บทที่ 232: ข้าจำเป็นต้องขอแต่งงานหรือไม่
“ท่านพ่อ ไป๋ไป่คิดถึงท่านที่ซู้ดดด!” มู่ไป๋ไป่กล่าวพร้อมกับยิ้มหวาน “ไป๋ไป่คิดถึงท่านทุกวันเลย!”
“มีเจ้าคนเดียวที่ปากหวานเช่นนี้” มู่เทียนฉงกลั้นยิ้มก่อนจะส่งสายตาดุมองอีกฝ่าย “แล้วตอนที่เจ้าแอบหนีไปกับเสด็จพี่ของเจ้า เจ้าเคยคิดถึงเราบ้างหรือไม่?”
ในเวลานั้นเขาตกใจมากที่ได้รู้จากจดหมายของมู่จวินฝานว่ามู่ไป๋ไป่ได้ติดตามพี่ชายไปที่ชายแดนเช่นกัน แต่พวกเขาก็ออกเดินทางไปไกลแล้ว
มันสายเกินไปที่จะไปนำตัวเจ้าตัวเล็กกลับมาในตอนนั้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องจำใจตอบตกลงและบอกให้มู่จวินฝานดูแลมู่ไป๋ไป่ให้ดี
“แหะ ๆ...” เด็กหญิงกลอกตาไปมาในขณะที่หัวสมองคิดหาเหตุผล “ไป๋ไป่ใคร่อยากช่วยท่านพ่อ… ดูสิเพคะ คราวนี้ไป๋ไป่ได้มีส่วนร่วมด้วย”
“ไม่เชื่อท่านก็ถามเสด็จอาดูสิ!”
เซียวถังอี้ที่ตามมาข้างหลังกำลังลงจากม้าแล้วเดินไปหามู่เทียนฉง จากนั้นเขาก็ทำความเคารพอีกฝ่ายก่อนจะพูดว่า “เจ้าจะให้ข้าตอบอย่างไร เจ้าไปก่อเรื่องเอาไว้ตั้งมากมาย”
“อยากให้ข้าบอกเสด็จพ่อของเจ้าหรือไม่ล่ะว่าเจ้าไปทำอะไรมาบ้าง?”
“ข้าจะไปก่อเรื่องได้อย่างไร!” คนตัวเล็กปฏิเสธทันควัน “ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าข้าเก่งมากเพียงใด!”
“จริงหรือ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองเจ้าตัวแสบ “ข้าไม่รู้ว่าใครไปเผาเคราของเถ้าแก่เมื่อวานนี้…”
“นั่น… นั่นเป็นเพราะเขาไม่ระวังเอง!” มู่ไป๋ไป่หน้าแดงไปจนถึงหู “เดี๋ยวนะ ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
“เอาแต่เรียกว่าท่านอยู่นั่นแหละ เรียกเสด็จอา” เซียวถังอี้เขกหัวเด็กน้อยเบา ๆ “ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่”
“โอ๊ย!” มู่ไป๋ไป่ส่งเสียงร้องเกินจริง “ท่านพ่อ เสด็จอารังแกไป๋ไป่!”
ทางด้านมู่เทียนฉงเฝ้าดูความสัมพันธ์ระหว่างคนตัวใหญ่และคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มในดวงตา ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าการที่เจ้าออกเดินทางไปในครั้งนี้จะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น”
“เราเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ถ้าท่านพ่ออยากรู้ ไป๋ไป่จะเล่าให้ฟังเอง!” มู่ไป๋ไป่พยายามเอาใจผู้เป็นพ่อเต็มที่
“เอาเถอะ” ฮ่องเต้หนุ่มหัวเราะอย่างมีความสุข “แต่ก่อนอื่นเราจะต้องฟังรายงานการปฏิบัติหน้าที่ของพี่ชายเจ้าก่อน”
มู่จวินฝานที่รอมานานก็ก้าวออกมาทำความเคารพบิดา
มู่เทียนฉงรู้สึกพอใจกับการเดินทางขององค์รัชทายาทในครั้งนี้มาก ขณะนี้เขามองดูลูกชายคนโตด้วยสายตาที่พึงพอใจมากขึ้นเล็กน้อย
ในอดีตเขามีข้อกังขามาโดยตลอดว่ามู่จวินฝานไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะรับหน้าที่สำคัญ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าบางทีเขาควรจะให้โอกาสลูกชายของตัวเองได้ลองลงมือทำมากยิ่งขึ้น
ซึ่งในครั้งนี้องค์รัชทายาทสามารถจัดการงานต่าง ๆ ได้อย่างหมดจด
“ขอบคุณเจ้ามาก เจ้าคงลำบากมากสินะ” มู่เทียนฉงเข้าไปพยุงให้ลูกชายคนโตลุกขึ้น ในขณะที่กล่าวว่า “เราได้ยินมาว่าครั้งนี้เจ้าถูกพิษแมลงกู่เข้า มันได้ทิ้งรอยโรคเอาไว้ในร่างกายของเจ้าหรือไม่?”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงห่วงใย” มู่จวินฝานตอบเสียงแผ่วเบา “ลูกหายดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้ต้องขอบคุณหมอเทวดาเจียงที่ช่วยรักษาจนหายขาด จึงไม่ได้ทิ้งรอยโรคไว้ในร่างกายพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีแล้ว ดีมาก” ผู้เป็นพ่อพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เจ้าออกไปกับเราก่อน แล้วเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนานซวนให้เราฟัง”
จากนั้น 2 พ่อลูกก็พากันเดินแยกตัวไป โดยมีเซียวถังอี้เดินตามไปกับพวกเขา
ส่วนมู่ไป๋ไป่ก็มุ่งหน้ากลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุน
ปัจจุบันหว่านผินกำลังรอคนตัวเล็กอยู่ที่ตำหนักตั้งแต่เช้าแล้ว และดวงตาของนางก็แดงระเรื่อขึ้นมาทันทีที่เห็นลูกสาว
“ท่านแม่!” มู่ไป๋ไป่รีบวิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของแม่ “ข้าคิดถึงท่านมาก!”
“ไป๋ไป่” ซูหว่านประคองใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กน้อยพลางมองสำรวจอีกคนตั้งแต่หัวจรดเท้า “ดี ดีมาก ยอดไปเลย เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหน แถมยังโตขึ้นอีกด้วย”
ในตอนที่มู่ไป๋ไป่เดินทางออกจากเมืองหลวง พวกนางยังคงสวดมนต์อยู่ที่วัดฮู่กั๋ว
นางคิดว่าลูกสาวจะกลับมาในอีกไม่กี่วัน แต่ใครจะไปคาดคิดว่านางจะหายไปหลายเดือนเช่นนี้
“เจ้าเด็กดื้อ!” หลังจากที่ซูหว่านรู้สึกมีความสุข นางก็นึกขึ้นมาได้ว่าจะต้องสั่งสอนเด็กคนนี้สักหน่อย “รู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าทิ้งจดหมายไว้แบบนั้นมันทำให้แม่เป็นกังวลมาก!”
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นท่าทางนั้นก็ประสานมือไว้ด้านหลังและยืนฟังแม่ของตนดุอย่างเชื่อฟัง
ทางด้านหว่านผินรู้สึกทุกข์ใจมากกว่าโกรธ พอเห็นว่าคนตัวเล็กทำตัวเชื่อฟังมากเพียงใด นางก็พูดอะไรไม่ออกหลังจากที่ได้ระบายไป 2-3 ประโยค ก่อนที่นางจะดึงลูกสาวเข้ามากอดอีกครั้ง
“ท่านแม่ ข้าสบายดี” มู่ไป๋ไป่กระซิบพูดเบา ๆ “ท่านพี่รัชทายาทและพี่รองคอยดูแลข้าเป็นอย่างดี แถมการเดินทางในครั้งนี้ข้ายังได้พบพี่รองด้วย!”
“เจ้าได้พบองค์ชายรองด้วยหรือ?”
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็บอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ให้ผู้เป็นแม่ฟังอย่างมีความสุข
ส่วนซูหว่านเองก็ตั้งใจฟัง นางไม่ได้พูดขัดจังหวะลูกสาวเลยสักครั้ง
แล้วในวันนี้ภายในวังหลวงก็มีชีวิตชีวามากกว่าทุกวัน
เวลาต่อมา มู่เทียนฉงได้จัดงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาพร้อมกับชัยชนะของมู่จวินฝานและมู่ไป๋ไป่
คราวนี้แคว้นหนานซวนและพรรคพวกที่คอยสร้างปัญหาได้ถูกองค์รัชทายาทกับองค์หญิงหกกำจัดไปจนสิ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮ่องเต้หนุ่มมอบรางวัลให้กับพวกเขา
“ไป๋ไป่ เจ้าต้องการอะไร?” มู่เทียนฉงอยากจะตอบแทนลูกสาวตัวน้อย แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เพียงพอ “เพียงแค่บอกเรามา แล้วเราจะทำให้เจ้าพอใจ”
“การศึกที่ได้รับชัยชนะจนได้รับเมืองมา 5 เมืองนั้นเจ้าก็มีส่วนร่วมในการทำประโยชน์ด้วยเช่นกัน”
“เสด็จพ่อ พระองค์ใจดีมากเลยเพคะ” มู่ไป๋ไป่ตอบเสียงจริงจัง “แต่ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณทุกคน หม่อมฉันไม่กล้ารับความดีความชอบนี้เอาไว้เพียงผู้เดียวเพคะ”
“เอาเถอะ” ผู้เป็นพ่อมองใบหน้าที่ซื่อตรงของเด็กหญิงอย่างภาคภูมิใจ “สมแล้วที่เป็นลูกสาวของเรา ทหาร ไปยกที่นั่งขององค์หญิงหกให้มานั่งข้างเรา”
นี่นับเป็นเกียรติสูงสุดที่ได้นั่งเท่าเทียมกับผู้ปกครองแคว้น
เหล่าขุนนางต่างพากันรู้สึกประหลาดใจ แต่เหล่าพระสนมในวังหลังกลับมองภาพนั้นด้วยความอิจฉา
โดยเฉพาะลี่เฟย
ในช่วงเวลาที่มู่ไป๋ไป่ออกจากวังหลวง ในที่สุดนางก็ได้รับความโปรดปรานจากมู่เทียนฉงกลับมาอีกครั้ง แต่ในตอนที่ชีวิตของนางกำลังดีขึ้น จู่ ๆ เด็กคนนี้ก็โผล่มา
มันทำให้นางยิ่งรู้สึกเกลียดองค์หญิงหกมากขึ้น
ในระหว่างงานเลี้ยง ลี่เฟยกินอะไรไม่ลงเลย นางเอาแต่จ้องมู่ไป๋ไป่ด้วยสายตาริษยาคล้ายจะกลืนกินอีกฝ่ายลงไปทั้งเป็น
“ท่านพ่อ ไป๋ไป่ง่วงมากเลยเพคะ” เนื่องจากมู่ไป๋ไป่เดินทางมาทั้งวัน และยังใช้เวลาร่วมกับหว่านผินในตำหนักอิ๋งชุนอยู่ตลอดจนไม่ได้พักผ่อน เธอจึงรู้สึกง่วงงุน
หลังจากมู่เทียนฉงได้ยินคำพูดของเด็กน้อย เขาก็เรียกอันกงกงมา และสั่งให้เขาส่งนางกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุน
มู่ไป๋ไป่ที่ตาจะปิดแล้วก็อ้าปากห้าวพร้อมกับโค้งคำนับให้กับทุกคนก่อนออกเดินทาง
หลังกลับมาจากชายแดนในครั้งนี้ เธอรู้สึกว่าทุกอย่างในวังหลวงเริ่มดูน่าเบื่อ
ทั้งผู้คนที่เคยชอบ ของกินที่เคยกิน สถานที่ที่เคยเล่น ทุกสิ่งไม่มีอะไรน่าสนใจอีกต่อไปแล้ว
ช่วงเวลานี้เธอจึงชอบไปที่ห้องของเจ้าสัตว์ประหลาดทุกวัน
เนื่องจากเซียวถังอี้มีสถานะพิเศษ และเขามักจะเดินทางออกไปข้างนอกอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นมู่เทียนฉงจึงไม่ได้สร้างจวนให้เขาหลังจากที่เขาถึงวัยอันควรแล้ว ทำให้เขาสามารถอาศัยอยู่ในวังหลวงต่อไปได้
“องค์หญิงหก พระองค์มาที่นี่อีกแล้วหรือ?” อวี้เซิ่งอ้าปากหาวในขณะที่เขาเดินออกมาจากประตูตำหนักและบังเอิญพบกับมู่ไป๋ไป่พอดี “พระองค์มาที่นี่ทุกวัน ถ้าใครที่ไม่รู้เรื่องนี้คงจะคิดว่าพระองค์เป็นลูกของเซียวถังอี้”
“ท่านเรียกชื่อท่านอ๋องออกมาตรง ๆ ในวังหลวงเช่นนี้ ท่านไม่กลัวถูกลงโทษหรืออย่างไร?” มู่ไป๋ไป่แลบลิ้นใส่อีกฝ่าย “ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่ล่ะ นี่ดื่มกันอีกแล้วหรือ?”
“จุ๊ ๆ พระองค์พูดเบา ๆ หน่อย” นักฆ่าหนุ่มกอดอกพิงกำแพง “ที่นี่คือวังหลวง หากข้ากล้าดื่มสุราในเวลากลางวันแสก ๆ ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
มู่ไป๋ไป่กลอกตาและนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ เธอจึงเอ่ยปากถามว่า “ท่านคิดที่จะไปพบว่าที่อาจารย์ของข้าหรือ?”
“...” อวี้เซิ่งชะงักค้างไป
“ข้าเดาถูกสินะ!” คนตัวเล็กปิดปากหัวเราะ “ข้าสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าระหว่างพวกท่าน 2 คนมีบางอย่างผิดปกติ ดูเหมือนว่าพวกท่านจะมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน”
“แล้วเช่นนี้ท่านอยากให้ข้าช่วยทูลให้เสด็จพ่อประทานสมรสให้หรือไม่?”
“นี่…” อวี้เซิ่งเกาจมูกแก้เก้อ “ข้าต้องถามนางก่อน…”
“โธ่ ทำไมเรื่องแบบนี้จะต้องถามนางอีก!” มู่ไป๋ไป่ย่นจมูกมองอีกฝ่าย
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 70
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น