STARCIN ภาคที่ 9 Black Purge ตอนที่ 7 วัยรุ่ง
“บอกตรง ๆ เลยนะว่าข้าไม่อยากเป็นลูกน้องของเจ้าซึฮากินั่นหรอก” ลิงเมฆานอนตะแคงดูสบายใจต่างกับคนอื่นที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
“เธอนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริง ๆ” ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้นเคานต์ก็ยังเคี้ยวขนมเอร็ดอร่อยด้วยท่าทางสบายใจเหมือนลิงเมฆา
“ส่วนแกมันก็แค่แวมไพร์ตะกละตะกลาม ตั้งแต่เลิกดื่มเลือดแล้วมากินของพวกนี้นายก็อ่อนแอลงเยอะนะ”
“เยอะเลยเหรอ ! แต่ข้ายังปึ๋งปั๋งพร้อมซัดพวกมันอยู่เลย”
“ปวดหัวกับพวกเอ็งว่ะ” ข้าง ๆ กันนั้นมีเผ่าพันธุ์มิโนทอร์นั่งไขว่ห้างและแบกกระบองคู่ใจรอการบุกรุกของศัตรูทุกวินาที
“จะว่าไปทำไมมอนสเตอร์อย่างนายถึงมาอยู่กับพวกนี้ได้ล่ะ?” ลิงเมฆาเดินเข้าหาด้วยท่าทางวางก้ามพยายามข่มให้ตนเองอยู่สูงกว่า
“ข้าไม่ใช่มอนสเตอร์นะเว้ย ! ข้าคือผู้ที่จะได้เป็นราชันมิโนทอร์ที่เอาชนะเจ้ามนุษย์ไฟนั่นได้”
“ราชันบ้าราชันบออะไรเพ้อเจ้อฉิบหาย”
“ปากคอเราะรายต่างกับขนาดตัวเล็กกระจิ๋วหลิวของแกเสียจริง แกก็แพ้ให้กับพวกนั้นเหมือนกับข้านั่นแหละ”
“อ้าว ๆ ดูถูกกันอย่างนี้ก็สวยสิ ตอนนั้นพวกมันรุมข้าตั้งหลายคน ถ้าดวลกันหนึ่งต่อหนึ่งข้าไม่มีทางแพ้หรอก”
“เหอะ ๆ โม้ไปงั้นสินะ เพราะตอนนี้เจ้าซึฮากิอะไรนั่นมันดันแข็งแกร่งเกินไปแล้วเนี่ยสิ ถ้าจะสู้ก็ต้องฝึกให้มากกว่านี้...แล้วดูแกสิ นั่ง ๆ นอน ๆ เอาแต่เสพสุขหลงระเริงไปกับความสบาย”
“เหรอ ! คิดว่าข้าอ่อนมากมั้ง” ลิงเมฆาเพ่งรวมมานาด้วยความโกรธเช่นเดียวกับบองที่กำลังเตรียมตั้งรับ
“พวกนายมันก็เป็นพวกไร้สมองชอบเบ่งเหมือนกันนั่นแหละ” เคานต์ยักคิ้วยิ้มเยาะเย้ยก่อนจะโดนลิงเมฆากับบองจับโยนเล่น
“ไม่ต้องมาพูดเลยไอ้ผีดูดเลือด ถ้าข้าเอาจริงพวกแกทั้งสองสู้ข้าไม่ได้หรอก” ลิงเมฆาสร้างเกราะหินรวมกันเป็นเสมือนหุ่นโกเลม
“โห ! กล้าขนาดนี้เลยเหรอ? สงสัยข้าจะให้ท้ายมากไปจนเริ่มเหิมเกริมแล้วสินะ” สุดท้ายเคานต์ก็เริ่มเพ่งรวมมานาพร้อมปะทะเช่นกัน
“มาซัดกันทั้งหมดเลยดีกว่า ไหน ๆ ก็ไม่ชอบหน้าเจ้าลิงตัวเมียนั่นแล้ว เจ้าก็ดูจะแข็งแกร่งใช้ได้เลยนี่” บองควงกระบองและเสริมกำลังให้ร่างกายไปด้วย
“ก็มาสิวะไอ้วัวพุงพลุ้ย !” ลิงเมฆาได้ใช้ร่างกำยำที่ประกอบด้วยหินแข็ง ๆ กระโจนเข้าใส่บองเป็นคนแรก
“ข้าก็แค่เจริญอาหารเว้ย !”
กระบองอันหนักแน่นฟาดปะทะกับค้อนหินของลิงเมฆา แรงปะทะนั้นทำให้ค้อนของลิงเมฆาแตกทันทีต่างกับกระบองที่พินิจพิจิตสร้างขึ้นมาของบอง
ขณะที่กำลังจะซัดกันต่อก็ดันมีสัตว์อสูรพุ่งเข้าใส่ทีเผลอ มันคือสัตว์อสูรที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับสิงโตที่ตัวใหญ่พอ ๆ กับหมีกริซลี่กำลังร้องขู่ดูเชิง
“ตัวบ้าอะไรวะนั่น?” บองจ้องมองสัตส่วนอันงดงามที่แสดงถึงความน่าเกรงขาม แผงคอปกคลุมตั้งแต่คอไปจนถึงแผ่นหลังราวกับเป็นเสื้อคลุมของราชาผู้ปกครอง
“เคานต์...” ลิงเมฆามองหน้าเคานต์ครู่หนึ่งก่อนจะถอยห่างปล่อยให้บองยืนงงอยู่คนเดียว
“นายถ่วงเวลามันไว้ ข้ากับเจ้าลิงขนจะไปทำธุระ” เคานต์และลิงเมฆาถอยห่างออกไปหลายสิบเมตรแล้วก็หายไปจากสายตา
“ไอ้พวกเวรจู่ ๆ ก็ให้ทำอะไรวะเนี่ย !” การละสายตาเพียงแค่วินาทีเดียวมันก็ทำให้สิงโตตัวนั้นเข้าถึงตัวได้ทันที มันตะปบเข้าที่คอแต่โชคดีที่บองยกกระบองขึ้นมากันได้ทัน
“ไว ๆ แบบนี้ไม่ชอบเลยจริง ๆ”
แม้ส่วนสูงจะพอ ๆ กันแต่ขนาดตัวของสิงโตตัวนั้นมันใหญ่กว่าบองเป็นเท่าตัวเลยด้วยซ้ำ แรงตะปบแค่ครั้งเดียวก็ทำให้มือที่จับกระบองสั่นได้เลยทีเดียว อีกทั้งมันยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วจนบองได้แต่ถอนหายใจทำใจ
“มีเท่าไรก็ใส่เข้ามาเลย” บองวิ่งเข้าใส่สิงโตก่อนแต่อีกฝ่ายกลับวิ่งไปรอบ ๆ เหมือนเล่นกับเหยื่อแทน
“บัดซบจริง ๆ ทำไมไม่เข้ามาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยวะ” บองที่พยายามวิ่งตามความเร็วของมันทำให้ความเหนื่อยล้าค่อย ๆ กัดกินทีละนิดและพอมีจังหวะผ่อนแรงมันก็กระโจนใส่ทันที
ขณะที่บองกำลังเหนื่อยได้ที่มันกลับวิ่งหนีหายไปแทน
“อย่าหนีสิวะ !” เขาวิ่งตามหลังมันเข้าไปในป่าที่ยังไม่ได้บุกเบิก แต่สิ่งที่เขาไม่ได้สังเกตก็คือการที่มันใช้ความเร็วพอเหมาะให้ตามมาได้ทัน
“ไอ้ตัวหน้าขนเอ๊ย แน่จริงก็กลับมาสิวะ !” พูดไม่ทันขาดคำสิงโตตัวนั้นก็วกหัวกลับมาแล้วคำรามดังกังวานราวกับเป็นการประกาศศักดา
“นั่นแหละที่ข้าต้องการ” บองยืนประจันหน้าและขู่คำรามไปพร้อม ๆ กันทำเอานกบนต้นไม้บินแตกกระเจิงกันหมด
ทั้งสองพุ่งเข้าประชันความแข็งแรงของร่างกาย คมเขี้ยวและกรงเล็บของสิงโตกัดทะลุเสริมกำลังเจาะเข้าเนื้อหนังของบองได้ไม่ยากนัก แต่บองก็มีอาวุธคู่ใจที่ฟาดโดนกระดูกซี่โครงหักในครั้งเดียว
“เอาอีก ! มาลุยกันให้ตายกันไปข้างเลยดีกว่า”
ขณะที่กำลังแลกเลือดเนื้อกันจู่ ๆ ก็มีสัตว์อสูรโผล่มาอีกตัว มันลอบเข้าจู่โจมด้านหลังโดยการแทงด้วยเขาแหลม ๆ ทะลุลำตัว
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีมิโนทอร์อยู่ฝ่ายเดียวกับเจ้านั่นด้วย แต่สุดท้ายมอนสเตอร์ก็ยังเป็นแค่มอนสเตอร์ที่เอาแต่มุทะลุพุ่งเข้าใส่” บนต้นไม้ใกล้ ๆ กันนั้นมีกลุ่มคนกำลังเฝ้ามองการต่อสู้นี้อยู่
พวกเขากระโดดลงมาอ้อมล้อมบองพร้อมกับสัตว์อสูรอีกหลายตัว
“ไร้สมองสมกับเป็นมอนสเตอร์จริง ๆ แต่งานของเรามันพึ่งเริ่มเท่านั้น” สัตว์อสูรนับสิบตัวกระโจนใส่บองทุกทิศทาง เขาจึงเพ่งรวมมานาสร้างโล่กันพวกมันไว้แต่พละกำลังอันมากล้นก็ทำให้โล่มานาแตกทันที
“คิดไว้แล้วว่ามันแปลก ๆ” ลิงเมฆาไต่ตามต้นไม้แล้วกระโดดลงมากลางวงทำเอาฝุ่นตลบอบอวลจนมองไม่เห็น
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ วิวทิวทัศน์ที่มีกลุ่มคนกับสัตว์อสูรร่วมมือกันรุมวัวพุงพลุ้ยตัวเดียว” เคานต์กล่าวเสียงดังเพื่อดึงความสนใจของพวกนั้นไปจึงเป็นโอกาสให้ลิงเมฆาพาบองออกมาจากวงล้อม
พวกมันคือสำนักมนตร์ดำแน่นอน แต่เรื่องการควบคุมสัตว์อสูรไม่เห็นมีในรายงานเลย หรือจะเป็นสัตว์พันธสัญญาเหมือนเจ้าแฟรงค์
“พวกแกหายหัวไปไหนมาวะ?” บองถอยไปด้านหลังเพื่อห้ามเลือดโดยเฉพาะรูเล็ก ๆ ตรงท้อง
“ก็แค่ไปพาเพื่อน ๆ มาเพิ่มเฉย ๆ” เคานต์ยิ้มเยาะดูตื่นเต้นก่อนที่ทหารหน่วยเล็ก ๆ จะเดินเข้ามาให้เห็น
“หน่วยรักษาความปลอดภัยรายงานตัวครับ” เอลฟ์หนุ่มผู้เป็นหัวหน้าได้นำหน่วยของตนเองเผชิญหน้ากับสำนักมนตร์ดำ
“ฝากด้วยล่ะ ข้าจะกลับไปตรวจสอบแถว ๆ โน้นอีกรอบเผื่อพวกมันจะมีหลายกลุ่ม”
“รับทราบครับ” เมื่อกล่าวขานเสร็จหน่วยรักษาความปลอดภัยก็ไล่ตามคนของสำนักมนตร์ดำที่กำลังจะถอยไปตั้งหลัก
พอถึงเวลาคับขันพวกเขาก็เลิกตีกันแล้วหันมาช่วยกันคิดแผนรับมือแทน ส่วนแผลของบองก็ห้ามเลือดได้ไวด้วยยาและเวทมนตร์รักษาแต่ก็ยังขยับมากไม่ได้อยู่ดี
“ดูเหมือนที่เจ้าซึฮากิพูดจะจริงสินะ” บองกล่าวขณะที่เอามือลูบผ้าพันแผลไปด้วย
“อืม พวกมันต้องเป็นสำนักมนตร์ดำแน่นอน เพราะตั้งแต่ก่อตั้งเมืองมาก็ไม่มีใครกล้าบุกมาเลยนอกจากพวกมัน”
“แล้วทำไมเราไม่ตามไปฆ่าล้างพวกมันให้หมดล่ะ?” ลิงเมฆากระโดดลงจากชุดเกราะหินให้ผ่อนคลายสบายตัวเสียหน่อย
“ดูสภาพเราก่อนสิ วัวพุงพลุ้ย ลิงตัวจิ๋ว แวมไพร์ขาดเลือด ถ้าตามไปมีหวังกลายเป็นศพกันหมดแน่”
“ข้าแค่เจริญอาหารไม่ได้อ้วนสักหน่อย”
“ส่วนข้าก็เป็นเผ่าวานรนะเว้ยจะให้ตัวใหญ่ไปไหนล่ะ?”
ทั้งสามกลับไปนั่งครุ่นคิดรอรายงานจากหน่วยรักษาความปลอดภัย แสงแดดจ้าส่องสว่างแต่พวกสำนักมนตร์ดำก็ยังกล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อ นั่นคงเป็นสัญญาณว่าพวกมันร้อนรนแค่ไหน
“[เปิดใช้งานการสื่อสาร]” เคานต์เป็นหนึ่งในคนที่ได้ถือมือถืออาจจะเพราะว่าเขาเป็นคนที่ดูมีสติมากกว่าคนอื่นในหน่วย และเมื่อคิดแผนรับมือไม่ออกจึงติดต่อไปหาซึฮากิ
“ของดี ๆ แบบนี้น่าจะมีให้ทุกคนไปเลยนะ” ลิงเมฆาจ้องมองดูมือถือด้วยความสงสัยจนอยากจะลองใช้บ้าง
“ติดต่อจากหน่วยเคานต์ ตอนนี้มีผู้บุกรุกซึ่งน่าจะเป็นสำนักมนตร์ดำ พวกมันมีการใช้สัตว์อสูรในการลอบจู่โจมส่วนจำนวนมีอย่างต่ำก็สิบคน”
“ตั้งรับไว้เหมือนเดิมอย่าออกไปจากเขตหวังผลของปืนสไนเปอร์”
“เอ่อ...ข้าส่งหน่วยรักษาความปลอดภัยตามไปหนึ่งหน่วย ข้าได้ยินว่าหน่วยที่นายช่วยฝึกแข็งแกร่งกันทั้งนั้นก็เลยให้ไปจัดการ”
“เหรอ...ถึงหน่วยนั้นจะแข็งแกร่งแต่มันไม่ใช่ประเด็นหลักและพวกนายก็น่าจะรู้ หน่วยรักษาความปลอดภัยหายไปหนึ่งหน่วยซึ่งไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร ถ้าฉันเป็นพวกมันตอนนี้ก็คงจะแบ่งกำลังพลแล้วบุกไปพร้อม ๆ กันเลย ถ้าพวกมันเข้าไปในเขตเมืองได้เราคงจะลำบากกันหมดแน่”
“อืม ข้าจะเฝ้าอยู่แค่รอบ ๆ เมือง ส่วนที่พวกเขาจะกลับมาเมื่อไรคงได้แค่หวังสินะ”
“ประสานงานกับหน่วยอื่นให้ทุ่มกำลังทั้งหมดตรวจตรารอบ ๆ เมือง ถ้ามีเรื่องอะไรให้รีบรายงานคุณโคก่อน”
“อืม รับทราบ”
หลังจากนั้นเคานต์ก็ได้ติดต่อไปหาโคเพื่อจัดการเวรยามชุดใหม่ทำให้ในเมืองไม่มีคนดูแลความปลอดภัยเลยสักคน
“เมืองโดนปิดเนี่ยนะ? หรือจะเหมือนตอนทำสงครามก่อนหน้านี้”
“ฉันก็ไม่รู้แต่พวกเขาไม่แจ้งอะไรเลยเนี่ยสิ”
เสียงครหาของพลเรือนค่อย ๆ ดังขึ้น โดยเฉพาะเหล่าชนชั้นสูงที่พึ่งเข้ามาท่องเที่ยวเพื่อมองหาของดี ๆ เอากลับไปที่ตระกูล
“ประกาศจากสภาเมือง ตอนนี้มีผู้บุกรุกกำลังจะโจมตีเมืองทำให้เราต้องปิดประตูทั้งหมด หากยังรักชีวิตตัวเองก็จงอยู่ในที่พักและเตรียมความพร้อมไว้เสมอ” โคใช้ลำโพงที่ติดอยู่ทั่วเมืองประกาศเสียงตามสาย
“โธ่…เอาอีกแล้วเหรอ”
“สบาย ๆ เดี๋ยวพวกทหารก็จัดการกันเอง เราเป็นแค่พ่อค้าแม่ค้าไม่ได้ออกไปแนวหน้าเสียหน่อย”
“แต่รอบก่อนก็ไม่ได้ปิดเมืองขนาดนี้นะ”
“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า ถ้ากลัวก็ไปที่หลุมหลบภัยก็ได้แต่คนท้องถิ่นเหมือนจะชินกับเรื่องพวกนี้ไปแล้วแหละ จะว่าไปนายก็พึ่งมาอยู่ได้ไม่นานสินะ” พ่อค้าคนนั้นหันไปถามเพื่อนร่วมอาชีพที่ขายของอยู่ข้าง ๆ
“ผมก็อยู่หลายเดือนแล้วนะครับ แต่เรื่องเข่นฆ่ากันแบบนี้มันไม่มีทางชินหรอกครับ” พูดจบเขาก็เก็บเฉพาะของที่จำเป็นแล้วเตรียมย้ายที่
“ไปดีมาดีนะน้องชาย ส่วนฉันจะรออยู่ที่เดิมนี่แหละ” พ่อค้าคนนั้นโบกมือลาพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจขณะที่ตนเองยังขายของต่อไม่สนใจ
ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองก็มีเรื่องให้หวาดกลัวหลายครั้ง สงครามเล็ก ๆ กับพวกของโยน สงครามยึดน่านน้ำ แล้วมาตอนนี้ก็สงครามสำนักมนตร์ดำแต่ที่ผ่านมาคนในเมืองก็ยังอยู่กันอย่างปกติสุขจนเริ่มชินกับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว
“ที่นี่คือหนุ่มหลบภัยใช่ไหมครับ?” พ่อค้าตัวน้อยวิ่งหน้าตั้งมาครึ่งชั่วโมงแต่ที่นั่นกลับมีแค่กลุ่มคนเล็ก ๆ รออยู่เท่านั้น
“ใช่ครับ ถ้าหากต้องการเข้าก็ต้องรอสักครู่นะครับจะได้ลงไปพร้อม ๆ กันเลย” ตำรวจประจำพื้นที่ที่ในเมืองเหลืออยู่แค่ไม่กี่คนกล่าวและคอยตรวจสอบพลเรือนที่มาขอเข้าหลุมหลบภัย
หลังจากได้ลงมาในหลุมก็จะเห็นเหล่าขุนนางมากหน้าหลายตาแบ่งแยกและจับจองพื้นที่ของตนเอง ความหยิ่งยโสที่มียศถาบรรดาศักดิ์แบกอยู่บนบ่าทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดเข้าไปใหญ่
“ทำไมตระกูลบารอนผู้ตกต่ำถึงมาอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนี้ล่ะ?” ชายคนหนึ่งกล่าวสบประมาทพร้อมกับมองด้วยแววตาเหยียดหยามที่ไม่ว่าใครก็ดูออก
หญิงสาวผู้นั้นยังนั่งเงียบอยู่คนเดียวไม่สนใจใครทั้งนั้น
“เรียกไม่ได้ยินเหรอ? ไอ้คนที่ต้องเลี้ยงดูแม่ที่อยู่บ้านโทรม ๆ ดันออกมาเที่ยวเล่นเสียได้”
หญิงสาวคนนั้นยังทำเป็นหูทวนลมมิหนำซ้ำยังเบือนหน้าหนีอีก
“นางนี่ !” ขุนนางคนนั้นเดินปรี่เข้าไปตบหน้าจนเป็นรอยแดงแต่เธอก็ยังนิ่งสงบไม่ตอบโต้
“เหอะ น่าเบื่อจริง ๆ” สุดท้ายขุนนางคนนั้นก็ต้องยอมถอยไปเอง
การกระทำอันต่ำช้าที่เหมือนนักเลงในซอยทำให้มีสายตาดูแคลนจ้องมองขุนนางและอัศวินส่วนตัวเหล่านั้น แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ยังทำตาขวางจ้องกลับอย่างกับจะเดินมาตบหน้าเหมือนที่ทำกับหญิงสาวผู้น่าสงสาร
“เวรเอ๊ย ! ถ้าพ่อไม่บอกให้มาจ้างให้ฉันก็ไม่มาหรอก” ขุนนางคนนั้นยังคงส่งเสียงบ่นตลอดเวลา
“บ่นอะไรนักหนาวะ !” แม้จะคุยกันคนละภาษาแต่ก็สัมผัสถึงอารมณ์ในเสียงที่เปล่งออกมาได้ ใกล้ ๆ กันนั้นมีกลุ่มคนที่เป็นนักผจญภัยของอาณาจักรอื่นซึ่งไม่รู้จักขุนนางของอาณาจักรเซียตะโกนสวนกลับ
“อะไร? อยากมีเรื่องนักเหรอวะ” ขุนนางหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางวางก้ามราวกับตนเองยืนอยู่เหนือทุกคนในที่แห่งนี้
“คนเขาพยายามพักเอาแรงไว้เผื่อมีเรื่องฉุกเฉิน แต่ดันมีคนคอยรบกวนไม่หยุดแถมยังไม่เจียมตัวอีก”
กลุ่มนักผจญภัยกับอัศวินประจำตัวตั้งท่าเตรียมปะทะกันแต่พ่อค้าตัวน้อยก็เข้ามาห้ามเสียก่อน คมมีดจากทั้งสองฝั่งชี้ผ่านหน้าเกือบโดนลูกหลงไปด้วยแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมถอยจนกว่าจะหยุดการกระทำอันไร้ประโยชน์พวกนี้ได้
“แค่นี้ทุกคนก็กลัวกันมากพอแล้วนะครับ อย่างน้อยก็ช่วยใจเย็น ๆ และรอให้สถานการณ์คลี่คลายเถอะครับ”
“เหอะ น่ารำคาญฉิบหายเลย” กลุ่มนักผจญภัยเดินออกจากหลุมหลบภัยด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ถ้าต้องอยู่กับไอ้คนที่งี่เง่าบ่นไม่หยุด ฉันออกไปรอข้างนอกดีกว่า”
ขณะที่พวกเขาเปิดประตูเดินขึ้นไปหญิงสาวคนนั้นก็ตามขึ้นไปด้วย
“คุณเองก็เหมือนกัน ได้โปรดรออย่างสงบเถอะครับ” พอได้ยินเช่นนั้นขุนนางคนนั้นก็ถอนหายใจเสียงดังแล้วกลับไปนั่งบ่นเหมือนเดิม
ขณะเดียวกันที่ห้องประสานงานก็ได้ส่งข้อมูลให้ทุกหน่วยเพื่อป้องกันเมืองได้ทันท่วงที ถ้าหากพวกมันปรากฏตัวไปที่เขตไหนหน่วยที่คุมเขตนั้นก็จะรายงานกลับมา และตอนนี้พวกมันก็โผล่หัวออกมาให้เห็นถึงสามจุดซึ่งเป็นเขตประตูตะวันตกและประตูเหนือ
“ทางนี้เจอพวกมันโยนระเบิดควันมาครับ ถึงจะสกัดระเบิดไว้ได้ทันแต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่ามันคือระเบิดพิษ”
“สัตว์อสูร พิษ...แล้วทางตะวันตกล่ะ?” โคเก็บข้อมูลและประสานงานต่อทันที
“ทางนี้พวกมันพยายามยิงธนูไฟเข้าไปในเมืองแต่เราป้องกันไว้ได้ไม่มีปัญหาครับ”
“ดีมาก ยื้อพวกมันไว้ให้ได้มากที่สุด เราต้องป้องกันเมืองไว้ให้ได้เพราะคุณซึฮากิไว้ใจพวกเรา”
ถึงจะพูดไปแบบนั้นก็เถอะ แต่การรับมือกับพวกมันที่ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนมันยากกว่าสงครามยึดน่านน้ำเสียอีก แล้วทำไมถึงพึ่งมาปิดเมืองเอาตอนนี้ทั้ง ๆ ที่ปิดล่วงหน้าเลยก็ได้ ไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไร
โคกวาดเอกสารที่ไม่ได้ใช้ออกไปก่อนแล้วมองดูรายชื่อคนเข้าออกเมืองเผื่อจะเข้าใจแผนการของซึฮากิบ้าง
คนท้องถิ่นไม่ค่อยสนใจอะไรอยู่แล้วต่อให้ปิดเมืองไปเลยก็ไม่เป็นไร คนที่จะมีปัญหาก็คือพ่อค้าต่างแดนกับคนต่างถิ่นซึ่งหลายวันที่ผ่านมามีจำนวนคนเข้าออกถึงสามพันคน
“ตอนนี้พวกนักท่องเที่ยวเข้าไปหลบในหลุมหลบภัยกันเกือบหมดแล้วครับ ส่วนคนพื้นเมืองก็ใช้ชีวิตปกติดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรายงานพร้อมกับกวาดสายตามองดูกล้องวงจรปิด
“เดี๋ยว ! ย้อนกลับไปดูกล้องตัวเมื่อกี้อีกรอบสิ” กล้องตัวนั้นฉายภาพหน้าโรงเรียนที่มีกระเป๋าแปลก ๆ วางไว้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครไปเรียนด้วยซ้ำ
“หัวหน้าครับ...ผมว่ามันอาจจะเป็น...”
“อืม เหมือนจะมีหนอนอยู่ในเมือง”
โคได้แยกตัวออกมาที่เงียบ ๆ เพื่อใช้มือถือติดต่อหาซึฮากิ ความเคลือบแคลงในใจกำลังกัดกินแรงศรัทธาที่มีต่อเจ้านาย แววตาสับสนจ้องมองมือถือที่กำลังใส่มานาเข้าไปพลางคิดถึงคำที่จะพูดเป็นคำแรก
“คุณซึฮากิครับ...คุณจงใจใช่ไหมครับ?”
ซึฮากิเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “ใช่ ฉันจงใจทำแบบนั้นและคุณโคก็เป็นคนแรกที่จับได้เลยนะครับ”
“ทำไมคุณซึฮากิถึงทำแบบนั้นครับ?”
“อืม เพื่อถอนรากถอนโคนพวกมันทั้งหมด” คำตอบอันแสนเรียบง่ายยิ่งทำให้โคไม่เข้าใจมากกว่าเดิม
“ทำไมถึงไม่ยอมบอกแผนนี้ให้ทุกคนฟัง แล้วทำไมถึงใช้ประชาชนเป็นเหยื่อล่อล่ะครับ?”
“ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีครับแต่ก็มีคนที่ผมบอกแผนนี้อยู่เหมือนกัน”
“หา? คนนั้นคือใครครับเพราะกองกำลังส่วนใหญ่ถูกส่งออกไปข้างนอกหมดแล้วนะครับ”
“ไม่ใช่กองกำลังที่แข็งแกร่งอะไรหรอก...แต่พวกเขาคือคนที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้ คุณโคคงสงสัยสินะครับว่าทำไมผมถึงต้องปล่อยให้มีการเข้าออกเมืองก่อนที่พวกมันจะเริ่มเคลื่อนไหวให้เห็น”
“นั่นแหละครับคือเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าคุณซึฮากิต้องการจะทำอะไรกันแน่”
ระหว่างนั้นโคก็หยิบสมุดขึ้นมาเตรียมจดสิ่งที่ซึฮากิกำลังจะพูด
“ก่อนหน้านี้ผมสังเกตเห็นพวกที่มีพฤติกรรมแปลก ๆ เยอะพอสมควร หลังจากได้ตามสืบเพิ่มเติมก็เลยรู้ว่าพวกมันส่งสายลับเข้ามาในเมืองนานแล้ว แม้แต่การป้องกันหลายชั้นก็ยังผ่านมาได้สงสัยจะคัดเลือกเฉพาะที่ดูเหมือนคนธรรมดาที่สุด การเปิดเมืองปกติในช่วงก่อนหน้านี้ก็เพื่อให้พวกมันส่งสายลับเข้ามาให้มากที่สุดและผมก็หาคนที่ไว้ใจมาเป็นนกต่อคอยเฝ้าระวังเช่นกัน”
“มีแค่คนพวกนั้นที่รู้แผนนี้สินะครับ” โคถามกลับทันทีด้วยความสงสัย
“ใช่ พวกเขาคือพ่อค้าแม่ค้าที่อยู่ในตลาดรวมถึงชาวไร่ชาวนาที่อยู่มาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่มีการสร้างเมือง ต่อให้พวกมันจะส่งสายลับมามากเท่าไรแต่เมื่อมาอยู่ในสังคมก็ต้องเคลื่อนไหวไปกับสังคม และอาชีพเหล่านั้นคือนกต่อที่จะขับเคลื่อนกระแสสังคมให้เป็นไปตามที่ผมต้องการ ก่อนอื่นก็แบ่งแยกพวกคนนอกทั่วไปที่จะหวาดกลัว ตะโกนด่าหรือต่อว่ากับเรื่องการปิดเมือง และก็จะมีกลุ่มคนที่ใจเย็นอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ซึ่งเราจะเฝ้าสังเกตคนพวกนั้น”
“แต่แค่นั้นจะจับตัวสายลับได้เหรอครับ? ดูยังไงก็จัดการได้ยากลำบากอยู่ดีเพราะตำรวจทหารไม่พอ”
“นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของแผน ผมให้คนดูแลความปลอดภัยออกไปป้องกันนอกเมืองเพื่อเปิดช่องว่างให้พวกสายลับทำงานกันมากขึ้น และการที่คุณโคติดต่อมาก็คงจะสังเกตเห็นแล้วสินะครับ”
“ใช่ครับ ทางนี้เปิดกล้องวงจรปิดแล้วไปเห็นคนวางกระเป๋าแปลก ๆ ไว้หน้าโรงเรียน”
“วางระเบิดไว้หน้าโรงเรียนสินะ แสดงว่าพวกมันน่าจะวางไว้ที่ศูนย์ดูแลน้ำและสถานีส่งไฟฟ้าแล้ว สถานที่ต่อไปก็คงจะเป็นคลังแสงแล้วก็เพ่งเล็งไปที่คนดูแลจัดการเมืองต่อ”
“ในเมื่อคุณรู้ขนาดนั้นทำไมถึงไม่สั่งให้ทหารไปเฝ้าล่ะครับ? ตอนนี้เราส่งทหารกับตำรวจออกไปป้องกันเมืองตามที่คุณบอกหมดแล้ว”
“ถ้ามีทหารเฝ้าก็จะทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ จับได้ยาก แต่ถ้าเกิดทางเดินสะดวกจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ?”
โคพยายามคิดตามภาพแผนที่ซึฮากิบอก “พวกมันจะรวบรัดวิธีการเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ไวที่สุด”
“ถูกต้อง เพราะเหตุนั้นผมจึงต้องใช้วิธีที่ดีกว่าวางกำลังทหารไว้ ก็คือร่างโคลนของผมเอง”
ขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังลั่นใกล้ ๆ กับอาคารประชาสัมพันธ์ จากนั้นก็โรงเรียน ศูนย์ดูแลน้ำ สถานีจ่ายไฟฟ้า คลังแสง บ้านหลักและอาคารสภาเมือง
“ภารกิจต่อไปคือการทะลวงพวกมันจากข้างใน” ศิษย์สำนักมนตร์ดำกับพรรคพวกอีกหลายคนมารวมตัวกันหลังจากวางระเบิดเสร็จ
“เราจะแบ่งกันไปสองประตู ถึงจะไม่มีระเบิดพิษแต่เข็มพิษก็พอทำให้พวกมันวุ่นวายจนเสียสมาธิได้” ชายคนนั้นถอดยาพิษในปากออกมาแล้วเคลือบกับเข็มเล็ก ๆ
“จงจำไว้ เราต้องแสดงเป็นคนเมาเพื่อให้ทหารพวกนั้นเข้ามาใกล้โดยไม่เอะใจ”
“รับทราบ...”
ขณะที่กำลังประชุมแผนกันอย่างเคร่งเครียดก็มีกลุ่มคนล้อมพวกเขาไว้โดยไม่รู้ตัว
“เวรแล้ว...” พวกเขาโดนจับโดยไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ
โคกลับไปที่ห้องประสานงานเพื่อดูกล้องวงจรปิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ยังถือสายคุยกับซึฮากิไปด้วย
“ในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าผมสับเปลี่ยนตัวไปหลายคนเลยล่ะ เพื่อเป็นหลักประกันจึงต้องคัดเอาคนที่อ่อนแอออกแล้วใช้ร่างโคลนแทน กว่าพวกมันจะรู้ตัวก็คงสายไปแล้ว” เสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นเพียงระเบิดปลอมที่มีแค่เสียงเท่านั้น เหล่าร่างโคลนปล่อยให้สำนักมนตร์ดำวางระเบิดให้เสร็จเสียก่อนจะสับเปลี่ยนเพื่อให้พวกมันดำเนินแผนต่อไปทันที
“คุณกล้าเสี่ยงกับเรื่องที่ไม่แน่นอนแบบนี้ได้ยังไง? ถ้าเกิดพวกมันใช้ประชาชนเป็นตัวประกันล่ะครับ?”
“จะเป็นการเสี่ยงก็ต่อเมื่อเราไม่อาจรู้ได้ว่าอันตรายจะมาเมื่อไร ผมถึงต้องปล่อยให้พวกมันเข้ามากันให้เยอะเพื่อให้พวกมันทำงานกันเป็นทีม เพราะสำนักมนตร์ดำจะทำตามภารกิจเท่านั้นซึ่งหากมาคนเดียวก็อาจจะเปลี่ยนแผนเองได้ แต่ถ้าอยู่กันเป็นทีมก็จะต้องดำเนินตามภารกิจต่อไป ต่อให้พวกมันจะเลือกทางไหนผมก็มีร่างโคลนแทรกซึมอยู่ทุกที่เช่นเดียวกับที่พวกมันแทรกซึมอยู่กับเรา พอไม่ปิดเมืองก็จะมีคนเข้าออกตลอดเวลาซึ่งมีทั้งร่างโคลนของผมและพวกมันปะปนกันไปหมด และแน่นอนว่าผมก็มีร่างโคลนในกลุ่มพวกมันเพราะต่อให้ไม่เคยเจอหน้าแต่ก็อ้างได้ว่าทางสำนักพึ่งส่งคนมาเพิ่ม”
โคได้แต่นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออก
“ทีนี้เข้าใจเรื่องที่ผมไม่ปิดเมืองหรือยังครับ?”
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 16
แสดงความคิดเห็น