถามไปทางประตูอาคาร

            "ไปส่งฉันซื้อนมข้างนอกไหม จะได้ปรึกษากันไปด้วย"

            "ฉันกินกลางวันมาแล้ว" เขาตอบขรึมๆ ไซเรียนทำท่าเหมือนอยากกระโดดขย้ำคอ เสียงที่ถามกึ่งห่วงกึ่งระอา

            "ไปส่งฉันเฉยๆก็ได้ ไปไหม ไม่กี่นาทีเอง"

            เขายังนิ่ง สหายหน้าแผลเป็นได้แต่ถอนใจ ผละออกไปเงียบๆ ซาริตีมองเพื่อน จะกล่าวก็ไม่กล้า เพราะไม่ได้เรียนคอมพิวเตอร์ ส่วนโซโบนั้น เมื่อเห็นต่างฝ่ายต่างนิ่ง ก็ยื่นมือบีบไหล่เพื่อนของพี่ชายเบาๆ

            "ทำอันที่พี่คิดว่าดีเถอะฮะ ทุกคนห่วงพี่นะ ไม่อยากให้พี่เครียด"

            ยาโดนิ่งอยู่อีกครู่ก็ลุกขึ้น พึมพำขอบใจเบาๆแล้วก้มลงดึงกระเป๋าสองใบจากใต้ระเบียง พาตัวเองออกเดินจนถึงเชิงบันได ชั้นสามเป็นห้องเรียนวิชาต่อไป ชั้นสองเป็นห้องถ่ายเอกสาร เจ้าของคอมพิวเตอร์อยู่ที่นั่น เขาควรให้งานพ้นตัวแบบพังๆ หรือเข้าคาบไปหนักใจต่ออีกหนึ่งบ่าย

            เขารู้สึกหมดกำลังจะกำหนดอะไรอีก ใจข้างใดหนักก็ให้มันนำไป ร่างนั้นเลี้ยวเข้าทางเดินชั้นสอง มุ่งสู่ห้องกระจกใหญ่เป้าหมาย

            เครื่องปรับอากาศภายในเปิดแรงจนหนาวสะท้านทันทีที่เปิดประตู มีนา เจ้าหน้าที่ถ่ายเอกสารนั่งให้โต๊ะบังเกือบมิด เธอญื่นมือเล็กๆโบกขึ้นมา ถามเสียงแหลม

            "เอาเอกสารมาถ่ายหรือเอาคอมมาให้พี่จ๊ะพ่อคนเก่ง"

            คำว่า คนเก่ง เสียดแทงรุนแรงจนยาโดอยากหันหลังเดินออกไป แต่ที่สุดก็ตัดสินใจเด็ดขาด ยื่นกระเป๋าใบหนึ่งส่งให้ มีนาตัวเล็กมาก ต้องโน้มข้ามโต๊ะแล้วยืดจนสุดแขนจึงรับไว้ได้ทั้งใบ

            "ขอโทษครับพี่ ผมซ่อมไม่ได้จริงๆ"

            ผิวแก้มแดงปลั่งของหญิงสาวเผือดลงเล็กน้อย เธอวางมันลง ถามเบาๆ

            "แล้วพี่ต้องเปลี่ยนเครื่องไหม"

            ยาโดขยับปากจะตอบ แต่แล้วกลับชะงัก ขนลุกเกรียวฉับพลันจนต้องลอบสยิว มีนาเห็นเขานิ่งไปเช่นนั้นก็ยิ่งหน้าเสีย เด็กหนุ่มดึงสติกลับมาปลอบใจตัวเอง ตอบอย่างระมัดระวัง

            "คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ ให้ครูเจโกดูสภาพเครื่องให้ก็น่าจะยังพอซ่อมได้"

            เขาเท้าศอกซ้ายกับโต๊ะ ขยับแขนเสื้อนักเรียนยาวให้เข้าที่ ม้วนมันลงแล้วพับขึ้นใหม่ มีนามองแขนข้างนั้นแล้วร้องทักขึ้น

            "เอ๊ะ! ซื้อนาฬิกาใหม่หรือ ปกติไม่เห็นใส่"

            ยาโดสะดุ้งเล็กน้อย ความกังวลทำให้ลืมนาฬิกาใหม่ไปชั่วขณะ

            "พ่อให้น่ะครับ" เขาตอบพลางยื่นแขนให้ดู หญิงสาวเห็นเลขรุ่นแล้วเบ้หน้า มองมันด้วยสายตาหมิ่นแคลนเปิดเผยจนเขารู้สึกอึดอัด สายตาเช่นนี้มิใช่สื่อแต่ว่านาฬิกาล้าสมัยเท่านั้น กลับคล้ายไม่เกรงใจมิชผู้ทุ่มเงินซื้อมันด้วย เขาขอตัวกลับ ซ่อนอารมณ์ขุ่นมัวไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเป็นปกติ

            หนุ่มสิบแปดเดินช้าๆออกจากห้องถ่ายเอกสาร มองเครื่องปรับอากาศติดผนังสองฟากกำแพงแล้วหวนคิดถึงโลกนอกที่ได้เรียนในวิชาประวัติศาสตร์ โลกนั้นไม่มีคอมพิวเตอร์พลังแสง ยังใช้การปั่นไฟแบบโบราณ ครูทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า คนที่นั่นเสียเวลาแก่งแย่งความเป็นใหญ่กันจนลืมพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้า ศาสนามีไว้ล่อลวงมากกว่ารวมใจคน เท็จจริงอย่างไร เขาทำได้เพียงอยากรู้ แม้ดรานาจะมีการค้นพบปากมิตินำไปยังโลก และมีเครือข่ายสัญญาณลับเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตของที่นั่น ก็ยังไม่มีใครสามารถล้วงลึกได้มากนัก เพราะภาษาไม่ตรงกัน

            "กรี๊ดดดดดดดด!"

            เท้ายังไม่ทันพ้นประตู ชะงักค้างอยู่กับที่ เสียงกรีดโหยหวนเสียงนั้นหยุดเขาไว้ชั่วเสี้ยววินาที ก่อนสติจะกลับคืน ยาโดหันขวับ แล้วสัญชาตญาณก็ส่งขาให้วิ่งอ้อมโต๊ะไปยังร่างบนเก้าอี้ทันที

            มีนาตรงหน้า บัดนี้ไม่คล้ายคนพูดจ้อเมื่อไม่ถึงนาทีที่ผ่านมา ตาเหลือกค้าง ปากอ้ากว้าง เมื่อเห็นเขาเข้าใกล้ก็พลิกร่วงลงกับพื้น อ่อนปวกเปียกอยู่ตรงนั้น ทุกการเคลื่อนไหวปุบปับเกินกว่าจะเรียกสติได้ทัน ยาโดอุ้มร่างนั้นขึ้น ซอยเท้ารวดเร็วออกจากห้อง มุ่งหน้าสู่ตึกพยาบาลด้านล่าง

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ ก็อปปี้ หรือนำไปดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืน แล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ตามช่องทาง Email keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงาน จะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Right Reserved.