บทที่ 233: เซียวถังอี้! เล่าเรื่อง!

-A A +A

บทที่ 233: เซียวถังอี้! เล่าเรื่อง!

“ในเวลาเช่นนี้ ท่านควรถือราชโองการไว้ในมือแล้วถามนางว่านางอยากจะแต่งงานกับท่านหรือไม่ต่างหาก!” มู่ไป๋ไป่พูดด้วยท่าทางจริงจัง “พอเปรียบเทียบกับสิ่งที่ท่านคิดก่อนหน้านี้ ใครเห็นก็รู้ว่าท่านนั้นเป็นสามีที่ดี เอาใจใส่คนรักของตัวเอง แต่ดูท่านสิ ท่านซื่อบื้อมากจนไม่กล้าแม้แต่จะสารภาพรัก ท่านมันขี้ขลาด!”

คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าหล่อ ๆ ของอวี้เซิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ “เป็นเช่นนั้นหรือ?”

ตอนที่เขาอยู่ที่ชายแดน เขากลัวว่าจะไปทำให้เจียงเหยาโกรธ ดังนั้นเขาจึงพยายามรักษามิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้ง 2 เอาไว้

จนกระทั่งเกิดสงครามระหว่างแคว้นเป่ยหลงกับหนานซวน เขาถูกทหารมรณะโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้เขาติดพิษ

แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับดีเกินคาด

เจียงเหยายอมติดตามเขากลับมาที่เมืองหลวง และตอนนี้นางก็พักอยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุนของมู่ไป๋ไป่

“ก็ใช่น่ะสิ!” เด็กหญิงดึงแขนเสื้อของตัวเองขึ้นและไปยืนอยู่บนบันไดเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย “เรื่องนี้ท่านต้องฟังข้า มันจะสำเร็จอย่างแน่นอน”

เพราะถึงอย่างไรเธอก็อ่านนิยายมามากมายนับไม่ถ้วน

“อืม…” อวี้เซิ่งกำลังจะพยักหน้าตกลง แต่จู่ ๆ เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาจึงยกมือขึ้นผลักหัวเล็ก ๆ ของเจ้าตัวแสบ “พระองค์เป็นแค่เด็ก 4 ขวบ พระองค์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

จากนั้นเขาก็ส่ายหัวกับตัวเอง “เฮ้อ… นี่ข้าเป็นอะไรถึงได้เชื่อคำพูดของเด็กน้อย” 

“โอ๊ย!” มู่ไป๋ไป่ปัดมือของคนตรงหน้าออกแล้วลูบหัวตัวเองป้อย ๆ “ท่านควรรู้เอาไว้ด้วยว่าองค์หญิงคนนี้กำลังจะอายุครบ 5 ขวบในเดือนหน้า!”

“ฉะนั้นอย่าได้เรียกข้าว่าเด็กอีก!”

“นอกจากนี้ ถ้าท่านไม่ฟังคำข้า ท่านก็จะถูกว่าที่อาจารย์ของข้าทิ้งในไม่ช้าก็เร็ว”

“ฮึ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ว่าที่อาจารย์ของข้านั้นมีรูปร่างหน้าตาดีและมีพรสวรรค์สูงส่ง นางจะหาใครที่ดีกว่าท่านมาแต่งงานด้วยก็ได้”

อวี้เซิ่งที่ได้ยินดังนั้นก็จ้องคนตัวเล็กเขม็ง “ข้านี่ไง ข้าเป็นถึงนักฆ่าอันดับ 1…”

“ท่านมีบ้านในเมืองหลวงหรือไม่?” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็ถามขึ้นมา “ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ที่ท่านติดตามท่านพ่อของข้า นอกจากกินดื่มแล้ว ท่านยังมีเงินเก็บหรือไม่?”

“...”

ในอดีตเขาเอาแต่เสเพลดื่มสุราเกือบทุกวัน เพราะเขาแค่อยากวางมือและออกไปท่องทั่วหล้า เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานมีลูกมาก่อนเลย

พอคิดไตร่ตรองให้ดีแล้วเขาก็รู้ว่านั่นเป็นความประมาทของเขาเอง

“อะแฮ่ม…” ชายหนุ่มกระแอมในลำคอแห้ง ๆ แก้เก้อ ก่อนจะนั่งลงข้างมู่ไป๋ไป่ “องค์หญิงหก พวกเราสนิทกันใช่หรือไม่ ในตอนที่องค์หญิงใหญ่คิดจะทำร้ายพระองค์ ข้าก็เป็นคนไปช่วยพระองค์ใช่หรือไม่?”

เด็กหญิงพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ ก่อนจะเงยหน้าเล็ก ๆ ขึ้นพูดว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ล่ะ?”

“มีสิ!” อวี้เซิ่งหยิบห่อกระดาษออกมาจากอกของตัวเอง ซึ่งในนั้นเป็นขนมที่เขาเตรียมที่จะเอาไปให้เจียงเหยา จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เปิดห่อกระดาษ แล้วเลือกหยิบขนมชิ้นที่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดออกมายื่นให้เด็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้ม

“ไม่พูดถึงเรื่องในวังหลวงก็ได้ ตอนที่พระองค์กับสหายถูกคนของแคว้นหนานซวนลักพาตัวไป ถ้าข้าไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยทันเวลา ข้าก็ไม่รู้ว่าพระองค์กับสหายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”

“เช่นนี้ก็นับว่าเราเป็นสหายที่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันแล้ว…”

“เรื่องของว่าที่อาจารย์ของเจ้ากับข้านั้นเป็นเรื่องใหญ่…”

“ขนมแค่นี้ไม่สามารถซื้อข้าได้หรอกนะ” มู่ไป๋ไป่รับขนมมากัดคำหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเจรจาเงื่อนไขกับอีกฝ่าย “มันจะต้องมีของอย่างอื่นมาแลกเปลี่ยน”

เจ้าคนซื่อบื้อนี่!

เมื่อสักครู่เธอเสนอให้เขาขอประทานสมรสจากท่านพ่อ แต่เขากลับไม่ต้องการ

แล้วดูตอนนี้สิ เขากลับเอาขนมมาหลอกล่อเธอและคิดหาวิธีเล่นแง่เสียอย่างนั้น

แน่นอนว่าความรักมักทำให้คนฉลาดน้อยลง

ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงนักฆ่าผู้แสนเย็นชาก่อนหน้านี้

“พระองค์ต้องการสิ่งใด?” อวี้เซิ่งตบต้นขาตัวเอง “ขอเพียงพระองค์บอกมา ข้าจะไปหามาให้แม้ว่าสิ่งที่พระองค์ต้องการจะเป็นทะเลหรือภูเขาก็ตาม”

เพื่อให้ได้แต่งภรรยา!

เขายินดีทำทุกสิ่ง! 

ในที่สุดมู่ไป๋ไป่ก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหวจนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆๆๆ!”

เธอกุมท้องตัวเองแล้วโน้มตัวไปข้างหน้าทีหลังทีพร้อมกับหัวเราะเต็มเสียง

“องค์หญิงหก…”  อวี้เซิ่งทำหน้าสับสนเพราะไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่กันแน่ “นี่พระองค์หมายความว่า—”

“ซื่อบื้อ…” เสียงเย็นชาดังมาจากเบื้องบน “นางกำลังล้อท่านเล่น ท่านคิดว่านางยังจะขาดอะไรอีกหรือ?”

นักฆ่าหนุ่มถอยหลังไป 2 ก้าว แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปข้างบน ก่อนจะเห็นคนที่อยู่บนหลังคาอย่างชัดเจน เขาจึงขมวดคิ้วฉับ “เซียวถังอี้ ท่านมันไร้ยางอาย กล้าดีอย่างไรมาแอบฟังพวกเราคุยกัน”

ขณะนี้บนหลังคาถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว แต่เซียวถังอี้ก็ยังคงนอนเอกเขนกอยู่บนหลังคาโดยที่สวมชุดขนจิ้งจอกสีดำพร้อมกับถือไหสุราไว้ในมือ “บนโลกนี้มีหลักการมาก่อนได้ก่อน”

เด็กหนุ่มบนหลังคาเหลือบมองเด็กน้อยกับผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านล่างชั่วครู่ จากนั้นก็หันกลับมาดื่มด่ำอยู่ในโลกของตัวเองต่อไป

ตำหนักของเขาที่ก่อนหน้านี้ไร้ผู้คน พอเขากลับมาคราวนี้มันกลับดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่เคย

โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กที่มักจะมาหาเขาเป็นระยะ ๆ บางครั้งนางถึงขั้นพาอวี้เซิ่งหรือคนอื่น ๆ มาที่นี่ด้วย

ซึ่งมันวุ่นวายมาก…

“เซียวถังอี้!” พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงของเขา เธอก็กระโดดลงจากบันไดแล้ววิ่งไปอยู่ท่ามกลางหิมะ จากนั้นเธอก็หยิบไหหยกสีขาวออกมาจากแขนเสื้อและโบกมือให้เขาอย่างกระตือรือร้น “เรื่องสำนักมารที่ท่านเล่าเมื่อวานยังไม่จบ วันนี้ข้าเอาสุราดี ๆ มาให้ท่านด้วย!”

นับตั้งแต่ที่เธอได้ฟังเด็กหนุ่มเล่าเรื่องน่าสนใจที่เขาพบเจอมาในระหว่างที่ทัศนาจรไปทั่วหล้า เธอก็ไม่อาจห้ามใจได้อีก

 เพราะช่วงนี้เธอคิดว่าในวังหลวงมันน่าเบื่อมาก และมู่จวินฝานก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการช่วยงานมู่เทียนฉงอยู่ตลอดทั้งวัน แล้วเธอยังต้องไปร่ำเรียนที่ตำหนักของราชครูทุกวัน หลังจากที่เรียนเสร็จแล้ว เธอก็มีเวลาว่างมาก ดังนั้นในช่วงเวลาว่างนี้เธอจึงมาหาเซียวถังอี้คอยก่อกวนเขาเพื่อให้เขาเล่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอมาให้ฟัง

ตัวเซียวถังอี้นั้นโลดแล่นอยู่นอกวังหลวงมานานหลายปี เขาจึงมีความรู้มากมาย นอกจากนี้ในยามที่เล่าเรื่อง เสียงเขาก็ฟังดูไพเราะจนทำให้มู่ไป๋ไป่หลงเคลิ้มไปทุกครั้ง

“ไม่เล่า!” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วโซเซเล็กน้อยคล้ายกับว่าเขาเมา “ถ้าเจ้าอยากฟังเรื่องนี้ก็ไปถามเสด็จพ่อของเจ้าโน่น ข้าไม่ว่าง”

เจ้าตัวเล็กนี่คิดว่าเขาเป็นอะไร?

เขาเป็นแม่นมที่ต้องคอยเลี้ยงเด็กอย่างนั้นหรือ?

“ไม่!” มู่ไป๋ไป่หันซ้ายหันขวาแล้วพบว่าหินที่อยู่ด้านข้างสามารถปีนขึ้นไปบนหลังคาได้ เธอจึงใช้มือและขาที่ป้อมสั้นพยายามปีนขึ้นไป

“เซียวถังอี้ ข้าสั่งให้เจ้าส้มไปขโมยสุรานี้มาจากห้องเก็บสุราของท่านพ่อ มีคนพูดกันว่านี่เป็นสุราที่มีไหเดียวในใต้หล้า” เด็กหญิงโบกขวดหยกสีขาวในมือเพื่อล่อลวงอีกฝ่าย “ท่านไม่ต้องการมันอย่างนั้นหรือ?”

“มีเพียงไหเดียวในใต้หล้า?” ดวงตาดังเหยี่ยวของเซียวถังอี้ที่อยู่ภายใต้หน้ากากล้ำลึกยิ่งขึ้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น สุรานี้ก็น่าจะมีเก็บอยู่ในห้องเก็บสุราของข้าเช่นเดียวกัน”

มู่เทียนฉงไม่ใช่นักดื่ม แต่ตัวเขานั้นเป็นนักดื่มตัวยง

พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าของขวัญที่นำมาไม่น่าดึงดูดเพียงพอ เธอจึงระดมสมองคิดแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเขา ก่อนจะกอดต้นขาของเขาเอาไว้แน่นพร้อมกับร้องงอแง “ฮือออ ท่านไม่ใช่เสด็จอาของข้าอีกต่อไปแล้ว!”

“ถ้าท่านไม่เล่าเรื่องนั้นให้ข้าฟัง ข้าจะร้องไห้แล้วนะ!”

“ข้าจะร้องจนกว่าท่านจะเล่าด้วย!”

บัดนี้เด็กน้อยที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวราวหิมะกำลังเกาะขาคนตัวสูงกว่าเอาไว้แน่น ซึ่งภาพนั้นทั้งดูตลกและน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน

แล้วนั่นก็ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากของเซียวถังอี้เต้นตุบ ๆ “มู่ไป๋ไป่! เจ้าอยากถูกตีใช่หรือไม่?”

หลังจากที่มู่ไป๋ไป่มาหาเขาตลอดหลายวันมานี้ เธอก็เริ่มเข้าใจนิสัยของผู้ชายคนนี้มากยิ่งขึ้น ถ้าหากเธอยอมถอยกลับไปในเวลานี้ เธออาจจะถูกตีเข้าจริง ๆ แต่ตราบใดที่เธอยังคงก่อความวุ่นวายและแสร้งทำเป็นร้องไห้อยู่แบบนี้ อีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรเธออย่างแน่นอน

อย่าถามว่าทำไมเธอถึงรู้เรื่องนี้

เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ล้วน ๆ!

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.