บทที่ 206: อวี้เซิ่งเอาอาหารไปให้ว่าที่อาจารย์
อวี้เซิ่งตวัดตามองมู่ไป๋ไป่ด้วยหางตา ทันใดนั้นก็มีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัวของเขา
สำหรับสาวสวยอย่างเจียงเหยา แน่นอนว่านางกินเพียงแค่มันเผาอย่างเดียวคงไม่อยู่ท้อง
“องค์หญิงหก พระองค์ว่างหรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่ที่ได้ยินคำถามของชายหนุ่มก็มองหน้าเขาตาปริบ ๆ “ข้าว่างแล้วอย่างไร?”
จู่ ๆ อวี้เซิ่งก็ยิ้มออกมา “พระองค์ไปทำอาหารอร่อย ๆ ให้ว่าที่อาจารย์ของพระองค์สิ ช่วงนี้นางกินไม่ค่อยอิ่ม”
คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นยืนจากพื้นพร้อมกับตอบว่า “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเองเถอะ แล้วท่านก็เอามันไปให้ว่าที่อาจารย์ข้าได้เลย!”
หลังจากกล่าวจบเธอก็พาหลัวเซียวเซียวเดินไปที่ห้องครัวอีกครั้ง
เธอมองดูวัตถุดิบในครัวแล้วก็มุ่งความสนใจไปที่เนื้อ
“ท่านมาช่วยสับเนื้อให้ข้าหน่อย”
เมื่อหัวหน้าพ่อครัวได้ยินคำสั่งขององค์หญิงหก เขาก็รีบสับเนื้อเป็นชิ้น ๆ ตามคำสั่งของนาง
ทางด้านมู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวยืนอยู่ข้างกันเพื่อเฝ้าดูการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วของพ่อครัว พร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ
“ช่างเก่งกาจยิ่งนัก” หลัวเซียวเซียวอดไม่ได้ที่จะถอดถอนหายใจกับตัวเองยามที่นางนึกขึ้นได้ว่าตนหยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
มู่ไป๋ไป่ที่อยู่ด้านข้างไม่มีเวลาให้ได้คิดอะไรมาก เธอดึงสหายตัวน้อยมาแล้วพูดว่า “เจ้าช่วยข้าจุดไฟหน่อยสิ”
ในเมื่อเธอรับปากว่าจะทำอาหารให้ว่าที่อาจารย์ เธอจึงรู้สึกว่าต้องใส่ใจกับอาหารจานนี้ให้มากหน่อย พอถึงเวลานั้นเธอไม่อยากให้เซียวถังอี้มาว่าเธอได้
เมื่อหลัวเซียวเซียวเห็นจิตวิญญาณนักสู้ที่เต็มเปี่ยมขององค์หญิงหก นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องไปก่อไฟ
ซึ่งภาพนี้ดูคุ้นตามาก!
ทางด้านพ่อครัวรีบสับเนื้ออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะส่งเสียงตะโกนอย่างนอบน้อม “องค์หญิง เนื้อสัตว์พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ไป๋ไป่ก้าวออกไปเพื่อตรวจสอบวัตถุดิบ จากนั้นก็เอื้อมมือเล็ก ๆ ไปตบไหล่ของพ่อครัวพลางพูดว่า “ไม่เลว มันดีกว่าครั้งที่แล้วอีก หลังจากข้ากลับมา ข้าจะตอบแทนให้ท่านอย่างงาม”
พอคนที่เป็นหัวหน้าพ่อครัวได้ยินคนตัวเล็กกล่าวเช่นนี้ เขาก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น
ต่อมา เด็กหญิงก็โบกมือไปทางเขาแล้วพูดว่า “ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ท่านทำแล้ว ท่านออกไปก่อนเถอะ”
หลังจากมู่ไป๋ไป่พูดอย่างนั้น พ่อครัวก็มีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วมองเธอด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ
คนตัวเล็กมองอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ขณะพูดว่า “ข้าบอกให้ท่านออกไป ออกไปเถอะ”
ตัวเขานั้นคาดหวังว่าจะได้รับรางวัล แต่จู่ ๆ เขาก็ได้ยินน้ำเสียงไม่พอใจขององค์หญิงหก พ่อครัวคนนั้นจึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขาเดินออกไปทันทีเพราะเกรงว่าผลงานที่ทำเอาไว้จะสูญเปล่า
ตอนนี้ในครัวเหลือเพียงมู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียว
เด็กหญิงมององค์หญิงของตนด้วยความเหลือเชื่อพร้อมกับถามว่า “องค์หญิง คราวนี้พระองค์คิดจะทำอะไรหรือเพคะ?”
“ข้าจะทำลูกชิ้น” คนตัวเล็กพูดอย่างมั่นใจ
เธอแบ่งเนื้อสัตว์ลงในจานทีละน้อย จากนั้นก็เริ่มปรุงรส แล้วเธอก็ให้ผู้ช่วยตัวน้อยคอยควบคุมไฟอย่างระมัดระวัง
“องค์หญิง พระองค์จะทำอะไรต่อหรือเพคะ?” หลัวเซียวเซียวถามอย่างสงสัย ขณะที่มู่ไป๋ไป่กำลังใส่เครื่องปรุงบางอย่างลงในลูกชิ้น
“มันจะต้องอร่อยแน่นอน” คนตัวเล็กพูดอย่างมั่นใจอีกครั้ง
หลังจากที่เธอปรุงรสชาติเสร็จแล้ว น้ำที่เธอใส่ลงไปในหม้อก็เริ่มร้อน จากนั้นเธอก็ใช้ช้อนปั้นเนื้อหมูสับให้เป็นลูกกลมๆ
ในตอนแรกหลัวเซียวเซียวยังคงทำหน้าตาสงสัย แต่ตอนนี้นางเริ่มเห็นรูปร่างหน้าตาอาหารที่อีกฝ่ายกำลังจะทำและอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “องค์หญิง พระองค์ทรงปรีชายิ่งนัก”
นางได้ลิ้มรสด้วยตัวเองแล้วว่าฝีมือการทำอาหารของมู่ไป๋ไป่นั้นยอดเยี่ยมมากเพียงใด แค่เพียงได้กลิ่นนางก็เอ่ยปากชมไม่หยุด
องค์หญิงหกของนางสามารถทำเรื่องที่น่าประหลาดใจได้มากมาย
หลังจากที่ลูกชิ้นสุกแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็ใส่กะหล่ำปลีตามลงไป พอทุกอย่างสุกแล้ว เธอก็ตักมันขึ้นมาจากหม้อ
ในขณะนี้คนตัวเล็กกำลังมุ่งหน้าไปที่กระโจมของเซียวถังอี้พร้อมกับถือชามและตะเกียบอยู่ในมือ แต่หลังจากที่เธอเดินเข้าไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น คนที่เธอพบกลับไม่ใช่อวี้เซิ่งแต่เป็นเจ้าสัตว์ประหลาด
“เสด็จอา อวี้เซิ่งอยู่ที่ไหนหรือ?” เด็กหญิงถามออกไปตามตรง
เซียวถังอี้เหลือบมองเจ้าตัวเล็กที่กำลังถือชามกับตะเกียบเข้ามา จากนั้นก็มองอาหารที่อยู่ภายใน
“พ่อครัวทำให้เจ้าหรือ?” เด็กหนุ่มไม่คาดคิดว่านางจะเป็นคนทำด้วยตัวเอง
พอมู่ไป๋ไป่ได้ยินดังนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เธอชี้ไปที่คนถามแล้วพูดว่า “เสด็จอา ข้าเป็นคนทำเอง”
เซียวถังอี้ที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้ายังเด็ก เจ้าถือมีดไหวหรือ?”
ใบหน้าของเด็กหญิงเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อได้ยินคำพูดดูถูกของอีกฝ่าย เธออยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดนี่รู้ได้อย่างไรว่าเธอถือมีดเล่มนั้นไม่ไหว
หรือว่าหัวหน้าพ่อครัวจะเอาเรื่องนี้มารายงานเขา พอคิดแบบนี้มู่ไป๋ไป่ก็พูดออกมาด้วยความโมโหว่า “ให้ตายเถอะ ก่อนหน้านี้ข้าคิดจะตกรางวัลให้ท่านได้อย่างไรนะ อย่าหวังว่าท่านจะได้อะไรจากข้า!”
ทางด้านพ่อครัวผู้น่าสงสารที่กำลังถูกองค์หญิงหกเข้าใจผิดไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ ตัวเขานั้นยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าจะได้รับรางวัล
เซียวถังอี้เห็นสีหน้าของเจ้าตัวเล็กเปลี่ยนไป เขาจึงเข้าใจทันทีว่าทำไมนางถึงทำหน้าเช่นนี้
“มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือที่พวกเด็ก ๆ จะทำอาหารไม่เป็น เจ้าอย่าได้ใส่ใจกับคำพูดของข้ามากนัก” คำพูดปลอบใจของเด็กหนุ่มไม่ได้ทำให้มู่ไป๋ไป่ใจเย็นลงเลย
เธอยิ่งรู้สึกไม่พอใจและกำลังจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย ซึ่งพอดีกับที่ได้ยินเสียงของอวี้เซิ่ง
“พระองค์มาแล้วหรือ?”
มู่ไป๋ไป่หันหลังวิ่งไปหาชายหนุ่มอย่างตื่นเต้นพร้อมกับชามและตะเกียบในมือ
“อวี้เซิ่ง ดูนี่สิ ท่านรีบเอามันไปส่งให้ว่าที่อาจารย์ของข้าเร็วเข้า ว่าที่อาจารย์จะได้กินตอนที่ยังร้อน ๆ!”
หลังจากที่นักฆ่าหนุ่มมองอาหารในมือองค์หญิงหก เขาก็พยักหน้าพลางพูดว่า “น่ากินมากจริง ๆ แต่ทำไมพระองค์ถึงอยากให้ข้าเป็นคนเอาไปให้นางล่ะ?”
แต่เมื่ออวี้เซิ่งมองดูสีหน้าของเด็กน้อย เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาเพราะเขาเองก็ต้องยอมรับว่ามีความคิดที่เห็นแก่ตัวบางอย่าง!
“ท่านก็รู้อยู่แล้ว” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าอย่างจริงจัง “หรือท่านจะให้ข้าไปเอง?”
ในเวลาเดียวกัน มู่จวินเซิ่งก็เดินเข้ามาพอดี เขาหรี่ตามองอาหารในมือของน้องสาวแล้วถามว่า “เจ้าทำอาหารอีกแล้วหรือ?”
“ถ้าพี่รองอยากกิน เอาไว้ข้าจะทำให้ท่านกินวันหลัง” พอเด็กหญิงได้ยินคำพูดและเห็นสีหน้าท่าทางของพี่ชายคนรอง เธอก็รีบเอาแขนเสื้อมาบังลูกชิ้นเอาไว้ “นี่เป็นของว่าที่อาจารย์ของข้า”
เมื่อมู่จวินเซิ่งเห็นว่าเจ้าเด็กน้อยเท้าเอวพร้อมกับพยายามเอาอาหารไปซ่อน เขาก็รู้สึกขบขัน
ขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ก็หันไปพูดเร่งอวี้เซิ่ง “รีบไปเร็วเข้า”
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ตอบกลับ เขาก็ได้ยินฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
ทุกคนจึงหันไปมองทางด้านหลังและเห็นทหารคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก เขาทำความเคารพให้เซียวถังอี้แล้วรายงานว่า
“รายงานท่านแม่ทัพ ทหารของแคว้นหนานซวนมาที่นี่อีกแล้วขอรับ”
“อะไรนะ?” มู่จวินฝานที่พอจะมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว ทันทีที่เขาได้ยินรายงาน เขาก็ผุดลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธและถามออกไปโดยไม่คำนึงถึงสุขภาพของตัวเอง
พอทหารคนนั้นเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนกำลังไม่สบาย เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของเซียวถังอี้ก็เคร่งเครียดมาก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขาหายไปไหนพริบตา เขารู้ดีว่าเมื่อเทียบกับแคว้นหนานซวน เสบียงในกองทัพของเป่ยหลงนั้นอุดมสมบูรณ์มากกว่า
สาเหตุที่คนพวกนั้นกล้าบุกรุกเข้ามาเยี่ยงกองโจรอยู่บ่อยครั้งคงเป็นเพราะเสบียงของพวกมันไม่เพียงพอ ทำให้สุขภาพร่างกายของทหารไม่ค่อยดีนัก
“มันกล้ามาเหยียบถึงที่นี่เลยหรือ ข้าจะสั่งสอนให้พวกมันได้รู้สำนึก!” มู่ไป๋ไป่ลืมไปแล้วว่าตัวเองยังเป็นเพียงเด็ก และตั้งท่าจะพุ่งออกไปจากกระโจม
โชคดีที่มู่จวินเซิ่งมาห้ามเอาไว้แล้วพูดว่า “พวกเด็ก ๆ รีบไปซ่อนก่อนเถอะ อย่าสร้างปัญหาให้พวกเราต้องเป็นห่วง”
คนตัวเล็กมีเหตุผลนับหมื่นที่จะเอ่ยปากปฏิเสธอยู่ในใจ แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ในขณะนี้
ในเวลาเดียวกันนั้น เซียวถังอี้ก็คว้าหมวกออกมา แล้วหยิบหอกที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะก้าวเดินออกไป
ขณะที่เดินเด็กหนุ่มได้สั่งทหารคนนั้นว่า “ไปทักทายพวกมันหน่อยเถอะ”
มู่จวินเซิ่งเหลือบมองมู่จวินฝานแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่ ท่านพักผ่อนให้มาก ๆ นะ ข้าจะไปดูสักหน่อย”
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินเช่นนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “ข้าเองก็อยากไปเหมือนกัน”
คำพูดนั้นทำให้พี่ชายทั้ง 2 หันไปมองน้องสาวเป็นตาเดียว โดยที่พวกเขาแทบจะเอ่ยคำปฏิเสธนางออกมาพร้อมเพรียงกัน
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ใจเย็น ๆ หนูเอ๊ย ตัวเองอยู่ในร่างเด็ก 4-5 ขวบ อย่าเพิ่งห้าวด่อง ๆ
สารบัญ / นำทาง
- 👁️ ยอดวิว 70
- 👍 ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น