บทที่ 2 : ในกาล
นักเรียนคนแล้วคนเล่า ทยอยเข้าคาบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ คนถึงก่อนก็ได้เก้าอี้ก่อน คนยังไม่ถึงก็ทิ้งที่นั่งว่างไว้ จนบ่ายครึ่ง เก้าอี้ตัวหนึ่งอันเคยมีร่างคุ้นตานั่งอยู่ตามปกติก็ยังไร้แม้เงาเจ้าของ
"ตามความเชื่อของนักธรณีวิทยารุ่นแรก ดรานาอาจมีต้นกำเนิดจากเปลือกโลกส่วนหนึ่งที่หายไปจากจุดที่ชาวโลกนอกเรียกว่า ซับอาร์คติก ในขั้วโลกใต้ แต่เมื่อพิจารณาสภาพอากาศร้อนบ้างหนาวบ้างไม่คล้ายขั้วโลกของเรา ประกอบกับการค้นพบทางผ่านเข้าออกระหว่างดรานากับโลกในสามเหลี่ยมกลางทะเลชื่อ เบอร์มิวดา ทำให้มีทฤษฎีใหม่เกิดขึ้นหลายทฤษฎี นักธรณีสมัยนี้บางกลุ่มเชื่อว่า ดรานาไม่ใช่เปลือกโลกส่วนไหนโดยเฉพาะ แต่โคจรเปลี่ยนตำแหน่งไปรอบๆ ทวนเข็มกับวงโคจรโลกนี่เอง"
สายตาสองคู่ หันมองออกประตูครั้งแล้วครั้งเล่า สองใบหน้ายื่นหากันเป็นระยะ กระซิบทุกครั้งที่ครูหันไปทางอื่น
"ทำไมยังไม่มาอีกล่ะ" ซาริตีถาม ใบหน้ากลมแป้นเริ่มส่อเค้ากังวล
"เขาไม่น่าโดดเรียนเพราะคอมเครื่องเดียวนะ เราแอบโทรศัพท์ใต้โต๊ะดีไหม เผื่อมีเรื่อง" ไซเรียนกระซิบขอความเห็น เขาเองก็กังวลไม่แพ้กัน เพื่อนสนิทผู้นี้ไม่เคยหายไปโดยไร้เหตุผล นอกจากจะล้มหมอนนอนเสื่อจริงๆ
"ฉันแอบออกไปต่อสายหาเขานอกห้องดีไหม" เด็กสาวถามแล้วสะดุ้ง เธอหันหลังให้ครู จึงไม่เห็นว่าฝ่ายนั้นใช้สายตาไม่พอใจมองอยู่ห่างๆตั้งแต่ตอนไหน
"ซาริตี ปกติเธอตั้งใจเรียนดีนะ แต่วันนี้ครูเห็นเธอคุยตั้งแต่ต้นชั่วโมง มีอะไรหรือเปล่า"
เธอนิ่งอยู่เสี้ยววินาที ก่อนจะตัดสินใจบอกไปตรงๆ
"ยาโดค่ะ เขาว่าจะมาเข้าคาบ จนป่านนี้ไม่รู้หายไปไหน"
ครูมองเธอ มองเก้าอี้ แล้วโบกมืออ้วนๆไปทางประตู พยักหน้า
"ครูอนุญาตให้ไปตามได้ แต่ไม่ใช่เธอ"
ไซเรียนลุกขึ้นขันอาสา ใบหน้าอิ่มย้อยพยักน้อยๆ ปล่อยให้ร่างสูงเดินออกจากห้องโดยไม่ทักท้วง ซาริตีมองตามหลัง นึกขัดใจวัฒนธรรมของดรานาอยู่เงียบๆ ผู้หญิงไปตามผู้ชายสองต่อสองไม่ได้ ใครบัญญัติกฎนี้ขึ้นมา
เด็กหนุ่มทิ้งเสียงสอนไว้เบื้องหลัง เขารู้เรื่องพื้นฐานเหล่านี้มากเกินกว่าจะใส่ใจ เป้าหมายเดียวคือเพื่อน ผู้บัดนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เมื่อออกมาได้ระยะหนึ่งก็ล้วงโทรศัพท์ มือขยับจะแตะปุ่มบันทึกเสียงคำสั่ง หน้าจอพลันสว่างวาบ มันสั่นถี่ๆพร้อมกับหมายเลขหนึ่งปรากฏชัดเจน
"อยู่ไหน" เขากรอกเสียงลงไป อีกฝ่ายไม่รอให้พูดจบ รัวเร็วด้วยเสียงเร่งร้อนปานกัน
"ไซเรียน ฉันไม่ได้เข้าคาบนะ พี่มีนาเป็นอะไรไม่รู้ ฉันเพิ่งเอามาส่งห้องพยาบาลเดี๋ยวนี้"
"ว่าไงนะ!?"
"พี่มีนาเป็นอะไรไม่รู้ ฉันอยู่กับพี่เขาที่ห้องพยาบาล แกเรียนเลยไม่ต้องห่วง"
แทนการปฏิเสธ บุรุษหน้าแผลเป็นกดวางสายแล้ววิ่งลงบันไดโดยไม่ยัดโทรศัพท์กลับใส่กระเป๋า เขาผ่านภาพศิลปะตกแต่งผนังหลายภาพ อดหันมองดูแวบหนึ่งไม่ได้ การมีแม่เป็นจิตรกรทำให้ไซเรียนถูกปลูกฝังให้ชื่นชมเส้นสีและลวดลายโดยธรรมชาติ เมื่อเห็นแล้วไม่ได้พินิจก็อดนึกเสียดายไม่ได้
ประตูห้องกว้างเปิดโล่ง ภายในไม่มีเครื่องปรับอากาศ เปิดพัดลมเบาๆสองสามตัวพอให้ผ่อนคลาย ยาโดยืนอยู่ข้างเตียงหนึ่ง บนนั้น ร่างเล็กของเจ้าหน้าที่ถ่ายเอกสารที่เขาคุ้นเคยนอนซีดเผือดอยู่ ตาแจ่มใสตามปกติเหลือกลาน ว่างเปล่า แสดงถึงความไร้สติชัดเจน
"เกิดอะไรขึ้น" เขาปราดไปยืนข้างเพื่อน จ้องร่างซีดเซียวบนเตียงไม่วางตา
"ฉันไม่รู้ ฉันเอาเครื่องไปคืน กำลังจะผละออกมา จู่ๆพี่มีนาก็กรี๊ดลั่นห้องแล้วเป็นลมตกเก้าอี้ไปเฉยๆ" เสียงตอบของยาโดสั่นน้อยๆ เช่นเดียวกับใบหน้าอ่อนที่บัดนี้แทบคล้ายเลือดไม่ยอมหล่อเลี้ยง ไซเรียนยกมือตบบ่าเบาๆ
"มีคนตรวจพี่เขาหรือยัง"
ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ส่ายหน้า หันมองประตูแล้วถอนใจ
"เขาบอกว่าแค่เป็นลมเฉยๆ แต่พี่มีนาสลบไปนานกว่าคนเป็นลมปกติที่ฉันเคยเห็น คนเป็นลมปกติสลบถึงครึ่งชั่วโมงไหม"
"ก็มีบ้าง แต่น้อย นอกจากจะหนักจริงๆ" ไซเรียนตอบอย่างระมัดระวัง เขานึกถึงมารดาและเหตุการณ์ก่อนหน้าครอบครัวของสหายสนิทจะแตกแยก ซีราทำงานหนักมากจนเป็นลมครั้งหนึ่งตอนพ่อเพิ่งเสีย และเป็นอีกครั้งเมื่อทราบข่าวการเลิกวาดภาพของมิช เขาจำได้ว่าทุกอย่างดูเงียบไปหมดไม่ว่าจะอยู่บ้านไหน เส้นสีตามผนังที่เคยชอบกลับไม่แจ่มใส สามแม่ลูกดิ้นรนขายภาพเลี้ยงตัวเองจนพอมีชื่อให้คนกล่าวขวัญได้บ้าง ขณะยาโดถูกวางอนาคตให้เป็นนักคอมพิวเตอร์อย่างเข้มงวด
"แม่ฉันนี่แหละ" เขาดึงสติกลับสู่ปัจจุบัน "แม่เคยเป็นลมนานประมาณชั่วโมงได้ ฉันเกือบเรียกรถพยาบาลแล้วตอนนั้น"
อีกฝ่ายนิ่งไป ไซเรียนเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ตาเขายังจับร่างซีดเซียวบนเตียงไม่วาง มีนาแม้จะตัวเล็ก แต่ผิวอมเลือดอมฝาดอยู่เสมอ ทว่าบัดนี้ หญิงสาวที่เขาเห็นคล้ายไม่ใช่เธอ สภาพนั้นคล้ายกับคนเพิ่งผ่านความตกใจสุดขีดจนสิ้นสติ แล้วอะไรล่ะ ทำให้เธอตกใจได้ถึงเพียงนั้น
"ฉันว่าพี่มีนาดูเหมือนตกใจจนเป็นลมนะ" ใจเร็วพอๆกับปาก เขาโพล่งออกไปทันที
"ฉันก็คิด" ยาโดเงียบอยู่พักหนึ่งจึงตอบ "แต่อะไรทำให้พี่เขาตกใจได้ล่ะ ในนั้นมีแต่ฉัน พี่เขาทักว่าฉันซื้อนาฬิกาใหม่หรือ ยังท่าทางปกติอยู่เลย พอฉันหันหลังจะออกห้องเท่านั้นแหละ"
ไซเรียนมองเพื่อนงงๆ
"นาฬิกาไหน"
แทนคำตอบ ยาโดยกแขนซ้ายขึ้น เลิกเสื้อให้ดู เขามองแล้วก็ลอบยักไหล่ มิชไม่ซื้อของมือหนึ่งให้ลูกอีกเช่นเคย แต่ก็นับว่าสภาพดีไม่น้อย แม้สีจะซีด และกระจกบางแห่งมีรอยฝ้าจางๆอยู่บ้าง
"เก่า แต่ไม่เลว" เขาว่า ยิ้มเล็กน้อย พลันต้องสยิวกายด้วยความสะท้านวูบอย่างปัจจุบันทันด่วน ยาโดปล่อยเสื้อกลับลงคลุมนาฬิกา มองเพื่อน
"หนาวหรือ"
ไซเรียนสั่นหน้า เขาเองก็บอกไม่ถูกว่าความขนลุกนั้นมาจากไหน ห้องนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ พัดลมเบาๆสองสามตัวก็ไม่ได้ทำให้เย็นสักเท่าใด แม้จะเป็นกลางฤดูหนาว
"ฉันคงช่วยแม่ทำงานดึกไปหน่อยเมื่อคืน" เขาปัดแล้วเสไปเรื่องอื่น "เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหม แม่บอกว่าจะกลับเช้า"
ยาโดถอนใจ
"ฉันขอจัดการเรื่องพี่มีนาให้เสร็จก่อน กินไม่กินค่อยว่ากัน"
การสนทนาชะงักเมื่อประตูเลื่อนเปิด เจ้าหน้าที่พยาบาลสองคนก้าวช้าๆเข้ามาในห้อง คนหนึ่งตบไหล่ยาโดเบาๆ ส่วนอีกคนยิ้มให้ไซเรียนแล้วหยิบเครื่องมือติดสายพะรุงพะรังออกมา
"น้องไปเรียนก่อนก็ได้นะ คุณมีนาแค่เป็นลมไปเท่านั้นเอง" เจ้าหน้าที่ข้างๆยาโดบอก สองหนุ่มส่ายหน้าราวกับนัด พวกเขาหรือจะไม่เห็นท่าทางกังวลแฝงอยู่ภายใต้ฉากเรียบเฉยนั้น
"มันตั้งชั่วโมงแล้วนะครับพี่ ถ้าพี่มีนาเป็นลมก็น่าจะฟื้นแล้วนี่ครับ" ไซเรียนไม่ระงับความอยากรู้อีกต่อไป มีนาผู้นี้แม้บางครั้งจะใช้สีหน้าจิกใครในร้านถ่ายเอกสารบ้าง แต่ก็เป็นคนคุ้นเคยคนหนึ่ง เขาไม่ชอบเธอเป็นการส่วนตัวนัก แต่การเห็นเจ้าหน้าที่ร่างเล็กนอนซีดอยู่บนเตียงมิได้ทำให้รู้สึกดีแต่อย่างใด
เจ้าหน้าที่ตอบคำถามของเขาด้วยการก้มลงใช้เครื่องในมือจิ้มตรงนั้นตรงนี้วุ่นวาย พักหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น เค้าความสับสนปิดไม่มิดในดวงตา
"แปลกเหลือเกิน" เธอรำพึงดังๆ คิ้วแคบขมวดย่นแคบเข้าไปอีก "หัวใจก็ยังเต้นปกติ ไม่ต่างจากคนหลับธรรมดาสักนิด"
ว่าแล้วก็วางเครื่องลง เจ้าหน้าที่อีกคนเปลี่ยนเข้าไปบ้างแล้วกลับออกมาด้วยสีหน้าอึดอัดไม่ต่างกัน ทั้งสองนิ่งอยู่ครู่ แล้วคนหนึ่งก็ยื่นมือเขย่าร่างบนเตียงเบาๆ ไร้ปฏิกิริยา เธอลองอีกครั้ง ยังเหมือนเดิม เมื่อหันหน้ามองเพื่อนและสองคนช่วยกันเขย่า ผลบางอย่างจึงเกิด และเป็นผลที่ทำให้คนทั้งสี่ผงะออกจากเตียงไปคนละทิศละทาง
สภาพที่นอนอยู่แต่แรก บัดนี้เปลี่ยนเป็นนั่ง และเป็นการนั่งชนิดพรวดพราด ราวกับเพิ่งตื่นจากฝันร้ายขีดสุดก็ปาน ตาเหลือกอยู่แล้วแทบคล้ายจะถลนออกนอกเบ้าได้ทุกเมื่อ แววประหวั่นฉายชัดในดวงตาคู่นั้น
มีนาหันไปรอบๆช้าๆ มองคนในห้องทีละคน อาการเหมือนพยายามระวังอะไรบางอย่าง และเมื่อถึงยาโด ร่างนั้นก็กระโจนเข้าใส่เขา ท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของทุกคน
"ไม่! นาฬิกา! เอามันออกไป!"
ไซเรียนคุมสติได้ชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา เขาปราดไปยังร่างเพื่อนผู้บัดนี้ถูกคร่อมอยู่ มือของมีนากดทับกลางหน้าอก อีกมือเงื้อจนสุด ทำท่าจะฟาดใส่ใบหน้า ลำพังคนตัวเล็กและผอมบางอย่างเธอไม่มีทางสู้แรงใครได้ ทว่าบัดนี้ ยาโดนอนหน้าซีดเผื่อดอยู่ใต้แรงกด ดิ้นจนสุดกำลังก็สลัดไม่หลุด
"พี่!" ไซเรียนร้องสุดเสียง พยายามดึงมือนั้นออก มีนาเปลี่ยนความสนใจมายังเขาแทน ทำท่าเหมือนจะจับร่างสูงเหวี่ยง คนเคยฝึกการต่อสู้ไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นเกิดขึ้น แขนสองข้างประสานกับแขนที่ยื่นมาฉับไวแล้วหักออกให้มันไพล่ไปด้านหลัง กลายเป็นฝ่ายหนึ่งพยายามดิ้นให้หลุด อีกฝ่ายยื้อไว้ กำลังของเจ้าหน้าที่ถ่ายเอกสารมากมายเกินมนุษย์ ลำพังเขาคนเดียวคงต้านได้ไม่นานนัก
หนุ่มแผลเป็นซื้อเวลาให้เจ้าหน้าที่พยาบาลและยาโดได้สติ จากหนึ่งเป็นสาม และด้วยแรงสาม ที่สุดก็สยบอาการคลั่งไร้สาเหตุลงได้ มีนาถูกกดให้นอนราบกับเตียง เธอไม่ขัดขืนมากนัก เพราะหมดแรงจากการถูกปล้ำสามเมื่อครู่ แต่เมื่อใดยาโดเข้าใกล้ เธอก็ทำท่าจะอาละวาดอีกจนคนในห้องงงกันถ้วนหน้า
"ออกไปข้างนอกก่อนเถอะ" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบอก เด็กหนุ่มเห็นไม่มีทางเลือก จึงจำใจเดินออกมาทั้งๆที่ยังอยากอยู่ช่วย
เขาทรุดตัวนั่งบนระเบียงหน้าห้อง หันหลังให้ประตู มองรถและผู้คนด้านล่าง ใจหนึ่งอยากกลับไปเรียน แต่อีกใจก็นึกถึงไซเรียนที่อุตส่าห์มาตามและยังอยู่ในนั้น คิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ วันนี้เป็นวันหนักวันหนึ่งในรอบเดือนสำหรับเขา ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ รับงานช่วยครูด้วยความมั่นใจ กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าจนต้องส่งคืน คำพูดของมีนาเมื่อเกือบสองชั่วโมงก่อนย้อนมาวนเวียนในความคิด
"เอาเอกสารมาถ่ายหรือเอาคอมมาให้พี่จ๊ะ พ่อคนเก่ง"
มันเสียดแทงลึกจนเขาต้องก้มหน้ามองมือ ใครๆก็พูดเช่นนั้น คาดหวังเช่นนั้น หากเขาเป็นคนเก่งได้สักครึ่งของที่พวกเขาเข้าใจก็คงดี.....
"เอานาฬิกาออกไป!"
ยาโดสะดุ้งสุดตัว เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกแล้วในห้องพยาบาล ผสานกับเสียงของตกและเสียงตะโกนโหวกเหวก เขาห้ามใจให้เฉยไม่ไหว วิ่งพรวดเข้าไป พอดีกับที่สหายร่างสูงสวนออกมา สองร่างยั้งความเร็วไม่ทัน ปะทะกันเต็มรักกลางช่องประตู ล้มขลุกขลักอยู่ตรงนั้น
"อย่าเข้าไป ยาโด พี่มีนากลัวแกมาก" เพื่อนบอก ดิ้นพ้นจากการถูกเขาทับ "ฉันแค่ยกนาฬิกาดู เขาเข้าใจว่าฉันเป็นแก กลับไปเรียน ฉันจัดการเอง"
ยาโดส่ายหน้า
"แกมาตามฉันแล้วจะให้ฉันหนีไปเรียนได้ไง"
ไซเรียนยกแขนเสื้อเช็ดเลือดตรงมุมปากจากแรงกระแทก หอบน้อยๆ
"เอางี้ ฉันไปกับแกก็ได้ พี่สองคนข้างในไม่มีนาฬิกา"
ทั้งสองเดินเงียบๆออกจากตึก ไม่พูดคำใดจนพ้นหลังคา ไซเรียนเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อนอย่างอดรนทนต่อไปไม่ไหว
"ขอดูนาฬิกาเรือนเมื่อกี้อีกทีได้ไหม"
ยาโดหยุด ยกแขนซ้ายขึ้นเลิกชายผ้าให้ดู ลูกชายจิตรกรยื่นหน้าจนชิดแล้วยิ้ม ทว่าพักเดียวก็หุบลง
ใครจะรู้บ้างว่า ภายใต้ความซีดเก่าธรรมดานั้น ไซเรียนรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก ในกระจกมิได้สะท้อนภาพใดนอกจากตัวเลขบอกเวลา แต่เขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าความตะครั่นตะครอมาจากไหน หลบไปมองทางอื่น อาการนั้นค่อยหายไป ต่อเมื่อหันมองใหม่อีกครั้ง สีแดงซีดๆนั้นก็เข้าไปรบกวนในสัมผัสจนต้องเบือนหน้าอีก
"เป็นอะไร" ยาโดคงเห็นอาการแปลกๆนั้น จึงถามขึ้น เขาเลี่ยงไม่ตอบ ฝืนยิ้มกลบเกลื่อนแล้วชวนเดินต่อเสีย
"ลุงมิชคิดยังไง อยู่ๆก็ซื้อนาฬิกาให้แก"
"เป็นของขวัญ"
ไซเรียนหยุดอีกครั้ง ฝ่ายที่เดินข้างๆหยุดตามไปด้วย สองใบหน้าหันมองกัน แล้วสหายผิวขาวกว่าก็ยิ้ม คราวนี้ไม่มีอาการลำบากแฝงอยู่อีก
"ฉันลืมสนิทเลยเพื่อน สุขสันต์วันแก่นะ"
คำอวยพรกึ่งกวนนั้นทำให้ยาโดยิ้มเต็มหน้าได้เป็นครั้งแรกในรอบวัน ใครจะรู้จักเขาดีกว่าเพื่อนคนนี้ไม่มีอีกแล้ว ระหว่างมิตรภาพไม่มีของขวัญเป็นวัตถุ ไร้บัตรอวยพร ปราศจากงานเลี้ยง หากเป็นเพียงประโยคกวนง่ายๆที่ทำให้รู้สึกดีได้แทบทุกครั้ง เขาแก่ขึ้นอีกหนึ่งปีแล้ว ยาโดคิด
โค้งแล้วโค้งเล่า บันไดแล้วบันไดเล่า ที่สุด สองหนุ่มน้ำมิตรก็ขึ้นถึงชั้นสาม ทันทีที่ผลักประตูห้องเรียนประวัติศาสตร์เข้าไป ก็ได้รับการต้อนรับด้วยสายตาจากคนทั้งห้อง ครูร่างอ้วนกำลังเดินไปมาตามโต๊ะชะงักทันที
"ขอโทษที่มาช้าครับ" ไซเรียนชิงพูดขึ้นก่อน สายตาคาดคั้นของครูจากมองยาโดจึงเปลี่ยนมามองเขาแทน
"ผมกับยาโดไปห้องพยาบาลมาครับ พี่มีนาที่ถ่ายเอกสารตรงชั้นสองเป็นลม ตอนนี้ยังเพ้อไม่ได้สติครับ"
คำรายงานดึงดูดความสนใจของคนทั้งห้องได้ดียิ่งกว่าเนื้อหาวิชาทั้งคาบ ทุกสายตามองพวกเขาไม่วาง แม้ครูเองก็มีท่าทางตกใจด้วย
"เกิดขึ้นเมื่อไร"
"ก่อนบ่ายครับ ผมเอาคอมไปคืน พี่มีนาล้มตอนผมเดินออกมา" ยาโดรายงานบ้าง ในห้องเริ่มมีเสียงซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ ครูนิ่งอีกอึดใจหนึ่งก็โบกมือให้นั่งได้ แล้วทุกคนก็ถูกดึงไปอยู่กับเนื้อหาวิชาอีกครั้งอย่างไม่สู้มีใครเต็มใจ
ยาโดออกจากห้องเรียนหลังหมดคาบด้วยสมองโล่งกลวง เขาจำแทบไม่ได้ว่าวันนี้เรียนอะไรบ้าง ความคิดสับสนวนเวียนอยู่กับอาการประหลาดของมีนา เสียงร้องให้เอานาฬิกาออกไปดังซ้ำๆในสำนึก เจ้าเรือนซีดของเขาทำอะไรให้เธอตกใจจนเป็นลมกระนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้
เขาเดินเหมือนคนใจลอย ไม่สนใจสายตากึ่งฉงนกึ่งห่วงใยของใครหลายคนที่มองตามหลัง พ่อคงกลับถึงบ้านแล้ว ถ้าเขาถูกถามว่าชอบนาฬิกาเรือนนี้ไหมล่ะ จะตอบอย่างไร จะให้พ่อรู้ดีหรือไม่ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น
"ไม่ใช่นาฬิกาหรอกน่า" เขาปลอบใจตัวเองดังๆ ฟาดมือกับขาแรงๆเรียกสติ ยาโดงี่เง่า นึกด่าตัวเองแล้วใจค่อยแจ่มใสขึ้น มีนาคงเห็นนาฬิกาเป็นอย่างสุดท้ายก่อนเป็นลมนั่นเอง จึงติดเข้าไปหลอนในอนุสติจนเพ้อคลั่งเช่นนั้น แต่อะไรทำให้เธอหลอนล่ะ...?
เท้าชะงักอยู่ระหว่างช่องประตูเปิดแง้ม ลังเล แต่แล้วก็ตัดสินใจผลักเข้าไป ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เขาบอกตัวเอง
ยาโดไม่เห็นร่างท้วมที่คุ้นเคย แต่ได้กลิ่นหอมหวานจากที่ใดสักแห่งใกล้ๆ คงเป็นห้องครัว เขาคิด ทอดตัวลงบนเก้าอี้ยาวหน้าโทรทัศน์ ชั้นล่างโล่งๆนี้ใช้เป็นทั้งที่จัดอาหารและที่พักผ่อนของเจ้าบ้านบ้าง แขกบ้าง มีโทรทัศน์ให้ดู แถมหนังสือพิมพ์ให้อ่านบ้างบางวัน
ว่าที่นักคอมพิวเตอร์ถอนใจเบาๆ เขากับพ่อควรมีความสุขกับสภาพเรียบง่ายนี้ แต่กลับตรงข้าม นับจากเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อน สายตาเลยขึ้นไปมองภาพชายทะเลเหนือโทรทัศน์ กรอบเก่าฝุ่นจับเขรอะ ไม่มีใครใส่ใจเอามันลงมาปัด รอยยิ้มบนใบหน้าแต่งจัดของผู้หญิงในภาพดูซีดเซียวเพราะสีจางตามกาลเวลา เขามองมันแล้วยกมือขึ้นจ้อง คำพูดของใครหลายๆคนดังซ้ำๆในห้วงคิด
"หนูนี่หน้าเหมือนแม่นะ"
"หนูนี่ตาคมยังกะถอดแบบเมริน โตไปคงหน้าหวานเกินผู้ชาย มิช ระวังลูกเปลี่ยนเพศนะ"
เขาไม่ได้ยินคำชมแกมหยอกเหล่านั้นนานแล้ว อย่างน้อยก็นับตั้งแต่แม่ก้าวออกจากบ้าน ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้คนรูปสันทัดอย่างพ่อก็ปล่อยให้ตัวเองท้วม พ่อติดเหล่าอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะได้สติเลิกขาดเพราะความช่วยจากซีรา จิตรกรลูกสองเคยปรารภกับยาโดหลายครั้งว่าอยากให้มิชกลับมาวาดภาพอีก แต่ใครจะรู้ดีเท่าเขา ถึงคำพูดของหญิงเสมือนดวงใจพ่อคนนั้น
"ฉันรู้ว่าฉันอยู่กับคนในความฝัน ตอนนี้ฉันอยากตื่น อยากไปหาความจริงที่ดีกว่าบ้าง หวังว่าคุณคงเข้าใจ"
พ่อทิ้งภาพ ทิ้งความฝัน ตั้งแต่วันนั้นเอง.....
"อ้าว! กลับมาแล้วหรือลูก"
เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ละสายตาจากภาพเปื้อนฝุ่นตรงหน้า ร่างท้วมที่คุ้นเคยมายืนข้างเขาตอนไหนไม่รู้ ใบหน้าอ้วนเปื้อนคราบน้ำมัน กลิ่นหอมอาหารติดมาด้วย
"สักพักแล้วครับผม" เขาพยายามทำให้เสียงเป็นปกติที่สุด มิชยิ้ม ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
"ได้นาฬิกาพ่อแล้วใช่ไหม"
ยาโดพยักหน้าแล้วเสไปมองทางอื่น มิชหัวเราะเบาๆ วางมือบนไหล่ลูกชาย
"มีอะไรคิดมากหรือเปล่า ท่าทางลูกไม่ค่อยดีนะวันนี้"
คำถามนั้นทำให้เด็กหนุ่มลอบกัดฟัน พ่อสังเกตเห็นจนได้ เขาตั้งสติเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องมีนาล้มเจ็บให้ฟังอย่างคร่าวที่สุด เลี่ยงไม่กล่าวถึงเสียงร้องไล่นาฬิกาเสีย มิชฟังด้วยอาการสงบ เมื่อจบแล้วก็ถอนใจ บีบแขนเขาเบาๆ
"เรื่องซ่อมเครื่องค่อยไปอธิบายกับครูก็คงได้ พ่อเชื่อว่าลูกไม่พลาดอีกแน่นอน"
ยาโดกล้ำกลืนคำชมลงในอกอย่างยากเย็น เขาควรมีความสุขที่ถูกให้ความหวังไม่ใช่หรือ เปล่าเลย มันคือหินทั้งก้อนถ่วงหนักอึ้งอยู่แทน เขาพลาดไม่ได้ หากพลาด คุณภาพของการเป็นนักคอมพิวเตอร์ก็คงไม่เหลือให้ใครเห็น ลำพังยาโดไม่เคยคิดสรรเสริญความเก่งของตัวเอง คนอื่นต่างหาก
อาหารเย็นมื้อนั้นไม่เลวเลย ไก่อบน้ำผึ้งและมันฝรั่งอบชิ้นพออิ่มรสชาติเข้ากันได้ดีเยี่ยม ทว่าเด็กหนุ่มกลับฝืนกินได้เพียงเกือบครึ่ง เขาอาบน้ำแต่งตัว ตั้งใจว่าจะเปิดคอมพิวเตอร์หาข้อมูลการซ่อมเครื่องเพิ่มเติมสักเล็กน้อย แต่ศีรษะหนักเกินกว่าจะมีอารมณ์ทำอะไร เขาเปลี่ยนใจเข้านอน และหลับไปในเวลาไม่นาน
วันต่อมา ยาโดตื่นหลังเวลาเริ่มคาบแรกเกือบชั่วโมง จับไข้หนักจนไม่ได้ไปเรียน วิงเวียนจนลุกไม่ขึ้นตลอดเช้า กว่าจะฝืนสังขารพาตัวเองไปหาหมอได้ก็จวนค่ำ เขาสวมชุดคลุมกันหนาวยาวถึงเข่า ใส่นาฬิกาเก่าซีดเรือนนั้นออกมาด้วย เพื่อใช้ดูเวลาตลาดปิด วันนี้พ่อไปนอนค้างหมู่บ้านอื่น หน้าที่รับผิดชอบอาหารจึงตกเป็นของเขาโดยปริยาย
"เฮ้ ยาโด!"
การเดินเอื่อยๆตามสบายไปยังโรงหมอท้ายตลาดของเด็กหนุ่มถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทักทายแหลมปรี๊ดของใครคนเดิมที่คุ้นเคยที่สุด ซาริตีในสภาพปล่อยผมยาวสยายปรกกลางหลังเดินรวดเร็วจากหน้าตลาดเข้ามาหา เธอไม่สูงเท่าเขา แต่ฝีเท้าเป็นเยี่ยม ยิ่งเมื่อไม่มีกระเป๋าพะรุงพะรังด้วยแล้ว ไวแค่ไหนก็ยากจะหลบพ้น เธอยิ้มให้เมื่อเห็นหน้าซีดๆของเด็กหนุ่ม
"ไม่สบายหรือ หน้าตาไม่ค่อยดี"
ว่าที่นักคอมพิวเตอร์พยักหน้า
"ฉันเจอครูเจโกเมื่อเช้า ครูบอกว่าวันนี้เธอไม่เข้าเรียน เป็นห่วงแทบแย่ เป็นยังไงบ้าง กินยาหรือยัง"
ยาโดยกแขนเสื้อเช็ดใบหน้า รู้สึกถึงความชื้นเล็กน้อยตรงไรผม ไข้คงสร่างแล้ว แต่อาการปวดตุบๆในหัวยังไม่คลาย
"เหงื่อเริ่มออกนิดหน่อยแล้ว เหลือปวดหัว" เขาตอบตามจริง ซาริตีมองด้วยสายตาเป็นห่วง
"ถึงเหงื่อออกก็ต้องไปหาหมอนะ"
ยาโดยิ้มรับความหวังดีด้วยอารมณ์เบิกบานขึ้น เขากับเธอเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยโรงเรียนเก่า จนเมื่อแยกสายวิชาเรียนในระดับชั้นศึกษาห้าตามหลักสูตรดรานา ความต่างของคาบเรียนก็ไม่ได้ทำให้มิตรภาพลดน้อยลง
"ไซเรียนบอกว่าพ่อเธอซื้อนาฬิกาใหม่ จริงหรือ" เด็กสาวถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป ยาโดพยักหน้า ม้วนแขนเสื้อซ้ายให้ดูแทนคำตอบ ใบหน้าเล็กยื่นเข้าใกล้ ก้มมองจนชิด
มันเป็นนาฬิกาข้อมือตกรุ่นธรรมดาเรือนหนึ่ง สภาพไม่ถึงกับแย่ แต่ก็พอเดาได้ว่าผ่านมือคนมาไม่น้อย สีแดงซีดเกือบตลอดทั้งตัวเรือน เว้นรอยสนิมด่างสองสามจุด แม้แต่แสงจากหน้าปัดบอกเวลาก็ดูแดงไปด้วย เปลี่ยนแปลงวิบวับไปตามวินาทีที่ผ่าน คล้ายประกายโลหิตเรื่อๆ ยิ่งคล้ายมากขึ้นเมื่อขับกับสีอ่อนของผิวคนสวม
เธอถอนสายตา มองแดดรอนตอนเย็นแล้วกลับมองนาฬิกาใหม่ ความคิดว่าสีของมันคล้ายสีเลือดทำให้รู้สึกคลื่นเหียนอย่างไรพิกล จ้องครั้งหนึ่งไม่คล้าย จ้องอีกกลับคล้าย ราวกับความแดงเปลี่ยนแปลงได้ฉะนั้น มันสวย แม้จะเก่า ทว่าเป็นความสวยที่ทำให้ไม่สบายใจได้อย่างปละหลาด
"สวยดี แต่..." ซาริตีถอนสายตาออก นิ่งชั่งใจนิดหนึ่งแล้วยื่นนิ้วแตะหน้าปัดเบาๆ สัมผัสคราบฝุ่นได้เล็กน้อยบนผิวใสสะท้อนแสงแดงของตัวเลขนั้น นาฬิกาแบบนี้น่าจะมีระบบเปลี่ยนสีได้ ถ้ายาโดปรับให้มันกลายเป็นสีอื่นนอกจากสีแดง คงน่าดูขึ้นอีกมาก
"เปลี่ยนสีตัวเลขเป็นสีอื่นบ้างก็ดีนะ ตัวเรือนแดงแล้วใช้สีแดงอีก ดูแล้วขนลุกยังไงบอกไม่ถูก"
ยาโดมองเพื่อนอย่างแปลกใจ ก่อนจะพินิจนาฬิกาเรือนนั้น เขาไม่มีเวลาดูนานนัก เพราะแรงกระแทกหนักจากตะกร้าในมือใครคนหนึ่ง
"เราขวางทางชาวบ้านเต็มๆเลยแฮะ" เขารำพึง ย้ายตัวเองมายืนหลบมุมอยู่หลังเสาต้นหนึ่งข้างร้านขายผักใกล้ๆ ซาริตีไม่ถอยตามเข้ามาด้วย กลับโบกมือแล้วบอกตัดบทเสียง่ายๆ
"งั้นฉันไปซื้อของก่อนนะ หายไวๆ ไปเรียนพรุ่งนี้ด้วย"
ยาโดยืนครุ่นคิดอยู่หลังเสาอีกพักใหญ่ เขาไม่เห็นความน่าขนลุกในนาฬิกาเรือนนั้น ทุกอย่างดูเป็นสีแดงซีดจางธรรมดา เพื่อนสาวคงกลัวไปเอง เขาสรุป แต่แล้วความอึดอัดอย่างหนึ่งก็แล่นปราดเข้าจับใจ เสียงโวยวายโหยหวนของมีนาเมื่อวาน
"เอานาฬิกาออกไป เอาออกไป!"
"เปลี่ยนสีตัวเลขหน่อยก็ดีนะ ดูแล้วขนลุกยังไงบอกไม่ถูก"
สองคน กลัวนาฬิกาเรือนนี้เหมือนกัน แต่จะด้วยเหตุผลเดียวกันไหม ยาโดมิอาจเดา เขาพกความไม่สบายใจกลับบ้านพร้อมกับถุงยาและขนมปังสองสามแผ่น คิดถึงคำพูดเหล่านั้นไปตลอดทาง
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 13
แสดงความคิดเห็น