บทที่ 209: ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานซวน

-A A +A

บทที่ 209: ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานซวน

หลังจากเข้ามาในกระโจมแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็ได้พบกับฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานซวนซึ่งอายุยังน้อย 

เขาอายุน้อยกว่าพ่อของเธอมาก ดูเหมือนว่าเขาจะอายุพอ ๆ กับเซียวถังอี้ ในขณะนี้เขากำลังมองสำรวจเด็กหญิงตั้งแต่หัวจรดเท้า

 “ช่างดูคล้ายกันมาก” คำพูดของเขาทำให้เธอคาดเดาได้ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเคยพบหน้าท่านพ่อมาแล้ว 

เมื่อผู้เป็นฮ่องเต้มองดูรูปร่างหน้าตาของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อย เขาก็พูดออกมาว่า “ช่างคล้ายกันยิ่งนัก แต่เราเกรงว่านิสัยของเจ้าก็คงจะเหมือนกับเสด็จพ่อที่ได้ชื่อว่าเป็นชายผู้โหดเหี้ยมที่สุด เช่นนั้นไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด” 

แม่ทัพหลี่ที่สังเกตพฤติกรรมของมู่ไป๋ไป่มาสักพักรู้สึกเห็นด้วย แล้วเขาก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่าง

ต่อมา เขาวางคนตัวเล็กลง ก่อนจะหันไปหาผู้เป็นนายเหนือหัวแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท มู่ไป๋ไป่เป็นบุตรีที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เป่ยหลงมากที่สุด เราใช้นางต่อรองกับมู่เทียนฉงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” 

 “ดี” ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานซวนจ้องเด็กหญิงลงหน้าอยู่นานก่อนจะปรบมืออย่างตื่นเต้น

หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เธอก็ส่ายหัวปฏิเสธเสียงสั่น

ทันทีที่เด็กหนุ่มเห็นองค์หญิงแสดงท่าทางเช่นนั้น เขาจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “องค์หญิงน้อย ไม่ว่าเจ้าจะส่ายหัวปฏิเสธไปมันก็คงไม่มีประโยชน์ เราจำเป็นจะต้องใช้เจ้าเพื่อต่อรองกับเสด็จพ่อของเจ้า” 

พอได้รู้เช่นนี้มู่ไป๋ไป่ก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น เนื่องจากร่างกายในปัจจุบันของเธอเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก ๆ มันไม่มีทางที่เธอจะขัดขืนหรือหนีออกไปได้ด้วยกำลังของตัวเอง

แต่การปล่อยให้คนพวกนี้ใช้เธอไปข่มขู่ท่านพ่อนั้นยิ่งร้ายแรงเข้าไปใหญ่ 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเธอไม่อาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ มิฉะนั้นความพยายามทั้งหมดที่เธอทำไปก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า

ไม่นานในสมองน้อย ๆ ก็เกิดความคิดบางอย่าง แล้วดวงตากลมโตที่มองฮ่องเต้ของแคว้นหนานซวนก็เริ่มมีน้ำตาหลั่งออกมา

แม่ทัพหลี่เองก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกยามที่เห็นองค์หญิงตัวน้อยร้องไห้ ทั้งด้านเด็กหนุ่มก็มีสีหน้าเศร้าหมองเช่นกัน

แม้ว่าเขาจะมีลูกหลายคน แต่เขาไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน เสียงร้องไห้ของมู่ไป๋ไป่นั้นช่างบีบหัวใจจนทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจ 

นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการให้มู่ไป๋ไป่อยู่อย่างปลอดภัย เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเขาก็จะใช้นางเจรจากับคนของแคว้นเป่ยหลง แต่ถ้านางเอาแต่ร้องไห้เช่นนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรกันดี?

ปิดปากนางหรือ?

แต่ปากนางเล็กมาก ถ้าเผลอลงมือแรงไปหน่อยแล้วเกิดนางตายขึ้นมาจะทำเช่นไร?

จากนั้นคนทั้ง 2 ที่อยู่ภายในกระโจมก็มองหน้ากัน แม่ทัพหลี่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าฮ่องเต้ไม่สามารถปลอบให้มู่ไป๋ไป่หยุดร้องไห้ได้ เขาจึงทำได้เพียงนั่งลงให้อยู่ในระดับเดียวกับคนตัวเล็กแล้วพูดปลอบอีกฝ่ายด้วยตัวเอง “พระองค์เป็นเด็กที่ฉลาดมาก พระองค์รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไร ในเมื่อพระองค์รู้เช่นนั้นแล้วก็เลิกร้องเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

แม้ว่าการปลอบใจเด็กจะฟังดูไปมากไปสักหน่อยก็ตาม 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นี่เป็นการข่มขู่ประเภทหนึ่ง หลังจากมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำพูดของชายสูงวัย นอกจากเธอจะไม่หยุดร้องไห้แล้ว เธอยังร้องไห้หนักขึ้นอีกด้วย

นั่นทำให้ฮ่องเต้ของแคว้นหนานซวนรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออก เขาชี้ไปที่แม่ทัพหลี่พร้อมกับพูดว่า “ท่านรีบพาเด็กคนนี้ออกไปจากที่นี่ซะ หลังจากที่ท่านปลอบจนนางหยุดร้องได้แล้วค่อยพากลับมา!” 

เสียงเด็กร้องไห้จ้านั้นทำลายโสตประสาทของเขาจนทำให้เขารู้สึกปวดหัวตุบ ๆ เลยทีเดียว

ทางด้านแม่ทัพหลี่ยังไม่ได้หารือเรื่องแผนการกับนายเหนือหัว เขาจึงรู้สึกไม่ยินยอมที่จะออกไปตอนนี้ “ฝ่าบาท กระหม่อมขอเวลาสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ” 

หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็คุกเข่าลงกับพื้นและมองไปที่เด็กน้อย “องค์หญิง พระองค์เลิกร้องไห้ได้แล้ว ถ้าพระองค์ยังเอาแต่ร้องไห้เช่นนี้ กระหม่อมเกรงว่าเราคงจะปล่อยให้พระองค์ไปพบหน้าครอบครัวไม่ได้อีกแล้ว” 

แม่ทัพหลี่คิดกับตัวเองว่า ไม่ว่ามู่ไป๋ไป่จะเป็นคนที่ดูซับซ้อนมากเพียงใด แต่นางก็ยังคงเป็นเด็ก ในเมื่อนางคือเด็ก เขาก็สามารถข่มขู่อีกฝ่ายได้โดยง่าย

บนโลกนี้มีเด็กเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่อยากอยู่กับพ่อแม่ตัวเอง และเด็กเอาแต่ใจอย่างมู่ไป๋ไป่คงจะมีความคิดแบบเดียวกัน

แต่เขาไม่รู้ว่าเด็กหญิงคนนี้ไม่ใช่เด็กธรรมดา หลังจากที่เธอได้ยินคำพูดของชายสูงวัย เธอก็ให้ความร่วมมือกับเขาโดยการหยุดร้องไห้

แม่ทัพหลี่กับฮ่องเต้หนานซวนเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจมาก

เมื่อมองดูใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยสีชมพูของคนตัวเล็ก พวกเขาซึ่งรู้สึกตื่นเต้นก็รีบถามออกไปว่า “องค์หญิงน้อย จะเป็นเช่นไรถ้าเราจับพระองค์เป็นตัวประกัน?” 

มู่ไป๋ไป่มองสายตากระตือรือร้นของชายทั้ง 2 ด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอใครบางคนที่ต้องการให้เธอเป็นตัวประกันโดยการถามความคิดเห็นจากเธอก่อน ถ้าเธอปฏิเสธ คนพวกนี้จะอนุญาตให้เธอปฏิเสธหรือไม่?

 “ข้าไม่อยากทำ” เด็กหญิงเบะปากเตรียมจะร้องไห้อีกครั้งทันที

แม่ทัพหลี่กับฮ่องเต้หนานซวนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกประหม่าพลางย้อนนึกถึงเสียงร้องไห้จ้าของเจ้าตัวเล็กที่ดังจนปวดประสาท 

 “อย่าร้องไห้!” เด็กหนุ่มส่งเสียงดุเด็กน้อย

มู่ไป๋ไป่ทำท่าหวาดกลัวและสะอื้นเบา ๆ ทำให้เขาได้ยินเสียงสะอื้นของคนตัวเล็กเป็นพัก ๆ

เด็กน้อยคนนี้ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้ มันทำให้ฮ่องเต้หนานซวนอยากจะหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู

แม่ทัพหลี่ยังอดหัวเราะไม่ได้ยามที่มองดูเด็กหญิงที่แตกต่างไปจากเด็กทั่วไป ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจมากยิ่งขึ้น

 “พระองค์เป็นฮ่องเต้ของแคว้นหนานซวนใช่หรือไม่เพคะ?” มู่ไป๋ไป่ถามขึ้นมาเบา ๆ

พอเด็กหนุ่มได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาก็สบตานางพร้อมกับที่ในใจเขาอยากจะรู้ว่าคนตัวเล็กจะพูดอะไรต่อ

 “ใช่แล้ว เราคือฮ่องเต้ของแคว้นหนานซวน” เขายืดอกตอบออกไป

มู่ไป๋ไป่มองชายตรงหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัวไม่กล้าสบตากับอีกฝ่ายโดยตรง และสงสัยว่าการลักพาตัวเด็กคนหนึ่งอย่างเธอนั้นมันจะคุ้มค่าหรือไม่?

 “ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าเราควรจะรีบส่งข่าวให้คนของแคว้นเป่ยหลงทราบโดยเร็วที่สุดว่าองค์หญิงน้อยของพวกมันอยู่ในมือของเราแล้ว” แม่ทัพหลี่แนะนำ

 “ไม่ว่าชาวเป่ยหลงจะให้ความสำคัญกับนางเช่นไร เพียงแค่เราทดสอบดูก็รู้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าเด็กตัวเล็ก ๆ คนนี้จะสามารถนำมาใช้ข่มขู่แคว้นเป่ยหลงได้ ถ้าหากนางมีประโยชน์ขึ้นมาจริง ๆ พวกเขาก็ไม่ควรพลาดที่จะลองดู

แม่ทัพหลี่รู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เห็นด้วยกับความคิดเห็นของตน “เราจะสั่งให้คนไปส่งข่าวเดี๋ยวนี้และดูว่าเด็กน้อยคนนี้จะเป็นจุดอ่อนของแคว้นเป่ยหลงหรือไม่” 

เด็กหนุ่มมองมู่ไป๋ไป่แล้วพูดว่า “มีอะไรที่สามารถพิสูจน์ตัวตนของเจ้าได้บ้างล่ะ?” 

ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานซวนซึ่งตอนนี้ถือว่าใจดีมากกำลังมองคนตัวเล็กอยู่ซึ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวในใจ 

 “หม่อมฉันจะพิสูจน์ได้อย่างไร?” มู่ไป๋ไป่มองฮ่องเต้หนานซวนด้วยสายตาไม่มั่นใจ เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งที่เขาถามนั้นฟังดูไม่สมเหตุสมผลเลย

ซึ่งเรื่องนี้มันคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะพาตัวเธอไปเพื่อยืนยันตัวตนของเธอ

แล้วก็เป็นแม่ทัพหลี่ที่เข้ามาถอดสร้อยข้อมือออกจากมือของเด็กหญิงไปแล้วยิ้มอย่างมีชัย “คงมีเพียงคนที่มีสถานะเช่นพระองค์เท่านั้นที่สามารถสวมสิ่งนี้เอาไว้ได้ใช่หรือไม่?” 

มู่ไป๋ไป่มองไปที่สร้อยข้อมือที่ถูกออกถอดออกไป และสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง

ของสิ่งนี้สามารถพิสูจน์ตัวตนของเธอได้จริง ๆ พอเห็นว่ามันตกไปอยู่ในมือของศัตรูแล้ว เธอก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

 “ของสิ่งนี้จะไปมีประโยชน์อะไร” หลังจากที่คนตัวเล็กพูดจบ ชายชราก็ใช้มีดกรีดไปที่ฝ่ามือของเธอ

 “โอ๊ย! พอแล้ว!” มู่ไป๋ไป่ตวัดตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเจ็บปวด แต่คนที่ลงมือนั้นกลับยิ้มมองคราบเลือดบนผ้าเช็ดหน้า

นอกจากนี้เขายังเอาผ้าเช็ดหน้าห่อสร้อยข้อมือด้วยความตั้งใจว่าจะส่งมันไปที่แคว้นเป่ยหลง

ถึงแม้ว่ามู่ไป๋ไป่จะพูดเน้นย้ำอยู่ตลอดว่าตัวเธอนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับคนของแคว้นเป่ยหลง แต่การที่ของสิ่งนี้ถูกส่งออกไป มันจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของทหาร

แล้วยังมีพี่ชายทั้ง 2 ของเธอ เซียวถังอี้… ว่าที่อาจารย์..

ฮือออออ! โฮ ๆๆ!!

ขณะนี้มู่ไป๋ไป่รู้สึกสับสนมาก ปัจจุบันเธอถูกจับอยู่ในค่ายของศัตรูแล้ว เธอจึงไม่มีสิทธิ์ทำอะไรได้อีก

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เป็นไงล่ะ บทเรียนอันใหญ่หลวงของน้อง หลังจากนี้จะได้ระวังตัวให้มากขึ้น มาเอาใจช่วยให้น้องฝ่าฟันอุปสรรคในครั้งนี้กัน อยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวเถียวก่อนนะทุกคน~

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบบทความที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018-2025 keangun. All Rights Reserved.